I. ความหมายสำคัญทางภายในของหนังสือประวัติศาสตร์ทั้ง 12 เล่มในพันธสัญญาเดิม (ยะโฮซูอะ, ผู้วินิจฉัย, ประวัตินางรูธ, 1 และ 2 ซามูเอล, 1 และ 2 พงศาวดารกษัตริย์, 1 และ 2 โครนิกา, เอษรา, นะเฮมยา, และเอสเธระ) คือการเปิดเผยว่าการเคลื่อนไหวของพระเจ้าในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ย่อมเตรียมหนทางให้พระเจ้าทำให้แผนการบริหารที่นิรันดร์ของพระองค์สำเร็จลุล่วงโดยการที่พระองค์ทรงกลายเป็นมนุษย์เพื่อให้มนุษย์กลายเป็นพระเจ้าในด้านชีวิตและนิสัย (แต่ไม่ใช่ในด้านฐานันดรความเป็นพระเจ้า) เพื่อจะก่อกำเนิดและก่อสร้างคริสตจักรเป็นพระกายอินทรีย์ของพระคริสต์ ซึ่งจะสำเร็จสุดยอดเป็นกรุงเยรูซาเล็มใหม่สำหรับการสำแดงที่สุดยอดของพระองค์:
1. เราต้องนำหนังสือประวัติศาสตร์ทั้ง 12 เล่มในพันธสัญญาเดิมไปเชื่อมโยงกับแผนการบริหารที่นิรันดร์ของพระเจ้า; อันที่จริง พระคัมภีร์ก็บอกเราแค่เรื่องเดียวเท่านั้น — แผนการบริหารที่นิรันดร์ของพระเจ้า ซึ่งมีพื้นฐานอยู่บนความชอบพระทัยที่ดีงามของพระองค์ หรือความปรารถนาแห่งพระทัยของพระองค์ (อฟ.1:4–5, 9–10; 1ตธ.1:3–4; 6:3); หนังสือประวัติศาสตร์ทั้ง 12 เล่มนี้ถูกเขียนไว้ในการเปิดเผยอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าเพื่อจะเตือนสติและส่องสว่างแก่เรา (1กธ.10:11).
2. การทำให้แผนการบริหารที่นิรันดร์ของพระเจ้าสำเร็จลุล่วง (พร้อมการไถ่ทางด้านหลักกฎหมายของพระองค์ซึ่งเป็นกระบวนการและการช่วยให้รอดทางอินทรียภาพของพระองค์ซึ่งเป็นเป้าหมาย) เพื่อเตรียมเราให้พร้อมเป็นเจ้าสาวของพระองค์ซึ่งจะนำพระองค์เสด็จกลับมา คือทางเดียวที่จะแก้ปัญหาต่างๆ ในสถานการณ์โลกในวันนี้; นี่คือความปรารถนาในพระทัยของพระเจ้า และพระองค์จะทรงทำให้เรื่องนี้สำเร็จสมบูรณ์ — รม.5:10, 17, 21; 1ธซ.5:23–24; ฟป.1:3–6.
3. การเสด็จมาครั้งที่สองขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะแก้ปัญหาทั้งปวงในโลก ไม่ว่าจะเป็นความอยุติธรรม (ยซย.11:4), สงคราม (2:4), ความเจ็บป่วย (วว.22:2; ยอค.47:12), การกันดารอาหาร (ยซย.35:1, 6), การศึกษา (2:2–5; 4:2–6; 11:9; ฮบฆ.2:14; ฮร.8:11; บพส.2:6, 12), แหล่งทำบาป (มธ.13:41-43), การทนทุกข์ของสรรพสิ่งที่ถูกสร้าง (รม.8:21–22; ยซย.11:6, 9), และการปกครองฝ่ายแผ่นดินโลก (วว.11:5; ดนอ.2:34–35, 44–45).
II. หนังสือซะคาระยาเปิดเผยว่าประเด็นสำคัญและเนื้อหาหลักแห่งการเคลื่อนไหวของพระเจ้าในประวัติศาสตร์ของมนุษย์คือการเสด็จมาสองครั้งของพระคริสต์เพื่อพยานของพระเยซู ซึ่งก็คือการก่อสร้างของพระเจ้า:
1. ซะคาระยาบทที่ 9—11 กล่าวถึงการเสด็จมาอย่างต่ำต้อยในครั้งแรกของพระคริสต์ ซึ่งเป็นการเสด็จมาอย่างถ่อมพระองค์และใกล้ชิดสนิทสนม:
(1) พระคริสต์เสด็จมาอย่างชอบธรรมพร้อมความรอดสำหรับพลไพร่ของพระเจ้าโดยมาในฐานะกษัตริย์ แต่ก็เป็นกษัตริย์ที่ต่ำต้อย กระทั่งเป็นกษัตริย์ที่รับการเย้ยหยัน ด้วยการขี่ลา กระทั่งขี่ลูกลา ไม่ใช่ขี่ม้าที่สูงสง่า; เรื่องนี้ได้สำเร็จเป็นจริงในเวลาที่พระเยซูคริสต์เสด็จเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็มครั้งสุดท้าย — ซคย.9:9; มธ.21:5–10.
(2) พระคริสต์ทรงถูกชิงชัง, ถูกโจมตี, ถูกปฏิเสธละทิ้ง, และถูกขายโดยสาวกคนหนึ่งของพระองค์ในราคาเท่ากับเงิน 30 แผ่น ซึ่งเป็นราคาของทาส (ซคย.11:8, 12–13; อซด.21:32); สิ่งที่ถูกพยากรณ์ไว้ในที่นี้ได้สำเร็จเป็นจริงในหนังสือกิตติคุณ (มธ.26:14–15; 27:3–10).
(3) พระคริสต์ซึ่งเป็นสหายของพระยะโฮวาได้เสด็จมาหาชนชาติอิสราเอลในฐานะผู้เลี้ยงซึ่งพระเจ้าทรงใช้มา; ในฐานะมนุษย์ พระคริสต์ทรงเป็นทั้งญาติพี่น้องของชนชาติอิสราเอลและสหายของพระยะโฮวา; พระองค์ทรงถูกตีในฐานะผู้เลี้ยง และเหล่าสาวกของพระองค์ก็กระจัดกระจายไปดุจฝูงแกะ — ซคย.13:6–7; ยฮ.10:11; มธ.9:36; 26:31; ยฮ.16:32–33.
(4) พระคริสต์ทรงได้รับบาดแผลในเรือนของอิสราเอล แต่พระองค์ตรัสว่า “ข้าพเจ้าได้รับบาดแผลในเรือนของเหล่าผู้ที่รักข้าพเจ้า”; ชนชาติอิสราเอลได้ฆ่าพระคริสต์ แต่ในถ้อยคำที่หวานชื่นนี้ พระคริสต์ทรงนับว่าการกระทำของพวกเขาคือบาดแผลจากเหล่าผู้ที่รักพระองค์ — ซคย.13:6–7; 12:10; วว.1:7; บพส.22:16.
(5) สีข้างของพระคริสต์ถูกแทง และพระองค์ทรงกลายเป็นต้นน้ำที่เปิดออกเพื่อความบาปและความมลทิน — ซคย.12:10; 13:1; ยฮ.19:34, 37; มธ.26:28.
2. ซะคาระยาบทที่ 12—14 กล่าวถึงการเสด็จมาอย่างมีชัยชนะในครั้งที่สองของพระคริสต์ ซึ่งเป็นการเสด็จมาด้วยฤทธิ์เดชและอำนาจ:
(1) พระคริสต์จะเสด็จมาเป็นครั้งที่สองพร้อมเหล่าวิสุทธิชนของพระองค์ ซึ่งก็คือเหล่าผู้มีชัยชนะ — 14:5; ยอล.3:11; ยด.14.
(2) พระบาทของพระองค์จะยืนอยู่บนภูเขามะกอกเทศ ซึ่งอยู่ตรงหน้ากรุงเยรูซาเล็มทางทิศตะวันออก — ซคย.14:4; กจ.1:9–12.
(3) พระองค์จะทรงสู้รบเพื่อชนชาติอิสราเอลซึ่งเป็นพลไพร่ที่พระองค์ทรงเลือกสรร โดยสู้รบกับชนประเทศต่างๆ ที่โอบล้อมพวกเขาไว้และจะทรงช่วยพวกเขาให้รอดจากการถูกทำลาย — ซคย.14:2–3, 12–15; 12:1–9.
(4) ในเวลานั้น ทั้งวงศ์วานอิสราเอลจะมองดูพระองค์ที่พวกเขาได้แทง และจะคร่ำครวญเพื่อพระองค์ ดังนั้นชาวอิสราเอลทั้งปวงจะได้รับความรอด — ข้อ 10–14; รม.11:26.
(5) หลังจากนั้นพระองค์จะทรงเป็นกษัตริย์ที่ครอบครองและปกครองเหนือบรรดาประชาชาติ; ชนทุกชาติจะขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มทุกปีเพื่อจะนมัสการพระองค์ และทุกคนจะถูกแบ่งแยกบริสุทธิ์คืนสู่พระองค์ — ซคย.9:10; 14:16–21.
(6) “พระยะโฮวาจะทรงเป็นกษัตริย์ครอบครองทั่วแผ่นดินโลก และในวันนั้นพระยะโฮวาจะทรงเป็นพระเจ้าเพียงหนึ่งเดียว และพระนามของพระองค์ก็เป็นพระนามเพียงหนึ่งเดียว” — ข้อ 9; บพส.72:8; วว.11:15.
III. พระคริสต์ผู้ครอบคลุมสรรพสิ่งคือประวัติศาสตร์แห่งการเคลื่อนไหวของพระเจ้าที่อยู่ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ เพื่อจะได้รับมาซึ่งการก่อสร้างของพระเจ้า เพื่อการปรากฏเป็นที่ประจักษ์ของพระเจ้า — ซคย.4:9; 6:12–15; มธ.16:18; ยฮ.1:1, 14; 1กธ.15:45ข; วว.4:5; 5:6; 21:2:
1. ขณะที่พระคริสต์ทรงกำลังทำงานด้วยทักษะเพื่อควบคุมสถานการณ์โลกในประวัติศาสตร์ฝ่ายมนุษย์โดยอำนาจสิทธิ์ขาดของพระองค์ พระองค์ก็ทรงกำลังนำตัวของพระองค์มากระทำเข้าสู่เราด้วยทักษะในประวัติศาสตร์อันศักดิ์สิทธิ์เพื่อจะทำให้เรากลายเป็นผลงานชิ้นเอกของพระองค์ เป็นบทกวีของพระเจ้า เป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ของพระเจ้า เพื่อสำแดงพระปัญญาที่ไร้ขอบเขตจำกัดและการออกแบบอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ — กจ.5:31; อฟ.2:10.
2. พระคริสต์ที่อยู่ในสภาพมนุษย์ทรงเป็นทูตของพระยะโฮวา ซึ่งก็คือตัวของพระยะโฮวาเองในฐานะพระเจ้าตรีเอกภาพ ที่ยืนอยู่ด้วยกันกับพลไพร่ของพระเจ้าณ จุดที่อยู่ต่ำสุดของหุบเขา ในขณะที่พวกเขาถูกเย้ยหยัน เพื่อคอยดูแลพวกเขา, ทูลขอแทนพวกเขา, และนำพวกเขาออกจากการตกเป็นเชลยของชาวบาบิโลนอย่างรวดเร็ว — ซคย.1:7–17; อซด.3:2, 4–6, 13–15; ยซย.63:9; พบญ.33:27.
3. พระคริสต์ทรงเป็นช่างฝีมือคนสุดท้ายที่พระเจ้าทรงใช้ในการหักเขาทั้งสี่; เขาทั้งสี่ก็คืออาณาจักรทั้งสี่พร้อมด้วยกษัตริย์แห่งอาณาจักรเหล่านี้ — บาบิโบน, มีเดีย–เปอร์เซีย, กรีก, และจักรวรรดิโรมัน — ซึ่งยังมีเครื่องหมายเล็งโดยปฏิมากรใหญ่รูปมนุษย์ที่มีสี่ส่วนใน ดนอ.2:31–33, สี่ระยะของตั๊กแตนใน ยอล.1:4, และสัตว์ร้ายสี่ชนิดใน ดนอ.7:3–8 ซึ่งได้ทำให้เสียหายและทำลายพลไพร่ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร — ซคย.1:18–21:
(1) ช่างฝีมือทั้งสี่ก็คือทักษะที่พระเจ้าใช้ในการทำลายบรรดาอาณาจักรพร้อมด้วยกษัตริย์ของอาณาจักรเหล่านี้; สามอาณาจักรแรก (บาบิโลน, มีเดีย–เปอร์เซีย, และกรีก) แต่ละอาณาจักรล้วนถูกยึดครองอย่างมีทักษะโดยอาณาจักรที่ต่อจากตน — ดนอ.5; 8:3–7.
(2) ช่างฝีมือคนที่สี่ก็คือพระคริสต์ผู้เป็นก้อนหินที่ถูกตัดออกมาโดยไม่เห็นมือ ซึ่งจะบดขยี้จักรวรรดิโรมันที่ถูกฟื้นฟู ซึ่งก็คือการบดขยี้ปฏิมากรใหญ่รูปมนุษย์ซึ่งเป็นการรวมยอดแห่งการปกครองของมนุษย์ ในเวลาที่พระองค์เสด็จกลับมา — 2:31–35.
(3) หินก้อนนี้ไม่เพียงเป็นเครื่องหมายเล็งถึงพระคริสต์ที่เป็นปัจเจกชนเท่านั้นแต่ยังเป็นเครื่องหมายเล็งถึงพระคริสต์ที่เป็นกลุ่มชนด้วย คือพระคริสต์ร่วมกับ “เหล่าผู้แกล้วกล้า” ของพระองค์ — ยอล.3:11.
4. พระคริสต์ที่เป็นกลุ่มชน ซึ่งก็คือพระคริสต์พร้อมด้วยเจ้าสาวที่มีชัยชนะของพระองค์ จะเป็นก้อนหินที่มาบดขยี้การรวบยอดแห่งการปกครองของมนุษย์ เพื่อจะนำมาซึ่งอาณาจักรของพระเจ้า — ดนอ.2:34–35; ยอล.3:11; วว.19:11–21; เทียบ ยนซ.1:26.
5. ขณะที่ดานิเอลบทที่ 2 กล่าวถึงพระคริสต์ที่เสด็จมาในฐานะก้อนหินซึ่งถูกตัดออกมาโดยมิใช่ด้วยมือมนุษย์ วิวรณ์บทที่ 19 ก็กล่าวถึงพระคริสต์ที่เสด็จมาในฐานะผู้ที่มีเจ้าสาวของพระองค์ในฐานะที่เป็นกองทัพของพระองค์.
IV. เอเฟโซบทที่ 5—6 เปิดเผยว่าคริสตจักรเป็นทั้งเจ้าสาวและนักรบ; ในวิวรณ์บทที่ 19 ก็กล่าวถึงคริสตจักรในสองด้านนี้ — อฟ.5:25–27; 6:10–20; วว.19:7–9, 11, 14:
1. ถ้าจะเป็นเจ้าสาวที่อยู่ในประวัติศาสตร์อันศักดิ์สิทธิ์ ในการเคลื่อนไหวของพระเจ้าที่อยู่ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ เราก็จำเป็นต้องมีพระคำของพระเจ้าที่มาทำให้เรางดงาม และถ้าจะเป็นนักรบที่อยู่ในประวัติศาสตร์อันศักดิ์สิทธิ์ เราก็จำเป็นต้องมีพระคำที่ทำการประหารของพระเจ้า — อฟ.5:26; 6:17–18; เทียบ 2ตธ.3:16.
2. ในวันสมรสของพระคริสต์ พระองค์จะสมรสกับเจ้าสาวของพระองค์ซึ่งก็คือเหล่าผู้มีชัยชนะที่ได้สู้รบกับศัตรูของพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายปี — เทียบ ดนอ.7:25; 6:10; อฟ.6:12.
3. ก่อนที่พระคริสต์จะเสด็จลงมาสู่แผ่นดินโลกเพื่อจัดการกับผู้ต่อต้านพระคริสต์และการรวมยอดแห่งการปกครองของมนุษย์ พระองค์จะทรงมีงานสมรสเพื่อให้เหล่าผู้มีชัยชนะของพระองค์ได้เข้าสนิทกับพระองค์เป็นรูปกายจริงเดียว — วว.19:7–9.
4. เช่นนี้เอง พระคริสต์ในฐานะพระวิญญาณนั้น ซึ่งก็คือพระเจ้าตรีเอกภาพที่ผ่านขั้นตอนและสำเร็จสุดยอด ก็ได้สมรสกับคริสตจักรในฐานะเจ้าสาว ซึ่งก็คือมนุษย์ที่มีสามส่วนซึ่งผ่านขั้นตอนและถูกเปลี่ยนแปลงแล้ว — 22:17ก.
5. หลังงานสมรสของพระองค์ พระองค์จะเสด็จมาพร้อมกับเจ้าสาวที่เพิ่งสมรสกับพระองค์เพื่อจะทำลายผู้ต่อต้านพระคริสต์ ที่จะนำกองทัพของมันมาสู้รบกับพระเจ้าโดยตรง — 19:11, 14:
(1) องค์พระเยซูเจ้าผู้เป็นพระคำของพระเจ้าจะประหารผู้ต่อต้านพระคริสต์ซึ่งเป็นผู้ล่วงกฎบัญญัตินั้นโดยลมปราณจากพระโอษฐ์ของพระองค์ และพระองค์จะทรงล้างผลาญผู้ต่อต้านพระคริสต์ให้สูญไปด้วยการปรากฏแห่งการเสด็จมาของพระองค์ — ข้อ 11–15; 2ธซ.2:2–8.
(2) มีพระแสงดาบคมกริบออกมาจากพระโอษฐ์ของพระคริสต์ และพระองค์จะทรงใช้พระแสงดาบนี้ในการฟาดฟันนานาประเทศ — วว.19:15; 1:16; 2:12, 16.
6. หลังจากที่ทรงบดขยี้การปกครองของมนุษย์ พระเจ้าก็ได้สะสางทั้งจักรวาลแล้ว;จากนั้นพระคริสต์ที่เป็นกลุ่มชน ซึ่งก็คือพระคริสต์พร้อมเหล่าผู้มีชัยชนะของพระองค์ก็จะกลายเป็นภูเขาใหญ่ที่เติมเต็มทั่วแผ่นดินโลก ทำให้ทั้งโลกนี้กลายเป็นอาณาจักรของพระเจ้า — ดนอ.2:35, 44; 7:22, 27; วว.11:15.
V. หนทางที่จะทำให้การเคลื่อนไหวของพระเจ้าในประวัติศาสตร์ของมนุษย์สำเร็จเป็นจริงเพื่อให้แผนการบริหารที่นิรันดร์ของพระองค์สำเร็จลุล่วงก็คือการฝึกฝนวิญญาณของเราเพื่อจะมีประสบการณ์และรับสุขพระคริสต์ในฐานะพระวิญญาณที่เพิ่มกำลังเจ็ดเท่า — 1:10; 4:2; 17:3; 21:10; 4:5; 5:6; ซคย.3:9; 4:10:
1. ซะคาระยา 1:3 กล่าวว่า “พระยะโฮวาจอมพลโยธาประกาศดังนี้ว่า ‘จงกลับมาหาเรา และเราจะกลับมาหาพวกเจ้า’”; เราจำเป็นต้องฝึกฝนวิญญาณของเราเพื่อจะกลับมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยสุดใจของเรา; เรื่องนี้ได้ตั้งหลักการไว้ว่า เราต้องกลับมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้าก่อน จากนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าก็จะทรงกลับมาหาเรา — ยรม.24:7; ฮซอ.6:1–3; 14:1–5; ยอล.2:13; ลก.15:17–24.
2. ซะคาระยา 12:1 กล่าวว่า “ภาระแห่งพระคำของพระยะโฮวาว่าด้วยเรื่องอิสราเอล. พระยะโฮวาผู้ทรงขึงฟ้าสวรรค์ทั้งหลาย และทรงวางฐานรากแห่งแผ่นดินโลก และทรงสร้างวิญญาณไว้ภายในมนุษย์ ประกาศดังนี้ว่า”:
(1) ในการเนรมิตสร้างของพระเจ้า พระองค์ทรงสร้างสามสิ่งที่เป็นจุดชี้ขาดและมีความสำคัญเท่าเทียมกัน — ฟ้าสวรรค์, แผ่นดินโลก, และวิญญาณของมนุษย์.
(2) ฟ้าสวรรค์มีไว้สำหรับแผ่นดินโลก, แผ่นดินโลกมีไว้สำหรับมนุษย์, และมนุษย์ถูกพระเจ้าเนรมิตสร้างให้มีวิญญาณเพื่อเขาจะติดต่อพระเจ้า, ต้อนรับพระเจ้า, นมัสการพระเจ้า, ดำเนินชีวิตพระเจ้า, สำเร็จพระประสงค์ของพระเจ้าเพื่อพระเจ้า, และเป็นหนึ่งกับพระเจ้า — ข้อ 1.
(3) ส่วนที่เป็นรัฐบาลกลางและมีความสำคัญสูงสุดของมนุษย์ควรเป็นวิญญาณของเขา; มนุษย์ที่ถูกปกครองและควบคุมโดยวิญญาณของเขาคือมนุษย์ฝ่ายวิญญาณ — 1กธ.2:14–15; 3:1; 14:32; ยฮ.3:6; อฟ.3:16; 1ปต.3:4; ดนอ.6:3, 10.
(4) ซะคาระยากำชับให้เราใส่ใจต่อวิญญาณมนุษย์ของเราอย่างเต็มที่ เพื่อเราจะได้ต้อนรับพระคริสต์ที่ถูกเปิดเผยไว้ในหนังสือเล่มนี้และจะเข้าใจทุกสิ่งที่เกี่ยวกับพระองค์ซึ่งถูกเปิดเผยไว้ได้ — ยนซ.2:7; ยฮ.4:24; ฟป.4:23.
3. เราจำเป็นต้องรับสุขพระคริสต์ในฐานะพระวิญญาณที่เพิ่มกำลังเจ็ดเท่าในด้านต่างๆ ดังต่อไปนี้:
(1) พระคริสต์เป็นมนุษย์ที่ถือเชือกวัดไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ ทรงวัดพลไพร่ของพระเจ้าเพื่อจะทดสอบ, พิพากษา, ตรวจสอบ, และถือครองพวกเขาเพื่ออาณาจักรของพระองค์ — ซคย.2:1–2; ยอค.40:3; 47:1–5; บพส.139:23–24.
(2) “‘เราจะเป็นกำแพงเพลิงล้อมเมืองนั้นไว้ และเราจะเป็นสง่าราศีในเมืองนั้น’ พระยะโฮวาตรัสดังนี้แหละ” (ซคย.2:5):
ก. กำแพงของกรุงเยรูซาเล็มและสง่าราศีที่อยู่ในเมืองนั้นคือตัวของพระยะโฮวาเอง; เรื่องนี้บ่งชี้ว่าพระยะโฮวาในฐานะพระคริสต์จะเป็นการปกป้องกรุงเยรูซาเล็มที่เส้นรอบวง และเป็นสง่าราศีของเมืองนั้นที่ศูนย์กลาง; เรื่องนี้แสดงถึงการเป็นศูนย์กลางและการแพร่หลายของพระคริสต์ในแผนการบริหารของพระเจ้า.
ข. วันนี้พระคริสต์ทรงเป็นสง่าราศีที่ศูนย์กลางของคริสตจักร และพระองค์ยังเป็นไฟที่ลุกโชนอยู่รอบเส้นรอบวงของคริสตจักรเพื่อการปกป้องคริสตจักร; ในกรุงเยรูซาเล็มใหม่ พระเจ้าตรีเอกภาพที่อยู่ในพระคริสต์จะเป็นสง่าราศีที่ศูนย์กลาง (วว.21:23; 22:1, 5) และสง่าราศีนี้จะฉายส่องผ่านกำแพงโปร่งใสของเมืองนั้นเพื่อจะเป็นไฟที่ปกป้องไว้ (21:11, 18ก, 24).
(3) พระคริสต์ทรงเป็นผู้ถูกใช้มาโดยพระยะโฮวาจอมพลโยธา ทั้งยังทรงเป็นพระยะโฮวาจอมพลโยธาผู้ทรงใช้ไปด้วย เพื่อการดูแลพลไพร่อันเป็นที่รักของพระองค์; ผู้ใดแตะต้องพวกเขา ก็ได้แตะต้องแก้วพระเนตรของพระองค์ — ซคย.2:8–9, 11; เทียบ ยฮ.14:26; 15:26.
(4) พระคริสต์เสด็จมาในฐานะผู้เลี้ยงที่ทำการเลี้ยงดูด้วยไม้เท้าสองอัน — อันหนึ่งถูกเรียกว่า “พระกรุณาคุณ” (พระคุณ) และอีกอันหนึ่งถูกเรียกว่า “การผูกพัน” (การติดสนิท); พระคุณมีไว้ให้เราผสมกลมกลืนกับพระเจ้า ส่วนการติดสนิทมีไว้ให้เราผูกพันกันจนเป็นหนึ่ง — ซคย.11:7; 2:1–2, 5, 8–9, 11; ยฮ.21:15–17:
ก. แม้องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงมีพระกรุณาคุณต่อเรามากแล้ว เราควรขอให้พระองค์ประทานพระกรุณาคุณแก่เรามากขึ้น ประทานพระคุณแก่มากขึ้น ซึ่งก็คือประทาน “ฝน” แก่เรามากขึ้น — ซคย.10:1; 12:10; ยอค.34:26.
ข. หลังจากที่องค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งเป็นผู้เลี้ยงมาเยี่ยมเยียนแล้ว แกะที่อ่อนแอทุกตัวท่ามกลางพลไพร่ของพระเจ้าก็จะกลายเป็นม้าศึก — ซคย.10:3; เทียบ 9:13, 16; ดนอ.11:32ข.
ค. หลายครั้งขณะที่เราฟื้นฟูยามเช้า องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงผิวปากเรียกเราและชุมนุมเรามาหาพระองค์; เสียงผิวปากขององค์พระผู้เป็นเจ้ามิได้บาดหู แต่นุ่มนวลและอ่อนโยน คล้ายกับเสียงนกร้อง — ซคย.10:8.
ง. องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเพิ่มกำลังแก่เราในพระองค์เองเพื่อเราจะได้ดำเนินอยู่ในพระนามของพระองค์ — ข้อ 12; กซ.3:17.
VI. เมื่อมีการเคลื่อนไหวของพระเจ้าอันเป็นประวัติศาสตร์อันศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ก็จะมีสิ่งทรงสร้างใหม่ — คนใหม่พร้อมด้วยใจใหม่, วิญญาณใหม่, ชีวิตใหม่, นิสัยใหม่, ประวัติศาสตร์ใหม่, และการสำเร็จสุดยอดใหม่; เราสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าที่เราอยู่ในประวัติศาสตร์อันศักดิ์สิทธิ์ โดยมีประสบการณ์และรับสุขสิ่งที่ลับลึกและศักดิ์สิทธิ์เพื่อความรอดทางอินทรียภาพของเรา เพื่อเราจะเตรียมตัวให้พร้อมที่จะกลายเป็นเจ้าสาวที่มีชัยชนะของพระองค์เพื่อจะนำพระองค์เสด็จกลับมา — บทเพลงที่ 11; รม.5:10, 17–18, 21; 6:4; ยอค.36:26; 2กธ.3:16–18; มธ.5:8; ตต.3:5; อฟ.5:26-27; 6:17–18; วว.19:7; มธ.24:44; 25:10.