50 ปี อาเซียน
จากบทความของ ศ.ดร.ประภัสสร์ เทพชาตรี
รองศาสตราจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ผู้อำนวยการศูนย์อาเซียนศึกษา
เมื่อวันที่ 8 สิงหาคมที่ผ่านมา เป็นวันครบรอบ 50 ปีของการก่อตั้งอาเซียน ซึ่งได้จัดตั้งขึ้นที่กรุงเทพ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ปี 1967 ณ ห้องบัวแก้ว วังสราญรมย์ ตามปฏิญญากรุงเทพ หรือปฏิญญาอาเซียน คอลัมน์กระบวนทรรศในวันนี้ จะย้อนดูความสำเร็จของอาเซียนในรอบ 50 ปี ที่ผ่านมา และจะวิเคราะห์ถึงสิ่งท้าทายต่ออาเซียนในอนาคต
ความสำเร็จ
ตลอดเวลา 50 ปีที่ผ่านมา อาเซียนมีประวัติความเป็นมา ผ่านเหตุการณ์ต่างๆมามากมาย นับตั้งแต่สมัยสงครามเย็นที่เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงในภูมิภาค สู่ยุคหลังสงครามเย็น และเดินหน้าสู่การจัดตั้งประชาคมอาเซียนได้สำเร็จ เมื่อปลายปี 2015
ในสมัยสงครามเย็น อาเซียนต้องเผชิญกับภัยคุกคามคอมมิวนิสต์ และอาเซียนได้ประสบความสำเร็จในการต่อต้านภัยคุกคามจากคอมมิวนิสต์ ต่อมาเมื่อเวียดนามบุกยึดกัมพูชาในปี 1978 อาเซียนได้ร่วมมือกัน กดดันให้เวียดนามถอนทหารออกจากกัมพูชาได้สำเร็จ อาจกล่าวได้ว่า อาเซียนประสบความสำเร็จ และมีประโยชน์อย่างมากต่อประเทศสมาชิกในสมัยสงครามเย็น
ต่อมา เมื่อสงครามเย็นสิ้นสุดลง เป็นการเปิดศักราชใหม่ของความร่วมมืออาเซียน และได้มีการจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียนขึ้นในปี 1992 และต่อมาในปี 1995 ได้เริ่มขยายจำนวนสมาชิก จากตอนแรกมีแค่ 5 ประเทศ เพิ่มเป็น 10 ประเทศ ในยุคนี้ อาเซียนประสบความสำเร็จ ทั้งบูรณาในเชิงลึก และบูรณาการในเชิงกว้าง
อย่างไรก็ตาม ในปี 1997 เกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง อาเซียนประสบกับการสะดุดครั้งสำคัญ อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น เมื่อประเทศอาเซียนเริ่มฟื้น อาเซียนก็ได้เดินหน้าสู่การจัดตั้งประชาคมอาเซียน ซึ่งก็ประสบความสำเร็จในการจัดตั้งประชาคมในปลายปี 2015 การเกิดขึ้นของประชาคมอาเซียน ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่ง ที่เกิดขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ปัจจุบันอาเซียนได้ผงาดขึ้นมาเป็นองค์กรระหว่างประเทศที่สำคัญที่สุดในภูมิภาค อาเซียนเป็นการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก จะเป็นรองก็แต่เพียงสหภาพยุโรปหรือ EU เท่านั้น อาเซียนได้กลายเป็นเวทีหารือทางการทูตที่สำคัญที่สุดในภูมิภาค และเป็นแกนกลางของสถาปัตยกรรมในภูมิภาค
อาเซียน 10 ประเทศรวมกันมี GDP เกือบ 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งน่าจะอยู่ประมาณอับดับ 7 อันดับ 8 ของโลก มีประชากร 600 กว่าล้านคน เป็นอันดับ 3 ของโลก และอาเซียนก็ติดอันดับต้นๆของโลกทั้งในเรื่องการส่งออก การลงทุน การเงิน และในด้านอื่นๆอีกมากมาย
และในอนาคต อาเซียนจะยิ่งมีความสำคัญมากขึ้น โดยในอีก 10 ปีข้างหน้า GDP ของอาเซียนจะเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 10 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะทำให้อาเซียนขยับมาอยู่ประมาณอันดับ 4 อันดับ 5 ของโลก ในแง่ของขนาดเศรษฐกิจ
สำหรับประเทศไทย อาเซียนก็มีความสำคัญต่อไทยเป็นอย่างมาก อาเซียนเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทย เป็นตลาดที่สำคัญที่สุดของไทย เป็นฐานการผลิตที่สำคัญที่สุดของไทย และไทยก็มีศักยภาพ ในการเป็นศูนย์กลางของอาเซียน โดยไทยมีที่ตั้งทางภูมิศาสตร์อยู่ตรงกลางอาเซียน
สิ่งท้าทายอาเซียนในอนาคต
แม้ว่าในรอบ 50 ปีที่ผ่านมา อาเซียนจะประสบความสำเร็จอย่างมากมาย แต่อาเซียนก็ประสบความล้มเหลวหลายเรื่องเช่นเดียวกัน และยังมีสิ่งท้าทาย อุปสรรค ขัดขวางการเดินหน้าของอาเซียนอยู่อีกหลายเรื่อง ทั้งที่เป็นปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกอาเซียน
สำหรับสิ่งท้าทายประการแรก ที่ผมมองว่า เป็นรากเหง้าของปัญหาของอาเซียน คือ การที่ประเทศสมาชิกอาเซียนลึกๆแล้ว ยังไม่มีความไว้วางใจกันแต่ละประเทศยังคงมองประเทศเพื่อนบ้านเป็นศัตรู คู่แข่ง ซึ่งสาเหตุสำคัญของความไม่ไว้วางใจกัน คือ การขาดอัตลักษณ์ร่วม อาเซียน 10 ประเทศ ยังไม่มีความรู้สึกว่า เราเป็นพวกเดียวกันอย่างแท้จริง
การขาดอัตลักษณ์ร่วม และการไม่ไว้วางใจกัน นำไปสู่ปัญหาต่างๆของอาเซียนอีกหลายเรื่อง ที่สำคัญได้แก่
· นำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมือง
· นำไปสู่ความขัดแย้งทางพรมแดนระหว่างประเทศสมาชิก
· นำไปสู่การแข่งขันทางเศรษฐกิจ
· นำไปสู่การที่อาเซียนแตกแยก ขาดเอกภาพ ไม่มีความสามัคคี และไม่สามารถพูดเป็นเสียงเดียวกันได้ ไม่สามารถมีท่าทีเข้าร่วมกันได้
· และสุดท้ายนำไปสู่การที่อาเซียนไม่สามารถที่จะเป็นแกนกลางของสถาปัตยกรรมในภูมิภาคได้
นอกจากนี้ สิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อบูรณาการของอาเซียน คือ ช่องว่างระหว่างประเทศรวยกับประเทศจน ห่างกันมาก สิงคโปร์เป็นประเทศที่รวยที่สุดในอาเซียน เป็นประเทศที่รวยที่สุดในเอเชีย แต่ขณะเดียวกัน พม่า ลาว กัมพูชา ก็เกือบจะเป็นประเทศที่จนที่สุดในเอเชีย ช่องว่างตรงนี้ ทำให้อาเซียนประสบความยากลำบากมากในการเดินหน้าบูรณาการทางเศรษฐกิจในเชิงลึกมากขึ้น โดยเฉพาะการเดินหน้าสู่การเป็นตลาดร่วมอย่างแท้จริง
อีกเรื่องหนึ่งที่เป็นความท้าทายของอาเซียน คือ การที่อาเซียนยังเป็นองค์กรของชนชั้นนำ และอาเซียนยังไม่เป็นองค์กรที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง
ประชาชนคนทั่วไปไม่ตระหนักรู้เกี่ยวกับอาเซียน ไม่มีบทบาทในความร่วมมืออาเซียน และมีประชาชนจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกว่า อาเซียนไม่ได้ให้ประโยชน์อะไร ซึ่งหากความรู้สึกแบบนี้ แพร่กระจายเพิ่มมากขึ้น ก็จะเป็นอันตรายต่ออนาคตของอาเซียนเป็นอย่างยิ่ง บทเรียนสำคัญคือปรากฏการณ์ Brexit คือการที่ประชาชนคนอังกฤษส่วนใหญ่ ตัดสินใจให้อังกฤษออกจาก EU เพราะคนเหล่านี้มีความรู้สึกต่อต้าน EU ประชาชนคนอังกฤษคิดว่า อังกฤษไม่ได้อะไรจาก EU และ EU ทำให้คนอังกฤษตกงาน
สำหรับสิ่งท้าทายภายนอกที่สำคัญต่ออาเซียนในอนาคต คือ แนวโน้มที่กำลังเกิดขึ้นในโลกตะวันตก ในสหรัฐและในยุโรป กำลังเกิดกระแสต่อต้านโลกาภิวัตน์ ต่อต้านการค้าเสรี ต่อต้านแรงงานต่างชาติ ต่อต้าน EU และต่อต้านการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ หากกระแสนี้รุนแรงมากขึ้น จะทำให้ตะวันตกปิดประเทศ ซึ่งจะเป็นอันตรายต่ออาเซียนเป็นอย่างยิ่งนับเป็นการสวนกระแสของเอเชียและอาเซียน ที่ในปัจจุบัน ส่งเสริมโลกภิวัตน์ ส่งเสริมการค้าเสรี และส่งเสริมการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศในภูมิภาค ซึ่งหากตะวันตกเดินสวนทางกับอาเซียน ก็จะเป็นสิ่งท้าทายอาเซียนเป็นอย่างมากในอนาคต
Brexit เป็นบทเรียนสำคัญของอาเซียน EU ซึ่งเคยถูกมองว่า เป็นการรวมกลุ่มที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก แต่EU กำลังระส่ำระสาย อังกฤษได้ลาออกจาก EU ไปแล้ว EU กำลังจะแตกสลายหรือไม่ และอาเซียนซึ่งเคยเลียนแบบ EU มาโดยตลอด จะประสบกับชะตากรรมดั่งเช่น EU หรือไม่
อาเซียนยังโชคดีที่ไม่ได้เลียนแบบ EU ทุกเรื่อง อาเซียนไม่ได้เป็นองค์กรเหนือชาติเหมือน EU จึงไม่ได้มีการลิดรอนอำนาจอธิปไตยของประเทศสมาชิก และอาเซียนก็ไม่ได้รีบร้อนเดินหน้าบูรณาการทางเศรษฐกิจแบบ EU วิถีอาเซียนหรือ ASEAN WAY คือ การที่อาเซียนร่วมมือกัน แบบค่อยเป็นค่อยไป และค่อยๆเปิดเสรี จึงทำให้อาเซียนน่าจะไม่เกิดปัญหาแบบ EU
สำหรับสิ่งท้าทายจากภายนอกอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญมาก คือ การแข่งขันและความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจ ซึ่งอาจจะเป็นทั้งโอกาสและเป็นภัยต่ออาเซียน
โอกาส คือ มหาอำนาจต่างแข่งขันกันโดยเฉพาะระหว่าง จีน สหรัฐ ญี่ปุ่น อินเดีย และรัสเซีย ประเทศเหล่านี้จึงพยายามเอาใจอาเซียน เพื่อไม่ให้อาเซียนไปเป็นพวกของมหาอำนาจใดมหาอำนาจหนึ่ง
ขณะเดียวกัน ความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจ ก็ได้ส่งผลกระทบในเชิงลบอย่างมากต่อความร่วมมืออาเซียน โดยฉพาะอย่างยิ่ง ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับจีน มหาอำนาจพยายามที่จะเข้ามาดำเนินยุทธศาสตร์ แบ่งแยกและปกครองทำให้อาเซียนแตกแยกอย่างหนัก ที่เห็นชัด ในกรณีของจีนที่เข้ามามีอิทธิพลเหนือ พม่า ลาว กัมพูชา ทำให้เประเทศเหล่านี้มีความยากลำบากในการกำหนดท่าทีร่วมกับประเทศอาเซียนอื่น โดยเฉพาะในกรณีปัญหาทะเลจีนใต้ ในอนาคต ยุทธศาสตร์ One Belt One Road หรือ OBOR ของจีน จะทำให้ประเทศอาเซียนแตกแยกร้าวลึกมากขึ้นไปอีก เช่นเดียวกับยุทธศาตร์ของสหรัฐที่ผ่านมา ก็พยายามที่จะทำให้ประเทศในอาเซียนแตกแยก ตัวอย่างเช่นในกรณีของ TPP
กล่าวโดยสรุป ในรอบ 50 ปีที่ผ่าน อาเซียนประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก แต่ในอนาคตในอีก 50 ปีข้างหน้า อาเซียนยังมีการบ้านอีกเยอะ
· อาเซียนต้องรีบสร้างอัตลักษณ์ร่วม
· สร้างความไว้วางใจกัน
· ต้องเปลี่ยนการมองประเทศเพื่อนบ้านเป็นเพื่อน เป็นหุ้นส่วน แทนที่จะมองเป็นศัตรู
· ต้องรีบสร้างเอกภาพ สามัคคี และพูดเป็นเสียงเดียวกัน
· ทำให้อาเซียนเป็นแกนกลางของสถาปัตยกรรมในภูมิภาคให้ได้
· ลดช่องว่างรวยจน
· ทำให้อาเซียนเป็นประชาคมที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง
· ต้องพยายามหลีกเลี่ยงภัยอันตรายจากภายนอก โดยเฉพาะแนวโน้มต่อต้านโลกาภิวัตน์ของตะวันตก
· หลีกเลี่ยงปรากฏการณ์ Brexit
· และสุดท้าย คือ จะต้องพยายามบริหารจัดการความสัมพันธ์อาเซียนกับมหาอำนาจให้ได้
ที่มา : ศ.ดร.ประภัสสร์ เทพชาตรี . http://www.drprapat.com/50-%E0%B8%9B%E0%B8%B5-%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99/. เข้าถึงเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2561.