หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เวลาและการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
กิจกรรมที่ 1 เวลาและช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์
กิจกรรมที่ 2 ที่มาของศักราช
พุทธศักราช (พ.ศ.)
ตั้งขึ้นเมื่อ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จดับขันธนิพพานแล้ว นับตั้งแต่นั้นเป็นปี พ.ศ. 1 (แต่ พม่า ลังกา นับเอาปีก่อนนิพพาน 1 ปี ดังนั้นจึงมี พ.ศ. เกินประเทศไทย 1 ปี
คริสตศักราช (ค.ศ.)
ตั้งขึ้นเมื่อวันพระเยซูคริสต์ประสูติ หลัง พ.ศ.ล่วงแล้ว 543 ปี
ฮิจเราะห์ศักราช
เป็นศักราชของศาสนาอิสลาม โดยใช้ปีที่ท่านนบีมุฮัมมัด ศาสดาของศาสนาอิสลามกระทำฮิจเราะห์ (Hijarah แปลว่า การอพยพโยกย้าย) คือ อพยพออกจากเมืองเมกกะไปยังเมืองเมดินา เป็น ฮ.ศ.1
มหาศักราช (ม.ศ.)
เป็นศักราชที่ถือตามรัชสมัยแห่งพระเจ้ากนิษกะ ด้วยเหตุที่มหาศักราชเริ่มปีที่พระเจ้ากนิษกะ (อ่านว่า กะ-นิด-สะ-กะ) ปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์กุษาณะ(อินเดีย)ขึ้นครองราชย์ และนับมหาศักราชที่ 1 หลังพุทธศักราชล่วงแล้ว 622 ปี
จุลศักราช (จ.ศ.)
เป็นศักราชที่เริ่มเมื่อปีพุทธศักราช ๑๑๘๑ กำหนดวันที่ ๑๖ เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ ใช้มาตั้งแต่ปลายสมัยสุโขทัย ตลอดสมัยกรุงศรีอยุธยา และรัตนโกสินทร์
ในพงศาวดารของไทยที่บันทึกเป็นจุลศักราช จะพบว่ามีคำเรียกศกตามเลขท้ายของปีจุลศักราชเป็นภาษาบาลีไว้ด้วย คือ
ปีจุลศักราชที่ลงท้ายด้วยเลข ๑ เรียก“เอกศก”
ปีจุลศักราชที่ลงท้ายด้วยเลข ๒ เรียก“โทศก”
ปีจุลศักราชที่ลงท้ายด้วยเลข ๓ เรียก“ตรีศก”
ปีจุลศักราชที่ลงท้ายด้วยเลข ๔ เรียก“จัตวาศก”
ปีจุลศักราชที่ลงท้ายด้วยเลข ๕ เรียก“เบญจศก”
ปีจุลศักราชที่ลงท้ายด้วยเลข ๖ เรียก“ฉศก”
ปีจุลศักราชที่ลงท้ายด้วยเลข ๗ เรียก“สัปตศก”
ปีจุลศักราชที่ลงท้ายด้วยเลข ๘ เรียก“อัฐศก”
ปีจุลศักราชที่ลงท้ายด้วยเลข ๙ เรียก“นพศก”
ปีจุลศักราชที่ลงท้ายด้วยเลข ๑๐ เรียก“สัมฤทธิศก”
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นว่าควรจะใช้ศักราชแบบไทยจะเหมาะกว่า ทรงออกพระราชบัญญัติให้ใช้วันอย่างใหม่ ในวันที่ ๒๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๐ เลิกใช้จุลศักราช หันมาใช้ “รัตนโกสินทรศก” โดยให้ปี พ.ศ. ๒๓๒๕ ที่สร้างกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นรัตนโกสินทรศก ๑ หรือ ร.ศ. ๑ แต่ในทางพุทธศาสนาให้ใช้ “พุทธศักราช”หรือ “พ.ศ.” ตามแบบธรรมเนียมที่ใช้มาแต่กรุงศรีอยุธยา
รัตนโกสินทร์ศก (ร.ศ.)
ตั้งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรี โดยถือเอาวันแห่งปีที่พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก(รัชกาลที่ 1) องค์ปฐมบรมราชาแห่งราชวงศ์จักรี สร้างกรุงเทพฯเป็นมหานคร ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 6 ปีขาล และเลิกใช้ในสมัยรัชกาลที่ 6
กิจกรรมที่ 5 ตัวอย่างหลักฐานยุค/สมัยทางประวัติศาสร์
ศิลาจารึก
ความสำคัญของจารึก คนสมัยโบราณจะจารึกอักษรไว้บนวัตถุเนื้อแข็ง มีสภาพคงทนถาวรมีอายุการใช้งานได้นาน เช่นผนังถ้ำ แผ่นศิลา แผ่นดินเผา แผ่นไม้ และแผ่นโลหะอื่น ๆ ด้วยวัตถุที่แหลมคม ซึ่งเรียกว่า เหล็กจาร อักษรที่จารึกจะเป็นข้อความที่บ่งบอกให้ทราบถึงวัตถุประสงค์ของผู้ทำจารึก หรือประกาศเรื่องราวของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ให้ผู้อื่นทราบถึงวัตถุประสงค์ของผู้ทำจารึก หรือประกาศเรื่องราวของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ให้ผู้อื่นทราบ โดยไม่มีเจตนาที่บันทึกไว้เพื่ออ่านเอง ฉะนั้น จารึกจึงเป็นหลักฐานทางเอกสารที่สำคัญ ที่สะท้อนให้ประชาชนในปัจจุบัน ได้เห็นภาพทางสังคมของบรรพชนแต่ละท้องถิ่นในอดีต แต่ละยุคสมัยได้เป็นอย่างดี ภาพที่สะท้อนออกมาจากข้อความของศิลาจารึกมีทั้งด้านประวัติศาสตร์ ลัทธิความเชื่อทางศาสนา ศิลปวัฒนธรรม อารยธรรม และธรรมเนียมประเพณีการดำรงชีวิตในสังคมเป็นต้น ซึ่งได้กลายเป็นมรดกตกทอดและพัฒนามาจนถึงสังคมปัจจุบัน
จารึกเขาน้อย จ.ปราจีนบุรี (เป็นจารึกที่ผนัง ข้างกรอบประตูปราสาทเขาน้อย) ปัจจุบันพบว่า เป็นศิลาจารึก ที่ปรากฏศักราชเก่าที่สุดในประเทศไทย
จารึกปราสาทเขาน้อย จ.ปราจีนบุรี (เป็นจารึกที่ผนัง ข้างกรอบประตูปราสาทเขาน้อย) ปัจจุบันพบว่า เป็นศิลาจารึกปราสาทเขาน้อย ซึ่งปรากฏศักราชเก่าที่สุดในประเทศไทย พบที่เขาน้อย อำเภออรัญประเทศ จังหวัดปราจีนบุรี สร้างขึ้นในปีพุทธศักราช ๑๑๘๐ ศิลาจารึกชิ้นนี้เป็นหลักฐานเอกสารโบราณ ที่บ่งบอกถึงวัฒนธรรมทางด้านการใช้รูปอักษร ที่ปรากฏบนผืนแผ่นดินไทยครั้งแรก และเป็นยุคเริ่มต้นสมัยประวัติศาสตร์ ของไทยด้วย นับว่าเป็นช่วงเวลาที่สอดคล้องตรงกัน กับหลักฐานทางด้านศิลปกรรมในประเทศไทย ซึ่งร่วมสมัยกับพุทธศิลปะ สมัยทวารวดี ศิลปกรรมสมัยแรกของประเทศไทย
กลองมโหระทึก หลักฐานทางประวัติศาสตร์ ยุคสำริด(ดีบุกผสมทองแดง)
ประวัติความเป็นมาของกลองมโหระทึก
เป็นกลองชนิดหนึ่งทำด้วยโลหะ เป็นกลองหน้าเดียว รูปทรงกระบอก ตรงกลางคอดเล็กน้อย มีขนาดต่างๆ ส่วนฐานกลวง มีหูหล่อติดข้างตัวกลอง 2 คู่ สำหรับร้อยเชือกหามหรือแขวนกับหลัก ที่หน้ากลองเป็นแผ่นเรียบ มักมีรูปกบหรือเขียดอยู่ที่ด้านบนหน้ากลอง กลองมโหระทึกนี้มักจะเรียกแตกต่างกันออกไปตามรูปแบบและความเชื่อของคนในท้องถิ่นนั้นๆ อาทิ ภาคเหนือของประเทศไทย และในประเทศพม่าเรียกว่า ฆ้องกบหรือฆ้องเขียด เพราะมีรูปกบหรือเขียดปรากฏอยู่บนหน้ากลอง จีนเรียกว่า ตุงกู่(Tung Ku) อังกฤษเรียกว่า Kettle drum หรือ Bronze drum เพราะว่ากลองนี้มีรูปร่างคล้ายกับโลหะสำริดที่ใช้ในการต้มน้ำ ส่วนไทยเรานั้นเรียกว่า หรทึก หรือ มโหระทึก ซึ่งชื่อเรียกนั้นจะแตกต่างกันไปแต่ละยุคสมัย กลองมโหระทึกใช้เนื่องในพิธีกรรมความเชื่อ
กลองมโหระทึก เป็นประดิษฐกรรมที่เกิดขึ้นในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ต่อเนื่องถึงช่วงต้นประวัติศาสตร์ ประมาณ 2,000 - 3,000 ปีมาแล้ว พบในวัฒนธรรมโบราณต่างๆ ในดินแดนเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น พม่า ไทย เวียดนาม ลาว มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เป็นต้น
กลองมโหระทึกจัดอยู่ในกลุ่มวัฒนธรรมดองซอน ประเทศเวียดนาม
หลักฐานทางโบราณคดี
กลองมะโหระทึกที่พบในประเทศไทย เช่น ภาคเหนือ บ้านบ่อหลวง จังหวัดน่าน, ตำบลท่าเสา จังหวัดอุตรดิตถ์, บ้านนาโบสถ์ เป็นต้น จังหวัดตาก ภาคกลาง เช่น บ้านสามง่าม จังหวัดตราด, เขาสะพายแร้ง จังหวัดกาญจนบุรี, แหล่งโบราณคดีคูบัว จังหวัดราชบุรี เป็นต้น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น วัดมัชฌิมาวาส (วัดกลาง) จังหวัดมุกดาหาร, บ้านดงยาง จังหวัดมุกดาหาร, บ้านสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นต้น ภาคใต้ เช่น แหล่งโบราณคดีเขาสามแก้ว จังหวัดชุมพร, อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี, ตำบลท่าเรือ จังหวัดนครศรีธรรมราช ,ตำบลจะโหนง จังหวัดสงขลา เป็นต้น
วัตถุประสงค์ในการผลิตกลองมโหระทึก
1. ใช้เป็นเครื่องแสดงฐานะความมั่งคั่ง
2. ใช้เป็นวัตถุสำคัญประกอบในพิธีกรรมต่าง เช่น พิธีเกี่ยวกับความตาย
3. ใช้ตีเป็นสัญญาณในการสงคราม
4. ใช้ตีประกอบในพิธีกรรมขอฝน
5. ใช้ตีเพื่อการบำบัดรักษาโรคทางไสยศาสตร์