เฉลยแบบฝึกหัดหน่วยที่ 2 หลักฐานและวิธีการทางประวัติศาสตร์
กิจกรรมที่ 1 ความหมาย ความสำคัญและวิธีการทางประวัติศาสตร์
ความหมายของวิธีการทางประวัติศาสตร์
วิธีการทางประวัติศาสตร์ หมายถึง วิธีการหรือขั้นตอนต่างๆ ที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า วิจัยเกี่ยวกับเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะอาศัยจากหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรเป็นสำคัญ ประกอบกับหลักฐานอื่นๆ เช่น ภาพถ่าย แถบบันทึกเสียง วีดิทัศน์ หลักฐานทางโบราณคดี เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อให้สามารถฟื้นอดีตหรือจำลองอดีตขึ้นมาใหม่ ได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์และน่าเชื่อถือ
ความสำคัญของวิธีการทางประวัติศาสตร์
วิธีการทางประวัติศาสตร์มีความสำคัญ คือ ทำให้เรื่องราว กิจกรรม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์มีความน่าเชื่อถือ มีความถูกต้องเป็นความจริง หรือใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด เพราะได้มีการศึกษาอย่างเป็นระบบ อย่างมีขั้นตอน มีความระมัดระวัง รอบคอบ โดยผู้ได้รับการฝึกฝนในระเบียบวิธีการทางประวัติศาสตร์มาดีแล้ว
สำหรับการศึกษาประวัติศาสตร์นั้น มีปัญหาที่สำคัญอยู่ประการหนึ่ง คือ อดีตที่มีการฟื้นหรือจำลองขึ้นมาใหม่นั้น มีความถูกต้อง สมบูรณ์ และเชื่อถือได้เพียงใด รวมทั้งหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรและไม่เป็นลายลักษณ์อักษรที่นำมาใช้ เป็นข้อมูลนั้น มีความสมบูรณ์มากน้อยแค่ไหน เพราะเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์มีอยู่มากมายเกินกว่าที่จะศึกษาหรือจดจำได้ หมด แต่หลักฐานที่ใช้เป็นข้อมูลอาจมีเพียงบางส่วน ดังนั้น วิธีการทางประวัติศาตร์จึงมีความสำคัญเพื่อใช้เป็นแนวทางสำหรับผู้ศึกษา ประวัติศาสตร์ หรือผู้ฝึกฝนทางประวัติศาสตร์จะได้นำไปใช้ด้วยความรอบคอบ ระมัดระวัง ไม่ลำเอียง และเพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ
ประโยชน์ของวิธีการทางประวัติศาสตร์
วิธีการทางประวัติศาสตร์มีประโยชน์ทั้งต่อการศึกษาประวัติศาสตร์ที่ทำให้ ได้ เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่น่าเชื่อถือ ประโยชน์อีกด้านหนึ่ง คือ ผู้ที่ได้รับการฝึกฝนการใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์จะทำให้เป็นคนละเอียด รอบคอบ มีการตรวจสอบเรื่องราวที่ศึกษา รวมทั้งนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ โดยจะทำให้เป็นผู้รู้จักทำการประเมินเหตุการณ์ต่างๆว่า มีความน่าเชื่อถือเพียงใด หรือก่อนจะเชื่อถือข้อมูลของใคร ก็นำวิธีการทางประวัติศาสตร์ไปตรวจสอบก่อน
ขั้นตอนวิธีการทางประวัติศาสตร์
1.การกำหนดหัวเรื่องที่จะศึกษา
การศึกษาเรื่องราวในประวัติศาสตร์เริ่มจากความสงสัย อยากรู้ ไม่พอใจกับคำอธิบายเรื่องราวที่มีมาแต่เดิม
2.การรวบรวมหลักฐาน
การรวบรวมหลักฐาน คือ การรวบรวมหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่จะศึกษา ซึ่งมีทั้งหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร และหลักฐานที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
หลักฐานทางประวัติศาสตร์แบ่งออกเป็นหลักฐานชั้นต้นหรือหลักฐานปฐมภูมิกับหลักฐานชั้นรองหรือหลักฐานทุติยภูมิ
1) หลักฐานชั้นต้น (Primary Sources) เป็นหลักฐานร่วมสมัยของผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์โดยตรง
2) หลักฐานชั้นรอง (Secondary Sources) เป็นหลักฐานที่จัดทำขึ้นโดยอาศัยหลักฐานชั้นต้น หรือโดยบุคคลที่ไม่ได้เกี่ยวข้อง ไม่ได้รู้เห็นเหตุการณ์
3.การประเมินคุณค่าของหลักฐาน
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ค้นคว้ามาได้ ก่อนที่จะทำการศึกษาจะต้องมีกาีรประเมินคุณค่าว่าเป็นหลักฐานที่แท้จริง เพียงใด การประเมินคุณค่าของหลักฐานนี้เรียกว่า “วิพากษ์วิธีทางประวัติศาสตร์” ซึ่งมีอยู่ 2 วิธี ดังต่อไปนี้
1) การประเมินคุณค่าภายนอกหรือวิพากษ์วิธีภายนอก
2) การประเมินคุณค่าภายในหรือวิพากษ์วิธีภายใน
4.การวิเคราะห์ สังเคราะห์ และจัดหมวดหมู่ข้อมูล
5.การเรียบเรียงหรือการนำเสนอ
กิจกรรมที่ 2 ลักษณะ ประเภทหลักฐานทางประวัติศาสตร์
ประเภทของหลักฐาน
1. หลักฐานที่จำแนกตามความสำคัญ
1.1 หลักฐานชั้นต้น( primary sources) หมายถึง คำบอกเล่าหรือบันทึกของผู้พบเห็นเหตุการณ์หรือผู้ที่เกี่ยวข้อง
กับเหตุการณ์โดยตรง ได้แก่ บันทึกการเดินทาง จดหมายเหตุ จารึก รวมถึงสิ่งก่อสร้าง หลักฐานทางโบราณคดี โบราณสถาน
โบราณวัตถุ เช่น โบสถ์ เจดีย์ วิหาร พระพุทธรูป รูปปั้น หม้อ ไห ฯลฯ
1.2 หลักฐานชั้นรอง( secondary sources) หมายถึง ผลงานที่เขียนขึ้น หรือเรียบเรียงขึ้นภายหลังจากเกิดเหตุการณ์นั้นแล้ว โดยอาศัยคำบอกเล่า หรือจากหลักฐานชั้นต้นต่างๆ ได้แก่ ตำนาน วิทยานิพนธ์ เป็นต้น
ลักษณะของหลักฐาน
1. หลักฐานที่ใช้อักษรเป็นตัวกำหนด
1.1 หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร (written sources) หมายถึง หลักฐานที่มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ได้แก่ ศิลาจารึก(เก่าแก่ที่สุดของไทย) พงศาวดาร ใบลาน จดหมายเหตุ วรรณกรรม ชีวประวัติ หนังสือพิมพ์ วารสาร นิตยสาร รวมถึงการบันทึกไว้ตามสิ่งก่อสร้างโบราณสถาน โบราณวัตถุ แผนที่ หลักฐานประเภทนี้จัดว่าเป็นหลักฐานสมัยประวัติศาสตร์
1.2 หลักฐานที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร หมายถึง สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นทั้งหมดที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ได้แก่ สิ่งก่อสร้าง โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปะการแสดง คำบอกเล่า นาฏศิลป์ ตนตรี จิตรกรรม ฯลฯ
กิจกรรมที่ 3 : ตัวอย่างหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ที่ปรากฏในประวัติศาสตร์ไทย
ตอบคำถามจากหลักฐานที่ปรากฏในประวัติศาสตร์ไทย (ถ้ามีสัญลักษณ์ / ให้เลือกเพียงข้อเดียว)
1. หลักฐานที่ปรากฏเป็นหลักฐานเกี่ยวกับ การตั้งพระนามของท่านกรมขุนมรุพงศ์ศิริพัฒน์
บันทึกเมื่อ วันศุกร์ แรม 3 ค่ำ เดือน 7 ปีกุน จ.ศ. 1225 ผู้บันทึก S.P.M. Mongkut As the father
2. หลักฐานที่ปรากฏ อยู่ใน สมัย ประวัติศาสตร์ ยุค รัตนโกสินทร์ ราชวงค์ จักรี
3. หลักฐานดังกล่าว / น่าเชื่อถือ xไม่น่าเชื่อถือ เพราะ มีการลงพระบรมนามาภิธัย (ลงชื่อ ผู้บันทึก )
4. ประเภทหลักฐาน / หลักฐานชั้นต้น(หลักฐานปฐมภูมิ) xหลักฐานชั้นรอง(หลักฐานทุติยภูมิ)
5. สมเด็จพระปรเมนทรมหามกุฎ พระจอมเกล้าเจ้ากรุงสยาม หมายถึง.. รัชกาลที่ 4 (พระราชสมภพ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2347 - สวรรคต 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411)
6. ...รัชกาลที่ 4.......... (จากคำตอบข้อ 5) ครองราชย์เมื่อ 2 เมษายน พ.ศ. 2394 - 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411 (17 ปี 182 วัน) (ตรงกับ จ.ศ. 1213..-1230) (ตรงกับ ม.ศ. 1773-1790) (ตรงกับ ค.ศ.1851-1868) (ตรงกับ ฮ.ศ. 1272-1289) ( ส่วน ร.ศ. ยังไม่มีใช้)
7. พระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้า วัฒนานุวงษ คชนาม เป็นบุตรชายของ รัชกาลที่ 4 กับ เจ้าจอมบัว ประสูติ เมื่อ วัน พุธ ขึ้น 10 เดือน 7 (มิถุนายน) ปี กุน จ.ศ.1225 (เบจศกศักราช)๕
ตรงกับ พ.ศ.2406 ตรงกับ ค.ศ.682 ตรงกับ ฮ.ศ. 103 ตรงกับ ม.ศ.604 ตรงกับ ร.ศ.(ยังไม่มีใช้)