หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 สมัยก่อนประวัติศาสตร์ในดินแดนประเทศไทย
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ในดินแดนไทย
1. ปัจจัยที่ผลต่อการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ในดินแดนไทย
1.1 ปัจจัยทางกายภาพ
1. ทำเลที่ตั้ง อยู่กึ่งกลางระหว่างอารยธรรมจีนและอินเดีย และตั้งอยู่ในเส้นทางการค้าระหว่างตะวันออกกับตะวันตก
2. ลักษณะภูมิประเทศ
ภาคเหนือ เป็นทิวเขาสลับที่ราบหุบเขา
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นที่ราบสูง
ภาคกลาง เป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำ
ภาคตะวันตก เป็นทิวเขาสลับที่ราบหุบเขา
ภาคตะวันออก เป็นทิวเขาและที่ราบชายฝั่งทะเล
ภาคใต้ เป็นทิวเขามีที่ราบชายฝั่งทะเลทั้งสองด้านของคาบสมุทร
3. ภูมิอากาศ อยู่ในเขตของลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ทำให้มีฝนตก และลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือทำให้อากาศหนาว
4. ทรัพยากรธรรมชาติ ประเทศไทยเต็มไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ป่าไม้ แหล่งน้ำ และมีแร่ธาตุ ได้แก่ ทองแดง ดีบุก เหล็ก
1.2 ปัจจัยทางสังคม
ตั้งแต่เริ่มมีการตั้งถิ่นฐานถาวรในยุคหินใหม่ โครงสร้างทางสังคมก็มีความซับซ้อนขึ้น มีหัวหน้าปกครอง มีกฎเกณฑ์ต่าง ๆ มีการแบ่งงานกันทำ มีการค้าขายแลกเปลี่ยน มีการแบ่งชนชั้น มีการผสมผสานทางวัฒนธรรม
สมัยก่อนประวัติศาสตร์ในดินแดนประเทศไทย
ดินแดนประเทศไทยก่อนที่จะมีการตั้งอาณาจักรไทยในสมัยพุทธศตวรรษที่ 18 หรือดินแดนประเทศไทยก่อนสมัยประวัติศาสตร์นั้น นักโบราณคดีชาวตะวันตกและชาวไทย (ดอกเตอร์แวนฮิกเกอเรน นายแพทย์สุด แสงวิเชียร และศาสตราจารย์ชิน อยู่ดี) ได้แบ่งยุคก่อนประวัติศาสตร์ในดินแดนประเทศไทยไว้ 4 สมัย คือ
o สมัยหินเก่า (Paleolithic)
o สมัยหินกลาง (Mesolithic)
o สมัยหินใหม่ (Neolithic)
o สมัยโลหะ (Metal)
1. สมัยหินเก่าในประเทศไทย
ยุคหินเก่าคือยุคที่มีอายุระหว่าง 500,000 – 10,000 ปีล่วงมาแล้ว ร่องรอยของมนุษย์หินเก่าในประเทศไทยมีค่อนข้างน้อย ในปี พ.ศ.2475 ศาสตราจารย์ฟริตซ์ สารแซง ชาวสวิตเซอร์แลนด์ได้เข้ามาสำรวจหาร่องรอยสมัยหินเก่าที่จังหวัดเชียงราย ราชบุรี และลพบุรี ได้พบเครื่องมือหินกรวด 2-3 ชิ้น ศาสตราจารย์ฟริตซ์ สารแซงได้ตั้งชื่อวัฒนธรรมเครื่องมือหินเก่าในประเทศไทยว่า ไซแอมเนี่ยน (Siamnian) แต่การค้นพบของศาสตราจารย์ฟริตซ์ สารแซง ไม่เป็นที่สนใจและยอมรับในหมู่นักมนุษย์วิทยาและโบราณคดี ชื่อของวัฒนธรรมนี้จึงตกไป
วัฒนธรรมยุคหินเก่าในประเทศไทยเพิ่งได้รับความสนใจอย่างจริงจังหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จากการค้นพบของดอกเตอร์ แวนฮิกเกอเรน นักมนุษย์วิทยาชาวฮอลันดาซึ่งเป็นเชลยศึกของญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2 และถูกเกณฑ์มาสร้างทางรถไฟสายมรณะ (กาญจนบุรี-มะละแหม่ง) ในระหว่างที่ถูกบังคับให้ทำงานดังกล่าวเข้าได้พบเครื่องมือหินจำนวนมาก เมื่อสงครามสงบลงเขาได้ส่งเครื่องมือหินเหล่านั้นไปตรวจสอบที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ต ผลปรากฏว่าเป็นเครื่องมือหินกรวดกะเทาะหน้าเดียว 6 ก้อน และขวานหินขัดสมัยหินใหม่ 2 ก้อน เครื่องมือหินดังกล่าวขุดพบที่สถานีบ้านเก่าจังหวัดกาญจนบุรี
การค้นพบของดอกเตอร์แวนฮิกเกอเรน เป็นหลักฐานยืนยันอีกครั้งว่ามีมนุษย์ที่ใช้เครื่องมือหินเก่าอาศัยอยู่ในดินแดนที่เป็นประเทศไทยปัจจุบันและสันนิษฐานต่อไปว่ามนุษย์เหล่านั้นอาจจะเป็นเผ่าเดียวกันกับที่พบที่ชวาและปักกิ่ง ซึ่งมีอายุประมาณ 5 แสนปีมาแล้ว ดินแดนประเทศไทยปัจจุบันอาจจะเป็นทางผ่านสำหรับติดต่อ หรืออาจจะเป็นที่อยู่ระหว่างอารยธรรมทั้งสอง3 นอกจากจะค้นพบร่องรอยของวัฒนธรรมยุคหินเก่าที่จังหวัดกาญจนบุรี และยังพบเครื่องมือหินเก่าที่อำเภอเชียงแสนจังหวัดเชียงรายด้วย
2. สมัยหินกลางในประเทศไทย
สมัยหินกลางคือช่วงเวลาระหว่าง 10,000-5,000 ปีล่วงมาแล้ว นอกจากสำรวจและขุดค้นของนักโบราณคดีทั้งไทยและต่างประเทศ ได้พบหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าดินแดนประเทศไทยบริเวณจังหวัดกาญจนบุรี แม่ฮ่องสอน เชียงราย ลพบุรี และราชบุรี เป็นบริเวณที่มีผู้คนอาศัยอยู่ตั้งแต่สมัย 10,000 ปีถึง 7,000 ปีล่วงมาแล้ว หลักฐานที่พบมีทั้งโครงกระดูกมนุษย์ และโครงกระดูกสัตว์ เครื่องปั้นดินเผา เครื่องมือหิน และเปลือกหอย สมัยหินกลาง คือนอกจากจะรู้จักทำเครื่องมือหินใช้แล้ว ยังรู้จักนำเอากระดูกสัตว์และเปลือกหอยมาทำเป็นเครื่องมือ ส่วนพวกเครื่องใช้บางประเภทมนุษย์สมัยกลางสามารถทำภาชนะเครื่องปั้นดินเผา จำพวกหม้อ จาน ชาม หม้อน้ำขึ้นใช้ เครื่องปั้นดินเผาที่มนุษย์สมัยหินกลางทำขึ้น มีลักษณะผิวเรียบมัน พบที่ถ้ำผี อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน นับเป็นเครื่องปั้นดินเผาที่เก่าแก่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์
3. สมัยหินใหม่ในประเทศไทย
สมัยหินใหม่คือช่วงเวลาระหว่าง 5,000-2,000 ปีล่วงมาแล้ว จากการสำรวจและขุดค้นของนักโบราณคดีที่จังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี ลพบุรี และขอนแก่น ได้พบโครงกระดูกมนุษย์ยุคหินใหม่มีขนาดสูงประมาณ 150-167 ซม. ส่วนเครื่องมือเครื่องใช้ที่พบ แยกออกเป็น 4 ประเภทคือ
1) เครื่องมือที่ทำด้วยหิน ที่พบมากคือ ขวานหินขัด ที่ชาวบ้านเรียกว่า ขวานฟ้า เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าปลายข้างหนึ่งมน ส่วนปลายอีกข้างหนึ่งขัดไม้แหลมเรียบ แต่งให้คม ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นขวานศักดิ์สิทธิ์ที่ตกลงมาจากฟ้าขณะที่ฟ้าแลบหรือฟ้าผ่า ขวานหินขัดนี้ขุดพบทั่วไปในทุกภาคของประเทศไทย อายุของขวานหินขัดนี้ประมาณ 4,000 ปี
2) เครื่องมือที่ทำด้วยกระดูก เช่น ปลายหอก ลูกศร เป็นต้น
3) เครื่องมือที่ทำด้วยหอย เช่น พวกใบมีด
4) เครื่องมือที่ทำด้วยดินเผา ทำเป็นเครื่องใช้รูปต่าง ๆ เช่น หม้อ จาน แกนปั่นด้าย กระสุนดินเผา เป็นต้น
จากหลักฐานที่พบ นักโบราณคดีสันนิษฐานว่ามนุษย์ยุคหินใหม่ที่อยู่ในบริเวณประเทศไทยปัจจุบันคงมีจำนวนมาก และตั้งหลักแหล่งกระจายอยู่ทั่วทุกภาคของประเทศไทย บางกลุ่มยังอาศัยอยู่ในถ้ำบางกลุ่มออกมาจากถ้ำมาสร้างบ้านพักหรือกระท่อม ในด้านวัฒนธรรมด้านอื่น ๆ มนุษย์สมัยนี้มีความก้าวหน้ามากขึ้น มีความรักสวยรักงาม รู้จักทำเครื่องประดับร่างกายจากเปลือกหอย ลูกปัด ทำกำไลหิน กำไลกระดูก มีการฝังศพผู้ตายในท่านอนหงายแขนแนบลำตัว วางเครื่องปั้นดินเผาไว้เหนือศีรษะ ปลายเท้าและบริเวณเข่า นอกจากนั้นยังใส่สิ่งของเครื่องใช้ และเครื่องประดับในหลุมฝังศพด้วย
4. สมัยโลหะในประเทศไทย
ยุคโลหะนี้ในบางช่วงแบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ ยุคสำริด และยุคเหล็ก แต่การศึกษาที่ได้ทำกันหลายแห่งในประเทศไทย ยังไม่อาจจำแนกเป็น 2 ยุคดังกล่าวได้ชัดเจน กล่าวคือ
นักโบราณคดีได้พบร่องรอยของมนุษย์ยุคโลหะตอนต้นในประเทศไทย จากการขุดค้นที่ตำบลโนนกทา อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น นักโบราณคดีพบโครงกระดูกมนุษย์และเครื่องมือที่ทำด้วยสำริดทั้งนั้น ไม่มีเครื่องมือที่ทำด้วยเหล็ก แต่มีขวานที่ทำด้วยทองแดงที่เกิดจากธรรมชาติ (ไม่ใช่ทองแดงถลุง) เอามาทุบเป็นรูปขวานโดยไม่ใช้ความร้อน นอกจากนั้นคณะสำรวจและขุดค้นยังพบแม่พิมพ์หินสำหรับหล่อขวานสำริดอายุประมาณ 4,120-4,475 ปีมาแล้ว เก่ากว่ายุคสำริดที่พบที่ดองซอนประเทศเวียดนามและเก่ากว่ายุคสำริดของจีนเล็กน้อย
แหล่งที่พบเครื่องมือสำริดที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งคือ ที่ตำบลเชียง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี ที่นี่นักโบราณคดีได้พบทั้งเครื่องมือสำริด เครื่องมือเหล็ก เครื่องประดับสำริด เครื่องปั้นดินเผารูปแปลก ๆ และมีลายเขียนด้วยสีแดงเป็นลายต่าง ๆ ประมาณ 1,000 แบบ และเครื่องประดับทำด้วยแก้วสีเขียว
การขุดค้นที่บ้านเชียง ทำให้เกิดปัญหาที่สำคัญประการหนึ่งคือ ถ้าพิจารณาเครื่องมือเครื่องใช้แล้วควรจะตัดสินว่าเป็นของมนุษย์ยุคโลหะตอนปลาย ซึ่งควรจะมีอายุประมาณ 2,100 ปีมาแล้ว แต่เมื่อได้ส่งเครื่องปั้นดินเผาไปพิสูจน์อายุ โดยวิธีเทอโมลูเนสเซ็นส์ (Thermoluminescence) แล้วปรากฏผลว่าเครื่องปั้นดินเผาที่ขุดได้จากระดับความลึก 70-80 เซนติเมตรจากผิวดิน มีอายุประมาณ 5,554-460 ปีมาแล้ว ชิ้นส่วนที่ได้จากระดับความลึก 120 เซนติเมตร มีอายุประมาณ 5,574-175 ปีมาแล้ว นักโบราณคดีบางท่าน6 จึงสรุปว่ามนุษย์ผู้เป็นเจ้าของวัฒนธรรมบ้านเชียงนั้นได้สร้างสรรค์วัฒนธรรมเหล่านี้ไว้เมื่อประมาณ 5,000-7,000 ปีมาแล้ว มนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่บ้านเชียงนั้น นอกจากจะรู้จักการสร้างเครื่องมือ เครื่องประดับสำริด และอื่น ๆ ยังรู้จักทำผ้าไหมและเครื่องนุ่งห่มอีกด้วย
ศาตราจารย์สุด แสงวิเชียร ได้สรุปวิวัฒนาการของวัฒนธรรมก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศไว้ว่า ดินแดนประเทศไทยปัจจุบัน เป็นดินแดนที่มีมนุษย์อาศัยอยู่มาตั้งแต่
สมัยหินเก่า คือเมื่อประมาณ 500,000 ปีมาแล้ว อาจจะอยู่ตามตำบลที่พบเครื่องมือ คือบริเวณแควน้อยใหญ่และตามเชิงดอยของจังหวัดกาญจนบุรี และเชียงราย แต่ยังไม่พบโครงกระดูกที่จะช่วยในการสันนิษฐานว่าเป็นมนุษย์ใด
สมัยหินกลางพบร่องรอยของมนุษย์อาศัยอยู่ตามเพิงผา เช่น ที่เพิงผาหน้าถ้ำ จังหวัดแม่ฮ่องสอนพบโครงกระดูกซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นมนุษย์เผ่าโปรโตมาเลย์
สมัยหินใหม่มีมนุษย์อาศัยอยู่เกือบทั่วประเทศไทยปัจจุบัน บริเวณที่อยู่กันหนาแน่นคือ แควน้อยแควใหญ่ จังหวัดกาญจนบุรี เป็นกลุ่มที่มีวัฒนธรรมสูงสามารถทำเครื่องปั้นดินเผาได้ปราณีตเท่าเทียมเครื่องปั้นดินเผาที่พบในประเทศจีน ที่เรียกว่า “วัฒนธรรมโปรโตลุงซาน” และ “วัฒนธรรมลุงซาน” อยู่ทางตอนกลางของประเทศจีน จึงเป็นหลักฐานยืนยันว่าได้มีมนุษย์ที่มีวัฒนธรรม ร่วมกันอาศัยอยู่ตั้งแต่ตอนกลางของประเทศจีนจนถึงแถบตะวันตกของดินแดนประเทศไทยปัจจุบัน เนื่องจากโครงกระดูกที่พบมีลักษณะไม่แตกต่างจากโครงกระดูกของคนไทยปัจจุบัน นักโบราณคดีบางท่านจึงเชื่อว่าเป็นบรรพบุรุษของไทยปัจจุบัน
สมัยโลหะของประเทศไทยยังมีปัญหาอยู่มาก เพราะมนุษย์ยุคโลหะที่พบทางตะวันตกของประเทศไทยปัจจุบันมีอายุเปรียบเทียบประมาณ 2,000 ปีมาแล้ว แต่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยมนุษย์ยุคโลหะมีอายุประมาณ 5,000 ปีมาแล้ว ทำให้เกิดปัญหาว่ามนุษย์ที่อาศัยอยู่บริเวณทั้งสองที่กล่าวนี้เป็นชนละเผ่ากันหรือเป็นเผ่าเดียวกัน แต่มีความจริงทางวัฒนธรรมต่าง กับพวกที่อยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยมีวัฒนธรรมล้ำหน้า มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในบริเวณตะวันตกของประเทศไทย และล้ำหน้ามนุษย์ที่อาศัยอยู่ในประเทศอื่น ๆ ในเอเชียอยู่ 3 อย่าง คือ
1) การหล่อสำริดเป็นเครื่องมือและเครื่องประดับ
2) การเขียนลายสีบนภาชนะดินเผา
3) รู้จักใช้ไหมมาทอเป็นเครื่องนุ่งห่มก่อนแหล่งอื่น
ดังนั้น ประเทศไทยจึงมิใช่แหล่งที่เพียงแต่รับวัฒนธรรมจากแหล่งอื่นเท่านั้น แต่เป็นแหล่งอารยธรรมเริ่มแรกอีกแห่งหนึ่งของโลกด้วย
ที่มา : สมัยก่อนประวัติศาสตร์ในดินแดนประเทศไทย. https://krurumpai.wordpress.com/
สรุป สมัยก่อนสุโขทัยในดินแดนประเทศไทย
เรื่องราวสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในดินแดนไทย
ก่อนทีชนชาติไทยจะเข้ามาตั้งถิ่นฐานขึ้นที่เป็นประเทศไทยปัจจุบันนั้น มีหลายกลุ่มชนตั้งหลักแหล่งอาศัยอยู่มาก่อนแล้วโดยกระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาคของไทยกลุ่มชนเหล่านี้ได้สั่งความเจริญของตนจนมีพัฒนาการมากขึ้นโดยเติบโตจากชุมชนเป็นบ้านเมืองจากบ้านเมืองเป็นแคว้นหรือบ้านเมืองและจากแคว้นเป็นอาณาจักร
การศึกษาพัฒนาการของชุมชนโบราณก่อนประวัติศาสตร์ในดินแดนประเทศไทยจะทำให้เข้าใจรากฐานอารยธรรมไทยมากขึ้นเพราะไทยได้รับมรดกทางวัฒนธรรมจากชุมชนโบราณต่างๆ ในการศึกษาเรื่องราวเรานั้นมาจากหลักฐานทางโบราณคดีเช่นร่องรอยการอยู่อาศัย เครื่องมือเครื่องใช้ ตลอดจนโบราณสถาณและโบราณวัตถุต่างๆ
หลักเกณฑ์การแบ่งยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศไทย
เราได้ทราบมาแล้วว่าดินแดนที่เป็นประเทศไทยปัจจุบันนี้ผู้คนอาศัยอยู่มานานอยู่อีกตั้งแปดที่สุดที่พบคืออายุประมาณ 700,000ปีได้หลักฐานเกี่ยวกับมนุษย์สุด-หกมีอายุประมาณ 180,000 ปี
สมัยประวัติศาสในดินแดนที่เป็นประเทศไทยเริ่มเมื่อประมาณพ.ศ. 1180 ซึ่งฐานะมาถึงปัจจุบันสมัยประวัติศาสในประเทศไทน จะไม่ถึง 1400ปี ซึ่งนับว่าสั้นมากเมื่อเทียบกับการที่มนุษย์ตั้งถิ่นฐานในดินแดนประเทศไทยและก่อนที่ประเทศไทยจะรู้จักใช้ตัวหนังสือ ก็ยาวนานมาก คือ ประมาณ 700,000 ปี สมัยนี้เรียกว่า สมัยก่อนประวัติศาสตร์
หลักเกณฑ์การแบ่งยุค แบ่งเป็น 2 ประเภท
1. แบ่งตามเทคโนโลยีการทำเครื่องมือเครื่องใช้
2. แบ่งตามลักษณะการดำรงชีวิตของผู้คน
การขยายตัวของชุมชนในสุวรรณภูมิ
ในช่วงยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย เมื่อประมาณ 2,500 - 1,500 ปีมาแล้ว ชุมชนโบราณเริ่มมีการถลุงสินแร่โลหะ การใช้เครื่องมือใช้โลหะ การแลกเปลี่ยนทรัพยากรระหว่างชุมชนโบราณ อาทิ แหล่งเกลือธรรมชาติ แหล่งแร่ทองแดง ฯลฯอาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ก่อให้เกิดการแลกรับวัฒนธรรมจากภายนอก และส่งผลให้เกิดพัฒนาการภายในกลุ่มชนยุคก่อนประวัติศาสตร์ ก่อให้เกิดชุมชนกระจายอยู่ทั่วไปในบริเวณลุ่มน้ำต่าง ๆ ดังจะเห็นได้จากการพบหลักฐานทางโบราณคดีที่มีอายุในราวพุทธศตวรรษที่ 1-9 เป็นจำนวนมาก อันแสดงถึงการติดต่อแลกรับวัฒนธรรมกับดินแดนอื่น ๆ เช่น กลองมโหระทึกสำริด ตะเกียงโรมันสำริด จี้รูปสิงโตทำจากหินกึ่งมีค่า ตุ้มหูรูปกลมมีปุ่มยื่น (ตุ้มหูลิงลิงโอ) ลูกปัดแก้วมีตา ฯลฯ ซึ่งเป็นสิ่งของเครื่องใช้ที่ผลิตใน จีน อินเดีย ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และดินแดนในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
นอกจากนี้มีวรรณกรรมทางศาสนา ตำนานบันทึกของนักเดินเรือจากต่างประเทศ ฯลฯ ที่กล่าวอ้างว่าเขียนขึ้นในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ระบุถึงดินแดนชื่อ "สุวรรณภูมิ" ซึ่งในเอกสารชาวฮั่นหรือจีนโบราณเรียกว่า "จินหลิน" หรือ "กิมหลิน"
สุวรรณภูมิ มีความหมายว่า "แผ่นดินทอง" หรือ ดินแดนแห่งทองคำ หมายถึงดินแดนที่มีความอุดมสมบูรณ์ เช่นกัน หลักฐานเหล่านี้นำไปสู่การตีความของนักวิชาการสาขาต่าง ๆ ว่า สุวรรณภูมิก็คือดินแดนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างดินแดนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งดินแดนอื่น ๆ และความสำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วงเวลานั้นที่มีการก่อเกิดชุมชนขนาดใหญ่แบบสังคมเมือง ซึ่งมีรูปแบบการปกครอง ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม ฯลฯ เป็นแบบแผนเฉพาะ อาทิ ชุมชนชายฝั่งทะเลเดิม ได้แก่ นครปฐม คูบัว (ราชบุรี) ลพบุรี ตามพรลิงค์ (นครศรีธรรมราช) ฯลฯ ชุมชนในดินแดนตอนในของผืนแผ่นดิน ได้แก่ หริภุญไชย (ลำพูน) ศรีเทพ (เพชรบูรณ์) ฯลฯ
ชุมชนโบราณในดินแดนไทย
พัฒนาการของชุมชนโบราณในภาคกลาง
ชุมชนยุคหินเก่า
• ที่ถ้ำพระ อ.ไทรโยค ถ้ำเขาทะลุ
และถ้ำเม่น อ. บ้านเก่า จ. กาญจนบุรี
ชุมชนยุคหินกลาง
• ที่บ้านหนองโน อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี
ชุมชนยุคหินใหม่
• ที่บ้านเก่า อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี
ชุมชนยุคสำริด
• ที่บ้านหนองโน อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี
ชุมชนยุคเหล็ก
• ที่บ้านดอนตาเพชร อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี
พัฒนาการของชุมชนโบราณในภาคเหนือ
ชุมชนยุคหินเก่า
• ที่ถ้ำผีแมน จังหวัดแม่ฮ่องสอน
ชุมชนยุคหินกลาง
• ที่ถ้ำผีแมน จังหวัดแม่ฮ่องสอน
ชุมชนยุคหินใหม่
• พบทั่วไปตามเขตลุ่มน้ำ จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ลำปาง
ชุมชนยุคสำริด
• ในเขตจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย น่าน ตาก
ชุมชนยุคเหล็ก
• กระจายอยู่ตามลุ่มแม่น้ำสายต่างๆ ในเขตจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย
กลองมโหระทึกสำริด พบที่อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์
พัฒนาการของชุมชนโบราณในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ชุมชนยุคหินเก่า
• ที่อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร
ชุมชนยุคหินกลาง
• ที่อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร
ชุมชนยุคหินใหม่
• ที่บ้านโนนนกทา อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น
ชุมชนยุคสำริด
• ที่บ้านเชียง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี
ชุมชนยุคเหล็ก
• ที่บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี
อารยธรรมบ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี
แสดงพัฒนาการของชุมชนก่อนประวัติศาสตร์ในการประดิษฐ์เครื่องมือเครื่องใช้
และการดำรงชีวิตของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์
พัฒนาการของชุมชนโบราณในภาคใต้
ชุมชนยุคหินเก่า
• ที่ถ้ำหลังโรงเรียนทับปริก อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่
ชุมชนยุคหินกลาง
• แหล่งโบราณคดีบ้านพลีควาย อำเภอ
ชุมชนยุคหินใหม่
• พบที่จังหวัดกระบี่ และพังงา
• สทิงพระ จังหวัดสงขลา
ชุมชนยุคสำริด
• ที่ถ้ำผีหัวโต จังหวัดกระบี่ และในบริเวณอ่าวริมทะเล
ชุมชนยุคเหล็ก
• ที่อำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่
ลูกปัดรูปหน้าคน อาจมาจากมาแถวตะวันออกกลาง หรือจากโรมัน
และแผ่นหินคาร์นีเลียรูปสตรีแบบโรมัน แสดงถึงการติดต่อสัมพันธ์กับดินแดนอื่น
การสร้างสรรค์ภูมิปัญญาของชุมชนโบราณก่อนประวัติศาสตร์
ด้านเกษตรกรรม
มนุษย์ยุคหินใหม่มีการเพาะปลูกแบบทำไร่เลื่อนลอย บางแห่งมีการเพาะปลูกข้าวในที่ลุ่ม ขณะเดียวกันก็มีการล่าสัตว์เป็นอาหาร
ด้านโลหะกรรม
รู้จักการทำเครื่องมือเครื่องใช้จากสำริดและเหล็กในยุคโลหะ รู้จักการถลุงแร่เหล็ก รู้จักใช้ปูนขาวหรือวัสดุที่มีหินปูน
ด้านหัตถกรรม
รู้จักนำเส้นใยจากพืชและสัตว์มาทอเป็นผืนผ้า ด้วยเทคนิคการทอแบบง่ายๆ
ด้านการสร้างที่อยู่อาศัย
ใช้ถ้ำหรือเพิงผาเป็นที่ป้องกันอันตรายจากภัยธรรมชาติ สัตว์ป่า เป็นการเริ่มต้นการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์
ด้านการรักษาโรค
พบหัวกะโหลกมนุษย์ที่มีการเจาะรูกลม นักโบราณคดีสันนิษฐานว่า เป็นวิธีการรักษาโรคปวดศีรษะ
พัฒนาการจากชุมชนมาสู่อาณาจักรโบราณ
พัฒนาการจากชุมชนเป็นบ้านเมือง
ปัจจัยที่ทำให้ชุมชนกลายเป็นบ้านเมือง
• เป็นศูนย์กลางชุมชน
• สภาพภูมิศาสตร์ที่อุดมสมบูรณ์
• การติดต่อรับอารยธรรมต่างชาติ
พัฒนาจากบ้านเมืองเป็นแคว้นหรือรัฐ
ปัจจัยที่ทำให้บ้านเมืองกลายเป็นแคว้น
• มีกลุ่มเมืองหลายเมืองมาอยู่ด้วยกัน
• มีประชากรมาก
• ผู้นำเข้มแข็ง
• โครงสร้างทางสังคมชัดเจนและซับซ้อนมากขึ้น
พัฒนาจากแคว้นเป็นอาณาจักร
ปัจจัยที่ทำให้แคว้นกลายเป็นอาณาจักร
• มีพื้นที่ขนาดใหญ่
• เป็นศูนย์กลางการค้า
• มีความเข้มแข็งทางการทหาร
• ความศักดิ์สิทธิ์ของผู้ปกครอง
อาณาจักรโบราณในดินแดนไทย
อาณาจักรโบราณในภาคกลาง
อาณาจักรทวารวดี
ศูนย์กลาง ►เมืองนครปฐม
มีความเจริญรุ่งเรือง ►พุทธศตวรรษ11-16
ความเป็นมา ►เป็นอาณาจักรสมัยประวัติศาสตร์แห่งแรกในดินแดนประเทศไทย เพราะรู้จักใช้ตัวอักษรแล้ว ตัวอักษรที่ใช้จารึกมีหลายภาษา ได้แก่ภาษามอญ โบราณ ซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่น อักษรปัลลวะของอินเดีย อักษรขอมโบราณ เป็นต้น
ผู้คนส่วนใหญ่ ►สันนิฐานว่าน่าจะเป็นชาวมอญ (ชาว รามัญ) ดูจากศิลาจารึกที่จารึกด้วยภาษามอญ
ความเจริญ
ความเชื่อทางศาสนา ►จากหลักฐานที่เมืองนครชัยศรี (จ.นครปฐม) พบพระพุทธรูปศิลาขนาดใหญ่ประนับ นั่งห้อยพระบาทปางแสดงธรรม , ธรรมจักรกับกวาง หมอบ ,เจดีย์จุลประโทน ซากเมืองโบราณที่วัดพระเมรุ
การปกครอง ►รับจากอินเดีย มีกษัตริย์ปกครอง
อารยธรรม ►รับจากอินเดีย เพราะผู้คนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท มีหลักฐานที่หลงเหลือมาถึง ปัจจุบันคือ พระปฐมเจดีย์
หลักฐานสำคัญ ► - จากบันทึกการเดินทางของหลวงจีนอี้จิง ตั้งงแต่พุทธศตวรรษที่ 12 กล่าวว่า โถโลโปตี เป็นชื่อของอาณาจักรหนึ่งตั้งอยู่ระหว่างอาณาจักรศรีเกษตร และอาณาจักรอิศานปุระ
- พบเหรียญเงิน 2 เหรียญ มีจารึกภาษาสันสกฤตอายุราวพุทธศตวรรษที่ 13 จากเมืองนครปฐมโบราณ มีข้อความว่า ศรีทวารวดีศวรปุณยะ แปลว่า บุญกุศลของพระราชาแห่งศรีทวารวดี หรือ บุญของผู้เป็นเจ้าแห่งศรีทวารวดี หรือ พระเจ้าศรีทวารวดีผู้มีบุญอันประเสริฐ อาณาจักรทวารวดีจึงเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่ามีอยู่จริง
เหรียญเงิน 2 เหรียญที่โบราณ
- นอกจากนี้ยังพบ พระพุทธรูปสมัยทวารวดี , พระปฐมเจดีย์ , ธรรมจักรกับกวางหมอบ จ.นครปฐม
พระพุทธรูปสมัยทวารวดี และ ธรรมจักรกับกวางหมอบ จ.นครปฐม
พระปฐมเจดีย์ จ.นครปฐม
อาณาจักรละโว้
ศูนย์กลาง ►เมืองละโว้ >>> ละโว้เป็นเมืองสำคัญหนึ่งในสมัยทวารวดี ตั้งอยู่ในบริเวณที่มีแม่น้ำสำคัญ 3 สายไหลผ่านคือ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสัก และแม่น้ำลพบุรีทำให้มีความอุดมสมบูรณ์ และมีเส้นทางติดต่อกับเมืองต่างๆ
มีความเจริญรุ่งเรือง ►พุทธศตวรรษ 12-18 มี ความอุดมสมบูรณ์ เป็นศูนย์กลางชุมชน เศรษฐกิจดี ติดต่อกับต่างชาติ
ความเป็นมา ►ข้ออ้างอิงตามพงศาวดารเหนือ อาณาจักรละโว้ก่อตั้งโดยพระยากาฬวรรณดิศ บุตรของพระยากากพัตร และในปีเดียวกันพระยากาฬวรรณดิศได้ตั้งจุลศักราช เป็นศักราชประจำอาณาจักรของพระองค์ด้วย จึงสันนิษฐานได้ว่า อาณาจักรละโว้ น่าจะสถาปนาในปี พ.ศ. 1181 (ค.ศ. 638) ผู้คนส่วนใหญ่เป็นชาวมอญ อาชีพส่วนใหญ่ของชาวละโว้ คือการเกรษตร จากหลักฐาน มีการติดต่อค้าขายกับต่างชาติ เช่นเครื่องถ้วยจีน มีการส่งทูตไปค้าขายกับเมืองจีน โดยจดหมายเหตุจีนในพุทธศตวรรษที่17-19 เรียกละโว้ว่า “เมืองหลอหู”
ความเจริญ
ความเชื่อทางศาสนา ►รับคติทางศาสนาพราหมณ์จากราชอาณาจักรขอมกัมพูชา(วัฒนธรรมจากอินเดีย) นับถือพุทธศาสนานิกายเถรวาทและมหายาน ที่ขึ้นมาจากทางทิศใต้ ตั้งแต่ประมาณพุทธศตวรรษที่ 16 คติความเชื่อทั้งสองนั้นเข้ากันได้และส่งเสริมการปกครองบ้านเมืองที่รวมกันเป็นราชอาณาจักรใหญ่
ความเชื่อ ►บูชาบรรพบุรุษ
การปกครอง ►รับจากอินเดีย มีกษัตริย์ปกครอง
ศิลปวัฒนธรรม ►รับจากขอม นับถือพุทธแบบ มหายาน มีการสร้างรูปพระโพธิสัตว์,พระปรางค์,ปราสาทหินในเมืองต่าง ๆ
ความเสื่อมอำนาจ ►พุทธศตวรรษที่16 โดยพระเจ้าชัยวร มันที่ 7 (ขอม)ขยายอิทธิพลเข้ามายึดครอง
หลักฐานสำคัญ ► ที่เห็นในปัจจุบัน
พระปรางค์สามยอด จ.ลพบุรี
อาณาจักรโบราณในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
อาณาจักรโคตรบูรณ์
ศูนย์กลาง ►เมืองนครพนม
มีความเจริญรุ่งเรือง ►พุทธศตวรรษ12-16
ความเป็นมา ►ราชอาณาจักรศรีโคตรบูรณ์ก่อตั้งขึ้นตรงดินแดน ๒ ฝั่งแม่น้ำโขง ได้แก่
- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของราชอาณจักรสยาม โดยเริ่มตั้งแต่จังหวัดอุดรธานี จังหวัดหนองคาย จังหวัดนครพนม จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดเพชรบูรณ์ และพื้นที่ใกล้เคียง
- ภาคตะวันตกกับภาคเหนือของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยเริ่มตั้งแต่นครจำปาศักศิ์ ไปจรดกรุงเวียงจันทน์
ตามตำนานอุรังคธาตุ ,พระธาตุพนม (เก่าแก่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) มีอายุกว่าหนึ่งพันปีภายในบรรจุพระอุรังคธาตุ(กระดูกส่วนอกของพระพุทธเจ้า)
ความเจริญ
ความเชื่อทางศาสนา ►นับถือผีและบูชา พระยานาค แล้วเปลี่ยนมาเป็นศาสนาพุทธ นิกายเถรวาท รับมาจากอาณาจักรทวารวดี
การปกครอง ►รับจากอินเดีย มีกษัตริย์ ปกครอง
ศิลปวัฒนธรรม ►รับจากขอม นับถือพุทธแบบมหายาน มีการสร้างรูปพระโพธิสัตว์
,พระปรางค์,ปราสาทหินในเมืองต่างๆ
ความเสื่อมอำนาจ ►พุทธศตวรรษที่16 โดยพระเจ้า ชัยวรมันที่ 7 (ขอม)ขยายอิทธิพลเข้ามายึดครอง
หลักฐานสำคัญ ► สันนิษฐานว่า ประชาชนของราชอาณาจักรศรีโคตรบูรณ์ นับถือพระพุทธศาสนาอย่างมาก โดยเห็นได้จากการก่อสร้างศาสนสถาน ศาสนวัตถุ อาทิเช่น วัดพระธาตุวรมหาวิหาร พร้อมทั้งมีประเพณีเกี่ยวเนื่องกับศาสนาและการเกษตร
พระธาตุพนม วัดพระธาตุพนม วรมหาวิหาร จ.นครพนม พระอารามหลวง ชั้นเอก ชนิดวรมหาวิหาร
อาณาจักรอิศานปุระ(เจนละ) หรืออาณาจักรขอม
ศูนย์กลาง ►ครอบคลุมบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ าโขงตอนล่าง (กัมพูชาในปัจจุบัน)
มีความเจริญรุ่งเรือง ►พุทธศตวรรษ12-18
ความเป็นมา ►เป็นอาณาจักรของชนชาติขอม ผู้ก่อตั้งคือ พระเจ้าอิศานวรมัน
- สมัยพระเจ้าอิศานปุระ – รวบรวมอาณาจักรเจนละ ต่อมา ถูกแบ่งป็น 2 ส่วน คือเจนละบกและเจนละน้ำ
- สมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 - สร้างนครวัด
- สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 - เป็นปึกแผ่น,เจริญรุ่งเรือง,สร้าง นครธม
ความเจริญ
ความเชื่อทางศาสนา ►นับถือผีและบูชาพระยานาค แล้ว เปลี่ยนมาเป็นศษสนาพุทธนิกายเถรวาท รับมาจากอาณาจักร ทวารวดี
การปกครอง ►แบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ รับจากอินเดีย มีกษัตริย์ปกครอง
ศิลปวัฒนธรรม ►นับถือพุทธแบบมหายาน มีการสร้างรูป พระโพธิสัตว์,พระปรางค์,ปราสาทหินในเมืองต่าง ๆ
หลักฐานสำคัญ ► ที่เห็นในปัจจุบัน
นครวัด ประเทศกัมพูชา
นครวัด ตั้งอยู่ที่เมืองเสียมราฐ (Siem Reap) เปนศาสนสถานที่สำคัญของกัมพูชา และได้กลายเป็นสถานที่สำคัญของโลกไปแล้ว เพราะที่นี่มีประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมอันน่าทึ่ง สร้างมาตั้งแต่ช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 12 โดยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 เพื่อบูชาพระวิษณุ มีสถาปัตยกรรมแบบขอมสมัยรุ่งเรือง สร้างขึ้นด้วยหินทรายก้อนใหญ่เกือบ 10 ล้านก้อน ซึ่งแต่ละก้อนก็หนักราว ๆ 1.5 ตันเลยทีเดียว ตัวปราสาทมีปรางค์ 5 ยอด ปรางค์ตรงกลางนั้นสูงราว ๆ 60 เมตร เป็นจุดสูงสุดของนครวัด ซึ่งมีทางเดินที่สูงชันให้นักท่องเที่ยวได้วัดใจเดินขึ้นไปชมวิวด้านบน โดยรอบปราสาทมีคูน้ำล้อมรอบ
นครธม ประเทศกัมพูชา
นครธม หมายถึง เมืองพระนครหลวง (คำว่า นคร แปลว่า เมือง ส่วนคำว่า ธม แปลว่า ใหญ่) ที่ตั้งอยู่ภายในพระนคร สถาปนาขึ้นในปลายคริสต์ศวรรษที่ 12 โดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. 1724-1758) เป็นเมืองที่แข็งแกร่งที่สุดและอยู่ในยุครุ่งเรืองที่สุดของอาณาจักรขอม โดยเมืองนครธมมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ความกว้างด้านละ 3 กิโลเมตร ล้อมไว้ด้วยกำแพงสูง 7 เมตร ใจกลางมีปราสาทบายน อันเป็นปราสาทหลักของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ภายในเมืองมีสิ่งก่อสร้างมากมาย ตั้งแต่สมัยพระเจ้าชัยวรมันฯ มาจนถึงสมัยรัชทายาทต่อมา นครธม จึงเป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวต่างชาติให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่งในปัจจุบัน
อาณาจักรโบราณในภาคใต้
อาณาจักรลังกาสุกะ
ศูนย์กลาง ► อ.ยะรัง จ.ปัตตานี และพื้นที่ จ.ยะลา
มีความเจริญรุ่งเรือง ►พุทธศตวรรษ 7-14
ความเป็นมา ►เดิมเป็นเมืองท่า มีการติดต่อ ค้าขายกับจีนและอินเดีย แต่ใกล้ชิดกับจีน มากกว่า
ความเจริญ
ความเชื่อทางศาสนา ► มีการนับถือ พระพุทธศาสนานิกายมหายาน
การปกครอง ►มีกษัตริย์ปกครอง พลเมืองส่วนใหญ่เป็นคนพื้นเมือง แต่มีพ่อค้าชาวจีนและอินเดียและชาติอื่น ๆ เข้ามาปะปน
การล่มสลาย ►อาณาจักรศรีวิชัยเข้ามา ครอบครอง
หลักฐานสำคัญ ► ที่เห็นในปัจจุบัน
เมืองโบราณยะรัง อ.ยะรัง จ.ปัตตานี
อาณาจักรตามพรลิงค์
ศูนย์กลาง ►เมืองนครศรีธรรมราช เดิมเป็นชุมชนบริเวณชายฝั่งทะเล เป็นเมือง ท่าค้าขายกับชาวจีนและอินเดีย
มีความเจริญรุ่งเรือง ►พุทธศตวรรษ13-18
ความเป็นมา ►จากเอกสารบันทึกเหตุการณ์ และจดหมายเหตุฉบับต่าง ๆของจีนและ อินเดีย,ศิลาจารึกที่วัดหัวเวียง อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี
ความเจริญ
ความเชื่อทางศาสนา ►นับถือศาสนาพุทธ นิกายมหายาน และศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ดูจากศิวลึงค์ และรูปพระโพธิ์สัตว์อวโลกิเตศวร ปลายพุทธศตวรรษที่ 18 มีการส่งพระสงฆ์ 2 รูป ไป ศึกษาพุทธศาสนาที่ลังกา และนำลัทธิลังกาวงศ์เข้ามา เผยแผ่ในเมืองนครศรีธรรมราชเป็นแห่งแรกของไทย และแพร่หลายไปยังอาณาจักรสุโขทัย และล้านนา
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ ►พระบรมธาตุ เจดีย์ วัดมหาธาตุ จ.นครศรีธรรมราช
หลักฐานสำคัญ ► ที่เห็นในปัจจุบัน
พระบรมธาตุเจดีย์ วัดมหาธาตุ จ.นครศรีธรรมราช
อาณาจักรศรีวิชัย
ศูนย์กลาง ►เมืองปาเล็มบัง บนเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเวีย และเมืองไชยา จ.สุราษฎร์ธานี
มีความเจริญรุ่งเรือง ►พุทธศตวรรษ13-19
ความเป็นมา ►ตั้งอยู่บนคาบสมุทรมลายู คุมเส้นทาง การค้าระหว่างจีนและอินเดีย ค้าขาย มีความมั่งคงั่ วัฒนธรรมเด่น
ความเจริญ
ความเชื่อทางศาสนา ►ทั้งฮินดูและพุทธศาสนา ผสมผสานกัน ต่อมารับลัทธิลังกาวงศ์จาก นครศรีธรรมราช
การปกครอง ►แบบสมมติเทพ (ตามอินเดีย)
ศิลปวัฒนธรรม ►มีศาสนสถาน เช่น เจดีย์วัดพระบรมธาตุไชยา พระพุทธรูปปางนาคปรกสำริด เทวรูป พระโพธิสัตว์อวโลกิเตสวร ทั้งหมดอยู่ที่ อ.ไชยา
ความเสื่อมอำนาจ ►สุดท้ายตกเป็นเมืองขึ้นของชวา เพราะกษัตริย์ชวายกทัพมาตี
หลักฐานสำคัญ ► ที่เห็นในปัจจุบัน
เจดีย์วัดพระบรมธาตุไชยา อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี
อาณาจักรโบราณในภาคเหนือ
อาณาจักรโยนกเชียงแสน
ศูนย์กลาง ►อ.เชียงแสน จ.เชียงราย
มีความเจริญรุ่งเรือง ►พุทธศตวรรษ 12-19
ความเป็นมา ►เป็นอาณาจักรแรกของไทยบน พื้นแผ่นดินไทย เป็นของพวกไทยวน
-เจ้าชายสิงหนวัติกุมารมาสร้างเมืองโยนกนคร ราชธานีศรีช้างแสน
-ต่อมาคือ เชียงแสน
-ต่อมาพวกขอมยึดอาณาจักรได้
-ต่อมาพระเจ้าพรหมกุมาร กู้เอกราช แล้วสร้าง เมืองใหม่ที่เมืองเวียงไชยปราการ
ความเจริญ
ความเสื่อมอำนาจ ► - เกิดแผ่นดินไหว อาณาจักรถล่ม จมลงในกลายเป็นหนองน้ำ เป็นการสิ้นสุดอาณาจักร จนกระทั่ง พุทธศตวรรษที่ 19 ถูกผนวกเข้ากับล้านนา
หลักฐานสำคัญ ► -ตำนานสิงหนวัติกุมาร
อาณาจักรหริภุญชัย
ศูนย์กลาง ►เมืองหริภุญชัย จ.ลำพูน
มีความเจริญรุ่งเรือง ►พุทธศตวรรษ 13-19
ความเป็นมา ►ฤาษีวาสุเทพเป็นผู้สร้างเมืองแต่เชิญให้พระนางจามเทวี(ธิดากษัตริย์ละโว้)มาปกครอง
-พระนางจามเทวีพร้อมสวามีไปอยู่ที่เมือง มีลูก 2 คน (เป็นฝาแฝด) คือมหายศ(ครองเมืองหริภุญชัยต่อ)และอินทวร(ครองเมืองเขลางนคร)
นอกจากนี้ยังปรากฏมีการใช้ภาษามอญโบราณในศิลาจารึกของหริภุญชัย มีหนังสือหมานซูของจีนสมัยราชวงศ์ถัง กล่าวถึงนครหริภุญชัยไว้ว่าเป็น “อาณาจักรของสมเด็จพระราชินีนาถ” (หนี่ว์ หวัง กว๋อ)
ความเจริญ
ด้านศาสนา► ชาวเมืองนับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท (รับอิทธิพลมาจากทวารวดี) แต่ก็มีนิกายมหายานด้วย
ด้านศิลปวัฒนธรรม► เป็นศิลปะแบบหริภุญชัยคาดว่า น่าจะได้รับอิทธิพลมาจาทวารวดี+มอญ เช่นพระธาตุคู่กุด
ความเสื่อมอำนาจ ► จนกระทั่ง พุทธศตวรรษที่ 19 ถูก ผนวกเข้ากับล้านนา
หลักฐานสำคัญ ► พบจารึกอักษรมอญโบราณ เรื่องราวเกี่ยวกับเมืองหริภุณชัย(บางหมู่บ้านของจังหวัดลำพูนนั้นพบว่า ยังมีคนพูดภาษามอญและอนุรักษ์วัฒนธรรมมอญอยู่) นอกจากนี้ยังมีการใช้ภาษาบาลีอยู่ด้วย
พระธาตุหริภุญชัย จ.ลำพูน
อนุสาวรีย์ พระนางจามเทวี
อาณาจักรล้านนา
ศูนย์กลาง ►นครพิงค์เชียงใหม่
มีความเจริญรุ่งเรือง ►พุทธศตวรรษ 19-25
ความเป็นมา ►จากหลักฐานลังจากที่พญามังรายได้ปกครองและพำนักอยู่ในนครหริภุญชัย (ลำพูน) อยู่ 2 ปี พระองค์ทรงศึกษาสิ่งหลาย ๆ อย่าง และมีพระราชดำริที่จะลองสร้างเมืองขึ้น คือ เวียงกุมกาม แต่พระองค์ก็ทรงสร้างไม่สำเร็จ เพราะเวียงนั้นมีน้ำท่วมอยู่ทุกปี จนพญามังรายจึงทรงต้องไปปรึกษาพระสหาย คือพ่อขุนรามคำแหงแห่งสุโขทัย และพญางำเมืองแห่งอาณาจักรพะเยา หลังจากทรงปรึกษากันแล้วจึงทรงตัดสินใจไปหาที่สร้างเมืองใหม่ ในที่สุดจึงได้พื้นที่นครพิงค์เชียงใหม่เป็นเมืองใหม่ และ เป็นเมืองหลวงแห่งอาณาจักรล้านนาต่อมา จึงสรุปได้ว่าเวียงกุมกามนั้น เป็นเมืองที่ทดลองสร้าง
เวียงกุมกาม
เวียงกุมกามล่มสลายลงเพราะเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ ผลของการเกิดน้ำท่วมนี้ทำให้เวียงกุมกามถูกฝังจมลงอยู่ใต้ตะกอนดินจนยากที่จะฟื้นฟูกลับมา เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่นี้เป็นเรื่องร้ายแรงมากแต่ก็ไม่มีการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ คงหลงเหลือเพียงวัดต่างๆ ซากโบราณสถาน วิหารและเจดีย์ร้างที่จมอยู่ดิน โดยวัดที่จมดินลึกที่สุดคือวัดอีค่าง รองลงมาคือ วัดปู่เปี้ย และวัดกู่ป่าด้อม
อาณาจักรล้านนา ก่อตั้งโดยพญามังรายมหาราช เป็นผู้รวบรวม แคว้นต่าง ๆ เช่น หริภุญชัย เขลางนคร(ลำปาง) และโยนกเชียงแสน) มีกษัตริย์ปกครอง 19 องค์ จนกระทั้ง พ.ศ.2101 พระเจ้าบุเรงนอง ยกทัพมาตีและตกเป็นประเทศราชของพม่า
- สมัยพระเจ้าติโลกราช(องค์ที่ 9) ผู้เป็นกษัตริย์ผู้เกรียงไกรและทรงอำนาจมากที่สุด พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก มีการสร้างวัดขึ้นหลายวัด มีการขยายอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล ด้านตะวันตกตกขยายไปจนถึงรัฐฉาน มีเมืองสีป้อ ยองห้วย และอีกหลายๆเมือง นอกจากนั้นด้านเหนือ ได้แผ่ขยายไปถึงเชียงรุ้ง เมืองยอง เป็นต้น นอกจากนี้ในรัชสมัยพระองค์ทรงมีการศึกสงคราม ขนาบ เหนือใต้ ออก ตก ทุกทิศ ทั้งอโยธยาที่ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถปกครอง สู้รบกันยาวนานร่วม 24-25 ปี ติดพันมาถึงรัชสมัยพระเมืองแก้ว ปลายๆรัชกาล ราว พ.ศ.2068 และกองทัพเชียงใหม่ ยังทำสงครามกับเชียงตุงจนพ่ายแพ้เสียไพร่พลมาก พร้อมเผชิญวิกฤติน้ำท่วมเมือง เป็นห้วงเวลาสุขของเมืองที่สั่งสมมานานเริ่มเสื่อมลง
การล่มสลาย ► หลังจากพระเมืองแก้ว สิ้นพระชนม์ บรรดาขุนนาง ฮีกเหิมมีอำนาจ ครอบงำราชสำนัก ล้านนาสิ้นคนดี ถึงขั้นแต่งตั้ง ถอดถอนกษัตริย์ได้ เช่นการเชื้อเชิญพระไชยเชษฐาธิราช แห่งราชวงศ์มังราย กษัตริย์ล้านช้าง มาครองเชียงใหม่ ด้วยข้ออ้างครั้งพระนางจิรประภาเทวี เป็นกษัตริย์ องค์ที่ 15 (พศ.2088-89 ) ไทใหญ่บุกเมือง ชาวบ้านต้องป้องกันตัวเอง เอาชีวิตให้รอด
ต่อมากองทัพอยุธยา บุกเมือง กองทัพเชียงใหม่ถูกลอยแพจากหัวเมืองบริวาร และแล้วรัชสมัย พระนางวิสุทธิเทวี ก็ถือเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของอาณาจักรล้านนา เพราะนับแต่นั้นมา กลายเป็นยุคพม่าครองเชียงใหม่ นานกว่า 216 ปี ( พศ.2121-2317 ) จริงๆ แล้ว พม่า วางแผนเข้ามายึดครองตั้งแต่ปี พ.ศ.2107 ด้วยซ้ำไป มีการ แต่งตั้งพระนางวิสุทธิเทวี เป็นกษัตริย์ และเมื่อพระนางสิ้นพระชนม์ พระเจ้าบุเรงนอง ให้ นรธาเมงสอ พระราชโอรส อันเกิดจากพระ นางราชเทวี แห่งหงสาวดีมาปกครองเชียงใหม่
ความเจริญ
ด้านศาสนา► นับถือพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ ที่ได้รับจากสุโขทัยและพม่า
- มีการสังคายพระไตรปิฏกขึ้นเป็นครั้งที่ 8 ของโลก ที่วัดมหาโพธาราม (วัดเจ็ดยอด เชียงใหม่) ในรัชสมัยพระเจ้าติโลกราช
ด้านภาษา► มีตัวอักษรเป็นของตนเอง มี 3 แบบ อักษรธรรมล้านนา(ใช้มากสุด) อักษรฝักขาม(ดัดแปลงจาก อักษรไทยสมัยพ่อขุนรามคำแหง) อักษรขอมเมือง
ด้านการปกครอง► ปกครองแบบระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มีกฎหมายที่ใช้ปกครองคือ กฎหมายมังรายศาสตร์
หลักฐานสำคัญ ► ตัวอย่างอักษรธรรมล้านนา
ตัวอักษรธรรมล้านนา
พระบรมราชานุสาวรีย์สามกษัตริย์
; พญามังราย พญางำเมือง และพ่อขุนรามคำแหงมหาราช
ขณะทรงปรึกษาหารือการสร้างเมืองเชียงใหม่
การสร้างสรรค์ภูมิปัญญาของอาณาจักรโบราณก่อนสมัยสุโขทัย
1. การเกษตรกรรม
2. การเลือกทำเลในการสร้างบ้านแปลงเมือง
3. การประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นใช้
4. ศาสนา
5. ความเชื่อ
สอบหน่วยที่ 3 คะแนน 10 คะแนน
แบบทดสอบประวัติศาสตร์ ม.1 หน่วยที่ 3 ดินแดนไทยสมัยก่อนประวัติศาสตร์
สอบปลายภาค 1/2562
ปรนัย 30 ข้อ 15 คะแนน
อัตนัย 2 ข้อ 2 คะแนน
สำหรับนักเรียนที่ยังไม่ผ่านหรือที่ยังไม่สอบ ให้นักเรียนทำแบบทดสอบเพื่อพัฒนาคะแนน
แบบทดสอบประวัติศาสตร์ม.1 หน่วยที่ 1 เวลาและการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
แบบทดสอบประวัติศาสตร์ ม.1 หน่วยที่ 2 วิธีการทางประวัติศาสตร์ และหลักฐานทางประวัติศาสตร์
แบบทดสอบประวัติศาสตร์ ม.1 หน่วยที่ 3 ดินแดนไทยสมัยก่อนประวัติศาสตร์