หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 พัฒนาการของอาณาจักรสุโขทัย
ชม vdo การสถาปนากรุงสุโขทัย จาก YouTube
ภาพ : แผนที่อาณาจักรที่มีพื้นที่ติดกับอณาจักรสุโขทัย
ภาพ : แผนที่พอสังเขปแสดงอาณาเขตของอาณาจักรสุโขทัยสมัยขุนรามคำแหงมหาราช
1. การสถาปนาอาณาจักรสุโขทัย
อาณาจักรสุโขทัยก่อตั้งขึ้นประมาณ พ.ศ. 1792 พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ทรงพระนามเดิมว่า พ่อขุนบางกลางหาว ทรงสถาปนาสุโขทัยขึ้นมา สร้างความเป็นปึกแผ่นให้กับชนชาติไทย โดยขยายเขตการปกครองออกไปอย่างกว้างขวาง สุโขทัยเป็นราชอาณาจักรของชาติไทย อยู่ประมาณ 200 กว่าปี จึงถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยา (พ.ศ. 1981 พระมหาธรรมชาราที่ 4 สวรรคต ถูกผนวกรวมอยุธยา ประมาณ พ.ศ.2006)
อาณาจักรสุโขทัย ตั้งอยู่บนเส้นทางการค้าผ่านคาบสมุทรระหว่างอ่าวเมาะตะมะ และที่ราบลุ่มแม่น้ำโขงตอนกลาง มีอาณาเขตดังนี้
ภาพ : เส้นทางการค้าทางทะเลของกรุงสุโขทัย
ความเป็นมาก่อนการสถาปนาอาณาจักรสุโขทัยเป็นราชธานี
สุโขทัยเดิมทีเป็นสถานีการค้าของแคว้นละโว้ (ลวรัฐ) ของอาณาจักรขอม บนเส้นทางการค้าผ่านคาบสมุทรระหว่างอ่าวเมาะตะมะ กับเขตที่ราบลุ่มแม่น้ำโขงตอนกลาง (ประเทศลาว) คาดว่าเริ่มตั้งเป็นสถานีการค้าในราวพุทธศักราช 1700 ในรัชสมัยของพระยาธรรมิกราช กษัตริย์ละโว้ โดยมีพ่อขุนศรีนาวนำถม เป็นผู้ปกครองและดูแลกิจการภายในเมืองสุโขทัย และศรีสัชนาลัย ต่อมาเมื่อพ่อขุนศรีนาวนำถมสวรรคต ขอมสบาดโขลญลำพง (ข้าหลวงขอม) ซึ่งเป็นคล้ายๆกับผู้ตรวจราชการจากลวรัฐ เข้าทำการยึดอำนาจการปกครองสุโขทัย จึงส่งผลให้ พ่อขุนผาเมือง (พระราชโอรสของพ่อขุนศรีนาวนำถม) เจ้าเมืองราด และ พ่อขุนบางกลางหาว เจ้าเมืองบางยาง ตัดสินพระทัยจะยึดดินแดนคืน การชิงเอาอำนาจจากผู้ครองเดิมคือ อาณาจักรขอม เมื่อปี พ.ศ. 1781 และสถาปนาเอกราช ให้กรุงสุโขทัยขึ้นเป็นรัฐอิสระ โดยไม่ขึ้นตรงกับรัฐใด และพ่อขุนผาเมือง ก็กลับยกเมืองสุโขทัย ให้พ่อขุนบางกลางหาวครอง พร้อมทั้ง พระแสงขรรค์ชัยศรี และพระนาม กำมรเตงอัญศรีอินทรบดินทราทิตย์ ซึ่งพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงพระราชทานให้พ่อขุนผาเมืองก่อนหน้านี้ โดยคาดว่า เหตุผลคือพ่อขุนผาเมืองมีพระนางสิขรเทวีพระมเหสี (ราชธิดาของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7) ซึ่งพระองค์เกรงว่าชาวสุโขทัยจะไม่ยอมรับ แต่ก็กลัวว่าทางขอมจะไม่ไว้ใจจึงมอบพระนามพระราชทาน และพระแสงขรรค์ชัยศรี ขึ้นบรมราชาภิเษก พ่อขุนผาเมืองให้เป็นกษัตริย์ เพื่อเป็นการตบตาราชสำนักขอม
หลังจากมีการสถาปนาอาณาจักรสุโขทัยขึ้นเป็นราชธานี และมีพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ เป็นปฐมกษัตริย์แล้ว พระองค์ทรงดูแลพระราชอาณาจักร และบำรุงราษฏรเป็นอย่างดี
ปัจจัยที่เอืต่อการสถาปนาอาณาจักรสุโขทัย มีดังนี้
1. ปัจจัยภายใน ได้แก่
1.1 มีผู้นำที่เข้มแข็ง ในสมัยนั้นผู้นำคนไทยที่กล้าหาญมีสติปัญญาเฉียบแหลมและรอบคอบ 2 คน ซึ่งเป็นสหายกัน ได้แก่ พ่อขุนผาเมือง เจ้าเมืองราด และพ่อขุบางกลางหาว เจ้าเมืองบางยาง ได้ร่วมกันรวบรวมคนไทย และกำลังเข้าต่อสู้กับขอมจนสามารถขับไล่ขอมไปได้
1.2 มีขวัญและกำลังใจดี การที่คนไทยมีผู้นำที่เข้มแข็งมีความสามารถ ทำให้มีขวัญและกำลังใจดี มีความเชื่อมั่นว่าจะต่อสู้เอาชนะขอมได้ ต่างก็มีความปรารถนาที่จะขับไล่ขอมออกไป เพื่อจะได้มีความเป็นอิสระและมีเอกราชสมบูรณ์ จึงได้ผนึกกำลังกันต่อสู้และเอาชนะขอมได้สำเร็จ
1.3 รักความเป็นอิสระ คนไทยมีนิสัยรักอิสระไม่ชอบให้ผู้ใดกดาขี่ข่มเหงบังคับ ดังนั้นเมื่อพ่อขุนบางกลางหาว และพ่อขุนผาเมืองได้ร่วมมือกันขับไล่ขอมเพื่อให้คนไทยได้รับอิสรภาพ จึงได้รับความร่วมมือร่วมใจจากชาวไทยทุกคนด้วยดี จนสามารถาขับไล่ขอมและปลดปล่อยกรุงสุโขทัยเป็นอิสระได้ในที่สุด
1.4 บ้านเมืองมีความอุดมสมบูรณ์(ทำเลที่ตั้งเหมาะสม) เมืองสุโขทัยเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเกษตรมีการเพาะปลูก การเลี้ยงสัตว์ และการจับสัตว์น้ำ ทำให้ผู้คนเข้ามาอาศัยตั้งบ้านเรือนกันเป็นชุมชนที่ค่อนข้างหนาแน่น เมืองสุโขทัยจึงพร้อมด้วยเสบียงอาหาร และกำลังคน
2. ปัจจัยภายนอก ได้แก่
2.1 ขอมมักจะรุกรานและแผ่อำนาจเข้าไปในอาณาจักรอื่นๆ ต้องทำสงครามรบพุ่งเป็นระยะเวลายาวนาน โดยเฉพาะกับอาณาจักรจามปา กษัตริย์ขอมต้องทำสงครามยึดเยื้อหลายรัชกาล ต้องเสียกำลังคน เสบียงอาหาร ทรัพยากรและขาดการทำนุบำรุงบ้านเมือง ทำให้ต้องเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจประชาชนท้อแท้เบื่อหน่าย
2.2 การที่ขอมขยายอาณาเขตออกไปไกล ทำให้ไม่สามารถออกไปไกล ทำให้ไม่สามารถรักษาอำนาจไว้ได้อย่างถาวร แม้จะแก้ปัญหา โดยตั้งเมืองใหญ่ให้เป็นศูนย์อำนาจ เช่น ลพบุรี สุโขทัย แต่การปกครองก็มิได้มีประสิทธิภาพในที่สุดก็ไม่สามารถรักษาอำนาจของคนในดินแดนชาติอื่นที่ตนยึดครองไว้ได้
2.3 การสร้างปราสาทหรือเทวสถานไว้ประดิษฐานศิวลึงค์ เพื่อการบูชาและการสร้างสาธารณูปโภคของกษัตริย์แต่ละพระองค์ ก็เป็นอีกเหตุหนึ่งที่ทำให้ขอมเสื่อมอำนาจ เพราะต้องใช้แรงงาน ใช้ทรัพยากรและเสบียงอาหารจำนวนมากมาย ความอ่อนแอทางเศรษฐกิจทำให้ต้องเก็บภาษีจากประชาชนมากขึ้น ประชาชนจึงไม่ร่วมมือกับทางราชการ ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ อาณาจักรขอมจึงเสื่อมลง เปิดโอกาสให้คนไทยได้ร่วมกันกำจัดอำนาจอิทธิพลของขอมได้สำเร็จ
เมื่อขับไล่ขอมออกจากสุโขทัยเป็นผลสำเร็จ พ่อขุนผาเมือง ได้สนับสนุน ให้พ่อขุนบางกลางหาวขึ้นครองอำนาจเป็นกษัตริย์สุโขทัย พร้อมทั้งถวายพระนามของตนที่ได้รับจากกษัตริย์ขอมให้ด้วย ดังนั้น พ่อขุนบางกลางหาว จึงมีพระนามใหม่ว่า “ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์” และเป็นปฐมกษัตริย์ (ราชวงศ์พระร่วงหรือราชวงศ์สุโขทัย) แห่งอาณาจักรสุโขทัย
พระมหากษัตริย์ราชวงศ์พระร่วง แห่งอาณาจักรสุโขทัย มี 9 พระองค์ดังนี้
ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/
1. ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพัฒนาการในสมัยสุโขทัย
2.1 ปัจจัยด้านภูมิศาสตร์และสิ่งแวดล้อมของอาณาจักรสุโขทัยมีลักษณะดังนี้
1) สภาพภูมิอากาศ อาณาจักรสุโขทัยตั้งอยู่ท่ามกลางเทือกเขา ทำให้อากาศไม่ร้อนจนเกินไป นอกจากนี้ยังมีฝนตกชุกในฤดูมรสุม
2) สภาพประเทศ อาณาจักรสุโขทัยตั้งอยู่ในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำปิง ยม น่าน ไหลลงทิศใต้สู่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา เหมาะกับการดำรงชีพ
3) ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ป่าไม้ สัตว์ป่า ของป่า และแร่ธาตุต่างๆ ซึ่งมีประโยชน์ต่อการดำรงชีพ
4) การคมนาคม สุโขทัยมีเส้นทางการค้าทางน้ำและทางบกที่สามารถติดต่อกับแคว้นต่างๆได้สะดวก
2.2 ปัจจัยด้านอารยธรรม
อารยธรรมของชุมชนต่างๆ ในอาณาจักรสุโขทัยได้รับวัฒนธรรมภายนอกเข้ามาผสมผสานกับวัฒนธรรมเดิมของไทยทั้งด้านศาสนา ภาษา การปกครอง กฎหมาย และศิลปกรรม โดยมีพระพุทธศาสนาเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ และสร้างสรรค์ศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทยสืบต่อมาในสมัยหลัง
2. พัฒนาการของสุโขทัยการเมืองการปกครองสมัยสุโขทัย
อาณาจักรสุโขทัยเมื่อแรกตั้งยังมีอาณาเขตไม่กว้างขวาง มีจำนวนพลเมืองยังไม่มากและอยู่ในระหว่างการก่อร่างสร้างตัว การปกครองในระยะแรกจึงยังเป็นการปกครองระบบแบบครอบครัว ผู้นำของอาณาจักรทำหน้าที่เหมือนบิดาของประชาชน มีฐานะเป็นพ่อขุน มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประชาชน ต่อมาหลังสมัยพ่อขุนรามคำแหงสถานการณ์ของบ้านเมืองเปลี่ยนแปลงไป จึงเริ่มใช้การปกครองที่เป็นแบบแผนมากขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำกับประชาชนแตกต่างไปจากเดิม ความพยายามที่จะเพิ่มพูนอำนาจของกษัตริย์ให้สูงทรงมีฐานะเป็นธรรมราชา และทรงใช้หลักธรรมมาเป็นแนวทางในการปกครอง
ลักษณะการเมืองการปกครองสมัยสุโทัย แบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ
1. การปกครองสมัยสุโขทัยตอนต้น เริ่มจากสมัยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ไปถึงสิ้นสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช
2. การปกครองสมัยสุโขทัยตอนปลาย เริ่มจากสมัยพระยาเลอไทยไปจนกระทั่งอาณาจักรสุโขทัยหมดอำนาจลง ในสมัยพระมหาธรรมราชาที่ 4 (บรมปาล)
การปกครองสมัยสุโขทัยตอนต้น
เริ่มจาก (พ.ศ.1792-1841) สมัยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ พ่อขุนบานเมือง และพ่อขุนรามคำแหงมหาราช
การที่อาณาจักรสุโขทัยมีความเจริญรุ่งเรืองและสามารถดำรงเป็นราชธานีอยู่นานเกือบ 200 ปี สาเหตุหนึ่งสืบเนื่องมาจากการมีระบบการเมืองการปกครองที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในขณะนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นหลักสำคัญในการปกครองอาณาจักร
การปกครองสมัยสุโขทัยตอนต้นนี้จะมีการปกครองแบบพ่อปกครองลูกหรือแบบปิตุลาธิปไตย กล่าวคือ พระมหากษัตริย์กับราษฎรจะมีความใกล้ชิดกันเหมือนพ่อกับลูก ราษฎรจะให้ความเคารพนับถือพระมหากษัตริย์ประดุจบุตรเคารพบิดา จึงเรียกขานพระมหากษัตริย์ว่า พ่อขุน ส่วนพระมหากษัตริย์ปกครองดูแลราษฎรอย่างใกล้ชิดเหมือนพ่อดูแลลูกและปกครองด้วยเมตตาธรรม ดังจะเห็นได้จากพ่อขุนรามคำแหงมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้แขวนกระดิ่งไว้ที่หน้าประตูเมือง เพื่อให้ราษฎรที่มีเรื่องทุกข์ร้อนมาสั่นกระดิ่งร้องทุกข์ต่อพระองค์ได้ทุกเมื่อ ดังข้อความในศิลาจารึกว่า
“ ในปากประตูมีกระดิ่งอันหนึ่งแขวนไว้หั่น ไพร่ฟ้าหน้าปก กลางบ้านกลางเมือง มีถ้อยมีความเจ็บท้องข้องใจ มันจักกล่าวเถิงเจ้าเถิงขุนบ่ไร้ ไปลั่นกระดิ่งอันท่านแขวนไว้ พ่อขุนรามคำแหง เจ้าเมืองได้ยินเรียก เมื่อถามสวนความแก่มันด้วยซื่อ ”
ลักษณะสำคัญของการปกครองแบบพ่อปกครองลูกหรือบิดาปกครองบุตร
ซึ่งมีลักษณะสำคัญดังนี้
1. รูปแบบการปกครอง พระมหากษัตริย์ทรงมีฐานะเป็นผู้ปกครองสูงสุดทรงเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตย (รูปแบบการปกครองแบบราชาธิปไตย)
2. ความสัมพันธ์ระหว่าง พระกษัตริย์กับประชาชนมีความใกล้ชิดเสมือนบิดากับบุตร พระมหากษัตริย์สมัยสุโขทัยตอนต้นมักใช้พระนามว่า พ่อขุน เช่นพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ เมื่อประชาชนเดือดร้อนมีปัญหาก็ไปสั่นกระดิ่งเพื่อขอเข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์ได้โดยง่าย
3. การใช้หลักธรรมในการปกครองพระมหากษัตริย์ทรงใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ในการบริหารบ้านเมืองและทรงชักชวนให้ประชาชนปฏิบัติธรรม เช่นการฟังเทศน์ ฟังธรรม ทุกๆ วันพระ กลางดงตาล
การปกครองสมัยสุโขทัยตอนปลาย พ.ศ. 1841 – 1981
หลังจากพ่อขุนรามคำแหงมหาราชเสด็จสวรรคต ใน พ.ศ. 1841 อาณาจักรสุโขทัยเริ่มระส่ำระสายพระมหากษัตริย์องค์ต่อมาคือ พระยาเลอไทย และพระเจ้างั่วนำถุม ไม่อาจรักษาความมั่นคงของอาณาจักรไว้ได้ เมืองหลายเมืองแยกตัวเป็นอิสระไม่ขึ้นต่อ อาณาจักรสุโขทัย สภาพการเมืองภายในเกิดปัญหาการสืบราชสมบัติรูปแบบการปกครองแบบบิดากับบุตรหรือ แบบพ่อปกครองลูก เริ่มเสื่อมคลายลง ทั้งนี้เนื่องมาจากการรับเอาแนวคิดเรื่องเทวราชาของขอมมาใช้ ทำให้พระมหากษัตริย์มีฐานะเป็นสมมติเทพ ไม่เป็นบิดาของราษฎรเหมือนดังเดิมสิ่งใด ๆ เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์มีขั้นตอนและธรรมเนียมที่สลับซับซ้อนทั้งนี้เพื่อแสดงให้เห็นความสำคัญของพระมหากษัตริย์
ความระส่ำระสายในอาณาจักรสุโขทัย มีขึ้นตลอดระยะเวลาประมาณ 50 ปีหลังจากพ่อขุนรามคำแหงมหาราช เสด็จสวรรคตทำให้การขึ้นครองราชย์ของพระยาลิไทยต้องใช้กำลังปราบปราม
เมื่อพระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไทย) ขึ้นครองราชย์ในพ.ศ.1890 นั้นทรงตระหนักถึงความไม่มั่นคงภายในประกอบกับเวลานั้นอาณาจักรอยุธยาที่ตั้งขึ้นใหม่ ซึ่งกำลังมีอิทธิพลมากเกรงว่าจะเป็นอันตรายแก่อาณาจักรสุโขทัย พระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไทย) ทรงเห็นว่าการแก้ปัญหาการเมืองด้วยการใช้อำนาจทางทหารอย่างเดียวไม่อาจทำได้เพราะอำนาจทางทหารของอาณาจักรสุโขทัย ในของพระองค์ไม่เข้มแข็งพอ พระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไทย) จึงทรงดำเนิน พระราชกุศโลบาย โดยทรงทำนุบำรุงส่งเสริมทางพระพุทธศาสนา ทรงเป็นผู้ปฏิบัติธรรม เป็นตัวอย่างแก่พสกนิกร และได้ทรงสร้างถาวรวัตถุทางพระพุทธศาสนาไว้ เพื่อเป็นที่เคารพบูชาของประชาราษฎร ทำให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธายึดหลักธรรมของพระพุทธศาสนาเป็นหลักในการดำเนินชีวิต สร้างความสามัคคีกลมเกลียวมั่นคงขึ้นในแผ่นดิน
การปกครองที่อาศัยพระพุทธศาสนานี้ เรียกว่า การปกครองแบบธรรมราชา พระมหากษัตริย์แบบธรรมราชาต้องทรงอยู่ในทศพิธราชธรรม แนวความคิดเรื่องธรรมราชานี้มีแทรกอยู่ทั่วไปในนโยบายการปกคอรงของอาณาจักรต่างๆ ที่นับถือพุทธศาสนาทั้งก่อนรัชสมัยพระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไทย) สมัยของพระองค์ทรงเป็นผู้นำแนวความคิดเรื่องธรรมราชามาปฏิบัติให้เป็นระบบ พระมหากษัตริย์รัชกาลต่อมา จึงทรงพระนามว่าพระมหาธรรมราชา และทรงปกครองราษฎรในแบบธรรมราชาเหมือนกันทุกพระองค์จนถึงรัชสมัยของพระมหาธรรมราชาที่ 4 (บรมปาล) ซึ่งเป็นรัชกาลที่ 9 และเป็นรัชกาลสุดท้ายของอาณาจักรสุโขทัย
ที่มา : http://www.sriayudhya.ac.th/wittayatana/juta/execise2_2.pdf
รูปแบบการปกครองแบบกระจายอำนาจ
เนื่องจากในสมัยพ่อขุนรามคำแหงอาณาจักรสุโขทัยมีอาณาเขตกว้างขวางมากที่สุด จึงจำเป็นต้องมีการปกครองแบบกระจายอำนาจโดยแบ่งหัวเมืองออกเป็น ชั้น ๆเพื่อกระจายอำนาจในการปกครองออกไปให้ทั่วถึงเมืองต่าง ๆในสมัยสุโขทัยแบ่งออกเป็น 4 ชั้น แต่ละชั้นพระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจในการปกครองดังนี้
1. เมืองหลวง หรือเมืองราชธานี อาณาจักรสุโขทัยมีเมืองสุโขทัยเป็นราชธานี เมืองหลวงหรือเมืองราชธานีมีพระมหากษัตริย์ปกครองเอง เมืองราชธานี เป็นศูนย์กลางทางการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม ศาสนาวัฒนธรรมประเพณ๊
2 เมืองลูกหลวง หรือเมืองหน้าด่าน เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าหัวเมืองชั้นใน ตั้งอยู่รายรอบราชธานีทั้ง 4 ทิศ ห่างจากเมืองหลวงมีระยะทางเดินเท้า 2 วัน เมืองลูกหลวงมีดังนี้
ทิศเหนือ ได้แก่ เมืองศรีสัชนาลัย
ทิศตะวันออก ได้แก่ เมืองสองแคว ( พิษณุโลก )
ทิศใต้ ได้แก่ เมืองสระหลวง ( เมืองพิจิตรเก่า )
ทิศตะวันตก ได้แก่ เมืองนครชุม ( กำแพงเพชร )
เมืองลูกหลวงมีความสำคัญรองมาจากเมืองหลวง ผู้ที่ถูกส่งไปปกครองคือเจ้านายเชื้อพระวษ์
3. เมืองพระยามหานคร เป็นหัวเมืองชั้นนอก ห่างจากเมืองราชธานีออกไปมากกว่าเมืองลูกหลวง พระมหากษัตริย์จะทรงแต่งตั้งขุนนางชั้นผู้ใหญ่หรือผู้ที่เหมาะสมและมีความสามารถไปปกครองดูแลเมืองเหล่านี้โดยขึ้นตรงต่อพระมหากษัตริย์ มีวิธีการปกครองเช่นเดียวกับหัวเมืองชั้นใน เมืองพระยามหานครในสมัยสุโขทัย เช่น เ มืองพระบาง (นครสวรรค์ ) เมืองเชียงทอง ( อยู่ในเขตจังหวัดตาก )เมืองบางพาน ( อยู่ในเขตจังหวัดกำแพงเพชร ) เป็นต้น
4. เมืองประเทศราช ได้แก่เมืองที่อยู่นอกอาณาจักร ชาวเมืองเป็นชาวต่างชาติต่างภาษาพระมหากษัตริย์ทรงดำเนินนโยบายในการปกครองคือให้เจ้านายพื้นเมืองเดิมเป็นเจ้าเมืองปกครองกันอง โดยไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการปกครองภายใน ยกเว้นกรณีที่จำเป็นเท่านั้น ยามปกติเมืองประเทศราชต้องส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายพระมหากษัตริย์สุโขทัยทุก 3 ปี ยามสงครามต้องส่งกองทัพและเสบียงอาหารมาช่วย สมัยพ่อขุนรามคำแหงมีเมืองประเทศราชหลายเมืองดังต่อไปนี้คือ
ทิศเหนือ ได้แก่ เมืองแพร่ เมืองน่าน
ทิศตะวันตก ได้แก่ เมืองทะวาย เมืองเมาะตะมะ เมืองหงสาวดี
ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ เมืองเซ่า(หลวงพระบาง) เมืองเวียงจันทน์
ทิศใต้ ได้แก่ เมืองนครศรีธรรมราช เมืองมะละกา เมืองยะโฮร์
พัฒนาการด้านเศรษฐกิจ
จากหลักฐานศิลาจารึกหลักที่ 1 ทำให้เราทราบว่า เศรษฐกิจในสมัยสุโขทัยมีความเจริญรุ่งเรือง ประชาชนมีความกินดีอยู่ดี บ้านเมืองมีความอุดมสมบูรณ์
ปัจจัยสำคัญที่ช่วยส่งเสริมให้สุโขทัยสามารถพัฒนาเศรษฐกิจให้เจริญก้าวหน้า มีหลายประการ ดังนี้
1. สภาพพื้นที่ของสุโขทัยส่วนใหญ่ ไม่เหมาะแก่การเพาะปลูก จึงต้องมีการใช้
ระบบชลประทานเข้าช่วย ชาวสุโขทัยจึงขุดคู คลอง ตระพัง บ่อน้ำเพื่อใช้ในการอุปโภคบริโภค และใช้ในการเพาะปลูก เป็นต้น
2. อาณาจักรสุโขทัยตั้งอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำปิง ยม น่าน ซึ่งเป็นเส้นทางคมนาคม ติดต่อกับดินแดนอื่นๆ ช่วยส่งเสริมการประกอบอาชีพการค้าขายได้เป็นอย่างดี
3. อาณาจักรสุโขทัยมีนโยบายในการยกเว้นการจัดเก็บภาษีผ่านด่าน หรือ"จกอบ" ช่วยให้เกิดแรงจูงใจให้พ่อค้าเข้ามาค้าขายในสุโขทัยได้มากขึ้น
ลักษณะทางด้านเศรษฐกิจของสุโขทัย
เศรษฐกิจของสุโขทัยขึ้นอยู่กับอาชีพหลักของประชาชน 3 อาชีพ ได้แก่ เกษตรกรรม หัตถกรรม และค้าขาย
1. เกษตรกรรม
การเพาะปลูกเป็นพื้นฐานทางเศรษฐกิจของสุโขทัย แต่ยังคงพึ่งพาฝนฟ้าและแหล่งน้ำตามธรรมชาติ ดังนั้น การเพาะปลูกจึงทำได้เฉพาะในฤดูฝน ที่ตั้งของสุโขทัยและดินแดนรอบราชธานีมีสภาพเป็นที่ดอน จึงประสบปัญหาเรื่องน้ำใช้ในการเพาะปลูก และการบริโภคในฤดูแล้ง พืชเศรษฐกิจที่สำคัญได้แก่ ข้าว หมาก พลู มะม่วง มะพร้าว และมะขาม สัตว์เลี้ยงที่สำคัญ ส่วนมากเลี้ยงไว้ใช้งานและใช้เป็นอาหาร เช่น ม้า วัว ควาย
อาณาจักรสุโขทัย มีการพัฒนาการชลประทาน เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในการเพาะปลูกมี เช่น
- สรีดภงส์ หรือทำนบพระร่วง เป็นเขื่อนกั้นน้ำที่แสดงถึงความก้าวหน้าของระบบการชลประทานในสมัยสุโขทัย
- ตระพัง เป็นสระน้ำขนาดใหญ่ที่ขุดขึ้นภายในตัวเมืองที่สำคัญ ได้แก่ ตระพังเงิน ตระพังทอง ตระพังสอ
- คูคลอง มีการใช้แรงงานคนขุดคูคลองส่งน้ำ ตั้งแต่เมืองศรีสัชนาลัย ผ่านสุโขทัยไปยังกำแพงเพชร ช่วยให้การทำนาทำไร่ได้ผลผลิตสูงขึ้น
2. หัตถกรรม
อาชีพหัตถกรรม เป็นรายได้หลักรองลงมาจากเกษตรกรรม ที่สำคัญได้แก่ การทอผ้า การทำเครื่องจักสาน เครื่องปั้นดินเผา และเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ เช่น ทำมีด ทำขวาน จอบ เสียม อิฐก่อสร้าง กระเบื้อง ตลอดจนการหล่อพระพุทธรูปลงรักปิดทอง เป็นต้น
การทำเครื่องปั้นดินเผาที่เรียกว่า เครื่องสังคโลก โดยได้รับการถ่ายทอดเทคนิคกรรมวิธีจากช่างชาวจีน นับตั้งแต่การเจริญสัมพันธไมตรีกับจีนในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชเป็นต้นมา ลักษณะของเครื่องสังคโลก เป็นเครื่องปั้นดินเผาเคลือบน้ำยาให้เป็นสีต่างๆ เช่น สีขาว ศรีนวล สีเขียวไข่กา และมีลวดลายสวยงาม การตั้งเตาเผาเครื่องสังคโลก มีการค้นพบซากเตาเผาประมาณ ๒๒๐ เตา ที่สำคัญได้แก่ เตาทุเรียง ในเขตกรุงสุโขทัย เตาป่ายาง และเตาเกาะน้อย ในเขตเมืองศรีสัชนาลัย เป็นต้น การส่งออกเครื่องสังคโลกไปยังดินแดนประเทศใกล้เคียง เช่นมลายู ชวา บอร์เนียว และญี่ปุ่น
3. การค้าขาย
การค้าขายในสมัยสุโขทัยเป็นการค้าแบบเสรี ทุกคนมีอิสระในการค้าขาย รัฐไม่จำกัดชนิดสินค้าและไม่เก็บภาษีผ่านด่าน ที่เรียกว่า จกอบ ผู้ใดอยากค้าขายอะไรก็ไม่มีการห้าม มีการค้าสัตว์ชนิดต่าง ๆ เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย เป็นต้น ตลอดจนการค้าขายแร่เงินและแร่ทอง เป็นผลให้มีพ่อค้าต่างเมืองสนใจเข้ามาค้าขายมากขึ้น ทำให้เศรษฐกิจของสุโขทัยเจริญรุ่งเรือง มีตลาดการค้า เรียกว่า ตลาดปสาน เพื่อให้ประชาชนมาติดต่อซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าซึ่งกันและกัน มีลักษณะเป็นร้านเรือนแถวเรียงติดต่อกัน การจัดให้มีถนนเป็นเส้นทางคมนาคมทางบก (ทางเกวียน) ถนนสายสำคัญมีชื่อเรียกว่า ถนนพระร่วง จากเมืองศรีสัชนาลัย ผ่านสุโขทัย ไปยังเมืองกำแพงเพชร นอกจากนี้ ยังอาศัยแม่น้ำลำคลองเป็นเส้นทางค้าขายที่สำคัญ
ลักษณะการค้าระหว่างประเทศ สุโขทัยมีฐานะเป็นตลาดกลาง รับซื้อสินค้าจากหัวเมืองไกลๆ ที่อยู่ห่างไกลจากเมืองท่าและนำมาส่งต่อให้พ่อค้าชาวต่างชาติ ที่เมืองท่าชายฝั่งทะเล ทำให้สุโขทัยมีกำไรอย่างงดงาม การค้าของสุโขทัยในลักษณะดังกล่าวจะเกิดผลดีต่อเศรษฐกิจสุโขทัย ต่อเมื่อสุโขทัยมีอำนาจทางการเมืองที่เข้มแข็ง และมีอิทธิพลเหนือท่าชายฝั่งทะเล แต่เมื่อสุโขทัยเสื่อมอำนาจลง และมีอาณาจักรใกล้เคียง ( กรุงศรีอยุธยา) เป็นคู่แข่ง ทำให้ปริมาณการค้าลดลง ไม่อาจพึ่งเมืองท่าหรือเส้นทางการค้าเดิมได้
สินค้าเข้าและสินค้าออกที่สำคัญของสุโขทัย
· สินค้าออกที่สำคัญ คือ เครื่องสังคโลก หนังสัตว์ ไม้หอม งาช้าง นอแรด ของป่าอื่นๆ
· สินค้าข้าที่สำคัญ คือ ผ้าไหม แพร เครื่องเหล็ก และอาวุธต่างๆ เป็นต้น
ระบบเงินตราสมัยสุโขทัย
· สุโขทัยมีแร่ธาตุหลายชนิดที่ใช้ทำเงินตราได้ เช่น ดีบุก ตะกั่ว ทอง และเงิน ต่อมาจึงมีการนำแร่เงินมาใช้ทำ เงินพดด้วง
· ระบบเงินตราสุโขทัย แบ่งเป็นหน่วยย่อยๆได้ หน่วยที่มีค่าน้อยที่สุด คือ เบี้ย และหน่วยที่มีค่าสูงสุด คือ ชั่ง
· ระบบเงินตราช่วยพัฒนาเศรษฐกิจให้เจริญก้าวหน้า เกิดความสะดวกสบายในการซื้อขายและจูงใจให้ราษฎรประกอบอาชีพค้าขายมากขึ้น เพื่อแสวงหาเงินตราไว้เก็บออมและใช้จ่าย
พัฒนาการทางด้านสังคม วัฒนธรรม ประเพณี ของอาณาจักรสุโขทัย
ลักษณะสังคมของอาณาจักรสุโขทัย
สังคมของอาณาจักรสุโขทัยในระยะแรกเป็นสังคมที่เรียบง่าย จำนวนของประชากร มีไม่มากนัก ทำให้พระมหากษัตริย์กับประชาชนมีความใกล้ชิดกันเปรียบเสมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ในฐานะบิดา ทรงปกครองราษฎรเยี่ยงบิดาปกครองบุตร ประชาชนของอาณาจักรสุโขทัยให้การยึดมั่นในพระพุทธศาสนาอยู่ในศีลธรรม ปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนาเป็นประจำ เช่น ทำบุญ ให้ทาน รักษาศีล ฟังธรรม สร้างวัด ประกอบกับอาณาจักรสุโขทัยมีความอุดมสมบูรณ์ ซึ่งปรากฏข้อความในหลักศิลาจารึกที่ 1 ว่า “...เมืองสุโขทัยนี้ดี ในน้ำมีปลาในนา มีข้าว…” ประชาชนไม่มีการแก่งแย่งกัน ประชาชนมีความเสมอภาค มีสิทธิเสรีภาพ เท่าเทียมกันและได้รับความเป็นธรรมโดยทั่วหน้า แต่ระยะหลังจากสามรัชกาลแรกมาแล้ว สุโขทัยมีความเจริญก้าวหน้าขึ้น จำนวนประชากรเพิ่มมากขึ้น ทำให้ความสนิทสนมระหว่างพระมหากษัตริย์กับประชาชนและประชาชนกับประชาชนลดน้อยลง เพราะพระมหากษัตริย์มิได้ทรงอยู่ในฐานะบิดาที่คอยปกครองบุตรดังแต่ก่อน
ชนชั้นและความสัมพันธ์ทางชนชั้น
สังคมสุโขทัยมีชนชั้นต่าง ๆ หลายชนชั้นประกอบไปด้วย
ระบบกฎหมายของอาณาจักรสุโขทัย
จากหลักฐานเท่าที่ปรากฏพบว่า มีการตรากฎหมายลัษณะต่างๆ เพื่อสร้างความเป็นระเบียบเรียบร้อยและความเป็นธรรมในสังคม กฎหมายไทยที่มีมาตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคำแหง แห่งอาณาจักรสุโขทัย มีลักษณะเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จารึกลงบนหลักศิลาจารึกของ พ่อขุนรามคำแหง
กฎหมายไทยในสมัยสุโขทัยเท่าที่ปรากฏในหลักศิลาจารึก มีดังนี้
1. กฎหมายว่าด้วยเสรีภาพในการค้าขาย อาณาจักรสุโขทัยให้เสรีภาพในการค้าอย่างเต็มที่ ไม่มีการผูกขาดสินค้าแต่อย่างใด ดังปรากฏข้อความในหลักศิลาจารึกว่า “...เพื่อนจูงวัวไปค้า ขี่ม้าไปขาย ใครจักใคร่ค้าช้างค้า ใครจักใคร่ค้าม้าค้า ใครจักใคร่ค้าเงือนค้าทองค้า...”
2. การเก็บภาษีผ่านด่านภายในประเทศ อาณาจักรสุโขทัยไม่เก็บภาษีระหว่างทาง หรือภาษีผ่านด่าน ซึ่งก่อนหน้านี้อาจจะมีการเก็บภาษีประเภทนี้ เพราะถ้าไม่มีการเรียกเก็บเหตุใดจึงต้องมีข้อบัญญัติให้ยกเลิกหรืองดเว้น ดังปรากฏข้อความในหลักศิลาจารึกว่า “...เจ้าเมืองบ่อเอาจกอบ ในไพร่ลู่ทาง...”
3. กฎหมายมรดก ในสมัยโบราณเมื่อครั้งมนุษย์รวมกันเป็นหมู่เหล่าได้มีข้อบัญญัติว่า ผู้ใดก็ตามที่หาทรัพย์สินมาได้ให้ไว้เป็นส่วนรวม ไม่อาจตกทอดถึงลูกหลานได้ ข้อบัญญัตินี้มีข้อเสีย
ทำให้มนุษย์ขาดความกระตือรือร้นในการทำมาหากิน จะหาทรัพย์ให้พอกินไปวันหนึ่งๆ เท่านั้น
เป็นเหตุให้เศรษฐกิจไม่รุ่งเรือง ไม่มั่นคง จึงได้ยกเลิกข้อบัญญัติดังกล่าว และทำให้เกิดธรรมเนียมประเพณีให้ลูกหลานสามารถรับมรดกของผู้ตายสืบต่อๆ กันมา ส่วนรายได้ของอาณาจักรใช้วิธีเก็บภาษีแทน
4. กฎหมายว่าด้วยลักษณะตุลาการ ตุลาการในอาณาจักรสุโขทัยต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
4.1 ต้องตัดสินด้วยความยุติธรรม โดยไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
4.2 ต้องไม่ยินดีอยากได้ของของผู้อื่น
5. กฎหมายระหว่างประเทศ ข้อความในหลักศิลาจารึกเกี่ยวกับกฎหมายระหว่างประเทศปรากฏ ดังนี้
5.1 ถ้าเมืองใดมาอ่อนน้อมยอมเป็นเมืองขึ้น ก็จะให้ความเอื้อเฟื้อช่วยเหลือ ดังปรากฏในข้อความหลักศิลาจารึกว่า “...คนใดขี่ช้างมาหา พาเมืองมาสู่ ช่วยเหลือเฟื้อกู้...”
5.2 ผู้ที่มาอ่อนน้อมไม่มีช้าง ม้า ผู้คนชายหญิง เงินทองก็ให้ช่วยเหลือไป ตั้งบ้านเมือง ดังปรากฏในข้อความหลักศิลาจารึกว่า “...มันบ่มีช้างบ่มีม้า บ่มีปั่วบ่มีนาง บ่มีเงือนบ่มีทองให้แก่มัน ช่วยมันตวงเป็นบ้านเป็นเมือง...”
5.3 อาณาจักรสุโขทัยสมัยพ่อขุนรามคำแหง เมื่อมีชัยชนะแก่ข้าศึกหรือจับเชลยได้พระองค์ทรงพระกรุณาไม่ให้ลงโทษหรือไม่ให้ฆ่า ดังปรากฏในข้อความหลักศิลาจารึกว่า “...ได้ข้าเสือกข้าเสือ หัวพุ่งหัวรบก็ดี บ่ฆ่าบ่ตี...”
6. กฎหมายว่าด้วยสิทธิในที่ดิน เป็นกฎหมายที่ให้การคุ้มครองและรับรองสิทธิในทรัพย์สินมิให้ผู้ใดมาแย่งชิง
วิธีทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา
อาณาจักรสุโขทัย ไม่มีการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาเป็นลายลักษณ์อักษร เนื่องจาก พ่อขุนรามคำแหง ทรงแขวนกระดิ่งไว้ที่ประตูวัง ราษฎรที่มีเรื่องทุกข์ร้อนก็สามารถไปสั่นกระดิ่ง พระองค์ทรงตัดสินคดีความโดยพระองค์เอง
วิธีการพิจารณาความ
วิธีการพิจารณาตัดสินคดีความของอาณาจักรสุโขทัยให้การตัดสินคดีความด้วย ความยุติธรรม มีความซื่อสัตย์ ให้การสอบสวนข้อเท็จจริงให้ถ่องแท้ก่อนตัดสิน
ลักษณะทางศิลปะและวัฒนธรรมของอาณาจักรสุโขทัย
ความเจริญรุ่งเรืองด้านศิลปะของอาณาจักรสุโขทัยส่วนใหญ่เป็นงานศิลปะที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนามีช่างที่ชำนาญหลายสาขา ผลงานด้านศิลปะสาขาต่าง ๆ ประกอบด้วย
ด้านสถาปัตยกรรม ประติมากรรม จิตรกรรม วรรณกรรม ล้วนแล้วแต่มีความงดงาม เป็นเอกลักษณ์ ที่โดดเด่นของตนเอง นับได้ว่าเป็นมรดกอันล้ำค่าของคนไทยที่ต้องช่วยกันอนุรักษ์ให้คงอยู่ตลอดไป
ผลงานด้านศิลปะสาขาต่าง ๆ ของอาณาจักรสุโขทัย
ด้านศิลปกรรม
1. สาขาสถาปัตยกรรม
งานด้านสถาปัตกรรมสมัยสุโขทัยส่วนใหญ่เป็นสิ่งก่อสร้างทางพระพุทธศาสนา ได้แก่
1.1 เจดีย์
เจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์หรือทรงดอกบัวตูม เป็นสถาปัตยกรรมสมัยสุโขทัย แบบสุโขทัยแท้ สร้างเป็นฐานสี่เหลี่ยมสามชั้น ตั้งซ้อนกันขึ้นไปกับองค์เจดีย์เหลี่ยมย่อมุมยอดเป็น ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์หรือรูปดอกบัวตูม ได้แก่ พระเจดีย์องค์กลางที่วัดเจดีย์เจ็ดแถว เมืองศรีสัชนาลัย และพระเจดีย์ ที่วัดมหาธาตุ กลางเมืองสุโขทัยเก่า
เจดีย์ทรงกลมแบบลังกา เป็นสถาปัตยกรรมสมัยสุโขทัยที่รับรูปแบบศิลปะ
การก่อสร้างมาจากลังกา พร้อมกับพุทธศาสนานิกายลังกาวงศ์ ซึ่งช่างสมัยสุโขทัยนิยมสร้างเจดีย์ทรงกลมแบบลังกามาก โดยสร้างเป็นฐานสี่เหลี่ยมสองถึงสามชั้น องค์เจดีย์ทำเป็นรูประฆังหรือ
ขันโอคว่ำได้แก่ เจดีย์วัดช้างล้อม ศรีสัชนาลัย
เจดีย์ทรงเรือนธาตุ เป็นสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานผลงานด้านศิลปะแบบศรีวิชัยและลังกา มีลักษณะฐานและองค์ระฆังสูงทำเป็นสี่เหลี่ยม บางทีก็มีคูหาประดิษฐานพระพุทธรูปตอนบนเป็นพระเจดีย์ทรงกลมแบบลังกา และเจดีย์องค์เล็ก ๆ ประกอบอยู่ที่สี่มุม ได้แก่ เจดีย์
รายบางองค์ในวัดเจดีย์เจ็ดแถว อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย
1.2 โบสถ์วิหาร
อาณาจักรสุโขทัยนิยมสร้างวิหารใหญ่เท่าโบสถ์ แผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าผนังมักจะเจาะเป็นลูกกรงเล็ก ๆ แทนหน้าต่าง หลังคามุงด้วยกระเบื้องดินเผา ฐานก่อด้วยศิลาแลงสี่เหลี่ยมนับว่าเป็นสถานที่สำคัญที่ใช้สำหรับประกอบสังฆกรรมของสงฆ์ และใช้ประกอบพิธีอุปสมบท เช่น วิหารหลวงที่วัดมหาธาตุ กรุงสุโขทัย ซึ่งมีขนาดใหญ่มาก เคยเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำริดขนาดใหญ่ ได้แก่ พระศรีศากยมุนี ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่วัดสุทัศนเทพวราราม กรุงเทพมหานคร
1.3 มณฑป
มณฑปเป็นอาคารที่มีพื้นที่สี่เหลี่ยมจัตุรัส นับเป็นศิลปะด้านสถาปัตยกรรมที่ โดดเด่นประเภทหนึ่งของอาณาจักรสุโขทัย ก่อด้วยอิฐหรือศิลาแลง มีประตูด้านหน้าเพียงด้านเดียว ภายในห้องประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดใหญ่ ส่วนพื้นที่ที่เหลือจากการประดิษฐานพระพุทธรูปใช้พื้นที่สำหรับให้พระภิกษุประกอบพิธีกรรม ส่วนหลังคาก่อด้วยอิฐหรือศิลาแลง มีทั้งทรงจั่วและหลังคาโค้ง แบบแผนในการจัดวางมณฑป ทุกแห่งนิยมสร้างให้เชื่อมติดกับอาคารทาง ด้านหน้า แต่ก็มีบางแห่งที่สร้างห่างจากกันเล็กน้อย หลายแห่งจะใช้มณฑปเป็นประธานของวัด
2. สาขาประติมากรรม
ผลงานด้านประติมากรรมของอาณาจักรสุโขทัย นับว่าเป็นศิลปะแบบไทยที่งดงาม มีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง ได้แก่ การสร้างพระพุทธรูปที่ทำด้วยปูนปั้นและสำริด ช่างสุโขทัยนิยมสร้างพระพุทธรูปด้วยอริยาบถทั้งสี่คือ พระพุทธรูปประทับนั่ง ยืน เดิน นอน โดยเฉพาะพระพุทธรูปปางลีลา สร้างได้งดงามมาก นับได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ด้านประติมากรรมสมัยสุโขทัย พระพุทธรูปสมัยสุโขทัยเป็นศิลปะแบบไทยที่มีการพัฒนารูปแบบพระพุทธรูปที่งดงามอ่อนช้อย พระพักตร์สงบงามจับตาจับใจ แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการและความรอบรู้ของช่างศิลป์สมัยสุโขทัยที่เข้าใจถึงคำสอนทางพระพุทธศาสนา อีกทั้งเป็นศิลปะที่มีความแตกต่างจากศิลปะของอินเดีย ลังกาและขอม เช่น พระพุทธรูปปูนปั้นมีวงพระพักตร์กลมได้แก่ พระอัฏฐารสบนเขาสะพานหิน
พระอจนะในวิหารวัดศรีชุม พระพุทธรูปปูนปั้นในคูหารอบพระเจดีย์ใหญ่วัดช้างล้อม
และยังมีพระพุทธรูปที่หล่อด้วยสำริดขนาดใหญ่อยู่หลายองค์ ที่เป็นมรดกตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน ได้แก่ พระศรีศากยมุนี เดิมเป็นพระประธานในวิหารหลวงวัดมหาธาตุกรุงสุโขทัย ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่วัดสุทัศนเทพวราราม กรุงเทพมหานคร พระพุทธชินราช ประดิษฐานอยู่ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลกและพระพุทธชินสีห์ พระศาสดาที่วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร
พระพุทธรูปปางลีลา ศิลปะสุโขทัย วัดสระศรี ตั้งอยู่ภายในอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย
นอกจากนี้ยังได้มีการหล่อเทวรูปด้วยสำริดหลายองค์ เช่น พระอิศวร พระวิษณุ เทวรูปเหล่านี้มีพระพักตร์แบบเดียวกับพระพุทธรูปหมวดใหญ่ มีความแตกต่างกันที่เครื่องแต่งองค์ ซึ่งเครื่องแต่งองค์เทวรูปได้รับอิทธิพลมาจากชาติขอม
3. สาขาจิตรกรรม
จิตรกรรมนับว่าเป็นศิลปะที่งดงามอย่างหนึ่งของอาณาจักรสุโขทัย มีทั้งภาพเขียนและภาพลายเส้น เช่น ภาพจิตรกรรมในผนังคูหา เจดีย์ด้านทิศตะวันตกของวัดเจดีย์เจ็ดแถว เมืองศรีสัชนาลัย ซึ่งเป็นภาพอดีตพระพุทธเจ้า ใช้สีแดง สีขาว และสีเหลืองเป็นหลัก มีการตัดเส้นด้วยสีแดงหรือสีดำ เป็นภาพที่รับอิทธิพลมาจากศิลปะอินเดียและศิลปะพุกามของพม่า ส่วนภาพลายเส้นเรื่องราว
ชาดกจำหลักบนแผ่นหินชนวนที่อุโมงค์วัดศรีชุม เมืองสุโขทัย แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลศิลปะของลังกาอย่างชัดเจน
4.ภาษาและวรรณกรรม
ภาษา
การประดิษฐ์อักษรไทย นับว่าเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่ที่ตกทอดมาตั้งแต่ ครั้งอาณาจักรสุโขทัย ที่บ่งบอกถึงความเป็นอิสระไม่ขึ้นแก่ใคร อีกทั้งเป็นสิ่งที่มีความเจริญรุ่งเรืองตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน พ่อขุนรามคำแหง ได้ทรงคิดประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นเมื่อพุทธศักราชที่ 1826 สันนิษฐานว่าดัดแปลงมาจากอักษรขอมหวัดและมอญโบราณ มีลักษณะการวางรูปแบบตัวอักษรโดยสระ และพยัญชนะอยู่บรรทัดเดียวกัน สระจะอยู่หน้าพยัญชนะ มีวรรณยุกต์เพียงเสียงเอกและโท วรรณยุกต์เขียนไว้บนพยัญชนะและตัวอักษรไทยที่พ่อขุนรามคำแหง ทรงประดิษฐ์ขึ้นได้มีการดัดแปลงมาเรื่อยๆ จนเป็นตัวอักษรไทยที่มีใช้กันจนถึงปัจจุบันนี้ เมื่อพ่อขุนรามคำแหง ทรงประดิษฐ์อักษรไทยแล้ว ทรงจารึกลงในหลักศิลาจารึก เป็นเรื่องราวเหตุการณ์ในรัชกาลของพระองค์ และสังคมสุโขทัย เนื่องจากพระองค์ทรงเห็นว่าการที่ทรงจารึกลงตัวอักษรในหลักศิลาจะ มีความยั่งยืนตลอดไปไม่สูญหาย และยังเป็นประโยชน์ต่อการศึกษา ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม โบราณคดีของสมัยสุโขทัย
หลักศิลาจารึก
วรรณกรรม
วรรณกรรมในสมัยสุโขทัย มีอยู่หลายประเภท ส่วนใหญ่เป็นการสดุดีวีรกรรม ศาสนา และปรัชญา โดยมีวรรณกรรมที่สำคัญ ดังนี้
ศิลาจารึกหลักที่ 1 จะใช้ภาษาง่าย ๆ ที่ไพเราะ เนื้อหาสาระกล่าวถึงพระราชประวัติ พ่อขุนรามคำแหง สภาพบ้านเมือง การปกครอง สังคมวัฒนธรรมและศาสนาของอาณาจักรสุโขทัย
ไตรภูมิพระร่วง หรือเตภูมิกถา เป็นวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา
พระมหาธรรมราชาที่ 1 (พญาลิไท) ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้น โดยอ้างคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาถึง 30 คัมภีร์ วัตถุประสงค์ในการแต่งเพื่ออบรมสั่งสอน ประชาชน ให้ยึดมั่นในคุณธรรม พระพุทธศาสนา สะท้อนแนวคิด ความเชื่อเรื่องนรกสวรรค์ สั่งสอนให้คนประพฤติดีละเว้นความชั่ว และเกรงกลัวต่อบาป
สุภาษิตพระร่วง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6 แห่ง
กรุงรัตนโกสินทร์) ทรงสันนิษฐานว่า พ่อขุนรามคำแหง ทรงพระราชนิพนธ์ ใช้ถ้อยคำง่าย ๆ
เพื่อใช้สั่งสอนคนทั่วไปให้ประพฤติตนในสังคม ต่อมาสุภาษิตพระร่วง มีอิทธิพลต่อสังคมไทยมาก จนกลายเป็นสุภาษิต และสำนวนไทยมาจนถึงปัจจุบัน
ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ หรือตำรับนางนพมาศ เป็นวรรณกรรมที่กล่าวถึงขนบธรรมเนียมประเพณีในราชสำนัก ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวสุโขทัย การเผาเทียนลอยประทีป ความในวรรณกรรมเรื่องนี้ จะไม่ใช้ถ้อยคำภาษาสุโขทัยล้วน ๆ แต่เนื้อเรื่องจะเกี่ยวกับพระราชพิธีต่าง ๆ สมัยสุโขทัย
ศาสนา
ประชาชนของอาณาจักรสุโขทัย นับถือทั้งศาสนาพุทธ ศาสนาพราหมณ์ และนับถือผี โดยเฉพาะผีที่มีผู้นับถือมากที่สุด คือ พระขพุงผี ขณะเดียวกันพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์เป็นที่นับถือกันอย่างแพร่หลาย โดยรับอิทธิพลมาจากเมืองนครศรีธรรมราช ตั้งแต่สมัยพ่อขุนศรี
อินทราทิตย์ พระองค์ทรงมีมิตรไมตรี กับเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช และได้แต่งทูตไปลังกา
พร้อมกันกับทูตของเมืองนครศรีธรรมราช เพื่อขอพระพุทธสิหิงค์มาไว้สักการะที่สุโขทัยพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ เผยแผ่ออกไปอย่างกว้างขวางในสมัยพ่อขุนรามคำแหง พระองค์ทรงนิมนต์พระสงฆ์ลังกาจากเมืองนครศรีธรรมราชมาเผยแผ่ และสั่งสอนพระธรรมในวันธรรมสวนะ (วันพระ) ให้กับประชาชนชาวสุโขทัย โดยพระสงฆ์นั่งแสดงธรรมเทศนาบนพระแท่น
มนังคศิลาอาสน์ นอกเหนือจากวันธรรมสวนะพ่อขุนรามคำแหง ทรงสั่งสอนศีลธรรมให้ประชาชนชาวสุโขทัย สำหรับพระพุทธศาสนาในสมัยพระมหาธรรมราชาที่ 1 (พญาลิไท) มีความเจริญสูงสุด พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯให้ส่งคน ไปนิมนต์พระสงฆ์มาจากลังกา และทรงแต่งตั้งให้เป็นพระสังฆราช นอกจากนั้นพระองค์ทรงมีความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า โดยพระองค์ทรงออกผนวช และจำพรรษาที่วัดป่ามะม่วง นับเป็นกษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่ทรงออกผนวช นอกจากนี้พระองค์ยังทรงพระราชนิพนธ์หนังสือที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ได้แก่ ไตรภูมิพระร่วงหรือ เตภูมิกถา ซึ่งเป็นหนังสือเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาที่ชี้ให้เห็นถึงผลของกรรมดีและกรรมชั่ว
ประเพณีของอาณาจักรสุโขทัย
ประเพณีของอาณาจักรสุโขทัย ส่วนใหญ่มีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา โดยมีประเพณีที่สำคัญ ดังนี้
1. ประเพณีการสร้างวัดและศาสนวัตถุ
จากข้อความในศิลาจารึกหลักที่ 1 สะท้อนให้เห็นว่า อาณาจักรสุโขทัยมีวัดเป็นศูนย์กลางของสังคม เป็นศูนย์รวมกิจกรรมทางศาสนา เป็นสถานที่ใช้ศึกษาหาความรู้ของเด็กชาย เป็นแหล่งพบปะของชนทุกชั้นในวันสำคัญทางศาสนา และยังเป็นแหล่งรวมศิลปะด้านสถาปัตยกรรม ด้านประติมากรรม เช่น มีการสร้างโบสถ์วิหาร เพื่อใช้ในกิจของสงฆ์ สร้างเจดีย์ไว้เพื่อการบูชา และสร้างพระพุทธรูปเพื่อการเคารพสักการะนอกจากนั้นยังมีประเพณีการสร้างวัดในเขตพระราชวังแห่งกรุงสุโขทัย ได้แก่ วัดมหาธาตุ เพื่อใช้เป็นที่ประกอบพระราชพิธีสำคัญทางศาสนาไม่มีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่
2. ประเพณีการบวช
ชาวพุทธเชื่อกันว่าการบวชเป็นการช่วยอบรมสั่งสอนให้ผู้บวชเป็นคนดี เป็นการทดแทนพระคุณบิดามารดาที่ให้กำเนิด นอกจากนั้นผู้บวชยังมีโอกาสได้ศึกษาพระธรรมวินัย สวดมนต์ภาวนา ฝึกจิตใจให้สงบและยังได้เรียนรู้ถึงการดำรงชีวิตตามหลักทำนองคลองธรรม
3. ประเพณีการทำบุญตักบาตร
นับว่าเป็นประเพณีที่ชาวพุทธได้ยึดถือปฏิบัติสืบต่อกันเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง พุทธศาสนิกชน ของอาณาจักรสุโขทัย มีการทำบุญตักบาตรทุกวัน ทำบุญตักบาตรใน วันธรรมสวนะ (วันพระ) การทำบุญในวันเข้าพรรษาและออกพรรษามีการถือศีลในเทศกาลเข้าพรรษา เพื่อเป็นการสะสมบุญให้ตนเองและยังอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว
การทำบุญตักบาตรของชาวสุโขทัย
4. พระราชพิธี
พระราชพิธีที่สำคัญในสมัยสุโขทัย ได้แก่ พระราชพิธีวันวิสาขบูชา ซึ่งตรงกับ วันเพ็ญเดือนหก เป็นวันคล้ายวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระพุทธเจ้า มีการทำบุญ ถืออุโบสถศีล ปล่อยสัตว์ และบูชาพระรัตนตรัยด้วยเครื่องประทีป นอกจากนั้นเชื่อกันว่ามีอีกหลายพระราชพิธีที่มีมาตั้งแต่ครั้งกรุงสุโขทัย และได้ปฏิบัติสืบทอดกันมาถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาและกรุงรัตนโกสินทร์ เช่น พระราชพิธีจองเปรียง พระราชพิธีลอยพระประทีป พระราชพิธีพืชมงคล และพระราชพิธี จรดพระนังคัลแรกนาขวัญ
5. การละเล่นรื่นเริง
ในสมัยสุโขทัยมีการละเล่นรื่นเริงในงานออกพรรษา การเผาเทียนเล่นไฟ มีการจุดไฟ เฉลิมฉลองประโคมกลอง ดนตรีและมีระบำรำฟ้อน นับว่าเป็นการละเล่นที่มีความสนุกสนานมาก
ความสัมพันธ์กับต่างประเทศของอาณาจักรสุโขทัย
อาณาจักรสุโขทัย มีการสร้างความสัมพันธ์กับต่างประเทศ ด้วยวิธีการที่หลากหลายแตกต่างกันออกไป โดยมีความสัมพันธ์กับดินแดนต่าง ๆ ดังนี้
1) ความสัมพันธ์กับมอญ
ความสัมพันธ์ระหว่างสุโขทัยกับมอญ ส่วนใหญ่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาลัทธิ เถรวาท ที่มอญนับถืออยู่แล้ว ในปลายพุทธศตวรรษที่ 18 พระภิกษุมอญบางรูปได้ไปศึกษาพระพุทธศาสนาในลังกา เมื่อเดินทางกลับมาได้ไปสอนพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ที่เมืองนครศรีธรรมราช ภายหลังต่อมาได้แพร่หลายไปยังกรุงสุโขทัย นอกจากนั้นสุโขทัยกับมอญยังมีความสัมพันธ์กันทางเครือญาติในสมัยพ่อขุนรามคำแหง โดยมะกะโท พ่อค้ามอญได้แต่งงานกับพระราชธิดาของพ่อขุนรามคำแหงแล้วหนีไปอยู่เมืองเมาะตะมะ ภายหลังได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินมอญทรงพระนามว่า พระเจ้าฟ้ารั่วและสวามิภักดิ์ต่อไทย แต่หลังรัชกาลเจ้าฟ้ารั่วแล้วมอญก็แยกตัวเป็นอิสระ
2) ความสัมพันธ์กับจีน
ความสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรสุโขทัยกับจีน มีมาตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคำแหง ส่วนใหญ่เป็นความสัมพันธ์ด้านการค้า ระบบราชบรรณาการในสมัยพระเจ้าหงวนสีโจ๊ว แห่งราชวงศ์หงวน ได้ดำเนินนโยบายส่งทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศต่าง ๆ พร้อมทั้งชักชวนให้ส่งทูตไปติดต่อและส่งเครื่องราชบรรณาการให้แก่จีน โดยความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างอาณาจักรสุโขทัยกับจีน จีนเป็นฝ่ายเริ่มต้นส่งคณะทูตเข้ามาคณะแรกในปี พ.ศ. 1825
แต่คณะทูตชุดนี้ยังไม่ได้มาถึงอาณาจักรสุโขทัย พ่อขุนรามคำแหงทรงตัดสินพระทัยส่งราชทูตพร้อมเครื่องราชบรรณาการไปถวายแก่พระเจ้าหงวนสีโจ๊ว เพื่อเป็นการกระชับมิตร
ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นไป ได้แลกเปลี่ยนคณะทูตกันอีกหลายครั้ง นอกจากนั้นอาณาจักสุโขทัย
ยังรับประโยชน์จากจีนโดยการรับวิทยาการเรื่องเทคนิคการทำเครื่องปั้นดินเผาแบบใหม่ คือการทำเครื่องสังคโลก ที่มีคุณภาพสามารถเป็นสินค้าส่งออก นำรายได้มาสู่อาณาจักรสุโขทัย
เป็นจำนวนมาก
โถฝาเคลือบ
ที่มาภาพ http://museum.bu.ac.th/MTP01.gif
ผลจากการเปิดสัมพันธภาพกับจีน
1. ทางด้านการเมือง ทำให้อาณาจักรสุโขทัยรอดพ้นจากการรุกรานจากจีน นอกจากนั้นจีนยังไม่เข้าแทรกแซงการขยายอาณาเขตของไทยไปยังแหลมมลายูจนเกินขอบเขต
2. ทางด้านเศรษฐกิจ เป็นการส่งเสริมการค้าระหว่างไทยกับจีน ในระบบบรรณาการทำให้ไทยได้รับประโยชน์จากการค้าระบบนี้ โดยคณะทูต ได้รับอนุญาตให้มีการซื้อขายสินค้าโดยไม่ต้องเสียภาษี
3. ทำให้เกิดอุตสาหกรรมผลิตเครื่องสังคโลกขึ้น ผลิตตั้งแต่ชิ้นใหญ่ลงไปถึงชิ้นเล็ก ๆ โดยเฉพาะบริเวณสุโขทัยและสวรรคโลก ต่อมาการผลิตเครื่องสังคโลกได้มีการขยายตัวอย่างรวดเร็วทำให้เศรษฐกิจสุโขทัยเจริญขึ้นด้วยการส่งเครื่องสังคโลกไปจำหน่ายยังเมืองต่าง ๆ
4. ทางด้านวัฒนธรรม ชาวไทยยุคนี้ได้รับวัฒนธรรมบางอย่างจากจีน เช่นการจุด ดอกไม้ไฟ
3) ความสัมพันธ์กับลังกา
อาณาจักรสุโขทัยกับลังกาส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์กันทางด้านพระพุทธศาสนา
ในสมัยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ สุโขทัยได้รับพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์มาจากเมืองนครศรีธรรมราช พระองค์ได้ทรงส่งราชทูตไปยังลังกาพร้อมกับราชทูตของเมืองนครศรีธรรมราช เพื่อขอพระพุทธสิหิงค์มาไว้สักการบูชาที่อาณาจักรสุโขทัย ทำให้อาณาจักรสุโขทัย ได้แบบอย่างพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์มาถือปฏิบัติกันในอาณาจักรสุโขทัยอย่างจริงจัง
ในสมัยพ่อขุนรามคำแหง เป็นสมัยที่ให้การยอมรับพระพุทธศาสนา เป็นศาสนา
ประจำชาติ โดยพระองค์ทรงนิมนต์พระสงฆ์มาจากเมืองนครศรีธรรมราช มาประจำอยู่ที่สุโขทัยและแสดงธรรมในวันธรรมสวนะ (วันพระ) ที่กลางดงตาลให้กับประชาชนชาวสุโขทัย และช่วยส่งเสริมทางการศึกษา ทางศาสนาและการปฏิบัติทางวินัย นอกจากนั้นยังมีประเพณีในด้านศาสนา
เกิดขึ้นแล้ว เช่น การทำบุญ การทอดกฐิน
ในสมัยพระเจ้าเลอไท พระสงฆ์บางรูป เช่น พระมหาเถรศรีศรัทธา ได้เดินทางไปศึกษาพระไตรปิฎกในประเทศลังกา เมื่อเดินทางกลับได้นำพระศรีมหาโพธิ์ พระศีวาธาตุ (กระดูกส่วนบนร่างกาย เช่น กรามหรือไหปลาร้า) และพระทันตธาตุมาประดิษฐานไว้ที่กรุงสุโขทัย นอกจากนั้นพระองค์ยังนำพระวินัยที่เคร่งครัดของพระสงฆ์ในนิกายมหาวิหาร มาเผยแผ่ใน
กรุงสุโขทัย
ในสมัยพระมหาธรรมราชาที่ 1 (พญาลิไท) เป็นสมัยที่อาณาจักรสุโขทัยมีความเจริญด้านพระพุทธศาสนามากที่สุด โดยพระองค์ได้โปรดให้พิมพ์รอยพระพุทธบาท จากประเทศศรีลังกา มาจำหลักลงบนแผ่นหิน แล้วนำไปประดิษฐานยังยอดเขาสุมณกุฎ(ปัจจุบันคือ “เขาหลวง” อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองสุโขทัยเก่า) และเมื่อครั้งพระองค์ฯ เสด็จออกผนวชก็ได้โปรดให้เชิญพระอุทุมพรบุปผาสวามีชาวลังกา มาเป็นพระอุปัชฌาย์
ผลดีจากการเปิดสัมพันธภาพกับลังกา
1. อาณาจักรสุโขทัยได้รับแบบอย่างพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์มาปฏิบัติอย่างจริงจัง
2. ไทยได้รับมรดกทางด้านศิลปะมาถือปฏิบัติ เช่น การสร้างโบสถ์ วิหาร
3. ไทยได้รับมรดกทางวัฒนธรรม เช่น งานพระราชพิธีในพระราชสำนัก พระราชพิธีเกี่ยวกับงานนักขัตฤกษ์ในพระพุทธศาสนา
พระพุทธสิหิงค์
ซึ่งทางสุโขทัยรับมอบมาจากลังกา ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ในพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร
ที่มาภาพ http://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/
4) ความสัมพันธ์กับกัมพูชา
บริเวณแว่นแคว้นต่าง ๆ ในประเทศไทยโดยเฉพาะ ภาคกลางได้มีการเกี่ยวข้องกับกัมพูชามาก่อนการตั้งอาณาจักรสุโขทัย ต่อจากนี้ได้ขยายอิทธิพลไปยังบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือเกือบทั้งหมด มีการพบร่องรอยอิทธิพล ทางด้านศิลปวัฒนธรรมของขอมตามศาสนสถาน
ที่ประกอบด้วยทั้งพระปรางค์ และปราสาท เช่น พระปรางค์สามยอด จังหวัดลพบุรี ปราสาทเมืองสิงห์ จังหวัดกาญจนบุรี อันแสดงให้เห็นอิทธิพลในทางพระพุทธศาสนาลัทธิมหายานทั้งสิ้น
นอกจากนั้นกัมพูชาและบ้านเมืองไทย ยังมีความเกี่ยวข้องทางการเมืองด้วย กล่าวคือ กษัตริย์ของกัมพูชา และรัฐต่าง ๆในเมืองไทย มีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกัน เช่น กษัตริย์ขอมพระราชทานพระธิดาให้พ่อขุนผาเมืองแห่งเมืองราด ซึ่งนำไปสู่การก่อตั้งอาณาจักรสุโขทัยภายหลัง
ศาลตาผาแดง
ในบริเวณเมืองเก่าสุโขทัย เป็นศาสนสถานก่อด้วยศิลาแลงเป็นเทวาลัยในศาสนาพราหมณ์ มีลักษณะเช่นเดียวกับ อาคารที่สร้างตามแนวศิลปะขอมสมัยนครวัดของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2
5) ความสัมพันธ์กับอาณาจักรล้านนา
อาณาจักรสุโขทัยกับล้านนา มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันมาก โดยพญามังรายเจ้าเมือง เงินยาง และพญางำเมือง เจ้าเมืองพะเยา แห่งอาณาจักรล้านนา เป็นมิตรสหายที่ดีของ พ่อขุนรามคำแหงมาตั้งแต่เยาว์วัย กษัตริย์ทั้งสามพระองค์ได้ทำสัญญาเป็นมิตรไมตรีที่ดีต่อกันอย่างแน่นแฟ้น ต่อมาพ่อขุนรามคำแหงได้เสด็จขึ้นไปยังอาณาจักรล้านนา พร้อมกับพญางำเมือง
เพื่อช่วยพญามังรายเลือกชัยภูมิที่ดีในการสร้างราชธานีที่เมืองเชียงใหม่ มีชื่อว่า “นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่”
6) ความสัมพันธ์กับเมืองนครศรีธรรมราช
อาณาจักรสุโขทัยกับเมืองนครศรีธรรมราช เริ่มมีความสัมพันธ์กันตั้งแต่พ่อขุน
ศรีอินทราทิตย์ได้เสด็จไปเจริญสัมพันธไมตรีกับพระเจ้าจันทรภานุ กษัตริย์แห่งนครศรีธรรมราชและเคยโปรดเกล้าฯให้ติดต่อขอพระพุทธสิหิงค์จากลังกามาประดิษฐานยังกรุงสุโขทัย และในสมัยพ่อขุนรามคำแหง ได้นำพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทลัทธิลังกาวงศ์ จากนครศรีธรรมราชขึ้นมาเผยแผ่ยังสุโขทัยทำให้พระพุทธศาสนานิกายเถรวาทลัทธิลังกาวงศ์มั่นคงในสุโขทัยนับตั้งแต่นั้นมา
7) ความสัมพันธ์กับอาณาจักรอยุธยา
ความสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรสุโขทัยกับอาณาจักรอยุธยา เริ่มขึ้นในสมัยสมเด็จ พระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) แห่งอาณาจักรอยุธยา ทรงยกทัพขึ้นมายึดเมืองพิษณุโลกของอาณาจักรสุโขทัย ทำให้สุโขทัยต้องส่งเครื่องบรรณาการพร้อมคณะทูตเดินทางไปเจรจาขอเมืองพิษณุโลกคืน ซึ่งสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ทรงพระราชทานเมืองพิษณุโลก
คืน ให้แก่สุโขทัย
ต่อมาสมัยของพระมหาธรรมราชาที่ 2 พระบรมราชาธิราชที่ 1 (ขุนหลวงพระงั่ว)
แห่งอาณาจักรอยุธยา ยกทัพมาตีเมืองชากังราว ทำให้พระมหาธรรมราชาที่ 2 ทรงยอมอ่อนน้อมต่อแสนยานุภาพของอาณาจักรอยุธยา นับตั้งแต่นั้นมาอาณาจักรสุโขทัยตกเป็นเมืองประเทศราชของอาณาจักรอยุธยา จนสิ้นสมัยของพระมหาธรรมราชาที่ 4 (บรมปาล) อาณาจักรสุโขทัยได้ถูกผนวกเป็นส่วนหนี่งของอาณาจักรอยุธยา
การเสื่อมอำนาจของอาณาจักรสุโขทัย
นับตั้งแต่สิ้นรัชกาลพ่อขุนรามคำแหง อาณาจักรสุโขทัยเริ่มอ่อนแอ พระมหาธรรมราชา ที่ 1 (พญาลิไท) ทรงใช้พระพุทธศาสนาเป็นเครื่องมือช่วยเสริมสร้างเพื่อให้อาณาจักรสุโขทัยมีความมั่นคงขึ้นบ้าง ระยะต่อมาสถานการณ์ทรุดหนักลง เป็นเหตุทำให้อาณาจักรสุโขทัยเสื่อมสิ้นสุดลงโดยถูกรวมเข้ากับอาณาจักรอยุธยา ด้วยสาเหตุสำคัญดังนี้
1. ข้อเสียเปรียบทางเศรษฐกิจ
อาณาจักรสุโขทัยมีที่ตั้งอยู่ห่างจากทะเลมาก ทำให้ไม่มีเมืองท่าเป็นของตนเอง และไม่สามารถติดต่อค้าขายกับต่างประเทศโดยตรงได้ ต้องอาศัยผ่านเมืองมอญ และไปทางใต้ทางเมืองเพชรบุรี และนครศรีธรรมราช นอกจากนั้นอาณาจักรสุโขทัย ยังถูกอาณาจักรอยุธยาปิดกั้น โดยสิ้นเชิงด้วยการให้เมืองเหล่านั้นประกาศเอกราชหรือถูกรวมเข้ากับกรุงศรีอยุธยา ทำให้เศรษฐกิจสุโขทัยทรุดโทรม ขาดรายได้ทั้งการค้ากับต่างประเทศ และการค้าระหว่างเมืองต่างๆ เมื่อเศรษฐกิจทรุดโทรมย่อมนำมาซึ่งความเสื่อมโทรมทางการปกครองด้วย
2. ความแตกแยกทางการเมือง
อันเป็นปัญหาสืบเนื่องจากการขาดความสามัคคีภายในอาณาจักรมีการแย่งชิงราชสมบัติ ระหว่างเจ้านายภายในราชวงศ์สุโขทัยด้วยกันเอง เช่นก่อนที่พระมหาธรรมราชาที่ 1 (พญาลิไท) ขึ้นครองราชสมบัติความห่างเหินระหว่างผู้ปกครองกับผู้อยู่ใต้ปกครองมีมากขึ้น เนื่องจากการมีประชากรมากขึ้น ความใกล้ชิดของกษัตริย์ต่อราษฎรได้ลดลงไป ประกอบกับแนวความคิดการปกครองจากพ่อปกครองลูกได้แปรเปลี่ยนเป็นธรรมราชา เนื่องจากสภาพแวดล้อมทางการเมืองนอกจากนั้นวัฒนธรรมอินเดียได้เข้ามามีอิทธิพล ทำให้เกิดความห่างเหินมีมากยิ่งขึ้น จนกลายเป็นแยกกันอยู่คนละส่วน อำนาจในการตัดสินเหตุการณ์ต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับพระมหากษัตริย์เพียงผู้เดียว
3. การปกครองแบบกระจายอำนาจ
อาณาจักรสุโขทัยเสื่อมอำนาจอย่างรวดเร็ว มาจากจุดอ่อนรูปแบบการปกครองที่มีโครงสร้างค่อนข้างเป็นการกระจายอำนาจที่หละหลวม เจ้าเมืองต่างๆ มีอำนาจในการบริหารและการควบคุมกำลังคนภายในเมืองของตนเกือบจะเต็มที่ ราชธานีไม่สามารถควบคุมหัวเมืองได้อย่างรัดกุม จึงเปิดโอกาสให้หัวเมืองเหล่านั้นแยกตัวเป็นอิสระได้โดยง่าย
4. ปัญหาทางการเมืองภายนอก
บริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่างได้มีการก่อตั้งอาณาจักรอยุธยาและทางตอนเหนือได้มีอาณาจักรล้านนาที่นับว่ามีแต่ความเก่าแก่ บีบอยู่ถึง 2 ด้านโดยเฉพาะอาณาจักรอยุธยาได้เข้ามารุกรานชายแดนสุโขทัยหลายครั้ง นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 1914 เป็นต้นมา จนถึงสมัยของ พระมหาธรรมราชาที่ 2 แห่งอาณาจักรสุโขทัย ต้องออกมาอ่อนน้อมยินยอมเป็นเมืองประเทศราชของอาณาจักรอยุธยา
ในปี พ.ศ.1921 เมื่ออาณาจักรสุโขทัยตกเป็นเมืองประเทศราชของอาณาจักรอยุธยา พระมหากษัตริย์ของอาณาจักรสุโขทัย เสด็จมาประทับที่เมืองสองแคว จนถึงปีพ.ศ.1962 พระมหาธรรมราชาที่ 3 เสด็จสวรรคตที่เมืองสองแคว ได้เกิดจราจลแย่งชิงราชสมบัติระหว่าง พญาบานเมืองกับพญารามคำแหง โดยสมเด็จพระนครินทราธิราชแห่งอาณาจักรอยุธยา
ได้เสด็จขึ้นมาระงับเหตุการณ์ ทั้งสองพระองค์ต้องออกมาถวายบังคม จึงโปรดเกล้าฯ
ให้พญาบานเมืองเป็นพระมหาธรรมราชาที่ 4 ครองเมืองสองแคว เมื่อสิ้นรัชกาลนี้แล้วไม่ปรากฏผู้จะปกครองต่อไป อาณาจักรสุโขทัยมีเมืองหลวงอยู่ที่ เมืองสองแคว จึงรวมเข้ากับอาณาจักรอยุธยาในปี พ.ศ. 1981 โดยมีสมเด็จพระราเมศวร (พระบรมไตรโลกนาถ) ขึ้นมาปกครองดูแล อาณาจักรสุโขทัยจึงนับว่าได้สิ้นสุดลง
การที่อาณาจักรสุโขทัยเสื่อมอำนาจอย่างรวดเร็ว มีสาเหตุมาจากจุดอ่อน ในรูปแบบการปกครองที่มีโครงสร้างแบบกระจายอำนาจ วิธีการควบคุมกำลังคนไม่กระชับรัดกุม ทำเลอาณาจักรไม่เหมาะสม เศรษฐกิจไม่มั่งคั่ง ตลอดจนการเป็นรัฐกันชนระหว่างอาณาจักรล้านนาและกรุงศรีอยุธยา จึงทำให้อาณาจักรสุโขทัยสิ้นสุดลง
สรุป
ปัจจัยการสถาปนาอาณาจักรสุโขทัย
-อยูในทําเลที่เหมาะสม
-ขอมเสื่อมอํานาจ
-มีผูนําที่เขมแข็ง
-ประชาชนรักความเปนอิสระและรัก
ความสงบ
ปจจัยที่ทําใหอาณาจักรสุโขทัยเสื่อมอำนาจ
-การแยงชิงอํานาจระหวางเชื้อพระวงศ
-ความไมเขมแข็งของพระมหากษัตริยในราชวงศพระรวงตอนปลาย
-การขยายอิทธิพลของอาณาจักรอยุธยา และอาณาจักรลานนา
-การถูกตัดเสนทางการคากับเมืองตางๆและตางชาติ
-ประชาชนขาดความสามัคคีกัน
พระมหากษัตริยในราชวงศพระรวง
** พอขุนศรีอินทราทิตย พระราชกรณียกิจที่สําคัญคือ
-รวมมือกับพอขุนผาเมือง ในการกอบกูเอกราชคืนจากขอม
-ทรงสถาปนากรุงสุโขทัยเปนราชธานีและทรงเปนตนราชวงศพระรวง
-ทรงรวบรวมอาณาจักรตางๆ เขาเปนอาณาจักรสุโขทัยและทําให
อาณาจักรสุโขทัยเปนปกแผน
**พอขุนรามคําแหงมหาราช พระราชกรณียกิจที่สําคัญคือ
-ทรงประดิษฐอักษรไทยที่ชื่อวา “ลายสือไทย”
-ทรงใหสรางพระแทนนมังคศิลาอาสนไวในดงตาล เพื่อใชเปนที่แสดงธรรม
-ทรงนําพระพุทธศาสนาจากนครศรีธรรมราชมาเผยแผในอาณาจักรสุโขทัย
-ทรงโปรดใหจารึกเรื่องราวตางๆ ลงในศิลาจารึกหลักที่ 1
-ทรงโปรดใหสรางเตาเผาถวยชาม เครื่องเคลือบเพื่อเปนสินคาออก
ไปขายตางเมืองเรียกวา “เตาทุเรียง”
-ทรงขยายอาณาเขต อาณาจักรสุโขทัยออกไปอยางกวางขวาง
-ทรงใหยกเวนการเก็บภาษีผานดานเรียกวา “จังกอบ”
-ทรงใหสรางทํานบกั้นน้ํา (สรีดภงส)
-ทรงปกครองราษฎรแบบ “พอปกครองลูก” (ปตาธิปไตย)
**พระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไทย) พระราชกรณียกิจที่สําคัญคือ
-ทรงขยายอาณาเขตอาณาจักรสุโขทัยออกไปเกือบครึ่งหนึ่งของมัยพอขุนรามคําแหงมหาราช
-ทรงปกครองราษฎรแบบ “ธรรมราชา”
-ทรงสงเสริมพระพุทธศาสนาอยางเต็มที่จนอาณาจักรสุโขทัยเปนศูนยกลางทางพระพุทธศาสนา
-ทรงเสด็จยออกผนวชในขณะที่ขึ้นครองราชย
-ทรงนิพนธวรรณกรรมทางศาสนา เรื่องไตรภูมิพระรวง ซึ่งเปนวรรณกรรมเลมแรกของไทย
-ทรงใหมีการสรางเหมืองกั้นน้ำเพื่อใชในการเกษตร ตั้งแตสองแควถึงสุโขทัย เรียกวา “พนัง”
-ทรงปรับปรุงการเขียนอักษรไทย โดยนําสระมาวางไวขางหนา ขางหลัง ขางบนและขางลางเหมือนสมัยปจจุบัน