TFEX

TFEX เป็นแหล่งซื้อขายอนุพันธ์ ซึ่งเป็นสินค้าที่อ้างอิงหลักทรัพย์ หรือ ราคาสินค้า หรือ ดัชนีอื่นๆ ฟังๆดูคงเข้าใจยาก

แต่สิ่งที่ผมจะแนะนำในการใช้ TFEX คือ 1.นำไปแสวงหากำไรที่สูงกว่าเงินฝากมาก แต่ไร้ความเสี่ยงไม่เสียภาาษี, 2.ใช้ในการป้องกันความเสี่ยงสำหรับการลงทุน

อันที่จริง TFEX จะมองเป็นการพนันก็น่าจะได้ และจะมองว่าเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงก็ได้ ผมขอพูดถึงเฉพาะเรื่องหุ้นเท่านั้น

หลักการของมันคือ TFEX มีสินค้าที่อ้างอิงกับหุ้นในอนาคตเราสามารถซื้อ และสามารถขาย(ทั้งๆที่เรายังไม่มีหุ้นจริงๆ ซึ่งต่างจากหุ้นที่เราต้องมีหุ้นถึงจะขายได้)

ขอยกตัวอย่างไปกับคำอธิบาย หากเราซื้อหรือขายสัญญาล่วงหน้าหุ้น BTS เราจะเลือกซื้อได้ 4 ตัวซึ่งมีอายุต่างกันได้แก่ BTSM13, BTSU13, BTSZ13, BTSH14

ทั้ง 4 ตัวต่างกันที่เวลาหมดอายุ BTSM13  หมดอายุ 30 มิ.ย. 2013 ส่วน BTSH14 หมดอายุที่ 31 มีนาคม 2014 

แล้วอายุไปเกี่ยวกับเรื่องซื้อขายได้เสียอย่างไร

สมมติว่าวันนี้ราคา BTS อยู่ที่ 8.20 หากเราซื้อหุ้น BTS เราสามาถถือครองได้ตลอดไปตราบเท่าที่เราพอใจ และขายออกไปตอนไหนก็ได้ ผลกำไรขาดทุนก็อยู่ที่ราคาซื้อและขาย

EX1 หากเราซื้อ(ใช้คำเฉพาะว่า Long) BTSM13 จำนวน 1 สัญญา(เทียบเท่า 1000 หุ้น)แล้วจะเป็นอย่างไร สมมติว่าเราซื้อ BTSM13 จำนวน 1 สัญญา ที่ราคา 8.30 เมื่อถึงวันหมดอายุ BTSM13 ก็จะไม่มีตัวตนอีกต่อไป 

และทางโบรกเกอร์จะจ่ายหรือเรียกเงินจากเรา =  ราคา BTS ณ 30 มิ.ย. 2013 -ราคาที่เราซื้อ BTSM13

สมมติ BTS  ณ 30 มิ.ย. 2013 ราคา 8.95 เราก็จะได้กำไร (8.95-8.30)*1000 = 630 บาทต่อสัญญา แล้วใครเสียเงินให้เรา? คำตอบคือคนที่ขายสัญญาให้เรา(จะเป็นใครก็ได้) 

ในตลาด TFEX เราสามารถขายสัญญาใดๆออกไปก็ได้โดยไม่จำเป็นต้องมีหุ้นอยู่จริงๆ(แต่เสียเงินกันจริง)

EX2 หากเราขาย(ใช้คำเฉพาะว่า Short) BTSM13 จำนวน 1 สัญญา(เทียบเท่า 1000 หุ้น) ที่ราคา 8.30 ให้กับคนที่ซื้อใน EX1 [เราจะกำไรก็ต่อเมื่อราคาหุ้นลดต่ำลงกว่า 8.30 บาท ในวันหมดอายุของสัญญา] ดังนั้นเราจะขาดทุน (8.30-8.95)*1000 = -630 บาทต่อสัญญา

แต่หากราคา BTS ลดต่ำลงไปอยู่ที่ 7.50 บาท  ณ 30 มิ.ย. 2013  คนที่ Long ใน EX1 จะขาดทุน ส่วนคนที่ Short ใน EX2 จะกำไร

จะนำไปแสวงหากำไรที่สูงกว่าเงินฝากมากและไร้ความเสี่ยงได้อย่างไร?

เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก แต่ก็มีมาเรื่อยๆ ถ้าผมจะบอกว่าผมมีวิธีหากิน 10 วิธีโดยไร้ความเสี่ยงหรือเสียงน้อย ก็คงจะดีกว่ามีช่องทางเพียง 1 หรือ 2 ทาง

สมมติ(แต่ก็ใกล้ความจริง)ครั้งหนึ่ง BLANDM13 มีคนเสนอซื้อ (Long) ที่ราคา 2.20 บาท ขณะที่ราคา BLAND ในกระดานอยู่ที่ 2.00 วิธีง่ายๆที่จะได้เงินคือ เราก็ทำการ short BLANDM13ที่ราคา 2.20 จำนวน 310 สัญญา และซื้อ BLAND ที่ราคา 2.00 จำนวน 310,000 หุ้น คำถามคือเมื่อหมดสัญญาเราจะมีกำไรหรือขาดทุน?

มี 2 ทางที่เป็นไปได้แต่มีคำตอบเดียว เมื่อหมดสัญญาให้เราขายหุ้น BLAND ออกไปทั้งหมดส่วน BLANDM13 สัญญาจะปิดอัตโนมัติ  หากหุ้น BLAND ราคาลดลงเหลือ 1.90 ผลคือเราจะขาดทุน BLAND (1.90-2.00)*310,000 = -31,000 บาท และเราก็จะกำไรจาก BLANDM13 จำนวน (2.20 - 1.90 )*310*1000 = 93,000 บาท เมื่อรวม 2 รายการ เราจะมีกำไร 50,000 โดยต้องหักค่าคอมออกไปอีกเล็กน้อย ผลคือ จะมีกำไรราวๆมากกว่า 4% ภายในไม่เกิน 3-4 เดือน 

หากราคาหุ้น BLAND สูงขึ้นเป็น 2.50 บาทเราจะมีกำไรเท่าไหร่? คำตอบคือจะมีกำไรเท่าเดิม(ลองคิดดูนะครับ)

*** แต่ทีเด็ดกว่านั้นคือ ผมไม่ต้องลงทุนใน BLAND ถึง 310,000 หุ้น เพียงเราซื้อ BLAND-W2 310,000 หุ้น(มันซับซ้อนเข้าไปอีก)ใช้เงินเพียงหุ้นละ 0.02-0.03 บาท ***

*** ในเรื่องจริงของ BLANDM13 ผมทำการ Take profit ไปก่อนเนื่องจากโอกาสเปิดให้ได้กำไรก่อนที่จะหมดอายุ ***

ส่วน BJCZ13 หมดอายุ 31 ธันวาคม 2013 ผม short ที่ราคา 88.00 บาท(มูลค่าสัญญาต้องคูณ 1,000) ผมยังไม่ได้ Lock กำไรเอาไว้ ณ  ราคาวันนี้ 13 พค. 2013 อยู่ที่ 66. บาท เท่ากับผมจะมีกำไร ณ ตอนนี้ 22,000 บาทต่อสัญญา หากผมซื้อ BJC 1,000 หุ้นแล้วไปขายตอนหมดอายุของสัญญา 22,000 บาทต่อสัญญาก็จะเข้ากระเป๋าผมอย่างแน่นอน ถึงวันนี้ผมมี short BJCZ13, BJCU13 รวม 3 สัญญาและตัวอื่นอีกร้อยสัญญา

ข้อความระวัง การปรับราคาใช้สิทธิปกติจะใช้ราคาปิด(เฉลี่ย 5 นาทีสุดท้ายของการซื้อขาย) แต่อาจจะมีการปรับเนื่องจาก corporate action เนื่องมาจากการแตกพาร์, การจ่ายปันผลเป็นหุ้น, การจ่ายปันผลพิเศษ, การลดทุน/เพิ่มทุน เป็นต้น แต่ไม่รวมถึงการจ่ายปันผลปกติ, การแจก warrant เรื่องพวกนี้เราก็กินเงินได้อีกอย่างมีเทคนิก....แล้วจะเล่าให้ฟังอีกที

ส่วนการใช้ปกกันความเสี่ยงก็เพื่อใช้ในยามที่หุ้นมีราคาแพงมากๆ ย่อมเป็นโอกาสทอง มันตรงกันข้ามกับตอนหุ้นถูกๆ(ในปี 2551)ก็เป็นโอกาสทอง เช่นกัน หากมีโอกาสก็จะนำมาแลกเปลี่ยนความรู้ให้ฟังครับ....