สรุปประเด็นสำคัญ
สอบกลางภาค วิชาประวัติศาสตร์ 1 ส21102 ม.1
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์ หมายถึง
- การศึกษาอดีตในช่วงหนึ่งหรือสมัยหนึ่ง
- เรื่องราวเกี่ยวกับสังคมมนุษย์ทั้งการกระทำและความรู้สึก
- มีเหตุผลและถูกต้องตามความจริงโดยปราศจากอคติแล้ว
- ผ่านวิธีการตรวจสอบข้อเท็จจริง
บิดาแห่งวิชาประวัติศาสตร์ : เฮโรโดตัส (Herodotus ชาวกรีก : 484 – 425 ก่อน ค.ศ.)
- บัญญัติคำว่า ประวัติศาสตร์ (History) เป็นภาษากรีก : Historiai แปลว่า ไต่สวน สืบสวน
- ผู้วางรากฐานความรู้ทางประวัติศาสตร์ พัฒนาไปสู่ “วิธีการทาง ประวัติศาสตร์”
บิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย : สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
คุณสมบัติของนักประวัติศาสตร์
1. มีความเป็นกลาง (Objectiveness or Objectivity)
2. มีความคิดที่เป็นประวัติศาสตร์ (Historical thinking)
3. มีความถูกต้องแม่นยำ (Accurary)
4. มีความเป็นระเบียบในการจัดเก็บและบันทึกข้อมูล (Love of order)
5. มีลำดับการทำงานที่เป็นตรรกะ(เหตุผล) (Logic)
6. มีความซื่อสัตย์ในการแสวงหาข้อเท็จจริง (Honesty)
7. มีความระมัดระวังในการใช้หลักฐาน (Self-awareness)
8. มีจินตนาการ (Historical imagination)
การนับช่วงเวลา
- ทศวรรษ = รอบ 10 ปี เช่น ทศวรรษที่ 2010 = ค.ศ.2010-2019
- ศตวรรษ = รอบ 100 ปี เช่น พุทธศตวรรษที่ 26 = พ.ศ.2501-2600 (หรือ คริสต์ศตวรรษที่ 21 = ค.ศ.2001-ค.ศ.2100)
- สหัสวรรษ = รอบ 1,000 ปี เช่น สหัสวรรษที่ 3 = พ.ศ.2001-3000
การนับเวลาทางประวัติศาสตร์ จะบอกให้เรารู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งการนับเวลาเราจะสามารถนำมาเรียงลำดับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ได้อย่างถูกต้อง
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
วิธีการทางประวัติศาสตร์ คือ กระบวนการค้นคว้าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ เพื่อให้ได้ความจริงหรือใกล้เคียงความจริงมากที่สุด โดยอาศัยการวิเคราะห์จากหลักฐานประเภทต่างๆ
ขั้นตอนและวิธีการทางประวัติศาสตร์
1. กำหนดปัญหา
- ศึกษาอะไร ที่ไหน อย่างไร
- กำหนดเรื่อง ต้องเป็นเรื่องที่สนใจเรื่องที่อยากรู้ หรือไม่พอใจในคำอธิบาย
- หัวข้อหรือประเด็นศึกษา ไม่กว้างหรือไม่แคบเกินไป
2. รวบรวมหลักฐาน
ค้นคว้าจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง ให้ครบถ้วนที่สุด
3. การตรวจสอบและประเมินคุณค่าของหลักฐาน(หรือการวิพากษ์) แบ่งได้ 2 ทาง
3.1 การตรวจสอบภายนอก (การวิพากษ์ภายนอก)
- เป็นของจริงหรือของปลอม
- เป็นหลักฐานชั้นต้นหรือชั้นรอง
3.2 การตรวจสอบภายใน (การวิพากษ์ภายใน)
- หลักฐานน่าเชื่อถือหรือไม่
- ขัดแย้งกับหลักฐานอื่นหรือไม่
4. การตีความหลักฐาน ( การวิเคราะห์ สังเคราะห์ และจัดหมวดหมู่ แบ่งได้ 2 ระดับ
4.1 ตีความขั้นต้น
- ตีความตามตัวอักษรหรือรูปภาพ
4.2 ตีความขั้นลึก
- จุดมุ่งหมายของผู้เขียน
การตีความต้องวางใจเป็นกลาง การตีความเรื่องหนึ่งอาจไม่ใช่ข้อยุติ หากพบหลักฐานใหม่ สามารถตีความแตกต่างไปจากเดิมได้
5. การเรียบเรียงและการนำเสนอ
- ใช้ภาษาง่ายๆในการเรียบเรียงข้อมูล
- อธิบายอย่างสมเหตุสมผล ต่อเนื่อง
- นำเสนอน่าสนใจ
- อ้างอิงหลักฐาน
หลักฐานทางประวัติศาสตร์
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ คือ ร่องรอยการกระทำของมนุษย์ในอดีต ที่ใช้เครื่องมือสำคัญในการสืบค้นแสวงหา
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสังคมมนุษย์ในอดีตแหล่งข้อมูลทางประวัติศาสตร์ในการศึกษาปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมไทยแต่ละยุคสมัย
ตัวอย่างหลักฐานทางประวัติศาสตร์
1. จาร หรือ จารึก
เป็นหลักฐานที่บันทึกลงวัสดุคงทน เช่น แผ่นหิน ทองคำ แผ่นเงิน เป็นต้น นักประวัติศาสตร์ให้ความสำคัญกับหลักฐานประเภทนี้มาก
ตัวอย่างจารึกที่สำคัญได้แก่ ศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช
2. ตำนาน
เป็นหลักฐานประเภทบอกเล่า และจดบันทึกไว้ในภายหลัง มีคุณค่าด้านประวัติศาสตร์น้อย ตำนานที่สำคัญได้แก่ ตำนานมูลศาสนา ตำนานจามเทวีวงศ์
3. พระราชพงศาวดาร
เป็นหลักฐานบันทึกเรื่องราวของพระมหากษัตริย์ เริ่มมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงรัชกาลที่ 5
ฉบับที่โดดเด่นได้แก่ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์
4. จดหมายเหตุ
เป็นหลักฐานที่ให้ความสำคัญกับเหตุการณ์และลำดับเวลา โดยบันทึกเพียงเหตุการณ์เดียว
ตัวอย่าง เช่น จดหมายเหตุลา ลูแบร์
5. เอกสารส่วนบุคคล
เป็นบันทึกส่วนตัวของผู้เกี่ยวข้องหรือผู้รู้เห็นในเหตุการณ์นั้นๆโดยตรง เอกสารส่วนบุคคลที่สำคัญคือ สาสน์สมเด็จ
6. หนังสือราชการ
เป็นเอกสารเกี่ยวกับการบริหารบ้านเมือง เช่น พระบรมราโชวาท พระบรมราชโองการ หมายรับสั่ง เป็นต้น
7. บันทึกชาวต่างชาติ
เป็นบันทึกที่ชาวต่างชาติที่เขียนเกี่ยวกับเมืองไทย ส่วนใหญ่จะเป็นชาวจีน และ ชาวตะวันตก เช่นเรื่องเล่ากรุงสยามของบาทหลวงปาเลอกัวซ์
8. วรรณกรรม
เป็นภาพสะท้อนวิถีชีวิต พิธีกรรม ค่านิยม ความเชื่อ หรือความคิดของคนสมัยนั้นเช่น ขุนช้างขุนแผนพระอภัยมณี เป็นต้น
การแบ่งประเภทของหลักฐานทางประวัติศาสตร์
1. หลักฐานแบ่งตามลักษณะการบันทึก
1.1 หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร
- จารึก ตำนาน พงศาวดาร จดหมายเหตุ เอกสารราชการ ชีวประวัติ จดหมายส่วนตัว หนังสือพิมพ์ นิตยสาร วารสาร กฎหมาย และวรรณกรรม
1.2 หลักฐานที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
- หลักฐานทางโบราณคดี เช่น โบราณวัตถุ โบราณสถาน เงินตรา เครื่องปั้นดินเผา โครงกระดูก ฯลฯ
2. หลักฐานแบ่งตามแหล่งข้อมูลหรือความสำคัญ
2.1 หลักฐานชั้นต้น (ปฐมภูมิ)
- ผู้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์โดยตรงได้บันทึก สร้าง หรือจัดทำขึ้น -เช่น บันทึกส่วนตัว กฎหมาย หนังสือพิมพ์ จดหมายโต้ตอบ รวมทั้งโบราณสถาน โบราณวัตถุ
2.2 หลักฐานชั้นรอง (ทุติยภูมิ)
- จัดทำขึ้นหลังจากเหตุการณ์นั้นๆ ผ่านพ้นไปแล้ว
- ส่วนใหญ่ปรากฏในรูปของงานเขียนทางประวัติศาสตร์ที่ศึกษาข้อมูลจากหลักฐานชั้นต้นและเพิ่มเติมด้วยความคิดเห็นของผู้เขียน เช่น วิทยานิพนธ์ หนังสือเรียน ต่าง ๆ
อัตนัย 2 ข้อ 5 คะแนน
อ่านเกี่ยกับ
1. กลองมโหระทึก
กลองมโหระทึก หลักฐานทางประวัติศาสตร์ ยุคสำริด(ดีบุกผสมทองแดง)
ประวัติความเป็นมาของกลองมโหระทึก
เป็นกลองชนิดหนึ่งทำด้วยโลหะ เป็นกลองหน้าเดียว รูปทรงกระบอก ตรงกลางคอดเล็กน้อย มีขนาดต่างๆ ส่วนฐานกลวง มีหูหล่อติดข้างตัวกลอง 2 คู่ สำหรับร้อยเชือกหามหรือแขวนกับหลัก ที่หน้ากลองเป็นแผ่นเรียบ มักมีรูปกบหรือเขียดอยู่ที่ด้านบนหน้ากลอง กลองมโหระทึกนี้มักจะเรียกแตกต่างกันออกไปตามรูปแบบและความเชื่อของคนในท้องถิ่นนั้นๆ อาทิ ภาคเหนือของประเทศไทย และในประเทศพม่าเรียกว่า ฆ้องกบหรือฆ้องเขียด เพราะมีรูปกบหรือเขียดปรากฏอยู่บนหน้ากลอง จีนเรียกว่า ตุงกู่(Tung Ku) อังกฤษเรียกว่า Kettle drum หรือ Bronze drum เพราะว่ากลองนี้มีรูปร่างคล้ายกับโลหะสำริดที่ใช้ในการต้มน้ำ ส่วนไทยเรานั้นเรียกว่า หรทึก หรือ มโหระทึก ซึ่งชื่อเรียกนั้นจะแตกต่างกันไปแต่ละยุคสมัย กลองมโหระทึกใช้เนื่องในพิธีกรรมความเชื่อ
กลองมโหระทึก เป็นประดิษฐกรรมที่เกิดขึ้นในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ต่อเนื่องถึงช่วงต้นประวัติศาสตร์ ประมาณ 2,000 - 3,000 ปีมาแล้ว พบในวัฒนธรรมโบราณต่างๆ ในดินแดนเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น พม่า ไทย เวียดนาม ลาว มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เป็นต้น
กลองมโหระทึกจัดอยู่ในกลุ่มวัฒนธรรมดองซอน ประเทศเวียดนาม
หลักฐานทางโบราณคดี
กลองมะโหระทึกที่พบในประเทศไทย เช่น
ภาคเหนือ บ้านบ่อหลวง จังหวัดน่าน, ตำบลท่าเสา จังหวัดอุตรดิตถ์, บ้านนาโบสถ์ จังหวัดตาก เป็นต้น
ภาคกลาง เช่น บ้านสามง่าม จังหวัดตราด, เขาสะพายแร้ง จังหวัดกาญจนบุรี, แหล่งโบราณคดีคูบัว จังหวัดราชบุรี เป็นต้น
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น วัดมัชฌิมาวาส (วัดกลาง) จังหวัดมุกดาหาร, บ้านดงยาง จังหวัดมุกดาหาร, บ้านสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นต้น
ภาคใต้ เช่น แหล่งโบราณคดีเขาสามแก้ว จังหวัดชุมพร, อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี, ตำบลท่าเรือ จังหวัดนครศรีธรรมราช ,ตำบลจะโหนง จังหวัดสงขลา เป็นต้น
วัตถุประสงค์ในการผลิตกลองมโหระทึก
1. ใช้เป็นเครื่องแสดงฐานะความมั่งคั่ง
2. ใช้เป็นวัตถุสำคัญประกอบในพิธีกรรมต่าง เช่น พิธีเกี่ยวกับความตาย
3. ใช้ตีเป็นสัญญาณในการสงคราม
4. ใช้ตีประกอบในพิธีกรรมขอฝน
5. ใช้ตีเพื่อการบำบัดรักษาโรคทางไสยศาสตร์
2. หลักฐานทางประวัติศาสตร์ เช่น บันทึกของ รัชกาลที่ 4 การตั้งพระนามของ กรมขุนมรุพงศ์ศิริพัฒน์ (พระโอรสของ รัชกาลที่ 4) ในแบบฝึกหัดที่ตรูให้
กิจกรรมที่ 3 : ตัวอย่างหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ที่ปรากฏในประวัติศาสตร์ไทย
ตอบคำถามจากหลักฐานที่ปรากฏในประวัติศาสตร์ไทย (ถ้ามีสัญลักษณ์ / ให้เลือกเพียงข้อเดียว)
1. หลักฐานที่ปรากฏเป็นหลักฐานเกี่ยวกับ การตั้งพระนามของท่านกรมขุนมรุพงศ์ศิริพัฒน์
บันทึกเมื่อ วันศุกร์ แรม 3 ค่ำ เดือน 7 ปีกุน จ.ศ. 1225 ผู้บันทึก S.P.M. Mongkut As the father
2. หลักฐานที่ปรากฏ อยู่ใน สมัย ประวัติศาสตร์ ยุค รัตนโกสินทร์ ราชวงค์ จักรี
3. หลักฐานดังกล่าว / น่าเชื่อถือ xไม่น่าเชื่อถือ เพราะ มีการลงพระบรมนามาภิธัย (ลงชื่อ ผู้บันทึก )
4. ประเภทหลักฐาน / หลักฐานชั้นต้น(หลักฐานปฐมภูมิ) xหลักฐานชั้นรอง(หลักฐานทุติยภูมิ)
5. สมเด็จพระปรเมนทรมหามกุฎ พระจอมเกล้าเจ้ากรุงสยาม หมายถึง.. รัชกาลที่ 4 (พระราชสมภพ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2347 - สวรรคต 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411)
6. ...รัชกาลที่ 4.......... (จากคำตอบข้อ 5) ครองราชย์เมื่อ 2 เมษายน พ.ศ. 2394 - 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411 (17 ปี 182 วัน) (ตรงกับ จ.ศ. 1213..-1230) (ตรงกับ ม.ศ. 1773-1790) (ตรงกับ ค.ศ.1851-1868) (ตรงกับ ฮ.ศ. 1272-1289) ( ส่วน ร.ศ. ยังไม่มีใช้)
7. พระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้า วัฒนานุวงษ คชนาม เป็นบุตรชายของ รัชกาลที่ 4 กับ เจ้าจอมบัว ประสูติ เมื่อ วัน พุธ ขึ้น 10 เดือน 7 (มิถุนายน) ปี กุน จ.ศ.1225 (เบจศกศักราช)๕
ตรงกับ พ.ศ.2406 ตรงกับ ค.ศ.682 ตรงกับ ฮ.ศ. 103 ตรงกับ ม.ศ.604 ตรงกับ ร.ศ.(ยังไม่มีใช้)