BangsaenAI
ผมใข้ชีวิตที่ประเทศเยอรมนีระหว่างกันยายน 2003 ถึง กันยายน 2010 เจ็ดปีเต็มที่อยู่นั่น ผ่านประสบการณ์มามากมาย
เรื่องที่เราไม่อยากจะเชื่อว่าจะเกิดขึ้นก็เกิดขึ้นได้ แต่ผมสรุปว่า มันเกิดมาจากความพยายามที่ไม่สิ้นสุด การไม่ทัอและการลงมือทำ ทำในสิ่งที่เชื่อ เชื่อในความสามารถตัวเอง ไม่ต้องฟังคนรอบข้างมาก ทำให้ผมสามารถไปใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกได้โดยที่ไม่รบกวนเงินพ่อแม่เลยสักสตางค์
ข้างบนคือคำพูดสั้นๆ ของ ดร ธเนศ ในขณะที่กำลังจะถูกสัมภาษณ์ด้านล่าง
question 1: ดร ธเนศ ไปประเทศเยอรมนีได้อย่างไรครับ
โชคดีครับ คำนี้เป็นคำที่ เจ้านาย (Prof. Engell) บอกกับผมเมื่อผมไปถึงที่นั่น (TU Dortmund) แล้วผมถามเจ้านายว่าทำไมถึงเลือกผม สั้นๆ you are lucky.......
question 2: ทำไมมันดูง่ายๆ อย่างนั้น ส่วนตัวผมคิดว่ามันคงไม่ง่ายอย่างนั้น ผมอยากให้ ดร ธเนศ ช่วยเล่าความเป็นมาก่อนที่จะไปอย่างละเอียดครับ ว่าทำอย่างไร เผื่อจะเป็นแนวทางของน้องที่อยู่ในประเทศไทย จะได้เอาเป็นกรณีศึกษาครับ
เรื่องของเรื่องเกิดจากอาจารย์ของผมที่ ม เกษตรศาสตร์ บางเขนครับ ตอนนั้นผมกำลังต่อโท อยู่ที่ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า ก็สั้นๆ ตกงาน เลยเรียนต่อฆ่าเวลา คือเข้าใจสภาพเลยว่า เด็กเรียนจบปริญญาตรี ความสามารถไม่ได้เป็นที่ต้องการของตลาดเลยครับ ตอนที่เรียนอยู่ผมก็เห็น เพื่อนคนอื่น เค้าคุยกันว่ากำลังสมัครไปเรียนต่อที่เยอรมนีกัน เราก็แค่ฟังๆ ไม่ได้คิดอะไร เพราะคิดว่าคงไม่ไป ไม่มีเงิน หางานทำน่าจะเหมาะสมกว่า
ผมก็คุยกับอาจารย์ กับได้ความหวังขึ้นมา เพราะอาจารย์ก็ไปเรียนฟรีเหมือนกัน ขอให้ลองหาข้อมูลก่อน พยายามหาทุนซึ่งที่เยอรมนีมีทุนให้ แต่ตอนนั้นยังไม่ได้ตั้งความหวังอะไรมาก แค่ลองพยายามดูก่อน นั่นคือจุดเริ่มต้น
question 3: แลัวยังไงต่อครับ ได้ไปเยอรมนีได้ยังไงครับ หลังจากที่มีความอยากไปแล้ว
ชีวิตมันเหมือนละครจริงๆ เลยครับ ตอนแรกไม่กล้าคิดถึงการทำปริญญาเอกเลยครับ มันดูไกลตัวเกินไป เพราะเราคิดว่าปริญญาโทที่เราเรียนในประเทศไทยคงไม่น่าจะทำให้เค้ารับเราเข้าทำปริญญาเอกเลยแน่ๆ มาตราฐานเค้าสูงกว่าเราเยอะมาก เลยคิดว่าจะไปเรียนต่อปริญญาโทก่อน ตอนแรกดูที่ Bremen university ไว้ครับ
question 4: แต่เรียนปริญญาโทที่เยอรมนีต้องเสียเงินหนิครับ ต้องออกค่าอยู่ค่ากินค่าใช้จ่ายส่วนตัวเองเป็นเวลาสองปีใช่ไหมครับ
ถูกต้องครับ อันนี้ก็เลยคิดหนักว่าจะเอาอย่างไร เพราะตอนแรกก็คิดจะเสี่ยงดวง ยืมเงินที่บ้านไปก่อน แล้วไปหางานทำเพื่อใช้หนี้ทีหลัง เพราะการเรียนปริญญาเอกที่เยอรมนี ได้เงินเดือน เดือนละประมาณ 70,000 บาท ก็คิดแผนนี้ไว้แค่อย่างเดียว
question 5: แล้วไปอยู่ที่ Dortmund ได้อย่างไรครับ
กลางปี 2002 ตอนนั้นผมเริ่มไปเรียนภาษาเยอรมันที่เกอเธ่ เห็นประกาศว่าจะมีการจัดงานนิทรรศการจากมหาวิทยาลัยต่างๆจากประเทศเยอรมนี ผมก็เลยไปและได้คุยกับคนที่มาจาก TU Dortmund ซึ่งเป็นนักวิจัยจากกลุ่มที่ Prof. Engell ดูแลอยู่ และได้ข้อมูลว่าที่ TU Dortmund มีทุนสำหรับปริญญาเอกให้ เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา ความรู้พื้นฐานของผมพอได้ดังนั้นเค้าเลยให้ผมลองส่งอีเมลไปหา Prof. Engell โดยตรง และนั่นคือจุดเริ่มต้นครับ
question 6: ตอนที่คุยกับ Prof. Engell มีวิธีอย่างไร ที่ทำให้เค้าสนใจครับ เพราะผมลองจินตนาการดู วันๆหนึ่งต้องมีอีเมลส่งไปหาเค้าเป็นพันๆ ฉบับในการขอรับทุนแบบนี้
ต้องใช้ความคิดอย่างมากเลยครับ เราก็รู้ว่าวันๆ หนึ่งอีเมลไปหาเค้าเป็นพันๆ ฉบับ ถ้าเค้าไม่เปิดอ่านอีเมลของเรา โอกาสก็เป็นศูนย์ตั้งแต่แรก ที่ผมวางแผนก็คือ หัวข้ออีเมล จะดึงดูดอย่างไรที่เห็นแล้วต้องเปิดอ่าน และ จะทำอย่างไรให้เค้าตอบกลับมา อย่างน้อยขอดู transcript เราก็ยังดี คิดแค่นั้นครับ
question 7: แล้วเกรดที่มีทั้งปริญญาตรีและปริญญาโทตอนนั้นเป็นไงบ้างครับ ต้องได้เกียรตินิยมไหมถึงได้ไป
ผมไม่ได้ครับ เกรดตอนปริญญาตรีไม่ถึง 3.00 ด้วยซ้ำ และกลับตัวได้ตอนอยู่ปีสามเทอมหนึ่ง และเกรดปริญญาโท ตอนสมัครไป 3.50 ดังนั้นเรื่องนี้สอนให้หลายๆคนรู้ว่า อะไรก็ไม่สาย ถ้าเราเปลี่ยนทัศนคติตัวเองได้ ผมก็แค่กลับมาตั้งใจเรียน ทุกอย่างก็มา
question 8: หลังจากได้คุยกับ Prof. Engell แล้ว เหตุการณ์เป็นอย่างไงต่อครับ
ก็ไม่มีอะไรมากครับ เค้าก็ถามขอดูผลการเรียนว่าพื้นฐานผมมีแค่ไหน แล้วหลังจากนั้นก็เงียบไป ผมก็ไม่ได้ถามอะไรอีก
question 9:
อ่านต่อที่นี่ครับ
หนังสือ blockchain revolution
ผู้เขียนพยายามเข้าถึงจิตใจของ satoshi และกฎของการออกแบบ blockchain และในทางเทคนิคแล้ว วิธีนี้ ดึงดูดต่อนักสร้างเทคโนโลยีและวิศวกรในอนาคตอย่างมาก
ในมุมมองของผม ในฐานะวิศวกรที่ออกแบบ control algorithm จริงๆ แล้วมันสามารถนำมาปรับใช้ได้ในหลายๆ เรื่อง และเห็นด้วยกับผู้เขียนว่า นอกจากเรื่องการใช้ AI แล้ว blockchain คือ สิ่งที่ต้องศึกษาและค้นคว้า เพราะถ้าเป็นวิศวกรต้องเกี่ยวข้องกับมันแน่ๆ
ในหนังสือเล่มนี้สรุปว่า 7 โดเมนที่เราจะต้องเอา blockchain เข้าไปใช้คือ
1. financial services (เช่น การสร้าง smart contracts)
2. architecture of the firm
3. business model innovation (เช่น ico หรือ การเปลี่ยนวิธีการถือหุ้นบริษัท)
4. internet of things (data สามารถขายได้ แลกเปลี่ยนเป็นเงินได้ )
5. economic inclusion (อ่านนิยามด้านล่าง)
6. government and democracy (การส่งคะแนนเลือกตั้ง ที่โปรงใส)
7. creative industries
NOTE:
Economic inclusion is a term used to describe a variety of public and private efforts aimed at bringing underserved consumers into the financial mainstream. In the U.S., there are a number of partnerships and initiatives focused not only on expanding the availability of safe, affordable financial products and services, but also on educating consumers about ways to become fully integrated into the banking system.
ในยุค 2000 - 2010 (ผมกำลังศึกษาที่ประเทศเยอรมนี)
เรามีอินเตอร์เนตที่ดีขึ้นกว่ายุค 1990 - 1999
แต่เรายังไม่มี social network ที่แพร่หลาย ในยุคนั้น ก็มีเพียง search engine ที่เริ่มคิดวิธีการทำ website แบบ e-commerce ใครทำ web ได้ ก็จะได้เงินทุนจากนักลงทุนแล้ว
2008 เกิด finance crisis ขึ้น ตอนนั้น ผมมีความพยายามที่จะไปเรียนต่อ post doc ที่ USC ติดต่อ Prof. Safonov ได้แล้ว แต่หาทุนไปเรียนต่อไม่ได้ ก็เลยต้องยกเลิกไป
โชคชะตาบางครั้งเรากำหนดอะไรเองไม่ได้ ถ้าไม่มีเงินก็ไม่ได้ไปต่อ ผมจึงตัดสินใจกลับมาประเทศไทยปี 2010 ตอนนั้นก็เริ่ีมได้ยินเรื่องของ bitcoin และก็ไม่รู้ว่าคืออะไร รู้แค่ว่า ของมาใหม่
2009 satoshi เสนอ bitcoin ออกมาเพื่อแก้ปัญหาทางการเงินที่เรามีอยู่มาตั้งแต่การสร้างคอมพิวเตอร์ยุคแรกๆ คือ
การเก็บ digital file ไว้กับตัวด้วย เมื่อส่ง copy ไปแล้ว หรือ double spending
การเข้ามาของ digital world เปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆ อย่างบนโลกของธุรกิจ
เช่น คนทำเพลง ขายเพลงได้ ก๊อบบี้เดียว เพราะคนซื้อเอาไปกระจายต่อได้เรื่อยๆ และปัญหานี้ ทำให้ เกิด bitcoin ขึ้นมา หลังจากที่ใช้เวลาพิสูจน์มาแล้ว จนถึงวันนี้ ว่า blockchain เวิร์ค และเป็นแนวทางในอนาคตในการแก้ปัญหานี้ได้
แต่ก็ยังหา solution ที่ดีที่สุดไม่ได้อยู่ดี เพราะ bitcoin ก็ยังมีข้อจำกัด ถ้าเปรียบเทียบ ก็เหมือนกับ เราเริ่มมีอินเตอร์เนตกันในปี 1990 แต่ เราก็ยังไม่รู้ว่ามันทำอะไรได้บ้าง
ปัจจุบัน นักสร้างและวิศวกรทั่วโลก เริ่มเห็นแล้วว่า data มีค่า
ใครมี big data คือเจ้าโลก เพราะ เมื่อมี ข้อมูล เราสามารถนำ AI มาใช้งานได้
facebook youtube google ยอมให้คนใช้ฟรี เพราะแลกกับข้อมูลของผู้ใช้ หลายๆ คน เริ่มเห็นว่า เราเป็นเจ้าของข้อมูลพวกนี้ น่าจะได้รับส่วนแบ่งบ้างจากข้อมูลที่ให้กับ บริษัท
และบางที ข้อมูลก็ควรเป็นความลับ ที่ผู้ใช้ อยากจะให้หรือไม่ให้ก็ได้ ซึ่งตอนนี้ เราให้ 100% แลกเป็นค่าใช้งาน
จึงเกิดแนวคิดของการทำ decentralized app และผมคิดว่าภาพของ decentralized app จะชัดขึ้นในปี 2020
2020 - 2029 จะเป็น 10 ปีของการเปลี่ยนแปลงโลกครั้งใหญ่
blockchain
AI
Flying objects
Electric vehicles
Hyperloop
จะเข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของโลกแบบใหม่ จากการเกิดของอุตสาหกรรมไอทีแบบใหม่ด้วย
เราพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงมากน้อยแค่ไหน
ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะเป็นประเทศเล็กๆ แต่เมื่อมีอินเตอร์เนต คุณไม่อาจจะหลีกเลี่ยงผลกระทบนี้ได้ เมื่อโลกเชื่อมถึงกันหมดแล้ว
ดร. ธเนศ วงศ์หงษ์
Bangsaen AI and Blockchain Research Center
28 สิงหาคม 2018
สำหรับคนที่จะเป็น นักสร้าง AI
คุณต้องมี gpu เป็นของตัวเองครับ เพราะต้องใช้ในการ train AI
การใช้เครื่องธรรมดา ไม่สามารถทำให้เรา รอได้ (ทำได้ แต่อาจจะต้องรอเป็นเดือน)
ของผมใช้ 970 แต่ตัวที่ผมแนะนำ สำหรับคนที่มีทุนหนา ให้ซื้อ titan เลยครับ
คุณจะสร้างต้องลงทุนครับ เงินมันไม่ได้ตกจากที่สูงตามธรรมชาติ คุณต้องออกแรง สร้างให้มีคนยอมจ่าย
ทำไมผมถึงสนใจ deep learning
ถ้าดูหน้าแรก จะเห็นว่า ผมยอมจ่ายเงินเรียนที่ udacity ปีที่แล้ว
ผมไม่ได้เรียนฟรีจาก internet เพราะผมเห็นว่า นี่คือการลงทุนเพื่ออนาคตจริงๆ และคุ้มค่ามากๆ
ในมุมมองของนักลงทุน การลงทุนที่ดีที่สุดของผมคือ การศึกษา
deep learning สามารถใช้แก้ปัญหาต่างๆ ได้จริง และหลากหลายมากๆ เช่น
1. computer vision (Image, Video) ที่ผมกำลังโฟกัสอยู่กับ Raspberry PI
2. Natural Language Processing (Text) เช่น chatbot, Language Translator
3. Automatic Speech Recognition (Audio) เช่น google voice assistance
เอาง่ายๆ แค่เรื่อง computer vision เรื่องเดียว ธุรกิจต่างๆ บ้าน คอนโด รถยนต์ ก็ต้องใช้ เพราะเราต้องการให้ คอมพิวเตอร์ คอยส่องบางอย่างแทนเรา ซึ่งต้องใช้ deep learning ในการทำ
แต่จริงๆ deep learning เป็นแค่ตัวจุดประกาย แนวคิดทางธุรกิจของผมเท่านั้น ยังมีเรื่องอื่นๆ อีกที่ต้องทำเช่น
1. การใช้ angular ทำ user-interface บนอุปกรณ์ทุกชนิดบนโลก
2. การสร้าง hardware จริงด้วย raspberry pi เพื่อใช้เป็นตัว demo ให้คนเห็นความสามารถของ AI
ทั้งหมดที่กล่าวมาไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย
passion ของผม เป็นตัวขับเคลี่อนทุกอย่าง
และนี่คือสิ่งที่วันนี้ ผมอยากจะฝากให้ทุกคนได้คิดกันว่า อนาคตเราจะทำอะไร และต้องเลือกเรียนในสิ่งที่มีอนาคต เราจะอยู่ได้
ดร. ธเนศ วงศ์หงษ์
Director of Bangsaen AI and Blockchain Research Center
13 September 2018
Machine learning แบ่งออกได้เป็นสามแนวคิด คือ
1. Supervised Learning
- Labeled data ต้องบอกคอมพิวเตอร์ให้ชัดๆ ว่าผลลัพธ์ที่ถูกต้องคืออะไร
- Direct feedback ต้องตรวจสอบระหว่างสิ่งที่คอมพิวเตอร์ทำ กับผลลัพธ์ว่าตรงกัน จาก error ที่ต้องน้อยที่สุด
- Predict outcome/ future ใช้ model ที่ได้สำหรับการทำนาย ของ input ใหม่ที่เข้ามาในอนาคต ซึ่งอาจจะไม่เหมือนที่เคยสอนไว้ แต่มันต้อง ทำนายได้ถูกต้อง ถ้า model ที่สร้างมาดี เพียงพอ
2. Unsupervised Learning
- No labels/targets ไม่มีการบอกว่าอะไรคือคำตอบ
- No feedback ไม่มีการตรวจสอบ เพราะว่า ไม่รู้ผลลัพธ์ล่วงหน้า
- Find hidden structure in data หน้าที่ของวิธีนี้คือการหาโครงสร้างที่ซ่อนอยู่ในข้อมูลที่ได้รับมาทั้งหมด เช่น การแยกกลุ่มของข้อมูลให้เป็น clusters (subgroups) โดยที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันมาก่อนเลย
3. Reinforcement learning
- Decision process วิธีนี้หากระบวนการในการตัดสินใจ
- Reward system มีระบบในการให้รางวัล เมื่อตัดสินใจถูกต้อง และการลงโทษ เมื่อตัดสินใจพลาด
- Learn series of actions เรียนรู้จากการตัดสินใจที่ผ่านมา เพื่อใช้การเปลี่ยนแปลง actions ที่จะตัดสินทำในอนาคต จากสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
ดร. ธเนศ วงศ์หงษ์
Director of Bangsaen AI and Blockchain Research Center
21 September 2018