I. ในการก่อสร้างพระวิหารที่ถูกฟื้นฟูในฐานะพระนิเวศน์ของพระเจ้าขึ้นมาใหม่นั้นทั้งยะโฮซูอะ (เป็นตัวแทนถึงฐานะปุโรหิต) และซะรุบาเบล (เป็นตัวแทนถึงฐานะกษัตริย์) ค่อนข้างอ่อนแอและท้อใจ; ดังนั้นพระเจ้าจึงใช้ผู้เผยพระวจนะฮาฆีและซะคาระยามาพูดเพื่อพระองค์ เพื่อเสริมกำลัง, ช่วยเหลือ,และหนุนใจยะโฮซูอะและซะรุบาเบล — อษร.5:1–2; เทียบ 1กธ.14:3.
II. แนวคิดศูนย์กลางในการเผยพระวจนะของฮาฆีคือการก่อสร้างพระนิเวศน์ของพระเจ้าซึ่งก็คือพระวิหารของพระเจ้านั้นมีความเกี่ยวข้องกับความผาสุกของพลไพร่ของพระเจ้าในวันนี้และการมาถึงของอาณาจักรพันปีพร้อมด้วยพระมาซีฮาในยุคแห่งการฟื้นสภาพ — ฮาฆ.1:2–5, 7–8, 9ข, 14; 2:6–9, 20–23; มธ.19:28; กจ.3:20–21:
1. ในพันธสัญญาเดิม พระนิเวศน์ของพระยะโฮวาหรือพระวิหารคือแบบเล็งของพระคริสต์ในฐานะพระนิเวศน์ที่เป็นปัจเจกชนของพระเจ้าเป็นอันดับแรก จากนั้นก็เป็นแบบเล็งของคริสตจักร คือพระกายหรือพระคริสต์ที่ขยายใหญ่ขึ้นในฐานะพระนิเวศน์ที่เป็นกลุ่มชนของพระเจ้า — ยฮ.2:19–21; 1ตธ.3:15.
2. เนื่องจากพระนิเวศน์ของพระยะโฮวาเป็นแบบเล็งของคริสตจักร คำพยากรณ์ของฮาฆีจึงชี้ถึงเราทั้งหลายซึ่งเป็นผู้เชื่อในพันธสัญญาใหม่เพราะเราก็คือความเที่ยงแท้ของแบบเล็งนั้น.
3. การที่ฮาฆีพูดกับซะรุบาเบลผู้ว่าราชการและยะโฮซูอะมหาปุโรหิตนั้นมีเพื่อเสริมกำลังและหนุนใจพวกเขาและเหล่าพลไพร่ในการก่อสร้างพระวิหารอันเป็นพระนิเวศน์ของพระเจ้าขึ้นใหม่ — อษร.5:1; ฮาฆ.1:1.
4. เหล่าเชลยที่กลับมาซึ่งปรนนิบัติตัวเองและไม่สนใจพระเจ้านั้นคำนึงถึงแต่บ้านของพวกเขาเอง แต่ไม่คำนึงถึงพระนิเวศน์ของพระยะโฮวา (ข้อ 4); คำว่า “สาละวน” ในข้อ 9 บ่งชี้ว่าพลไพร่กำลังยุ่งอยู่กับการดูแลบ้านของตัวเอง.
5. ฮาฆี 1:6 บ่งชี้ว่าถ้าเราไม่สนใจคริสตจักร เราก็จะไม่มีการรับสุขหรือความอิ่มหนำที่แท้จริง; ในเรื่องการฟื้นฟูการก่อสร้างพระนิเวศน์ของพระเจ้านั้น เราไม่อาจเป็นกลางได้; เราต้องเด็ดขาดว่าเราจะดูแลบ้านของเราเองก่อนหรือดูแลพระนิเวศน์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าก่อน — มธ.6:33; ลก.9:57–62; ฟป.2:20–21
6. เพื่อการฟื้นฟูการก่อสร้างพระนิเวศน์ของพระเจ้าแล้ว ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรถูกเร่งเร้าในวิญญาณของพวกเขาและมาทำงานในพระนิเวศน์ของพระยะโฮวา; ในความรับผิดชอบที่เรามีต่อคำกำชับขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้น เราทุกคนควรถูกองค์พระเยซูเจ้ายึดฉวยไว้ในการงานแห่งการประกาศกิตติคุณ, การเลี้ยงดูผู้แรกเชื่อ, และการดูแลผู้อื่นเพื่อการก่อสร้างพระนิเวศน์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า คือคริสตจักรซึ่งเป็นพระกายของพระคริสต์ — ฮาฆ.1:14; 2:7ก; ยฮ.21:15–17.
7 “เราจะทำให้ชนนานาชาติต้องสั่นสะเทือน และองค์ผู้เป็นที่ปรารถนาของชนนานาชาติจะเสด็จมา” —ฮาฆ.2:7ก:
(1) ข้อนี้เล็งถึงพระคริสต์ผู้เป็นที่ปรารถนาของชนนานาชาติ; แม้ชนนานาชาติจะไม่รู้จักพระคริสต์ แต่พวกเขาก็ยังคงปรารถนาพระคริสต์; การที่ชนนานาชาติปรารถนาสิ่งต่างๆ เช่น ความสว่าง, ความรัก, ความยินดี, และความชอบธรรม ซึ่งล้วนแต่มีพระคริสต์เป็นความเที่ยงแท้นั้น หมายความว่าพวกเขาปรารถนาพระคริสต์อย่างไม่รู้ตัว — มลค.3:1ข.
(2) การเสด็จมาของพระคริสต์ในฐานะผู้เป็นที่ปรารถนาของชนนานาชาติขึ้นอยู่กับการที่พลไพร่ของพระเจ้าได้กลับจากการเป็นเชลยในบาบิโลนและการฟื้นฟูการก่อสร้างพระนิเวศน์ของพระเจ้า — 1ตธ.3:15; 1ปต.2:5.
8. “เราจะทำให้พระนิเวศน์นี้เต็มด้วยสง่าราศี ... สง่าราศีในครั้งหลังของพระนิเวศน์นี้จะยิ่งใหญ่กว่าในครั้งก่อน” — ฮาฆ.2:7ข, 9ก:
(1) สง่าราศีของพระเจ้า ซึ่งก็คือการสำแดงของพระเจ้านั้นอยู่ในการก่อสร้างของพระเจ้า ซึ่งก็คือพระนิเวศน์ของพระยะโฮวา — อซด.40:34–35; 1พกษ.8:10–11; 2คนก.3:1; 5:1–2, 13–14; อฟ.3:21; วว.21:10–11.
(2) ในนิมิตของพระเจ้า ยะเอศเคลได้เห็นสง่าราศีของพระยะโฮวากลับมาสู่พระนิเวศน์ของพระยะโฮวาและได้เติมเต็มพระนิเวศน์นั้น (ยอค.43:1–5); สง่าราศีของพระยะโฮวากลับมาสู่พระนิเวศน์เพราะการก่อสร้างพระนิเวศน์ได้สำเร็จครบถ้วนแล้ว (ข้อ 2, 5); กรณีนี้บ่งชี้ว่า ในการที่พระเจ้าแห่งสง่าราศีจะทรงอาศัยอยู่ในคริสตจักรได้นั้น คริสตจักรจะต้องถูกก่อสร้างขึ้นกลายเป็นที่ประทับของพระเจ้า (อฟ.2:21–22; 3:14–21).
(3) ยะเอศเคลมองเห็นว่าแม่น้ำของน้ำแห่งชีวิตไหลออกมาจากพระนิเวศน์ของพระเจ้าไปทางทิศตะวันออก ซึ่งเป็นทิศทางแห่งสง่าราศีของพระเจ้า (ยอค.47:1; 43:2); ถ้าเราไม่คำนึงถึงสง่าราศีของพระเจ้า การหลั่งไหลที่อยู่ภายในเราก็จะถูกจำกัด.
(4) ในชีวิตคริสตจักรนั้น เรื่องแรกที่ต้องคำนึงถึงคือสง่าราศีขององค์พระผู้เป็นเจ้า; การตัดสินใจทั้งปวงในชีวิตคริสตจักรควรต้องกระทำตามสง่าราศีขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นสำคัญ — อฟ.3:21; 4:20; 1ปต.4:10–11; ยด.24–25.
(5) การให้พระเจ้าได้รับสง่าราศีคือจุดประสงค์ในการปรนนิบัติของเรา; การปรนนิบัติที่สูงส่งที่สุดที่เราสามารถถวายแด่พระเจ้าคือการให้พระเจ้าได้รับสง่าราศีโดยการดำเนินชีวิตของมนุษย์พระเจ้า (ยซย.43:7; ยฮ.7:16–18; 17:1–4; รม.9:21, 23; ฟป.1:19–21ก; 1กธ.6:19–20; 10:31); สิ่งนี้ก็เพื่อเราจะได้สำแดงพระเจ้าอย่างเป็นกลุ่มชนในการก่อสร้าง และเข้าสู่ความเป็นหนึ่งในสง่าราศีอันศักดิ์สิทธิ์ (ยฮ.17:22–24).
9. การที่พระยะโฮวาทรงทำให้ซะรุบาเบลเป็นเหมือนแหวนตรา (ฮาฆ.2:23) บ่งชี้ว่าพระยะโฮวาทรงถือว่าเขาเป็นตัวแทนของพระองค์และพระองค์ทรงรักเขาและไว้วางใจเขา; ในเรื่องนี้ ซะรุบาเบลเป็นแบบเล็งถึงพระคริสต์ และพระองค์ทรงเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงรักและไว้วางใจ (มธ.3:17; 17:5; ยฮ.3:35; 17:2); ในฐานะบุคคลเช่นนี้ พระคริสต์ทรงมีคุณสมบัติที่จะดูแลการก่อสร้างพระนิเวศน์ของพระเจ้า ซึ่งก็คือคริสตจักร (มธ.16:18).
III. หนังสือซะคาระยาเปิดเผยว่าดวงประทีปทั้งเจ็ดบนคันประทีป (4:2; วว.4:5) คือพระวิญญาณทั้งเจ็ดของพระเจ้า ซึ่งก็คือพระวิญญาณที่เพิ่มกำลังเจ็ดเท่า (1:4) ในฐานะพระเนตรเจ็ดดวงของพระยะโฮวา (ซคย.4:10), พระเนตรเจ็ดดวงของพระเมษโปดกพระผู้ไถ่ (วว.5:6), และเนตรเจ็ดดวงของศิลาที่ก่อสร้าง (ซคย.3:9) เพื่อการสำแดงที่ครบบริบูรณ์ของพระเจ้าตรีเอกภาพและการก่อสร้างพระนิเวศน์ของพระเจ้าขึ้นมาใหม่:
1. ศิลาที่วางไว้เบื้องหน้ายะโฮซูอะใน ซคย.3:9 เป็นแบบเล็งถึงพระคริสต์ในฐานะศิลาสำหรับการก่อสร้างของพระเจ้า (บพส.118:22; มธ.21:42); การที่พระยะโฮวาทรงสลักศิลาบ่งชี้ว่าขณะที่พระคริสต์ทรงวายพระชนม์บนกางเขน พระองค์ก็ทรงถูกสลักหรือถูกตัดโดยพระเจ้า; การที่พระยะโฮวาทรงขจัดความบาปชั่วของดินแดนให้หมดไปในวันเดียวบ่งชี้ว่า เมื่อพระเจ้าทรงทำงานบนตัวของพระคริสต์แล้ว พระคริสต์ก็จะทรงกำจัดความบาปแห่งดินแดนอิสราเอลให้หมดไปในวันเดียว ซึ่งก็คือวันที่พระองค์ทรงตรึงตาย; โดยการตายของพระองค์บนกางเขน พระคริสต์ผู้เป็นพระเมษโปดกของพระเจ้าได้ทรงขจัดความบาปของมนุษย์โลกไป (1ปต.2:24; ยฮ.1:29):
(1) ศิลาซึ่งก็คือพระยะโฮวาและพระเมษโปดกนั้นเป็นหนึ่งเดียวกัน; พระคริสต์คือพระเมษโปดกพระผู้ไถ่และศิลาที่ก่อสร้าง และพระองค์ก็คือพระยะโฮวาด้วย; พระคริสต์คือพระเมษโปดก–ศิลา คือพระเมษโปดกสำหรับการไถ่และศิลาสำหรับการก่อสร้าง — วว.5:6; ซคย.3:9.
(2) ในการก่อสร้างของพระเจ้า พระคริสต์ทรงเป็นศิลารากเพื่อค้ำชูการก่อสร้าง, ศิลาหัวมุมเพื่อเชื่อมเหล่าอวัยวะในพระกายของพระองค์ที่เป็นชาวต่างชาติกับชาวยิวเข้าด้วยกัน, และเป็นศิลายอดเพื่อทำให้ทุกสิ่งที่อยู่ในการก่อสร้างของพระเจ้าสำเร็จสุดยอด — ยซย.28:16; 1กธ.3:11; อฟ.2:20; 1ปต.2:6; ซคย.4:7.
(3) พระคริสต์ผู้เป็นพระเมษโปดกของพระเจ้าคือศิลาแห่งการก่อสร้างที่มีเนตรเจ็ดดวง; ข้อเท็จจริงนี้เปิดเผยว่า พระเนตรเจ็ดดวงของพระคริสต์มีไว้สำหรับการก่อสร้างของพระเจ้า — ยฮ.1:29; ซคย.3:9; วว.5:6.
(4) พระคริสต์คือศิลาแห่งการก่อสร้างที่มีพระเนตรเจ็ดดวง มีพระวิญญาณทั้งเจ็ดเพื่อถ่ายเทตัวของพระองค์เข้าสู่เราเพื่อจะเปลี่ยนแปลงเราให้เป็นวัสดุที่ล้ำค่าสำหรับการก่อสร้างของพระเจ้า; ขณะที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทอดพระเนตรเรา พระเนตรเจ็ดดวงของพระองค์ก็ถ่ายเทตัวของพระองค์เข้าสู่เรา — ซคย.3:9; 1กธ.3:12ก; วว.3:1; 5:6.
2. เพื่อการสำเร็จครบถ้วนแห่งการก่อสร้างของพระเจ้าแล้ว พระวิญญาณที่เพิ่มกำลังเจ็ดเท่าคือพระเนตรของพระคริสต์ผู้เป็นพระเมษโปดกพระผู้ไถ่และศิลาที่ก่อสร้าง เพื่อคอยเฝ้าสังเกตและตรวจตราเรา ทั้งยังซึมซาบและถ่ายเทเราด้วยธาตุแท้, ความอุดมสมบูรณ์, และภาระของพระคริสต์เพื่อการก่อสร้างของพระเจ้า — ซคย.3:9; 4:7; วว.1:14; 5:6.
(1) พระเนตรเจ็ดดวงของพระเมษโปดกได้นำพระคริสต์พระผู้ไถ่ทางด้านหลักกฎหมายมาซึมซาบเข้าสู่เรา และดวงตาเจ็ดดวงบนศิลาก็นำพระคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดทางด้านอินทรียภาพมาซึมซาบเข้าสู่เรา เพื่อการเคลื่อนไหวในด้านแผนการบริหารของพระเจ้าบนแผ่นดินโลก ผ่านการไถ่ทางด้านหลักกฎหมายของพระองค์และโดยการช่วยให้รอดทางอินทรียภาพของพระองค์ โดยมีการก่อสร้างของพระองค์เป็นเป้าหมาย — ยฮ.1:29; กจ.4:11–12; รม.5:10.
(2) ภายในเรามีประทีปอยู่สองดวง — พระวิญญาณที่เพิ่มกำลังเจ็ดเท่าของพระเจ้าซึ่งอยู่ในวิญญาณของเรา (สภษ.20:27; วว.4:5; 1กธ.6:17); ถ้าเราอยากได้รับการเปลี่ยนแปลง เราก็ต้องเปิดออกต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างสิ้นเชิงในการอธิษฐานเพื่อยอมให้ประทีปขององค์พระผู้เป็นเจ้าพร้อมด้วยประทีปเพลิงทั้งเจ็ดดวงมาสืบค้นดูทุกห้องในจิตของเรา โดยฉายส่องและส่องสว่างส่วนต่างๆ ทางภายในของเรา เพื่อจะนำชีวิตไปหล่อเลี้ยงแก่ส่วนต่างๆ เหล่านั้น.
(3) ผู้ที่จะได้ประสบการณ์ต่อการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดก็คือผู้ที่เปิดออกต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างสิ้นเชิง; โดยการดำเนินการของพระวิญญาณที่เพิ่มกำลังเจ็ดเท่าอยู่ภายในบรรดาผู้เชื่อที่แสวงหาพระคริสต์ พวกเขาก็จะได้รับการเพิ่มกำลังให้กลายเป็นผู้มีชัยชนะที่มาก่อสร้างพระกายของพระคริสต์ ซึ่งจะสำเร็จสุดยอดเป็นกรุงเยรูซาเล็มใหม่.
3. ในการเป็นขึ้นของพระองค์ พระคริสต์ในฐานะอาดามคนสุดท้ายได้กลายเป็นพระวิญญาณผู้ประทานชีวิต (1กธ.15:45ข; ยฮ.6:63ก; 2กธ.3:6ข) ซึ่งเป็นพระวิญญาณที่เพิ่มกำลังเจ็ดเท่าด้วย; พระวิญญาณนี้คือพระวิญญาณแห่งชีวิต (รม.8:2); ดังนั้นการใช้งานของพระวิญญาณทั้งเจ็ดก็คือการแจกปันชีวิตอันศักดิ์สิทธิ์เข้าสู่พลไพร่ของพระเจ้าเพื่อการก่อสร้างที่ประทับที่นิรันดร์ของพระเจ้า คือกรุงเยรูซาเล็มใหม่.
4. พระวิญญาณที่เพิ่มกำลังเจ็ดเท่าคือประทีปเพลิงเจ็ดดวงที่ลุกโชน, ส่องสว่าง, เปิดโปง, พิพากษา, ชำระ, และหล่อหลอมเราให้บริสุทธิ์ เพื่อก่อกำเนิดคันประทีปทองคำซึ่งจะทำให้แผนการบริหารแห่งพันธสัญญาใหม่ของพระเจ้าสำเร็จเป็นจริง — วว.4:5; 1:2, 4, 9–12, 20.
5. ต้นมะกอกเทศสองต้นที่อยู่สองข้างของคันประทีปเป็นเครื่องหมายเล็งถึงยะโฮซูอะมหาปุโรหิตและซะรุบาเบลผู้ว่าราชการในสมัยนั้น ซึ่งก็คือบุตรแห่งน้ำมันทั้งสองคนที่เติมเต็มด้วยพระวิญญาณของพระยะโฮวาเพื่อการก่อสร้างพระวิหารของพระเจ้าขึ้นมาใหม่ — ซคย.4:1–6, 11–14:
(1) บุตรแห่งน้ำมันทั้งสองคนยังเป็นแบบเล็งถึงพยานบุคคลทั้งสอง คือโมเซและเอลียาที่อยู่ในช่วงสามปีครึ่งสุดท้ายของยุคปัจจุบันนี้ ซึ่งจะเป็นพยานบุคคลของพระเจ้าในช่วงภัยพิบัติใหญ่เพื่อจะเพิ่มกำลังให้กับพลไพร่ของพระเจ้า — ชาวอิสราเอลและผู้เชื่อทั้งหลายที่อยู่ในพระคริสต์ — วว.11:3–12; 12:17.
(2) ในหลักการแล้ว ผู้เชื่อทุกคนที่อยู่ในพระคริสต์ควรเป็นบุตรแห่งน้ำมันใหม่ คือเป็นผู้ที่ถูกเติมเต็มด้วยพระวิญญาณที่ใหม่สด, เป็นปัจจุบัน, และสำเร็จสุดยอดในฐานะน้ำมันแห่งความยินดี เพื่อให้พระวิญญาณนั้นหลั่งไหลลงสู่คันประทีปเพื่อให้คันประทีปมีพยานที่ส่องแสง คือพยานของพระเยซู — 1:12, 20; บพส.45:7; 46:4; 92:10; ยฮ.7:38:
ก. คริสตจักรในฐานะคันประทีป คือการแปรสภาพเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้ของพระเจ้าตรีเอกภาพ ซึ่งมีพระวิญญาณที่เพิ่มกำลังเจ็ดเท่าเป็นน้ำมันของพระเจ้าที่อยู่ในพระนิสัยอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์.
ข. น้ำมันนั้นเป็นทองคำ (ซคย.4:12) ซึ่งหมายความว่าทองคำหลั่งไหลดุจน้ำมัน; เมื่อน้ำมันถูกเติมลงในคันประทีปมากขึ้นก็หมายความว่าทองคำถูกเติมลงไปมากขึ้น.
ค. ทุกๆ วันเราต้องจ่ายราคาเพื่อจะได้ทองคำมามากยิ่งขึ้น คือได้พระนิสัยอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้ามากยิ่งขึ้น ทำให้เรากลายเป็นคันประทีปทองคำอันบริสุทธิ์หมดจด เพื่อการก่อสร้างกรุงเยรูซาเล็มใหม่ทองคำ — 2ปต.1:4; วว.3:18; 1:20; 21:18; มธ.25:8–9).
ง. เมื่อเรานำเรื่องนี้มาปรับใช้กับประสบการณ์ของเราในวันนี้ เราจะมองเห็นว่าพระวิญญาณนั้นที่หลั่งไหลออกจากเราก็คือพระเจ้า และพระเจ้าทรงเป็นทองคำ; ดังนั้นเมื่อเรานำพระคริสต์ไปหล่อเลี้ยงแก่ผู้อื่น เอาน้ำมันไปหล่อเลี้ยงคนเหล่านั้น จริงๆ แล้ว เราก็กำลังนำพระเจ้าไปหล่อเลี้ยงพวกเขา; พระเจ้าทรงหลั่งไหลจากเราเข้าสู่พวกเขา — ซคย.4:12–14; ยฮ.7:37–39; 2กธ.3:3, 6, 8.
จ. เราทุกคนควรเป็นต้นมะกอกเทศซึ่งได้ไหลพระเจ้าจากตัวเราเข้าสู่ผู้อื่น; เช่นนี้น้ำมันจะถูกจัดสรรให้กับผู้คนที่ต้องการโดยคนเหล่านั้นที่เป็นต้นมะกอกเทศซึ่งมีพระเจ้าหลั่งไหลออกมา — รม.11:17; ลก.10:34; เทียบ ยฮ.7:37–39.