กรมบัญชีกลาง เป็นหน่วยงานกลางในการเบิกจ่ายเงินของแผ่นดิน ซึ่งมีอีก ภารกิจที่สำคัญ คือ การดูแลบุคลากรภาครัฐ ในการขับเคลื่อนระบบราชการให้มีความเป็นอยู่ที่เหมาะสมกับฐานะไม่เดือดร้อนจากการรับราชการมีความมั่นคงในชีวิตและถ้าผู้มีสิทธิมีการเจ็บป่วยทางราชการก็สามารถให้เบิกค่ารักษาพยาบาลได้โดยกรมบัญชีกลางได้กำหนดกฎหมายและหลักเกณฑ์เกี่ยวกับระบบสวัสดิการ รักษาพยาบาลข้าราชการไว้
1. พระราชบัญญัติการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการจ่ายเงินบางประเภทตาม งบประมาณรายจ่าย พ.ศ.2518
2. พระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล พ.ศ.2553 และที่แก้ไข เพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2555
3. หลักเกณฑ์กระทรวงการคลัง ว่าด้วยวิธีการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการ รักษาพยาบาล พ.ศ.2553
ผู้มีสิทธิหมายถึง ข้าราชการ ลูกจ้างประจำ ผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ และลูกจ้างชาวต่างประเทศตามพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล พ.ศ.2553
บุคคลในครอบครัว หมายถึง บิดา มารดา คู่สมรส และบุตรที่ถูกต้องตามกฎหมาย (ของผู้มีสิทธิ)
ผู้มีสิทธิ
จะมีสิทธิตั้งแต่วันที่ได้รับการบรรจุแต่งตั้งเข้ารับราชการ
จะหมดสิทธิเมื่อเกษียณอายุราชการ ลาออก ถูกไล่ออก หรือเสียชีวิต และกรณีถูกระงับสิทธิ
บุคคลในครอบครัวของผู้มีสิทธิ
อิงการเกิดสิทธิและหมดสิทธิของผู้มีสิทธิ
ฐานข้อมูลบุคลากรภาครัฐ หมายถึง ข้อมูลของข้าราชการ ลูกจ้างประจำ ผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญและลูกจ้างชาวต่างประเทศ รวมถึงบุคคลในครอบครัวที่กรมบัญชีกลางจัดทำขึ้น เพื่อประโยชน์ในการจัดทำฐานข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล ซึ่งผู้มีสิทธิมีหน้าที่รายงานและรับรองข้อมูลของตนเองและบุคคลในครอบครัวภายใน 1 เดือน นับตั้งแต่วันที่บรรจุเข้ารับราชการ หรือวันที่ข้อมูลมีการเปลี่ยนแปลง
นายทะเบียนบุคลากรภาครัฐ หมายถึง นายทะเบียนระดับกรมและส่วนภูมิภาค ที่ได้รับการแต่งตั้งจากหัวหน้าส่วนราชการ ซึ่งมีรหัสผู้ใช้งาน (Username) และรหัสผ่าน (Password) ที่กำหนดโดยกรมบัญชีกลาง มีหน้าที่ดูแลข้อมูล (ตรวจสอบ เพิ่มเติม ปรับปรุง หรือแก้ไขข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน) ของข้าราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชาวต่างประเทศในสังกัดและบุคคลในครอบครัว(สำหรับนายทะเบียนผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญก็จะมีหน้าที่ดูแลประวัติของผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญรวมทั้งบุคคลในครอบครัวลักษณะ เดียวกัน)
สถานพยาบาล หมายถึง สถานพยาบาลของทางราชการและสถานพยาบาลเอกชนที่มีลักษณะการให้บริการเป็นโรงพยาบาล ซึ่งได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการ และดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาล
ค่ารักษาพยาบาล
ข้าราชการมีสิทธิได้รับค่ารักษาพยาบาลจากทางราชการสำหรับตนเอง บิดาและมารดา คู่สมรสและบุตร กรณีบุตรนั้นให้ไม่เกิน 3 คน เรียงลำดับก่อนหลังโดยต้องเป็นบุตรโดยชอบ ด้วยกฎหมาย และยังไม่บรรลุนิติภาวะ หรือบรรลุนิติภาวะแต่เป็นผู้ไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถที่อยู่ในอุปการะเลี้ยงดูของข้าราชการ (ไม่รวมบุตรบุญธรรมและบุตรที่ยกให้เป็นบุตรบุญธรรมผู้อื่น) หากบุตรคนใดตายลงก่อนบรรลุนิติภาวะ ให้สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลสำหรับบุตรคนถัดไปแทนได้ (กรณีบุตรมากกว่า 3 คน)
1) ค่ารักษาพยาบาล ได้แก่
(1) ค่ายา ค่าเลือด และส่วนประกอบของเลือดหรือสารทดแทนค่าน้ำยา หรืออาหารทางเส้นเลือด ค่าออกซิเจน
(2) ค่าอวัยวะเทียมและอุปกรณ์ในการบำบัดรักษาโรค รวมทั้งค่าซ่อมแซม
(3) ค่าบริการทางการแพทย์ ค่าตรวจ ค่าวิเคราะห์โรค
(4) ค่าห้อง ค่าอาหาร
(5) ค่าตรวจสุขภาพประจำปี
2) อัตราค่ารักษาพยาบาล
(1) ค่ารักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของรัฐ เบิกได้เต็มตามที่จ่ายจริงทั้งคนไข้ในและคนไข้นอก สำหรับในสถานพยาบาลของเอกชนเบิกได้เฉพาะกรณีที่มีอุบัติเหตุ อุบัติภัย หรือมีความจำเป็นรีบด่วน ซึ่งหากมิได้รับการรักษาพยาบาลในทันทีทันใดอาจเป็นอันตรายต่อชีวิต โดยให้เบิกได้ครึ่งหนึ่งของที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 8,000 บาท (แปดพันบาทถ้วน) หากเป็นการเข้ารับการรักษาพยาบาลก่อนวันที่ 1 มกราคม 2557 ให้เบิกได้ครึ่งหนึ่งของจำนวนเงิน ทั้งหมดที่ได้จ่ายไปจริง แต่ไม่เกิน 4,000 บาท
(2) ค่ายา เบิกได้ไม่เกินที่ใบเสร็จรับเงินระบุว่าเป็น “ค่ายาที่เบิกได้” หรือ “ค่ายาในบัญชียาหลักแห่งชาติ” หรือ “ค่ายาในบัญชียาของสถานพยาบาล” หรือ “ค่ายา นอกบัญชียา” แต่สถานพยาบาลออกหนังสือรับรองให้ว่าจำเป็นต้องใช้ยานั้น
(3) ค่าอวัยวะเทียม ค่าอุปกรณ์ในการบำบัดรักษา และค่าซ่อมแซมอวัยวะ เทียมเบิกได้ตามที่กระทรวงการคลังกำหนด
(4) กรณีคนไข้ใน ค่าเตียงสามัญ และค่าอาหาร เบิกได้ไม่เกินวันละ 400 บาท กรณีอื่นเบิกได้ไม่เกินวันละ 1,000 บาท และไม่เกิน 13 วัน
(5) การตรวจสุขภาพประจำปีให้สำหรับข้าราชการ ลูกจ้างประจำ หรือผู้ได้รับเบี้ยหวัดบำนาญที่เข้ารับการตรวจสุขภาพในสถานพยาบาลของทางราชการ มีสิทธิ เบิกค่าตรวจสุขภาพประจำปีดังอัตราต่อไปนี้
กลุ่มผู้มีสิทธิ อัตราค่าตรวจสุขภาพประจำปี
อายุไม่เกิน 35 ปี ไม่เกิน 450 บาท
อายุเกินกว่า 35 ปีบริบรูณ์ ไม่เกิน 910 บาท
*ค่าตรวจสุขภาพประจำปีจะไม่สามารถใช้เบิกจ่ายตรงได้ ต้องชำระเงินสดไปก่อน และนำใบเสร็จไปเบิกหน่วยงานต้นสังกัด*
การถูกจำกัดสิทธิและสิทธิซ้ำซ้อน
1.กรณีผู้มีสิทธิมี 2 สิทธิ(สิทธิซ้ำซ้อน) กล่าวคือ มีสิทธิทั้งจากหน่วยงานราชการ หรือหน่วยงานอื่นสามารถเลือกใช้สิทธิได้โดยในการเลือกใช้สิทธิควรเลือกในสิ่งที่ดีที่สุด โดยถ้าเลือกสิทธิจากหน่วยงานอื่นแล้วจะหมดสิทธิจากกรมบัญชีกลางทันที ทั้งนี้ผู้มีสิทธิจะสามารถเปลี่ยนแปลงสิทธิได้ปีละ 1ครั้ง(ภายในตุลาคมของทุกปี) หากไม่แจ้งถือว่าประสงค์ใช้สิทธิราชการ/ไม่ประสงค์เปลี่ยนแปลง
2.กรณีที่บุคคลในครอบครัวมีสิทธิได้รับเงินค่ารักษาพยาบาลของตนเองจากหน่วยงานอื่น เช่น ประกันสังคม ฯลฯ ซึ่งตามกฎหมายกำหนดว่าต้องใช้สิทธิตนเอง และเลือกสิทธิ ไม่ได้ เพราะบุคคลในครอบครัวเป็นเพียงผู้อาศัยสิทธิ ไม่ใช่ผู้มีสิทธิตามกฎหมาย แต่หากค่ารักษาพยาบาลที่ได้รับนั้น ต่ำกว่าเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลที่มีสิทธิก็ให้มีสิทธิได้รับเงินสวัสดิการเกี่ยวกับ การรักษาพยาบาลเฉพาะส่วนที่ขาดอยู่จากสิทธิได้
3.กรณีที่บุคคลในครอบครัวเป็นผู้อาศัยสิทธิผู้อื่นซึ่งมีสิทธิได้รับเงินค่ารักษาพยาบาลสำหรับบุคคลในครอบครัวจากหน่วยงานอื่นในขณะเดียวกันให้ผู้มีสิทธิมีสิทธิได้รับเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลสำหรับบุคคลในครอบครัวตามพระราชกฤษฎีกานี้**มีบัญญัติไว้ในพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการรักษาพยาบาล พ.ศ.2553 มาตรา 10 วรรค 1-3 **