จดหมาย warren buffet

เพื่อสร้างความรู้เพิ่มเติมในธุรกิจประกัน ควรอ่านจดหมายของ Buffet ด้านล่างนี้ด้วย

ที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้ เป็นคำแปลจดหมายถึงผู้ถือหุ้นฉบับล่าสุดของ Warren Buffet สำหรับการประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นข้อเขียนที่มีชื่อเสียงของบัฟเฟต ที่นักลงทุนหรือผู้สนใจในเรื่องเงินๆ ทองๆ หรือผู้ที่ต้องรับผิดชอบกับการบริหารความมั่งคั่งหรือมรดกให้พอกพูนไม่ร่อยหรอลงทุกคน ต้องเสาะแสวงหามาอ่าน  

 

เราได้พยายามแปลแบบคำต่อคำ เพื่อให้ใกล้เคียงกับต้นฉบับภาษาอังกฤษที่สุด แต่ก็ให้ได้ใจความในภาษาไทยด้วย

 

 

ท่านผู้อ่านควรอ่านจดหมายฉบับนี้พร้อมกับเรื่องราวใน Cover Story ของเราในนิตยสาร MBA ฉบับเดือนกรกฎาคม 2553 ที่เราเจาะลึกถึงสไตล์การลงทุนของบัฟเฟตและที่มาของความร่ำรวยของเขา ตลอดจนวิเคราะห์พอร์ตโฟลิโอล่าสุดของ Berkshire และถ่ายทอดบรรยากาศในการประชุมผู้ถือหุ้นที่จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่อลังการเป็นประจำทุกปีที่ Qwest Center เมือง Omaha

--------------------------------------------------------------------------------------------------

 

BERKSHIRE HATHAWAY INC.

เรียน บรรดาผู้ถือหุ้นบริษัท Berkshire Hathaway

 

 

รายรับสุทธิของเราระหว่างปี 2009 มีมูลค่า 21.8 พันล้านดอลล่าร์ฯ ซึ่งเพิ่มมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้นให้เราทั้งหุ้น Class A และ Class B ถึง 19.8% โดยกว่า 45 ปีที่ผ่านมา (ตั้งแต่ผู้บริหารชุดนี้เข้ามาจัดการเป็นต้นมา) มูลค่าทางบัญชี เติบโตขึ้นจาก 19 ดอลล่าร์ต่อหุ้น มาเป็น 84,487 ดอลล่าร์ต่อหุ้น นั่นคือเพิ่มขึ้นประมาณ 20.3% ต่อปี (บัฟเฟตใช้คำว่า “compounded annually”—ผู้แปล)

 

 

และเมื่อไม่นานมานี้ Berkshire เข้าซื้อกิจการของบริษัท Burlington Northern Santa Fe (BNSF) มาอีก ซึ่งอาจจะทำให้จำนวนผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 65,000 คน รวมเป็น 500,000 คนในบัญชีผู้ถือหุ้นทั้งหมดของเรา สิ่งนี้สำคัญมากต่อ Charlie Munger คู่หูเก่าแก่ของผมและตัวผมเอง ที่ต้องให้บรรดาผู้ถือหุ้นทุกคนเข้าใจถึงการทำงานของ Berkshire รวมตลอดถึง เป้าหมาย ข้อจำกัด และวัฒนธรรมของเราด้วย ในรายงานประจำปีแต่ละฉบับ เราก็จะกล่าวซ้ำๆ ถึงหลักการเชิงเศรษฐศาสตร์ที่เรายึดถือเป็นเข็มมุ่งให้กับเรา (เขาใช้คำว่า “economic principles” ผู้แปล.) ปีนี้หลักการเชิงเศรษฐศาสตร์ดังกล่าวจะปรากฏอยู่ในหน้า 89-94 และผมก็อยากกระตุ้นให้ทุกคน—และโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ถือหุ้นรายใหม่—ขอให้อ่านให้ดี เพราะ Berkshire นั้นยึดมั่นในหลักการนี้มาหลายทศวรรษแล้วและจะยังคงทำเช่นนี้ต่อไปอีกตราบนานเท่านานภายหลังที่ผมจากไป

 

 

ในจดหมายฉบับนี้เรายังพูดถึงพื้นเพทางธุรกิจบางอย่างของเรา หวังเพื่อเป็นการแนะนำปฐมนิเทศน้องใหม่ สำหรับทั้งเจ้าของ BNSF ที่มาใหม่ และยังเป็นคอร์สเสริมสร้างความสดใหม่ให้สมาชิกหน้าเก่าๆ ใน Berkshire ผู้ผ่านประสบการณ์มาแล้วอย่างโชกโชนอีกด้วย

เราประเมินตัวเราเองอย่างไร

 

 

ตารางวัดผลสำเร็จในการจัดการของเรานั้นถูกแสดงไว้ในหน้าตรงข้าม (ของจดหมายฉบับนี้—ผู้แปล) แล้ว จากแรกเริ่ม Charlie และผมเชื่อในมาตรฐานของความมีเหตุผลและตรงไปตรงมา นั่นคือสิ่งที่เรามี – หรือ อาจไม่มี เพื่อที่จะวัดว่าเราทำสำเร็จหรือไม่ นั่นช่วยเราให้พ้นจากการโดนหลอกล่อให้มองเห็นลูกธนูแห่งความสำเร็จนั้นเข้าเป้าเสียก่อนแล้วค่อยไปทำเป้าตาวัว (เป้าที่สำหรับใช้ปาลูกดอกหรือยิงธนูใส่—ผู้แปล) ไว้รอบมันในภายหลัง

 

 

การเลือก S&P 500 ให้เป็นตัวเปรียบเทียบกับเรานั้นเป็นตัวเลือกที่ง่ายมาก เพราะผู้ถือหุ้นของเรา สามารถได้ผลตอบแทนนั้นอยู่แล้วด้วยการถือ Index Fund ด้วยตัวเอง ซึ่งมันไม่ได้มีต้นทุนอะไร แต่แล้วทำไมพวกเขาจะต้องมาจ่ายให้กับเราหากเราทำได้คือๆ กัน?

 

 

การตัดสินใจที่ยากยิ่งขึ้นไปอีกสำหรับเราก็คือ จะวัดผลประกอบการของ Berkshire เทียบกับ S&P ได้อย่างไรบ้าง ถือเป็นข้อโต้แย้งที่ดีสำหรับการใช้โอกาสที่ราคาหุ้นของเรามีการเปลี่ยนแปลงในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ความจริงคือมันเป็นบททดสอบที่ดีที่สุด แต่การใช้ราคาตลาดแบบปีต่อปีก็อาจผิดปกติชนิดเอาแน่เอานอนไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น การประเมินผลโดยใช้ช่วงเวลาที่ยาวนานครอบคลุมกว่าทศวรรษก็ยังมีโอกาสที่จะถูกบิดเบือนได้มาก จากราคาที่สูงขึ้นหรือต่ำลงอย่างไร้เหตุผล ณ จุดเริ่มต้อนหรือจุดจบช่วงของการวัดSteve Ballmer ของ Microsoft และ Jeff Immelt ของ GE สามารถบอกคุณเกี่ยวกับปัญหานั้นได้ จากความยากลำบากที่พวกเขาเผชิญ เมื่อราคาหุ้นของกิจการของพวกเขาซื้อขายกันด้วยราคาบ้าเลือด (เขาใช้คำว่า “the nosebleed prices”—ผู้แปล) ในวันที่พวกเขาต้องรับไม้ต่อเพื่อเข้ามากุมบังเหียนกิจการ 

 

มาตรฐานในอุดมคติสำหรับการวัดกระบวนการทำงานเป็นรายปีของพวกเรานั้น ควรจะเป็นการเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่แท้จริงต่อหุ้นใน Berkshire (เขาใช้คำว่า per-share intrinsic value”—ผู้แปล) น่าเศร้าที่มูลค่านั้นไม่สามารถคำนวณออกมาได้ด้วยความแม่นยำ ดังนั้นเราจึงหันมาใช้การประมาณหยาบๆ ต่อหุ้นแทน อาศัยมาตรฐานนี้ในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งเราจะอภิปรายกันในหน้า 92 และ 93 ยิ่งไปกว่านั้น มูลค่าหุ้นทางบัญชีของบริษัทส่วนมากย่อมมีมูลค่าต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง และแน่นอนว่านั่นก็เป็นปัญหาของ Berkshire ด้วย  โดยรวมแล้วธุรกิจของเรามีค่ามากเกินกว่ามูลค่าทางบัญชีมาก ยิ่งในธุรกิจประกันทั้งหมดที่สำคัญของเรา ส่วนต่างจะยิ่งมีมาก ดังนั้นแล้ว Charlie และผมเชื่อว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชีของเรา—แน่นอนว่ายังมีมูลค่าไม่เต็มที่นัก—สามารถสะท้อนให้เห็นมูลค่าที่แท้จริงของเราได้ ด้วยการวัดวิธีนี้ ก็อย่างที่ผมได้กล่าวไว้แล้วในย่อหน้าแรกของจดหมาย ทำให้เราคำนวณมูลค่าหุ้นของเราตั้งแต่เริ่มกิจกรรมทางการเงินตั้งแต่ปี 1965 ว่าได้เติบโตขึ้นด้วยอัตรา 20.3% ต่อปี

 

 

เราควรกล่าวไว้ด้วยว่า หากเราเลือกใช้ ราคาหุ้นตามราคาตลาด เป็นมาตรวัดแทน ผลประกอบการของ Berkshire จะออกมาดูดีกว่า โดยจะมีกำไรตั้งแต่เริ่มกิจกรรมทางการเงินเมื่อ 1965 ถึง 22% ต่อปี น่าแปลกใจที่ส่วนต่างที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปีนำมาซึ่งผลตอบแทนถึง 801,516% จากการดำเนินงานทั้งหมดในชั่วระยะเวลา 45 ปี หากวัดด้วยราคาตลาด เมื่อเปรียบเทียบกับ 434,057% เมื่อวัดด้วยมูลค่าตามบัญชี (แสดงในหน้า 2) ผลตอบแทนแบบแรก (ที่ใช้ราคาหุ้นตามราคาตลาดเป็นตัววัด—ผู้แปล) ย่อมดีกว่าเพราะในปี 1965 หุ้นของ Berkshire ซื้อขายกันต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีอันเนื่องมาแต่สินทรัพย์ที่ไม่ก่อเกิดรายได้ของกิจการสิ่งทอในขณะนั้น แต่ทว่าในวันนี้หุ้นของ Berkshire ซื้อขายกันเหนือกว่ามูลค่าทางบัญชีของธุรกิจชั้นยอดทั้งหมดที่มีอยู่ในมือเรา นั่นเอง

 

 

สรุปแล้ว แม้เราจะได้ผลตอบแทนในเชิงบัญชีน้อยกว่าตลาดในช่วง 1965-1969 และ 2005-2009 แต่เรากลับทำได้ดีกว่า S&P และอย่างสม่ำเสมอในช่วง 11 ปีที่ตลาดติดลบ ดังนั้น อาจกล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่า กลยุทธ์การตั้งรับของเรานั้นดีกว่าการรุก และก็ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเช่นนั้นสืบไปในอนาคต

 

 

เป็นข้อเสียอย่างมากที่ผลกำไรของเราหดตัวลง ขณะที่ขนาดบริษัทของเราใหญ่ขึ้น (ช่วงที่พอร์ตยังเล็ก เงินน้อย ผลตอบแทนจะดีกว่าช่วงที่พอร์ตใหญ่ขึ้น ทำให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยลดลง---ผู้แปล)  แนวโน้มที่ไม่น่ายินดีนี้จะยังเป็นไปอย่างนั้นในอนาคต แต่ก็แน่ละ Berkshire มีธุรกิจที่โดดเด่นมากมาย และมีผู้บริหารที่ได้รับการอบรมฝึกฝนมาโดยเฉพาะ ภายใต้วัฒนธรรมของเราที่ได้ช่วยดึงเอาพรสวรรค์ของพวกเขาออกมาให้มากที่สุด Charlie และผมเชื่อว่าองค์ประกอบเหล่านี้จะสร้างผลประกอบการที่ดีกว่าระดับเฉลี่ยได้อย่างต่อเนื่องต่อไป และจะยิ่งช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของพวกเขา รวมทั้งผลประโยชน์ในอนาคตของพวกเรา หรือไม่อย่างนั้นแล้ว อย่างน้อยที่สุดครั้งหนึ่งมันก็จะเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่มั่นคงของเรา

 

 

สิ่งที่เราจะไม่ทำ

 

 

นานมาแล้ว Charlie ได้พูดถึงจุดมุ่งหมายที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาว่า “ทั้งหมดที่ผมอยากจะรู้ก็คือที่ไหนที่ผมจะไปแล้วตาย ผมก็จะไม่ไปที่แห่งนั้น” นั่นเป็นวิสัยทัศน์ที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก Jacobi นักคณิตศาสตร์ชาวปรัสเซียนผู้มีชื่อเสียง ผู้ที่ให้ข้อคิดไว้ว่า “Invert, always invert” (จงเดินทวนกระแส—ผู้แปล) เป็นวิธีเบื้องต้นในการแก้ปัญหายากๆ (ผมบอกได้เลยว่าการทำให้ถึงจุดหมายด้วยการเดินทวนกระแสนั้นได้ผลในระดับที่ดีทีเดียว: แนะนำให้ร้องเพลงคันทรีถอยหลังให้ได้ แล้วคุณจะได้มาซึ่งรถ บ้าน และภรรยาอย่างรวดเร็ว 

 

 

นี่คือตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ สำหรับการนำแนวคิดของ Charlie มาใช้กับ Berkshire

 

• Charlie และผมหลีกเลี่ยงธุรกิจใดๆ ที่เราไม่สามารถประเมินอนาคตของมันได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าผลิตภัณฑ์ของมันจะน่าตื่นเต้นสักเพียงใดก็ตาม ในอดีตนั้นธุรกิจต้องการคนประเภทที่จะตื่นตาตื่นใจเมื่อเห็นการเติบโตที่น่าเหลือเชื่อทั้งหลาย เช่น ธุรกิจรถยนต์ (ทศวรรษ 1910) อากาศยาน (ทศวรรษ 1930) และโทรทัศน์ (ทศวรรษ 1950) แต่อนาคตนั้นยังไม่แน่นอน เพราะยังมีความเคลื่อนไหวต่างๆ จากการแข่งขันในตลาด ซึ่งอาจสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงให้กับบริษัทที่เข้ามาในอุตสาหกรรม แม้ว่าผู้ที่อยู่รอดอาจจะพยายามหนีให้รอดพ้นจากสภาวะบาดเจ็บแล้วก็ตาม

 

แค่เพราะว่า Charlie และผมสามารถมองเห็นการเติบโตที่ผิดปกตินี้ได้อย่างชัดเจนในอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งนั้น ไม่ได้แปลว่าเราสามารถตัดสินได้ว่าอัตรากำไรหรือผลตอบแทนจากการลงทุนจะเป็นเท่าใด เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำ ที่ Berkshire นี้ เราจึงยึดอยู่กับธุรกิจที่สามารถคาดการณ์ความสามารถในการทำกำไรได้ในอนาคต และมีที่มาอย่างเป็นเหตุเป็นผล สามารถอธิบายได้ ไม่ฉะนั้นแล้วเราอาจจะทำความผิดอย่างมหนันต์

 

เราจะไม่ขึ้นกับใครในบรรดาคนแปลกหน้าผู้ใดผู้หนึ่งใหญ่เกินไปก็ล้มง่าย-- และแน่นอนว่าการถอยหลังไม่ใช่จุดยืนของ Berkshire แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เราจะจัดการธุรกรรมของเราด้วยตัวเองอย่างระมัดระวัง จนกว่าสภาพคล่องจะท่วมท้นหรือเกินความต้องการใช้เงินสดของเราจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นสภาพคล่องของเราก็จะถูกเติมเต็มสม่ำเสมอด้วยบ่อน้ำมันจากธุรกิจที่มีอยู่อย่างหลากหลายของเรา

 

เมื่อครั้งที่ระบบการเงินก้าวเข้าสู่ภาวะชะงักงันเหมือนหัวใจหยุดเต้นในเดือนกันยายน 2008 Berkshire ได้เป็นผู้เสริมด้านสภาพคล่องทางการเงินและการลงทุนให้กับระบบ ครั้นเมื่อเกิดวิกฤติขั้นร้ายแรง เราไม่ลังเลที่จะเทเงิน 15.5 พันล้านดอลล่าร์เข้าไปในระบบเศรษฐกิจโลก มิฉะนั้นแล้วประเทศเราคงต้องหวังพึ่งพาความช่วยเหลือจากบรรดากลุ่มประเทศต่างๆ อย่างแน่นอน 

 

ด้วยเงินสดทั้ง 9 พันล้านดอลล่าร์ในมือ เราสามารถควักให้การสนับสนุนเงินทุนให้กับธุรกิจของอเมริกาซึ่งควรต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษและต้องได้รับการปกป้องดูแลก่อนเป็นอันดับต้นๆ จากความมั่นคงและการเป็นที่พึ่งพาได้ของเรา–โดยปราศจากการประวิงเวลาหรือรอคอย---เพื่อรักษาสภาพเศรษฐกิจของอเมริกา และเงินที่เหลืออีก 6.5 พันล้านดอลล่าร์นั้นมีเพื่อให้การซื้อ Wrigley ซึ่งเป็นการต่อรองที่สมบูรณ์ปราศจากอาการสะดุดหกล้ม ขณะที่ทั่วหัวระแหงกำลังโดนอาการตื่นกลัวจากวิกฤติเศรษฐกิจเข้าครอบงำ

 

เราจ่ายในราคาสูงเอาการเพื่อที่จะรักษาความแข็งแกร่งทางการเงินของเราเอาไว้ เงินจำนวน 2 หมื่นล้านดอลล่าร์ที่เพิ่มระดับการถือครองสภาพคล่องเงินสด (ที่เรามักถือไว้โดยปกติตามธรรมเนียม) นั้นให้ผลตอบแทนเป็นจำนวนเล็กน้อยแต่ทว่าเรากลับนอนหลับได้อย่างสนิทตามากขึ้น

 

เราพยายามที่จะให้บริษัทลูกๆ ของเราดำเนินงานด้วยตัวเอง โดยปราศจากการแนะนำ ดูแล หรือจับตามองไม่ว่าจะในระดับใดๆ นั่นหมายความว่าบางครั้งจะมีการจัดการปัญหาที่ช้าเกินไป ทั้งการดำเนินงานและตัดสินใจด้านการลงทุน Charlie และตัวผมที่ไม่เห็นด้วยเลยหลังจากที่เราได้มีการปรึกษากัน บรรดาผู้จัดการของเราส่วนใหญ่มีอิสระอย่างเต็มที่ ตามที่เราอนุญาตให้มีได้ เราให้ความไว้วางใจและความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม เราพยายามรักษาทัศนคติดั้งเดิมเมื่อเริ่มก่อตั้ง ที่ไม่อาจประเมินค่าได้ รวมทั้งสิ่งนี้ยังหาได้ยากในองค์กรใหญ่ๆ ทั่วไป เรายินดีเผชิญกับต้นทุนที่มองเห็นอย่างยากลำบากจากการตัดสินใจที่ย่ำแย่ของผู้ถือหุ้น ยังดีเสียกว่าจะต้องลำบากยากเข็ญเมื่อเจอกับต้นทุนที่มองไม่เห็นมากมาย อันมาจากการตัดสินใจล่าช้าหรือไม่ก็จากการบริหารที่กดขี่เข้มงวดมากจนเกินไป

 

ด้วยการได้มาซึ่ง BNSF ของเรานั้น ขณะนี้เรามีพนักงาน 257,000 คน และกว่าร้อยหน่วยงานที่ทำหน้าที่แตกต่างกันไป เราหวังว่าแต่ละหน่วยจะมีผู้ร่วมงานเพิ่มขึ้นมาอีก แต่เราจะไม่อนุญาตให้ Berkshire กลายเป็นเสาหลักใหญ่เพียงต้นเดียวที่ฟาดฟันบุกรุกการทำงานของคณะกรรมการบริษัท --รวมทั้งทำให้มีการเสนองบประมาณและการจัดการที่ซับซ้อนหลายขั้นตอน-- แทนที่จะทำอย่างนั้น เราวางแผนที่จะดำเนินการโดยการรวมเอาธุรกิจขนาดกลางและขนาดใหญ่ที่ถูกแยกส่วนเข้ามาไว้ด้วยกัน การตัดสินใจของผู้บริหารบริษัทลูกส่วนใหญ่นั้นอยู่ในระดับดำเนินการ โดย Charlie และผมจะจำกัดตัวเองให้อยู่เพียงในเรื่องการจัดสรรเงินทุน, การควบคุมความเสี่ยงของบริษัท, การเลือกสรรผู้จัดการ และการกำหนดค่าตอบแทนของพวกเขาเท่านั้น

 

เราไม่เคยพยายามที่จะเข้าหา Wall Street เลย นักลงทุนที่ทำการซื้อขายหุ้นโดยฟังจากสื่อหรือความเห็นของนักวิเคราะห์นั้นไม่ใช่ตัวเรา  แทนที่จะเป็นเช่นนั้นเราต้องการหุ้นส่วนที่จะร่วมลงทุนกับเราใน Berkshire เพราะพวกเขาปรารถนาที่จะทำการลงทุนในระยะยาว รวมทั้งในธุรกิจที่พวกเขามีความเข้าใจได้ง่ายด้วยตัวเอง และเพราะว่าพวกเขาสามารถกระทำตามนโยบายใดๆ ที่เขาเห็นด้วยได้ ซึ่งถ้าหาก Charlie และผมอยากจะลงทุนในธุรกิจที่เสี่ยงอยู่สักหน่อยกับหุ้นส่วนเพียงไม่กี่คน เราจะหาบุคคลที่เชี่ยวชาญมาร่วมกับเราด้วยเพื่อรับรองในความเสี่ยงนั้น การรับรู้ถึงเป้าหมายโดยทั่วไปและการร่วมชะตากรรมกันทำเพื่อให้ธุรกิจนั้นออกมาดี ก็เปรียบเสมือนการแต่งงานร่วมชีวิตระหว่างเจ้าของบริษัทและผู้บริหารบริษัท ซึ่งการเพิ่มขนาดธุรกิจให้ใหญ่ขึ้นไม่ได้เปลี่ยนความจริงในข้อนี้

 

เพื่อที่จะสร้างความเข้าใจตรงกันของสมาชิกผู้ถือหุ้น เราพยายามที่จะสื่อสารกับบรรดาเจ้าของโดยตรงและอย่างเป็นกันเอง เป้าหมายของเราก็คือการจะบอกคุณถึงสิ่งที่เราต้องการทราบ นอกจากนั้นแล้วเราพยายามโพสต์ข้อมูลทางการเงินรายไตรมาสและรายปีบนอินเตอร์เน็ตก่อนวันหยุดทำการ ด้วยเหตุนี้ การให้คุณและนักลงทุนอื่นๆ มีเวลามากเหลือเฟือระหว่างอยู่ในช่วง non-trade นั้นมีขึ้นเพื่อที่จะให้คุณย่อยข้อมูลต่างๆ ที่เกิดขึ้นในทุกๆ มุมมองของธุรกิจ สิ่งที่เกิดขึ้นไม่สามารถอธิบายหรือสรุปง่ายๆ ในย่อหน้าเดียวได้ ไม่อย่างนั้นแล้วเราก็จะทำตัวเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของพาดหัวหนังสือพิมพ์ให้นักข่าวตามเราในบางครั้งเท่านั้น

 

ปีที่แล้วเราพบว่าในกรณีหนึ่งของเรา ถึงการที่ตัดตอนข้อความใดข้อความหนึ่งของเราออกมาพูดนั้นสามารถทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ในจำนวนคำ 12,830 คำที่ปรากฏอยู่ในรายงานประจำปี มาเหลืออยู่แค่ประโยคที่ว่า “เรามั่นใจ—จากตัวอย่าง—ที่บริษัทต้องก้าวเดินไปแบบถูลู่ถูกังตลอดปี 2009 –หรืออาจจะนานกว่านั้น—แต่ข้อสรุปนี้ไม่ได้บอกเราว่าตลาดจะรุ่งหรือร่วง” สื่อมวลชนหลายสำนักก็ป่าวประกาศส่วนแรกของประโยคออกไป โดยที่ไม่สนใจว่ามันจะจบลงอย่างไร ผมคิดว่าคนเหล่านี้เป็นนักข่าวที่แย่มาก ที่ให้ข้อมูลกับผู้อ่านหรือผู้ชมแบบผิดๆ ว่า Charlie และผมได้พยากรณ์สิ่งที่ไม่ค่อยจะดีนักเกี่ยวกับตลาดหุ้น แม้เราจะไม่ได้พูดแบบนั้นในประโยคดังกล่าว ไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม เราจึงทำให้กระจ่างไปเลยว่าเราไม่ได้ทำนายอะไรทั้งนั้นในตลาด แต่ก็ไม่ทันแล้ว เมื่อนักลงทุนบางรายที่ถูกทำให้เข้าใจผิดต้องจ่ายจนอาน The Dow ปิดที่ 7,063 และจบสิ้นปีที่ 10,428 

การให้ประสบการณ์เล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้จะทำให้คุณสามารถเข้าใจได้ว่า เหตุใดผมจึงชอบที่จะทำให้การสื่อสารกับคุณยังคงเป็นการสื่อสารโดยตรงและสมบูรณ์ครบถ้วนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

 

**************************

 

ลองย้ายมาเจาะจงที่หน่วยธุรกิจของ Berkshire ดูบ้าง เรามีธุรกิจหลักแยกเป็น 4 ประเภทหลัก ที่แตกต่างกันไปในบัญชีงบดุลและบัญชีงบกำไรขาดทุน ดังนั้นการจะรวมเข้าไว้ด้วยกันตามมาตรฐานทางการเงินก็เกรงว่าจะเป็นอุปสรรคต่อการวิเคราะห์ เราจึงแสดงออกเป็น 4 หน่วยธุรกิจแยกกันออกไป และนั่นคือสิ่งที่ Charlie และผมมองมัน..

http://www.mbamagazine.net/home/index.php/blog/46-people/218--m-m-s

...ธุรกิจประกันภัย (P/C หรือ property-casualty) ของเรานั้นเป็นกลจักรสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการเติบโตของ Berkshire มานานและมันก็จะเป็นเช่นนั้นต่อไป สำหรับเราแล้วมันทำงานได้อย่างมหัศจรรย์มาก เรามีมูลค่าทรัพย์สินของบริษัท P/C ในบัญชี 15,500 ล้านดอลล่าร์ซึ่งมากกว่าสินทรัพย์ที่จับต้องได้สุทธิ โดยที่เหลือถูกเก็บไว้ในบัญชี “Goodwill” ของเรา

 

 

บริษัทเหล่านี้มีมูลค่ามากเกินกว่ามูลค่าที่มันเป็นอยู่ และต่อไปนี้เราจะมาดูที่โมเดลทางเศรษฐกิจของอุตสาหกรรม P/C ของเราที่จะบอกได้ว่าเพราะเหตุใด

 

 

ผู้รับประกันนั้นจะได้รับเบี้ยประกันก่อนที่จะต้องจ่ายเคลมในเวลาต่อมา ในกรณีที่ร้ายแรงเช่นการเพิ่มขึ้นของการจ่ายชดเชยอุบัติเหตุให้พนักงานประจำ การจ่ายชำระอาจจะยืดเวลาออกไปได้ภายในระยะเวลากว่า 10 ปี นี่คือ “collect-now, pay-later model” (เก็บก่อน จ่ายทีหลัง---ผู้แปล) ทำให้เราถือครองเงินจำนวนมากไว้ก้อนหนึ่งเฉยๆ ตลอดเวลา

 

 

เงินนี้เราเรียกมันว่า “float” ที่ในที่สุดแล้วก็ต้องจ่ายไปสู่คนอื่น แต่ขณะที่ยังไม่ได้จ่ายออกไปนั้นเอง เราก็เอาเงินดังกล่าวไปลงทุนเพื่อหากำไรให้ Berkshire แม้ว่านโยบายของแต่ละบุคคลและการเคลมนั้นจะมาแล้วก็ไป แต่ผลรวมของ float ที่เราถืออยู่ก็ยังคงเสถียรอยู่เป็นสัดส่วนกับรายรับเบี้ยประกัน ดังนั้นแล้วยิ่งธุรกิจเราโตเท่าไหร่เงิน float ของเราก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น

 

 

หากท้ายที่สุดแล้วเบี้ยประกันรับของเรามากกว่ารายจ่ายและค่าเคลมในปีนั้นๆ เราก็จะลงบัญชีในฐานะ “กำไรจากการรับประกันภัย” ที่จะเพิ่มลงไปในส่วนที่เป็นรายรับจากการลงทุน ซึ่งมีมาจากเงิน float การนำมารวมกันเช่นนี้จะทำให้เราสนุกกับการใช้เงินอย่างเป็นอิสระ และที่ดีกว่านั้นก็คือเราถูกคนอื่น จ่าย เงินให้โดยแทบจะไม่มีต้นทุน ความหวังในผลลัพธ์ที่น่ายินดีนี้ดึงดูดให้ทุกคนต่างกระโจนเข้ามาสู่การแข่งขัน ซึ่งปีที่ผ่านมาส่วนใหญ่จะเป็นสาเหตุให้อุตสาหกรรม P/C นั้นขาดทุน

 

ซึ่งการขาดทุนในที่นี้ ผลของมันก็คือสิ่งที่อุตสาหกรรมต้องจ่ายเพื่อที่จะถือครอง float และตามปกติแล้วจะเป็นรายจ่ายที่น้อยมาก เว้นแต่ว่าในปีที่เกิดหายนะหรือภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ ซึ่งในที่นี้ก็หมายความว่าต้นทุนจากการขาดทุนนั้นมีมากกว่าเงินที่เราได้รับจากการใช้ float

 

 

ในมุมมองที่ค่อนข้างจะลำเอียงของผม Berkshire มีระบบการประกันภัยที่ใหญ่และดีที่สุดในโลก และจะยังคงเป็นเช่นนั้นเมื่อเรายังมีผู้บริหารที่ดีที่สุด โดย float ของเราเติบโตจาก 16 ล้านดอลล่าร์ในปี 1967 มาเป็น 62 ล้านดอลล่าร์ ณ สิ้นปี 2009 เมื่อแรกเข้าช่วง 7 ปีแรก ผมเชื่อว่ามันจะเป็นไปได้ที่เราจะได้รับกำไรอย่างต่อเนื่องในอนาคต –แม้แน่นอนว่าจะไม่ทั้งหมดก็ตาม— หากเป็นอย่างนั้น float ของเราก็จะเป็น float ที่ปราศจากต้นทุน มากพอๆ กับการที่ใครบางคนฝากเงิน 62,000 ล้านดอลล่าร์ไว้กับเรา โดยที่เราสามารถลงทุนเพื่อกำไรของเราเองได้โดยปราศจากการจ่ายดอกเบี้ยอย่างสิ้นเชิง

 

 

ให้ผมเน้นย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า float ที่ไม่มีต้นทุนนั้นไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เราจะคาดหวังสำหรับอุตสาหกรรม P/C ทั้งหมด ในปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่รายได้จากการประกันภัยนั้นจะมีไม่พอกับการจ่ายเคลมที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้อุตสาหกรรมโดยรวมนั้นได้ผลตอบแทนต่ำกว่าดัชนี S&P 500 มาอย่างต่อเนื่องยาวนานหลายปี มีแต่ธุรกิจที่โดดเด่นเฉพาะของ Berkshire เท่านั้นที่ยังคงเหนือชั้น เพราะเรามีแต่ผู้จัดการที่โดดเด่น CEOs บริษัทประกันภัยของเราสมควรที่จะได้รับคำขอบคุณจากคุณ ที่เติมเงินลงไปหลายพันล้านดอลล่าร์ให้ Berkshire และเป็นความยินดีสำหรับผมที่จะเล่าให้คุณฟังถึงบรรดาดาวดังเหล่านี้

 

*************************************

 

มาเริ่มกันที่ GEICO ที่เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป จากการมีงบโฆษณา 800 ล้านดอลล่าร์ต่อปี (มากเกือบจะเป็นสองเท่าของการโฆษณาในวงการเดียวกัน) GEICO ดำเนินงานโดย Tony Nicely ผู้ที่เข้าทำงานในบริษัทตั้งแต่อายุ 18 จนตอนนี้ 66 ปีแล้ว แต่ Tony ก็ยังคงเต้นแท็บมาทำงานทุกวัน เหมือนผมในวัย 79 ที่เราทั้งคู่รู้สึกโชคดีที่ได้ทำงานในธุรกิจที่เรารัก

 

ลูกค้าของ GEICO รู้สึกอบอุ่นกับบริษัทเป็นอย่างดี และนี่คือข้อพิสูจน์: ตั้งแต่ Berkshire ได้เข้ามาคุม GEICO ในปี 1996 นั้นทำให้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นจาก 2.5% เป็น 8.1% ผลกำไรนี้สะท้อนจากการเพิ่มขึ้นสุทธิของผู้เอาประกัน 7 ล้านคน บางทีที่พวกเขาติดต่อเราอาจเป็นเพราะคิดว่าตุ๊กแกของเราน่ารัก (ชุดภาพยนตร์โฆษณาตุ๊กแกพูดได้ที่แพร่ภาพในอเมริกา ที่ทำให้ตุ๊กแกดูน่ารักไปเลย---ผู้แปล)

 

แต่พวกเขาซื้อจากเราก็เพราะคิดว่ามันจะช่วยประหยัดเงินในส่วนที่สำคัญลงได้ และพวกเขาจะอยู่กับเราเพราะชอบในบริการมากพอๆ กับที่ชอบในราคาของเรา

 

Berkshire ได้ GEICO มาจากการลงทุนซื้อหุ้นสองรอบ รอบแรกในปี 1976-80 เราซื้อหุ้นประมาณ 1 ใน 3 ของบริษัทที่คิดเป็น 47 ล้านดอลล่าร์ หลังจากนั้น เราก็ได้ทะยอยซื้อหุ้นคืนจากตลาด ทำให้พอร์ตของเราเติบโตขึ้นประมาณ 50% โดยปราศจากการซื้อหุ้นอื่นๆ เพิ่ม จนมาถึงวันที่ 2 มกราคม 1996 เราได้ส่วนที่เหลือของ GEICO มาด้วยการจ่าย 2.3 พันล้านด้วยเงินสด คิดเป็นประมาณ 50 เท่าของต้นทุนการซื้อเดิมของเรา

 

มีเรื่องเล่าหนึ่งที่เกี่ยวกับวอลสตรีทซึ่งใกล้เคียงกับชีวิตจริงของเรา:

ลูกค้า: เอ่อ ขอบคุณนะที่แนะให้ผมขายหุ้น XYZ ของผมที่ราคา 5 เหรียญฯ ตอนนี้ผมได้ยินว่ามันขึ้นไปเป็น 18 แล้ว

โบรกเกอร์: ใช่ครับ และนี่มันแค่เริ่มต้นนะครับ จริงๆ แล้วตอนนี้บริษัททำได้ดีจริงๆ มันจะขึ้นสูงกว่า 18 อีกถ้าคุณรีบซื้อตอนนี้

ลูกค้า: โธ่ รู้งี้ผมน่าจะรออีกหน่อย

 

การเติบโตของ GEICO อาจจะช้าอยู่สักหน่อย ในปี 2010 สิ่งที่เกิดขึ้นคือยอดการประกันรถยนต์นั้นลดลงอย่างแท้จริง จากยอดการขายรถยนต์ที่ทรุดฮวบฮาบ ยิ่งไปกว่านั้นยอดของจำนวนผู้ว่างงานที่สูงขึ้นยังเป็นเหตุให้จำนวนคนขับรถที่ไม่ต้องการทำประกันเพิ่มจำนวนสูงขึ้นด้วย (มันผิดกฎหมายเกือบจะทุกที่ แต่หากคุณตกงานและยังต้องขับรถก็...) ในฐานะการเป็น “ผู้ผลิตต้นทุนต่ำ” ของเรา เราแน่ใจว่า GEICO จะทำผลกำไรอย่างงามให้เราในอนาคต (จากในปี 1995 GEICO เป็นประกันภัยรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 6 ของประเทศ ปัจจุบันเราอยู่อันดับ 3)

 

เงิน float ของบริษัทโตจาก 2.7 พันล้านดอลล่าร์ ไปอยู่ที่ 9.6 พันล้านดอลล่าร์ และที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันก็คือ GEICO ดำเนินงานได้กำไรมาตลอดในช่วง 13 ปีจาก 14 ปี ที่ Berkshire เป็นเจ้าของ

 

ผมตื่นเต้นกับ GEICO มากในปี 1951 เมื่อแรกเข้าเยี่ยมชมบริษัท ครั้งที่ผมยังเป็นนักศึกษาอายุ 20 อยู่ ผมต้องขอบคุณ Tony ที่ทำให้ผมยังตื่นเต้นมากขึ้นอีกในวันนี้

สิ่งที่สำคัญสิ่งหนึ่งสำหรับประวัติศาสตร์ของ Berkshire เกิดขึ้นในวันเสาร์หนึ่งของปี 1985 Ajit Jain เข้ามาทำงานในบริษัทเราที่ Omaha --– และผมรู้ในทันทีว่าเราค้นพบซุปเปอร์สตาร์แล้ว (เขาถูกค้นพบโดย Mike Goldberg ซึ่งตอนนี้ยกระดับไปเป็น St.Mike เรียบร้อยแล้ว)

 

เราให้ Ajit มาดูแลด้าน National Indemnity หลายปีที่ผ่านมา เขาสร้างให้ธุรกิจนี้เป็นยักษ์ใหญ่อีกตัวในโลกของการประกันภัย

 

ด้วยการทำงานของพนักงานเพียง 30 คนในวันนี้ การดำเนินงานของ Ajit นั้นสามารถสร้างสถิติยอดการทำธุรกรรมในหลายพื้นที่ของการประกันภัย โดยทำเงินได้สูงสุดเป็นหลักพันล้าน แล้วก็ยังเก็บทุกเหรียญ 10 เซ็นต์ของความเสี่ยงที่จะปล่อยมันทิ้งไปกับผู้รับประกันรายอื่นๆ ซึ่ง 3 ปีที่ผ่านมาเขาเทคโอเวอร์หนี้สินจำนวนมากจาก Lloyds พร้อมอนุญาตให้ขจัดความสัมพันธ์กับผู้ร่วมหุ้น 27,972 คน (รายชื่อ) ที่สร้างนโยบายที่เป็นปัญหาออกมาคุกคามสถาบันการเงินอายุเก่าแก่ถึง 322 ปีนี้ 

 

ธุรกิจของ Ajit นั้นตรงข้ามกับของ GEICO ที่บริษัทเรานั้นมีนโยบายยิบย่อยเป็นล้านที่เปลี่ยนใหม่มากมายปีต่อปี แต่ Ajit เพียงแค่ร่างนโยบายที่เกี่ยวข้อง 2-3 ข้อ และผสมผสานการเปลี่ยนแปลงจากปีหนึ่งไปอีกปีหนึ่ง ท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนแปลงทุกวันนี้ เขาเป็นที่รู้จักดีในนามของผู้ที่ถูกเรียกใช้ เมื่อมีบางอย่างที่ใหญ่มากๆ และมีความจำเป็นที่ผิดไปจากธรรมดานั้นต้องการให้มีการประกันภัย

 

หากวันหนึ่ง Charlie, ผม และ Ajit กำลังอยู่รวมกันในเรือที่กำลังจะจมน้ำ และคุณสามารถช่วยชีวิตคนไว้ได้เพียงคนเดียวเท่านั้น ว่ายไปหา Ajit เถอะครับ

 ......................................................................

บริษัทประกันอันดับสามที่ทรงอิทธิพลของเรานั้นคือ General Re บางปีย้อนหลังที่บริษัทเกิดปัญหาแต่ตอนนี้มันคืออัญมนีที่ประดับอยู่บนมงกุฎแห่งการประกันภัย

 

ภายใต้การนำของ Tad Montross General Re มีปีแห่งธุรกิจการประกันภัยที่โดดเด่น ในปี 2009 ขณะที่ทำให้เราได้รับเงิน float ต่อดอลล่าร์เป็นก้อนใหญ่อยู่เสมอ เปรียบเทียบกับธุรกิจ P/C ของ General Re Tad และผู้ร่วมงานของเขาได้พัฒนาหลักการดำเนินงานของการประกันชีวิตอยู่เสมอๆ ซึ่งทำให้กิจการมีมูลค่าเพิ่มขึ้นตลอดมา

 

ปีที่แล้ว General Re บรรลุการเป็นเจ้าของ Cologne Re ถึง 100% ด้วยในปี 1995 มีเป้าหมายว่า—ถึงแม้จะเป็นเจ้าของเพียงบางส่วน---มันจะเป็นส่วนหนึ่งของเราไปทั่วโลก Tad และผมจะไปเยี่ยม Cologne ในเดือนกันยายนเพื่อขอบคุณผู้จัดการสำหรับสิ่งที่เขาทำให้ Berkshire

 

ท้ายที่สุดแล้วเราก็ได้เป็นเจ้าของกลุ่มบริษัทประกันกลุ่มหนึ่งซึ่งเล็กกว่า แต่ทว่าพวกเขานั้นมีความชำนาญเฉพาะด้านในแง่ของการประกันภัย ในภาพรวมนั้นผลประกอบการของพวกเขามีกำไร และจากตารางนั้นแสดงถึงเงิน float ที่พวกเขาได้ทำให้เราอย่างเป็นจริง Charlie และผมรักบริษัทเหล่านี้รวมไปถึงผู้บริหารของพวกเขาด้วย

 

 

นี่เป็นผลการดำเนินงานของธุรกิจประกันภัย 4 ประเภทของเรา รวมกับประกันชีวิตด้วย

 

และนี่เป็นการสารภาพที่เจ็บปวด : ปีที่แล้วประธานของพวกคุณปิดบัญชีด้วยธุรกิจที่แพงมาก ถือเป็นข้อล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงจากการกระทำของเขาเอง

 

หลายปีมานี้ผมคิดอย่างหนักเกี่ยวกับการสร้างผลิตภัณฑ์เพื่อลูกค้า GEICO นับล้านคนที่จงรักภักดีกับเรา น่าเสียดายที่สุดท้ายผมก็คิดจนสำเร็จ ตามมาด้วย insight สุดเด็ดของผมที่ว่าเราน่าจะขายเครดิตการ์ดของเราเอง ที่จะสนับสนุนเราด้วยธุรกิจของมัน สรุปแล้วก็คือว่าเราได้ทำธุรกิจก็จริง---แต่ผิดประเภท

 

การขาดทุนก่อนหักภาษีจากธุรกิจเครดิตการ์ดของเราของเรามีถึง 6.3 ล้านดอลล่าร์ ก่อนที่ผมจะตระหนักแล้วในที่สุด เราจึงขายพอร์ตโฟลิโอที่เป็นปัญหามูลค่า 98 ล้านดอลล่าร์นี้ไปเพื่อแลกกับ 55 เซนต์ต่อดอลล่าร์ สรุปแล้วคือมีเงินหายไป 44 ล้านดอลล่าร์ฯ

 

ผู้จัดการของ GEICO ที่เราให้ความสำคัญนั้น ไม่เคยให้ความกระตือรือร้นกับความคิดของผมเลย พวกเขาเตือนผมว่าแทนที่จะได้ลูกค้าขั้นครีมของ GEICO เราจะได้-------เอ่อ งั้นเรียกว่าลูกค้าที่ไม่ใช่ครีมดีกว่า---- เวลานั้นผมได้แต่ทึกทักเอาเองว่าผมแก่กว่าและฉลาดกว่า

แต่ผมก็เพียงแค่แก่กว่าเท่านั้นเอง

 

ธุรกิจสาธารณูปโภค

  

Berkshire ถือหุ้น 89.5% ใน MidAmerican ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มบริษัทอุตสาหกรรมที่มีประเภทกิจการกว้างขวางหลากหลาย บริษัทที่ใหญ่ที่สุดคือ (1) Yorkshire Electricity และ Northern Electric ซึ่งมีลูกค้าถึง 3.8 ล้านคน แจกจ่ายกระแสไฟฟ้ามากที่สุดเป็นอันดับที่ 3 ในประเทศอังกฤษ (2) MidAmerican Energy ที่ให้บริการลูกค้ากว่า 725,000 คน (3) Pacific Power and Rocky Mountain Power ให้บริการลูกค้า 1.7 ล้านคนใน 6 รัฐทางตะวันตกของสหรัฐฯ และ (4) Kern River and Northern Natural Pipelines ด้วยการถือครองสัดส่วนการบริโภคก๊าซธรรมชาติ 8% ในสหรัฐอเมริกา

 

 

MidAmerican มีผู้จัดการที่ถือว่ายอดเยี่ยมถึง 2 คนด้วยกัน นั่นคือ Dave Sokol และ Greg Abel ยิ่งกว่านั้นเพื่อนเก่าของผมอย่าง Walter Scott พร้อมด้วยครอบครัวของเขาก็ยังมีบทบาทของการเป็นเจ้าของกิจการอย่างเหนียวแน่นภายในบริษัท Walter มีวิธีการบริหารงานต่างๆ อย่าชาญฉลาดและไม่ธรรมดา เวลา 10 ปีที่ร่วมงานกับ Dave, Greg, และ Walter ยิ่งทำให้ความเชื่อที่มีมานานของผมแข็งแกร่งขึ้น นั่นคือ Berkshire หาพาร์ทเนอร์ที่ดีกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว เพราะพวกเขาคือดรีมทีมตัวจริงเสียงจริง

 

 

MidAmerican ยังเป็นเจ้าของธุรกิจนายหน้าการซื้อขายที่ดินที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในสหรัฐฯ Home Services of America บริษัทนี้ดูแลแบรนด์ท้องถิ่น 21 แบรนด์สินค้า ที่มีตัวแทนจำหน่ายถึง 16,000 ราย แม้ว่าปีที่แล้วจะเป็นอีกปีที่แย่สำหรับการซื้อขายบ้าน แต่ธุรกิจเกี่ยวกับบ้านก็ยังได้รับผลประกอบการที่ดี อีกทั้งยังได้ธุรกิจใหม่ๆ ในชิคาโก และจะเพิ่มคุณภาพให้กับการดำเนินงานการรับประกันภัยเมื่อพวกเขาสามารถทำให้อยู่ในราคาที่จับต้องได้สมเหตุสมผล และดูเหมือนกับว่า 10 ปี จากนี้ HomeServices จะใหญ่กว่านี้อีกแยะ

 

 

และนี่ก็เป็นตัวเลขสำคัญๆ บางตัวที่แสดงให้เห็นถึงผลการดำเนินงานของ MidAmerica

 

 

 ธุรกิจขายไฟฟ้าในกลุ่มนี้ของเราก็คือการเสนอบริการแบบผูกขาดกับลูกค้าเสียเป็นส่วนใหญ่ มีความสัมพันธ์ที่เป็นไปในลักษณะแบบอิงอาศัยกับลูกค้าในเขตพื้นที่บริการ ด้วยลูกค้าเหล่านั้นขึ้นกับเราในการให้บริการแบบชั้นหนึ่งที่สามารถลงทุนสำหรับความต้องการในอนาคตของพวกเขาได้ ธุรกิจนี้โดยทั่วไปต้องใช้เงินลงทุนสูง เพราะต้องลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าและระบบสายส่ง ซึ่งต้องอาศัยระยะเวลานาน ดังนั้นเราต้องมองการณ์ไกล และคาดการณ์ให้ถูก อีกทั้งยังต้องคอยประสานงานกับหน่วยงานรัฐที่มีหน้าที่ให้สัมปทานกับเรา เพื่อให้แน่ใจว่าการกำหนดราคาในอนาคตจะเหลือพื้นที่ให้เราได้ผลตอบแทนที่สมเหตุสมผลด้วย

 

 

Dave และ Greg ทำให้แน่ใจว่าเราทำแบบนั้น จากการสำรวจการจัดอันดับในประเทศพบว่า Iowa ของเราและ Western Utilities นั้นอยู่อันดับท็อปหรือใกล้เคียงในอุตสหกรรมประเภทเดียวกัน ในทำนองเดียวกัน ท่ามกลางการจัดอันดับของ Mastio ของบรรดาท่อส่งลำเลียงทั้ง 43 เจ้า Kern River and Northern Natural ยังผูกขาดอยู่เป็นอันดับที่สอง

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น เรายังคงทุ่มเงินก้อนใหญ่เข้าสู่กิจการ ไม่ใช่แค่เพื่อเตรียมไว้สำหรับอนาคต แต่ยังทำให้กระบวนการทำงานนั้นเป็นมิตรกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น ตั้งแต่เราซื้อ MidAmerican มาเป็นเวลา 10 ปี มันก็ยังไม่เคยจะจ่ายเงินปันผลมาก่อนเลย เพราะเราเอาเงินนั้นมาใช้เพื่อการปรับปรุงและขยายสินทรัพย์ที่มีอยู่ของธุรกิจในเขตที่เราดูแลแทน 

 

 

ที่ผ่านมา Charlie และผมหลีกเลี่ยงการลงทุนที่ต้องพึ่งพาเงินทุนจากสาธารณชน ที่จริงแล้วธุรกิจแบบนี้จะมีผลตอบแทนที่สูง และต้องการเงินสำรองไว้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เราโชคดีตรงที่ว่าเราเป็นเจ้าของธุรกิจหลายธุรกิจ เราชอบที่จะซื้อมากขึ้นเรื่อยๆ ใครจะคาดการณ์ล่วงหน้าว่าอย่างไรก็ตาม Berkshire จะต้องสร้างยอดขายได้เป็นเงินสดมากกว่าที่เคยทำมา ทุกวันนี้เรามักอยากเลือกที่จะเข้าไปในธุรกิจที่ปกติแล้วมีการใช้จ่ายเงินทุนเป็นจำนวนมหาศาล เราได้แต่คาดหวังว่าธุรกิจเหล่านี้จะมีการคาดการณ์อย่างเหมาะสม ในการได้รับผลตอบแทนงอกเงยคุ้มค่าแก่การลงทุน ถ้าการคาดการณ์ของเราถูกต้อง (และเราเชื่อว่ามันจะเป็นไปได้เช่นนั้นแล้ว) การเติบโตของ Berkshire จะสูงเกินกว่าค่าเฉลี่ย แม้ว่าจะไม่หวือหวาน่าตื่นเต้น แต่ยังมีผลตอบแทนรออยู่เบื้องหน้าภายในอีกไม่กี่ปี

 

 

BNSF ของเรานี้น่าจับตามอง เพราะมีลักษณะคล้ายคลึงกับธุรกิจไฟฟ้าของเรา กรณีของทั้งคู่นี้เราสร้างรากฐานของการบริการ เพื่อสวัสดิการของลูกค้า สังคม รวมไปถึงประเทศชาติ ซึ่งทั้งสองธุรกิจต้องอาศัยเงินลงทุนเป็นจำนวนมหาศาล มากเกินกว่าค่าเสื่อมราคารวมของอีกสิบปีข้างหน้า ทั้งยังต้องอาศัยการจัดทำแผนล่วงหน้าเพื่อกระตุ้นความต้องการ ที่คาดกันว่าจะต้องดีกว่าที่ผ่านมา (ซึ่งลดทอนความต้องการลงเหลือแค่เพียงความจำเป็น) สุดท้ายแล้วยังต้องการผู้คุ้มกฎที่ชาญฉลาดที่จะควบคุมดูแลแจกจ่ายผลตอบแทนที่เหมาะสมและควรจะเป็น เพื่อให้เรามั่นใจ ว่าจะต้องลงทุนเป็นจำนวนมหาศาลไปกับการซ่อมแซม บำรุงรักษา และขยายกิจการ

 

 

เราพบเห็น “สัญญาประชาคม” (เขาใช้คำว่า Social Compact---ผู้แปล) ระหว่างสาธารณชนและธุรกิจรถไฟ ซึ่งคล้ายคลึงกับธุรกิจสาธารณูปโภคของเรา โดยถ้าต่างฝ่ายต่างหลีกเลี่ยงสัญญาที่อาจผูกมัด แต่ละฝ่ายก็จะเผชิญกับภาวะยากลำบากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  ดังนั้นแล้วทั้งคู่ต้องร่วมมือกัน เข้าใจในผลประโยชน์ที่ตอบแทนร่วมกัน มันน่าเหลือเชื่อมากที่ประเทศเราจะดำเนินธุรกิจไปได้ด้วยประสิทธิภาพที่ดีที่สุดแต่ปราศจากกระบวนการของระบบพลังงานไฟฟ้าและการขนส่งระบบรางชั้นหนึ่ง เราจึงทำในส่วนของเราให้ดีที่สุด เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้

 

 

ในอนาคตผลประกอบการของ BNSF จะถูกรวมเข้าไปอยู่ในส่วนของธุรกิจสาธารณูปโภคด้วยเช่นกัน ทั้งคู่จะต้องกู้หนี้ยืมสินอีกมาก ซึ่งเป็นหนี้ที่ไม่ได้การันตีโดย Berkshire อีกทั้งยังจะเก็บรายได้ส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดเอาไว้ และจะต้องทำการลงทุนอีกเป็นจำนวนมาก ทั้งในช่วงที่เศรษฐกิจดีและไม่ดี โดยธุรกิจรถไฟจะเป็นไปตามฤดูกาลอีกด้วย และทั้งหมดนี้ เราคาดว่ารายได้ของเราจะเพิ่มขึ้น แม้ว่าเราจะต้องลงทุนอีกเป็นหลักหลายหมื่น—ใช่หมึ่น—ล้านดอลล่าร์ ที่เป็นส่วนของผู้ถือหุ้นก็ตาม

 

ภาคการผลิต บริการ และการค้าปลีก

 

ธุรกิจของเราในส่วนนี้ครอบคลุมกว้างขวางมาก ลองดูตัวเลขสรุปของงบดุลและงบกำไรขาดทุนของทั้งเซ็กเตอร์ดู

 

 

 จะเห็นว่าเกือบทั้งหมดของธุรกิจในส่วนนี้จะดร็อปลงระดับหนึ่ง  บริษัทหลักๆ ที่อยู่ในระดับพอรับได้คือMclane ดิสทริบิวเตอร์ของเราที่กระจายสินค้าประเภทของชำ วัสดุตั้งต้น และสินค้าที่ไม่ใช่อาหาร รวมทั้งร้านค้าปลีกกว่า 1,000 แห่ง ซึ่งที่ใหญ่ที่สุดคือห้าง Wal-Mart 

 

 

Grady Rosier ทำให้ Mclane มีรายรับก่อนหักภาษี 344 ล้านดอลล่าร์ ที่ถึงแม้ว่าจะมีอัตราผลตอบแทนเพียงเล็กน้อยเท่านั้นคือเซ็นต์กว่าๆ ต่อหนึ่งดอลล่าร์ ท่ามกลางการซื้อขาย 31.2 พันล้านดอลล่าร์  Mclane ลงทุนมหาศาลไปกับสินทรัพย์ทางกายภาพ ส่วนมากจะเป็นการลงทุนของบริษัทเอง นั่นรวมไปถึงเทรลเล่อร์ 3,242 คัน แทรคเตอร์ 2,309 คัน และศูนย์กระจายสินค้า 55 แห่ง ด้วยเนื้อที่ 15.2 ล้านตารางฟุต อย่างไรก็ตามสินทรัพย์ที่สำคัญที่สุดของ Mclane ก็คือ Grady

 

 

เรามีรายชื่อของบริษัทต่างๆ ที่ ผลประกอบการดีขึ้นทั้งๆ ที่ยอดขายหดตัวลง ซึ่งได้รับการยอมรับว่าประสบความสำเร็จในการจัดการอยู่อย่างสม่ำเสมอ เหล่านี้คือรายชื่อของ CEOs ที่ทำให้ความสำเร็จนั้นเกิดขึ้น

 

 

ท่ามกลางธุรกิจมากมายที่เราเป็นเจ้าของ ก็มีธุรกิจที่ประสบปัญหาตกต่ำในบางอุตสาหกรรม แต่ทั้ง Marmon และ Iscar นั้นก็กลับมามีบทบาทแข็งแกร่งได้อีกครั้ง Marmon ของ Frank Ptak สร้างส่วนต่างกำไรก่อนหักภาษีได้สูงเป็นประวัติการณ์ แม้ว่ายอดขายจะตกลง 27% การบริหารของแฟรงค์ช่วยทำให้ปัญหาการลดลงของรายรับบรรเทาเบาบางลงได้

 

 

ไม่มีอะไรหยุดยั้งบริษัทจากอิสราเอลบริษัทนี้ได้ “Iscar” แม้กระทั่งสงคราม ภาวะเศรษฐกิจตกสะเก็ด หรือคู่แข่ง บริษัทผลิตและขายเครื่องมือสำหรับตัดวัสดุชิ้นเล็กๆ ที่ใหญ่เป็นอันดับที่สองของโลกบริษัทนี้มีปีที่ยุ่งยากเพราะตัวบริษัทเอง เนื่องจากมีการบริหารงานขาดทุนมากที่สุดในรอบปี แต่ถึงแม้ผลประกอบการของ Iscar จะตกต่ำลงอย่างเห็นได้ชัดในปี 2008 แต่บริษัทก็ยังรายงานผลกำไรตามปกติ แม้ว่าจะอยู่ในช่วงของการรวมตัวกับ Tungaloy บริษัทขนาดใหญ่ของญี่ปุ่นที่เราพูดถึงกันเมื่อปีที่แล้ว เมื่อการผลิตดีดตัวกลับมาสูงขึ้น Iscar ก็สามารถสร้างสถิติใหม่ได้ เพราะพวกเขามีทีมยอดมนุษย์อย่าง Eitan Wertheimer, Jarcob Harpaz, และ Danny Goldman คอยดูแล

 

 

ทุกธุรกิจที่เราเป็นเจ้าของนั้นถูกโยงเกี่ยวเนื่องกับที่พักอาศัยและการโฆษณาเกี่ยวกับการก่อสร้างนั้นย่ำแย่เป็นอย่างมากในปี 2009 รายรับจากบริษัทอย่าง Shaw, Johns Manville, Acme Brick, และ MiTek ลดลง 82.5% จาก 1.295 พันล้านในปี 2006 เมื่อครั้งการก่อสร้างกำลังได้รับความนิยม ธุรกิจเหล่านี้ยังคงดิ่งวูบลงเหวและพุ่งสูงขึ้นมาเช่นนี้สลับกันตลอดเวลา 

 

 

ปัญหาหลักของ Berkshire เมื่อปีที่แล้วคือ NetJet ธุรกิจเกี่ยวกับการเช่าสิทธิเครื่องบินเจ็ทส่วนตัว เมื่อปีก่อนบริษัทประสบความสำเร็จในการวางตัวเองให้เป็นผู้นำในอุตสาหกรรม แต่ด้วยคู่แข่ง 3 รายที่เข้ามาในธุรกิจ อย่างไรก็ตามโดยรวมแล้วความโดดเด่นของธุรกิจเรายังคงมีอยู่ ไม่มีใครท้าทายได้ในวงการนี้

 

 

ทว่า ผลประกอบการของ NetJet นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง จาก 11 ปีที่ผ่านมา ที่เราเป็นเจ้าของธุรกิจ ได้รับการบันทึกว่าเราขาดทุนก่อนภาษีรวม 157 ล้านดอลล่าร์ ยิ่งไปกว่านั้นแล้วหนี้ของบริษัทยังพุ่งสูงจาก 102 ล้านดอลล่าร์เป็น 1.9 พันล้านดอลล่าร์ในเดือนเมษายนปีที่แล้ว ถ้าหากว่า Berkshire ไม่การันตีภาระหนี้จำนวนนี้แล้ว NetJet ก็อาจต้องออกจากธุรกิจไปแล้ว ชัดเจนเลยว่าผมล้มเหลวที่ลงเล่นในธุรกิจนี้ แต่โชคก็ยังดีที่สามารถพ้นจากปัญหานี้มาได้

  

 

Dave Sokol ผู้บริหารที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ของ MidAmerican Energy กลายมาเป็น CEOs ของNetJets ในเดือนสิงหาคม ความเป็นผู้นำของเขาเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหลายอย่าง หนี้สินลดลงเหลือ 1.4 พันล้านดอลล่าร์ และหลังจากการขาดทุนอย่างย่อยยับ 711 ล้านดอลล่าร์ในปี 2009 บริษัทก็กลับมามีกำไรอีกครั้ง

 

 

ที่สำคัญที่สุดคือจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือตัดงบให้ต่ำกว่ามาตรฐานบริการและความปลอดภัยที่เคยมี Dave และผมนั้นมีความคิดเห็นส่วนตัวที่อยากรักษามาตรฐานให้ได้สูงที่สุด เพราะเราและครอบครัวเรานั้นใช้ NetJets ในการเดินทางเป็นส่วนใหญ่ เหมือนเช่นที่ผู้บริหารอื่นๆ ใช้กัน ในหมู่พวกเรา ไม่มีใครใช้เครื่องบินที่เลิศหรูหรือพิเศษกว่าลูกค้า เราก็ได้รับการปฏิบัติเหมือนคนทั่วๆ ไป นั่นแปลว่าเราจ่ายในราคาเดียวกันกับที่ทุกคนจ่าย พูดให้สั้นก็คือ “We eat our own cooking” นั่นเอง...

 

...บริษัทที่ใหญ่ที่สุดของเราในส่วนนี้คือ Clayton Homes ผู้นำการผลิตในประเทศด้านชิ้นส่วนประกอบบ้านและการสร้างบ้าน Clayton ไม่ได้เป็นที่หนึ่งเสมอ กว่า 10 ปีมาแล้ว ที่บริษัท Fleetwood, Champion และ Oakwood กินส่วนแบ่งตลาดกว่า 44% ของผลผลิตทั้งหมดในอุตสาหกรรม...

 

 ทั้งหมดล้มหายไปจากเหตุการณ์วิกฤติธนาคาร ทำให้ผลรวมในอุตสาหกรรมทั้งหมดในขณะนั้นตกลงจาก 38,2000 หน่วยในปี 1999 ลงเหลือ 60,000 หน่วยในปี 2009 

 

 

เมื่อสิ้นปี 2009 เรากลายมาเป็นเจ้าของ Berkadia Commercial Mortgage ถึง 50% (หรือที่รู้จักกันดีในชื่อของ Capmark) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ มีพอร์ตการลงทุน 235 พันล้านดอลล่าร์ บริษัทนี้มีผู้บุกเบิกที่สำคัญหลายคน มีบริษัทลูกกระจายอยู่ใน 25 รัฐทั่วประเทศ แม้ว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะประสบปัญหาหนักในสองสามปีที่ผ่านมา แต่ทว่าโอกาสในระยะยาวของ Berkadia ก็ยังคงโดดเด่นอยู่

 

 

หุ้นส่วนของเราในการดำเนินงานนี้คือ Leucadia บริหารโดย Joe Steinberg และ Ian Cumming และกับผู้ที่เรามีประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมด้วยกันในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ย้อนหลังไปเมื่อ Berkshire เข้าร่วมกับพวกเขาในการซื้อ Finova ที่เป็นธุรกิจที่มีปัญหาเกี่ยวกับการเงิน เพื่อที่จะแก้ไขสถานการณ์เหล่านั้น Joe และผมทำมากกว่าการแชร์ในหน้าที่การงาน คือทั้งจัดการและกระตุ้นไปด้วย แน่นอนว่าผมยินดีมากเมื่อพวกเขาอยากให้ผมเข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนอีกครั้งในการซื้อ Capmark

 

 

ความเสี่ยงครั้งแรกของพวกเราเกิดขึ้นเมื่อต้องใส่ตะกร้าล้างน้ำ Berkadia ดังนั้นอยากให้เรียกว่าอันนี้เพียงแค่เด็กน้อยของ Berkadia เท่านั้น วันหลังผมจะเล่าให้ฟังถึงลูกชายคนโตของ Berkadia

 

ตารางด้านล่างนี้เป็นหุ้นที่เราถืออยู่ ณ สิ้นปี ที่มีมูลค่าตลาดมากกว่า 1 พันล้านดอลล่าร์ 

 

 

ขณะเดียวกันเรายังมีตำแหน่งเป็นเจ้าของในหุ้นที่ไม่ทำการซื้อการของ Dow Chemical, General Electric, Goldman Sachs, Swiss Re และ Wrigley ด้วยทุนรวม 2.1 พันล้านดอลล่าร์ และมี Carrying Value (คือมูลค่าตามราคาตลาด ณ วันปิดบัญชี---ผู้แปล) รวม 26 พันล้านดอลล่าร์ เราซื้อบริษัทพวกนี้มาตั้งแต่ 18 เดือนก่อน ซึ่งแสดงความสามารถในการทำกำไรได้อย่างดี กิจการนี้ทำผลประกอบการรวมสำหรับรายรับและเงินปันผลให้เรากว่า 2.1 พันล้านดอลล่าร์ในแต่ละปี ท้ายที่สุดเราเป็นเจ้าของส่วนแบ่งหุ้น 76,777,029 หุ้น (คิดเป็น 22.5% ของ BNSF) เมื่อสิ้นปี ด้วยต้นทุน 85.78 ดอลล่าร์ต่อหุ้น 

 

 

ในปี 2009 การขายที่ใหญ่ที่สุดของเราคือการขาย ConocoPhillips, Moody’s, Procter & Gamble และ Johnson & Johnson (โดยการขายเกิดขึ้นหลังจากเราเริ่มซื้อบริษัทอื่นๆ ในปีก่อนหน้า) Charlie และผมเชื่อว่าหุ้นทั้งหมดนั้นจะมีราคาสูงขื้นในอนาคต เราจึงขายหุ้นบางตัวในปี 2009 เพื่อที่จะยกระดับเงินสดสำหรับซื้อ Dow และ Swiss Re และต่อมาในปีนั้นก็ขายหุ้นอื่นๆ อีกเพื่อนำเงินไปซื้อ BNSF

 

 

เราบอกคุณไปตั้งแต่ปีที่แล้วว่าตลาดพันธบัตรทั้ง Corporate Bond และ Municipal Bond น่าสนใจ เพราะราคามันค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (U.S. Treasuries) ดังนั้น เราจึงซื้อเข้ามาบ้าง แต่เราน่าจะซื้อมากกว่านี้ เพราะโอกาสใหญ่แบบนี้มีไม่บ่อยนัก โบราณว่า “When it’s raining gold, reach for a bucket, not a thimble.”

 

 

ย่างเข้าปี 2008 เรามีสภาพคล่องเงินสด 44.3 พันล้าน และรักษาระดับการดำเนินงานจนได้รับเงิน 17 พันล้าน  แต่อย่างไรก็ตามเมื่อสิ้นปี 2009 ระดับเงินสดของเราลดต่ำลงไปอยู่ที่ 30.6 พันล้าน (ด้วยการใช้ 8 พันล้านไปกับการปรับปรุงเข้าเป็นสมาชิกของ BNSF)

 

 

เราลงทุนจำนวนมากในช่วงสองปีก่อนซึ่งถือว่าเศรษฐกิจกำลังตกต่ำ หากแต่ว่ามันเป็นปีในฝันของนักลงทุนเลยทีเดียว สถานการณ์ความตื่นกลัวนี้เป็นเพื่อนที่ดีของพวกเขา คนส่วนใหญ่ที่ชอบแห่ตามพวกนักวิเคราะห์วิจารณ์หุ้นในช่วงตลาดบูม มักลงเอยด้วยการขาดทุน ทว่า สิ่งสำคัญในการลงทุนก็คือ คุณลงทุนในธุรกิจ คุณจ่ายเพื่อธุรกิจ (ด้วยการซื้อบางส่วนของธุรกิจนั้นผ่านตลาดหุ้น) และจ่ายสำหรับแนวโน้มที่ธุรกิจเหล่านั้นจะได้รับในความสำเร็จที่จะมีมาในอีก 1 หรือ 2 ทศวรรษ

 

ปีที่แล้วผมเขียนถึงสถานะการลงทุนในตราสารอนุพันธ์ของเราเสียยาวเหยียด ข้อความเหล่านั้นนำมาซึ่งการโต้เถียงและเข้าใจผิด สำหรับข้อโต้แย้งอภิปรายต่างๆ กรุณาไปที่ www.berkshirehathaway.com

 

ปีที่ผ่านมา เราปรับเปลี่ยนพอร์ตเล็กน้อยเท่านั้น สัญญาบางตัวหมดลง และอีกประมาณ 10% ของ Equity Put Contracts ก็เปลี่ยนไปบ้าง คืออายุสัญญาสั้นลง และ Strike Prices ก็ลดลงด้วย การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ทำให้เงินทองเปลี่ยนมือไปแต่อย่างใด

ข้อสำคัญ 2-3 จุด จากการอภิปรายเมื่อปีที่แล้วที่มีค่าควรแก่การพิจารณา

 

• แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน แต่ผมคาดว่าตราสารอนุพันธ์ที่เราถืออยู่จะทำกำไรได้ดีตลอดช่วงอายุของมัน แม้ว่ารายรับจากการลงทุนใน float จำนวนมหาศาลนั้นจะถูกแยกออกมาจากการคำนวณก็ตาม โดย float ของเราที่เนื่องมาแต่การออกตราสารอนุพันธ์ (ที่ไม่นับรวมกับ 62 พันล้านดอลล่าร์) มีอยู่ประมาณ 6.3 พันล้านดอลล่าร์เมื่อตอนสิ้นปี

 

• ในบรรดาตราสารอนุพันธ์ที่เราถืออยู่ มีบ้างบางรายที่เราต้องลงหลักทรัพย์ค้ำประกัน ในช่วงที่ตลาดหุ้นตกต่ำที่สุดและเงินเหือดหายไปจากตลาดเงินกู้เมื่อปีที่ผ่านมา เราต้องลงหลักทรัพย์ค้ำประกันไปประมาณ 1.7 พันล้านฯ ซึ่งถือว่าเป็นเปอร์เซ็นต์เล็กน้อยเมื่อเทียบกับ Derivative-related Float ของเรา แต่กระนั้นก็ตาม หลักทรัพย์ค้ำประกันจำนวนนั้น ก็ยังสร้างรายได้ให้เราตลอดเวลาที่มันถูกนำไปค้ำประกันอยู่

 

• ท้ายที่สุดคือคุณควรคาดการณ์ถึงการแกว่งครั้งใหญ่ในมูลค่าตราสารอนุพันธ์ที่เราถือ เพราะมันอาจกระทบต่อผลการดำเนินงานรายไตรมาสที่เราแสดง แต่มันจะไม่กระทบต่อสถานะเงินสดและเงินลงทุนโดยรวมของเรา และนี่เป็นผลกำไร (ขาดทุน) ก่อนหักภาษี ในส่วนตราสารอนุพันธ์ที่เราถือ ณ สิ้นปีที่แล้ว

 

 จากที่เราอธิบายมาแล้วการแกว่งอย่างใหญ่โตนี้ไม่ได้ทำให้ Charlie และผมรู้สึกอะไร เมื่อเรารายงานคุณ เราก็จะยังคงต้องทำการแบ่งแยกส่วนตัวเลขนี้ให้คุณเห็นเป็นต่างหาก (เหมือนที่เรารู้ดีว่าส่วนใดกำไรหรือขาดทุน) ดังนั้นคุณจะมองเห็นถึงรายรับของธุรกิจเราชัดเจนยิ่งขึ้น เราภูมิใจที่เราได้ถือตราสารอนุพันธ์กลุ่มนี้ เพราะมันช่วยให้เราได้กำไรจาก float และเรายังคาดหวังว่าเราจะได้รายรับจากการลงทุนในส่วนนี้อีกตราบเท่าที่อายุของมันยังไม่หมดลง

 

เราลงทุนในตราสารอนุพันธ์ที่ Charlie และผมคิดว่าราคามันถูกกว่าที่ควรจะเป็นมานานแล้ว เหมือนกันที่เราชอบลงทุนในหุ้นและพันธบัตรที่เราคิดว่าราคามันถูกกว่าที่ควรจะเป็นนั่นแหละ อันที่จริง เราเริ่มรายงานให้กับพวกคุณว่าเราถือตราสารอนุพันธ์ครั้งแรกเมื่อต้นปี 1998 โน่นแล้ว และเราก็เคยเตือนถึงภยันตรายของตราสารประเภทนี้มาตลอด ว่ามันอาจสร้างความเสียหายให้กับผู้เกี่ยวข้องและกับสังคมโดยรวมได้ราวกับระเบิดเวลา เมื่อมันนำไปสู่การก่อหนี้อย่างมหาศาลและเกิดความเสี่ยงกับคู่ค้าอย่างมหาศาล ซึ่งตราสารประเภทนั้น Berkshire ไม่เคยข้องแวะ และจะไม่ข้องแวะในอนาคต

 

มันเป็นหน้าที่ของผมและชาลีที่ต้องรักษาให้ Berkshire นั้นห่างไกลจากปัญหา ชาลีและผมเชื่อว่า CEO นั้นต้องไม่มอบให้ผู้ใดจัดการความเสี่ยงแทนเรา แม้ว่ามันง่ายมากที่จะทำเช่นนั้น แต่ว่าสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่ Berkshire ก็คือผมจะดูแลสัญญาอนุพันธ์ ทุกๆ ตัวของเรา ยกเว้นสัญญาที่ผูกพันอยู่ในบริษัทสาขาสองสามแห่ง เช่น MidAmerican และสัญญาเล็กสัญญาน้อยของ General Re. หาก Berkshire เกิดปัญหาขึ้นมาเมื่อไหร่ มันก็จะเป็นความผิดของผม ไม่ใช่ความผิดพลาดในการตัดสินใจของคณะกรรมการหรือผู้บริหารความเสี่ยงในออฟฟิศ

...ในมุมมองของผม ผู้บริหารสถาบันการเงินใหญ่ๆ นั้นจะต้องโดนกำจัดจุดอ่อนหรือลาออกไป เมื่อเขาไม่สามารถที่จะยืนยันถึงความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ได้ในการควบคุมความเสี่ยง หรือหากเขานั้นไม่สามารถดูแลงานนั้นได้ เขาก็ควรอย่างยิ่งที่จะต้องหางานใหม่...

 

และถ้าเขาล้มเหลว (ซึ่งต้องเกี่ยวพันกับที่รัฐบาลจะต้องใส่เงินหรือค้ำประกันให้ทันที) ผลตอบแทนที่เขาและบอร์ดจะได้รับก็ควรรุนแรงตามไปด้วย

 

 ไม่มีผู้ถือหุ้นคนไหนที่ดำเนินงานอย่างลวกๆ กับสถาบันการเงินใหญ่ๆ ของประเทศเลย แต่พวกเขาก็ยังต้องแบกปัญหา โดยสินทรัพย์มูลค่ากว่า 90% (หรือมากกว่านั้น) ที่พวกเขาถือครองอยู่ ถูกกวาดหายไปในวิกฤติครั้งที่ผ่านมา รวมๆ แล้วพวกเขาเสียเงินไปประมาณ 500 พันล้านดอลล่าร์ ซึ่งถือเป็นความล้มเหลวที่ใหญ่ที่สุดในวิกฤติ 4 ครั้งในรอบสองปี และการที่พูดกันมากว่างวดนี้ บรรดา เจ้าของ ได้รับการ “อุ้ม” (Bail-out) นั้นดูเหมือนจะไม่ค่อยตรงประเด็นสักเท่าใดนัก

 

ทั้งผู้บริหารและกรรมการบริษัททั้งหลายที่บริหารล้มเหลวกลับไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากมาย ทรัพย์สมบัติของพวกเขาอาจจะลดลงด้วยหายนะที่พวกเขาก่อขึ้นเอง และทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอก แต่พวกเขาก็ยังคงใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายฟู่ฟ่า พฤติกรรมอย่างนี้เองที่ผู้บริหารและกรรมการบริษัทจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปรับเปลี่ยน เมื่อสถาบันและประเทศกำลังเข้าสู่อันตรายด้วยความประมาทของพวกเขา ซึ่งพวกเขาจะต้องได้รับบทเรียนราคาแพงทีเดียว หากเมื่อไหร่ก็ตามที่ไม่ได้รับเงินชดเชยหรือไม่ได้รับการค้ำประกันจากรัฐบาล

 

ทั้งผู้บริหารและกรรมการบริษัท (ในหลายกรณี) ได้รับผลประโยชน์ระยะยาวจากแครอททางการเงินที่มีหัวโตเกินขนาด (ซึ่งหมายถึงอะไรก็ตามที่มีความหมายมาก และตอนนี้ก็จำเป็นสำหรับการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการจ้างงานโดยรวมไปแล้ว--ผู้แปล) นั่นก็คือว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องใช้ “ไม้เรียว” กับพวกเขาบ้าง

 

ความจริงที่ไม่มีใครอยากฟัง (การถกเถียงอันเผ็ดร้อนในที่ประชุมกรรมการบริษัท)

 

สาขาบางสาขาของเรานั้นสามารถทำเงินสดให้เพิ่มขึ้นได้เล็กน้อยเมื่อปีที่แล้ว แต่ดีลขั้นเทพของเราที่มีกับ BNSF นั้นทำให้เราต้องจ่ายออกไปเป็นหุ้นของ Berkshire ถึงกว่า 95,000 หุ้น (การแลกหุ้นกัน—ผู้แปล) ซึ่งคิดเป็น 6.1% ของหุ้นที่มีอยู่ Charlie และผมสนุกสนานกับการจ่ายหุ้นของ Berkshire มากพอๆ กับตอนที่เราเพลิดเพลินเมื่อโดนหมอส่องกล้องเข้าไปสำรวจในลำไส้ใหญ่ของเรา

 

ทำไมน่ะหรือ? เหตุผลที่เราทำใจไม่ได้นั้นง่ายมาก เพราะเมื่อเราไม่ได้คิดไม่ได้ฝันโดยสิ้นเชิงเกี่ยวกับการขายหุ้น Berkshire ในราคาตลาดอยู่แล้ว แล้วเหตุใดเล่าเราจึงต้อง “ขาย” ส่วนที่มีความหมายต่อบริษัทในราคาที่ไม่คุ้มด้วยการจ่ายหุ้น (แลก) ให้กับผู้ร่วมทุนด้วย

 

ในการประเมินมูลค่าหุ้นเพื่อเสนอซื้อหุ้นนั้น รู้กันดีว่าผู้ถือหุ้นของบริษัทเป้าหมายจะค่อนข้างพุ่งเป้าไปที่ราคาตลาดของหุ้น ซึ่งผู้ที่ร้องขอเป็นเจ้าของอยู่ได้เสนอราคาให้แก่พวกเขา แต่พวกเขาก็ยังจะอยากให้การทำธุรกรรมนั้นสร้างมูลค่าที่แท้จริงให้แก่หุ้นที่พวกเขาเป็นเจ้าของ--บางทีพวกเขาจะหยุด เมื่อหุ้นที่คาดหวังนั้นมีการขายต่ำกว่ามูลค่าหุ้นที่แท้จริง มันเป็นไปได้สำหรับผู้ซื้อที่จะต่อรองซื้อหุ้นทั้งหมด คุณย่อมรู้ดีว่าเราไม่สามารถแลกหุ้นที่มีมูลค่าตกต่ำกับหุ้นมูลค่าเต็มได้โดยที่ไม่ทำร้ายบรรดาผู้ถือหุ้นเดิมของคุณ

 

ลองจินตนาการดูว่ามีบริษัท A และบริษัท B ที่มีขนาดใหญ่พอๆ กันและทั้งสองธุรกิจนั่นมีมูลค่าที่แท้จริงต่อหุ้นอยู่ที่ 100 เหรียญต่อหุ้น อย่างไรก็ตาม หุ้นของทั้งสองขายที่ 80 เหรียญต่อหุ้น ผู้บริหารของบริษัท A มีความมั่นใจมากและขาดความเฉลียวฉลาด เสนอหุ้นจำนวน 1.25 หุ้นของ A สำหรับทุกๆ  1 หุ้นของ B หากจะพูดให้ถูกก็คือ B มีมูลค่า 100 เหรียญต่อหุ้น และเขาจะเลิกบ่นทันทีแม้ว่าที่เขาให้ไปนั้นจะทำให้ผู้ถือหุ้นมีต้นทุนของมูลค่าหุ้นถึง 125 เหรียญต่อ 1 หุ้น

 

หากผู้บริหารมีหัวทางการค้าดีๆ และการต่อรองเสร็จสมบูรณ์ ผู้ถือหุ้นของ B จะจบลงด้วยการเป็นเจ้าของสินทรัพย์โดยรวม 55.6% ของทั้ง A และ B และผู้ถือหุ้นของ A จะเป็นเจ้าของเพียง 44.4% ไม่ใช่ทุกคนในบริษัท A แต่ควรต้องระวังกรณีที่จะขาดทุนจากการทำธุรกรรมนี้ให้ดี 

 

แต่เมื่อราคาหุ้นของบริษัทที่จะเข้าไปเทคโอเวอร์เกิดซื้อขายกันสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง มันจะกลายเป็นคนละเรื่อง เพราะการแลกหุ้นในกรณีนี้จะเป็นประโยชน์ต่อเขา นั่นจึงเป็นที่มาของพวกเจ้าเล่ห์ทั้งหลายที่มักเข้าซื้อคนอื่นในยุคฟองสบู่ด้วยการจ่ายเป็นหุ้นให้ ยิ่งราคาหุ้นของพวกเขาสูงขึ้นเท่าใดเขายิ่งได้ประโยชน์ เพราะมันเหมือนกันการพิมพ์แบงก์ปลอม ในช่วงปลายทศวรรษ 1960 เป็นช่วงที่มีการเล่นแร่แปรธาตุแบบนี้กันแยะ คือประเภทที่ชอบเอากากาศไปแลกกับสินทรัพย์ (air-for-assets acquisitions)

 

อันที่จริง กิจการยักษ์ใหญ่หลายกิจการก็เป็นผลลัพธ์ของการนั้น (แต่สังคมโดยรวมจะไม่เคยได้ยินเรื่องราวของพวกเหล่านั้นว่าหลังจากทำแบบนั้นกันแล้ว พวกเขาได้เสียยังไงบ้าง แม้ในแวดวงซุบซิบจะรู้กันไปทั่ว)

 

ในการเข้าซื้อ BNSF ครั้งนี้ ผู้ถือหุ้นฝ่ายผู้ขายเขาประเมินมูลค่าหุ้นของเขาและเสนอเรามาที่ 100 เหรียญฯ ต่อหุ้น ต้นทุนฝ่ายเราอาจสูงกว่านั้นนิดหน่อย เพราะเราจ่ายชำระเป็นหุ้นของ Berkshire ราวๆ 40% ของ 100 เหรียญฯ ซึ่ง Charlie และผมก็เชื่อว่ามันจะสูงกว่าราคาตลาด แต่โชคดีที่เราถือหุ้น BNSF อยู่ก่อนจำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นส่วนที่เราซื้อในตลาดหุ้นเป็นเงินสด (ในราคาต่ำกว่านี้) ทำให้ต้นทุนเฉลี่ยของเราตกอยู่ราวๆ 30% เท่านั้น สำหรับหุ้นของ Berkshire ที่จ่ายออกไปครานี้  

 

สุดท้ายแล้ว Charlie และผมตัดสินใจว่าการสูญเสียผลประโยชน์จากการจ่าย 30% ของราคาหุ้นจะถูกชดเชยด้วยการได้มาซึ่งธุรกิจที่จะทำให้เรามีกระแสเงินสดหมุนเวียน 22 พันล้านเหรียญในธุรกิจที่เราเข้าใจและมีความชื่นชอบในระยะยาว ซึ่งเป็นคุณค่าที่แท้จริงที่ Matt Rose ซึ่งเป็นผู้ที่เราไว้ใจและชื่นชมจะสามารถทำให้เราได้ เรายังชอบที่จะคาดการณ์ในการลงทุนระยะยาวที่มีอัตราการตอบแทนที่เป็นเหตุเป็นผล แต่กระนั้นแล้วการตัดสินใจขั้นสุดท้ายยังต้องรอในระยะใกล้อยู่ดี และหากเรายังอยากที่จะได้หุ้นตัวอื่นๆ เพื่อที่จะอยากได้สิ่งเพิ่มเติมอีก ก็เป็นความจริงที่เรียกได้ว่าไม่เข้าท่าเป็นอย่างยิ่ง เมื่อสิ่งที่เราได้รับมาแล้วนั้นให้เรามากเกินกว่าที่เราจะได้แล้ว

 

ผมเคยเข้าประชุมกรรมการมาแล้วเป็นโหลๆ เพื่อพิจารณาข้อเสนอในการซื้อขายกิจการ และบ่อยครั้งที่บรรดากรรมการมักได้รับคำแนะนำจากพวกวาณิชธนากรค่าตัวสูงลิ่วเหล่านั้น (ให้ตายเหอะ ไม่มีคนประเภทอื่นแล้วหรือยังไง!) แทบทุกครั้ง วาณิชธนกรเหล่านั้นต้องนำเสนอบทวิเคราะห์หามูลค่าของกิจการที่เราจะเข้าไปซื้อ และมักจะพูดหว่านล้อมว่ามูลค่าที่แท้จริงของมันสูงเกินกว่าราคาตลาดที่เราต้องควักจ่ายมากเลย ตามประสบการณ์ของผมกว่า 50 ปี ที่นั่งอยู่ในบอร์ดของบริษัทต่างๆ ผมไม่เคยได้ยินวาณิชธนากร (หรือแม้แต่ผู้บริหาร) คนใดเลยที่จะถกเถียงกันเรื่องมูลค่าของสิ่งที่เรากำลังจะ “ให้” ออกไป อย่างจริงจังเมื่อดีลนั้นจำเป็นต้องจ่ายชำระด้วยหุ้นของกิจการที่จะเข้าซื้อ พวกเขามักจะใช้ราคาตลาดของหุ้นเป็นตัวตั้ง เพราะเอาง่ายเข้าว่า

 

ถ้าพวกเขาฉุกคิดเสียหน่อย และหันมาพูดกันถึงด้านผู้ซื้อกันบ้าง หันมาวิเคราะห์มูลค่าหุ้นที่แท้จริงของฝั่งผู้ซื้อกันอย่างจริงจังบ้าง พวกเขาจะพบว่าหุ้นที่จะต้องจ่ายชำระออกไปนั้นมันไม่พอ แต่พวกเขาก็ยังปล่อยให้ดีกดำเนินต่อไป 

 

เมื่อใดก็ตามที่หุ้นกลายเป็นเงิน โดยต้องใช้มันไปเพื่อชำระราคาค่าหุ้นในการเข้าซื้อกิจการ และเมื่อบรรดาคณะกรรมการถูกเป่าหูจากบรรดาที่ปรึกษาทางการเงินมาแล้ว เมื่อนั้น คุณควรต้องจ้างที่ปรึกษาอีกรายหนึ่งเข้ามาให้ความเห็นแย้งกับการเข้าซื้อกิจการครั้งนั้น โดยผูกค่าธรรมเนียมของรายหลังนี้ไว้กับการที่ดีลนั้นจะไม่สำเร็จ (หมายความว่าเมื่อดีลนั้นล้มพวกเขาจะได้ค่าธรรมเนียมมาก---ผู้แปล) และเพื่อที่จะแก้ไขสิ่งร้ายแรงทำนองนี้ไม่ให้เกิดขึ้นอีก คำแนะนำของเราเกี่ยวกับการพิจารณาจ้างที่ปรึกษาทางการเงินก็คือ “อย่าถามช่างตัดผมหากคุณต้องการจะตัดผม”

 

ผมทนไม่ได้แล้วที่จะเล่าเรื่องจริงที่เกิดขึ้นนานมาแล้วให้คุณฟัง เราเป็นเจ้าของหุ้นที่อยู่ในธนาคารใหญ่ มีการจัดการที่ดี กว่า 10 ปีมาแล้วที่มันถูกคุ้มครองด้วยกฎหมายจากการซื้อกิจการ ท้ายที่สุดแล้วเมื่อกฎหมายถูกเปลี่ยนและธนาคารของเราก็เริ่มมองหาการซื้อหุ้นที่เป็นไปได้ในทันที บรรดาผู้จัดการเหล่านั้น—พวกเขาล้วนเป็นคนดีและเป็นนายธนาคารที่เก่ง---ปุปปับชนิดไม่ต่างอะไรกับชายหนุ่มวัยรุ่นที่เพิ่งจะเคยพบเห็นสาวๆ

 

ไม่นานนักพวกเขาก็พุ่งเป้าไปที่ธนาคารขนาดเล็ก ที่มีการจัดการที่ดีและมีลักษณะอยู่ในขอบเขตที่มีผลตอบแทนในส่วนของผู้ถือหุ้น, ส่วนต่างกำไร, คุณภาพในการกู้ยืม หรืออื่นๆ ดีเหมือนกัน แต่หุ้นธนาคารของเราขณะนั้นซื้อขายกันในราคาที่ต่ำมาก (นั่นเป็นเหตุผลให้ Berkshire เข้าไปซื้อธนาคารแห่งนั้น) ซึ่งร่อนไปมาอยู่ใกล้ๆ มูลค่าหุ้นตามบัญชีและ P/E Ratio ก็ต่ำมากๆ โดยที่เจ้าของธนาคารขนาดเล็กที่ฝ่ายเราหมายปอง ก็เริ่มเล่นตัว โดยบอกว่ากำลังถูกธนาคารใหญ่ๆ หลายแห่งรุมจีบอยู่ด้วยการให้ราคาเกือบๆ 3 เท่าของมูลค่าทางบัญชี ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังต้องการหุ้น ไม่ใช่เงินสด

 

แน่นอนว่าเพื่อนของเรายอมทำตามและตกลงในข้อต่อรองที่ทำลายมูลค่าหุ้นนี้ “เราอยากแสดงให้เห็นว่าเรากำลังอยู่ในกระบวนการล่า ไม่เช่นนั้นแล้วนี่จะเป็นเพียงการต่อรองเล็กๆ เท่านั้น” พวกเขาพูด ราวกับว่าอันตรายเพียงอย่างเดียวที่จะทำร้ายผู้ถือหุ้นได้จะเป็นเหตุผลที่ถูกต้องตามกฎหมาย ในเวลานั้นปฏิกิริยาของ Charlie ก็คือบอกว่า: “นี่เราควรจะยินดีใช่ไหม เพราะว่าหมาที่ทำสนามของเราเปรอะเปื้อนนั้นเป็นแค่ชิวาวา ดีกว่าจะเป็นเซ็นต์เบอร์นาด?”

 

เจ้าของธนาคารเล็กนั้นไม่โง่ ในที่สุดพวกเขาก็ยื่นข้อเสนอสุดท้ายว่า “หลังจากควบรวมกิจการกันแล้ว”หากจะเกลาคำพูดให้มันมีชั้นเชิงขึ้นมาหน่อยก็คือ “ผมจะเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของธนาคารของคุณ และมันจะแสดงถึงส่วนหนึ่งของความร่ำรวยของผมเพราะฉะนั้น คุณต้องสัญญากับผมว่าคุณจะไม่ต่อรองอะไรโง่ๆ แบบนี้อีก”

 

แน่นอน การควบรวมกิจการครั้งนั้นจบลงด้วยความราบรื่น เจ้าของธนาคารเล็กที่ฝ่ายเราเข้าไปซื้อแห่งนั้นร่ำรวยขึ้น เราจนลง และบรรดาผู้จัดการแบงก์ ซึ่งขณะนี้กลายเป็นแบงก์ขนาดใหญ่ขึ้น ล้วนอยู่ดีมีสุขนับแต่นั้นมา

 

การประชุมประจำปี

 

 

แขกที่ดีที่สุดของเรากว่า 35,000 คน ที่เข้าร่วมการประชุมประจำปีเมื่อปีที่แล้ว ด้วยจำนวนบรรดาผู้ถือหุ้นของเราที่ขยายจำนวนออกไปเรื่อยๆ เราจึงหวังว่าปีนี้จะเพิ่มมากขึ้นอีก ดังนั้นเราจะต้องสร้างโอกาสเล็กๆ น้อยๆ ในการพบปะกันเป็นประจำนี้ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตามเรากระตือรือร้นในการเข้าร่วมประชุมของคุณเสมอ Charlie และผมต้องการที่จะพบคุณ ตอบคำถามของคุณ และ—ที่ดีที่สุดทั้งหมดทั้งปวงคือ---ให้คุณซื้อสินค้าจากธุรกิจของเราเยอะๆ

 

 

การประชุมปีนี้จะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 1 พฤษภาคม เหมือนทุกครั้งที่ประตูจะเปิดต้อนรับที่ Qwest Center เวลา 00.07 น. และภาพยนตร์ตัวใหม่ของบริษัท Berkshire จะเริ่มฉายเวลา 08.30 น. และในเวลา 09.30 น. เราจะเข้าสู่ช่วงถาม-ตอบ (คั่นด้วยอาหารกลางวันที่ Qwest’s stands) และจะจบลงเวลา 15.30 น. หลังการพักผ่อนช่วงสั้นๆ แล้ว Charlie และผมจะเข้าร่วมประชุมประจำปีเวลา 15.45 น. หากคุณตัดสินใจที่จะกลับบ้านระหว่างช่วงถาม-ตอบ ก็กรุณาทำเช่นนั้นในขณะที่ Charlie กำลังพูดนะครับ (แล้วเขาจะพูดกระชับขึ้นอย่างรวดเร็ว)

 

 

เหตุผลที่ดีที่สุดที่จะออกไป แน่นอนว่าเพื่อจะไปช็อป เราจะช่วยคุณทำเช่นนั้นโดยเพิ่มพื้นที่ 194,300 ตารางฟุตที่เชื่อมต่อกับพื้นที่การจัดประชุมด้วยสินค้านับโหลจากบริษัทลูกของ Berkshire ปีที่แล้วหลายๆ ที่ทำลายสถิติยอดขาย แต่คุณทำได้ดีกว่านั้นครับ (คำเตือนแบบกันเอง: ถ้ายอดขายไม่ดี ผมจะล็อกประตูทางออกซะ)

 

 

GEICO จะมีบูธที่ดูแลโดยผู้ให้คำปรึกษาจำนวนมากจากทุกที่ทั่วประเทศ พวกเขาทุกคนพร้อมที่จะให้คำแนะนำกับคุณด้านการประกันภัยรถยนต์ ในกรณีส่วนใหญ่ GEICO สามารถให้ส่วนลดแก่ผู้ถือหุ้นได้ (ปกติ 8%) ข้อเสนอพิเศษนี้ได้รับการอนุญาตแล้ว

 

โดยผู้ตัดสินใจ 44 คนจาก 51 คนซึ่งเราดำเนินงานด้วย (ข้อเพิ่มเติมข้อหนึ่งคือ: ส่วนลดนี้จะไม่เพิ่มขึ้นหากคุณจะทำให้ผู้อื่น เช่นมอบให้แก่กลุ่มบางกลุ่ม) นำรายละเอียดต่างๆ ของประกันที่คุณมีอยู่และดูว่าเราจะช่วยประหยัดเงินคุณได้หรือไม่ อย่างน้อยก็สัก 50% ของคุณ และผมเชื่อว่าเราสามารถทำได้

 

 

แน่นอนว่าคุณต้องไปเยี่ยม Bookworm ด้วย ท่ามกลางหนังสือมากกว่า 30 เล่มและดีวีดีทั้งหลายก็ยังมีหนังสือใหม่สองเล่มที่ลูกชายผมเขียนด้วย นั่นคือของ Howard ชื่อ Fragile เป็นหนังสือที่มีรูปประกอบพร้อมบรรยายถึงชีวิตรอบโลกที่ต้องต่อสู้ดิ้นรน และของ Peter ชื่อ Life Is what you make it พร้อมการเติมเต็มเมดเล่ย์นี้ด้วยการเปิดตัวเป็นครั้งแรกของพี่สาวผม Doris’s Biography โฟกัสเรื่องราวไปที่เรื่องราวของกิจกรรมการกุศล และยังมี Poor Charlie’s Almanack เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคู่หูของผมเอง หนังสือเล่มนี้แปลกอยู่อย่างคือยังไม่มีการโฆษณา แต่ยอดขายปีแล้วปีเล่าก็มียอดพิมพ์หลายพันครั้งจากทางอินเตอร์เน็ต (หากคุณต้องการให้ส่งหนังสือที่ซื้อมาก็มีที่บริการส่งใกล้ๆ กันนั้นพร้อมให้ทำการ)

 

 

หากคุณเป็นผู้ใช้จ่ายรายใหญ่ ไปเยี่ยมชม Elliott Aviation ที่ตั้งอยู่ที่ฝั่งตะวันออกของสนามบิน Omahaในช่วงบ่ายถึง 17.00 น. ในวันเสาร์ ที่มีเครื่องบินความเร็วสูงที่จะทำให้หัวใจคุณเต้นแรงขึ้น

 

 

เอกสารที่แนบท้ายรายงานนั้นจะอธิบายว่าทำอย่างไรคุณจึงจะได้รับหนังสือรับรองการเข้าร่วมประชุมและกิจกรรมอื่นๆ สำหรับการจองเครื่องบิน โรงแรม และรถยนต์ก็เป็นอีกครั้งที่เราลงทะเบียนให้ใน American Express (800-799-6634) ที่จะให้ความช่วยเลือแก่คุณเป็นกรณีพิเศษ Carol Pedersen ผู้ที่จัดการในเรื่องนี้ทำหน้าที่ของเธอได้อย่างดีเยี่ยมในแต่ละปี และผมคิดว่าต้องเป็นเธอเท่านั้น ห้องของโรงแรมอาจจะหาได้ยากมาก แต่หากให้ Carol ช่วยคุณจะหาได้ทันที

 

 

ที่ Nebraska Furniture Mart ซึ่งตั้งอยู่บนเนื้อที่ 77 เอเคอร์บนถนน 72th ระหว่าง Dodge และ Pacific เราจะมีมหกรรมลดราคา “สัปดาห์ Berkshire” อีกครั้ง เพื่อจะให้ได้ส่วนลดนั้นคุณจะต้องซื้อระหว่างวันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน ถึงวันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม และรวมทั้งคุณจะต้องแสดงหนังสือรับรองของคุณเสมอ ช่วงการลดราคานี้ยังครอบคลุมถึงสินค้าหลายตัวที่โดยปกติแล้วมีการผลิตที่พิถีพิถันและมีกฎเหล็กว่าจะไม่ลดราคา แต่ด้วยสปิริตของผู้ถือหุ้นของเรานั้นจะยกเว้นให้คุณเป็นกรณีพิเศษ เราปลาบปลื้มในความร่วมมือของพวกเขามาก NFM เปิดตั้งแต่ 10 โมงเช้าถึง 3 ทุ่ม วันจันทร์ถึงเสาร์ และเวลา 10 โมงถึง 6 โมงเย็นของวันอาทิตย์, วันเสาร์ปีนี้จาก 5 โมงครึ่งถึง 2 ทุ่ม NFM นั้นมี Berkyville BBQ ให้กับแขกผู้รับเชิญทุกคนด้วย

 

 

ที่ Borsheims เรามีกิจกรรมเฉพาะสำหรับผู้ถือหุ้น 2 กิจกรรม กิจกรรมแรกเป็นการเลี้ยงต้อนรับแบบค็อกเทลจาก 6 โมงเย็นถึง 4 ทุ่มในวันศุกร์ที่ 30 เมษายน และกิจกรรมที่สองคืองานกาล่าใหญ่ในวันเสาร์ที่ 8 พฤษภาคม ระหว่างช่วงเวลาดังกล่าวกรุณาแสดงตัวว่าคุณเป็นผู้ถือหุ้นโดยแสดงบัตรเข้าประชุมหรือหนังสือแถลงการณ์ที่แสดงว่าคุณเป็นผู้ถือหุ้นของ Berkshire เข้ามากับพลอย ออกไปกับเพชร ลูกสาวผมบอกว่ายิ่งคุณซื้อมากเท่าไหร่คุณก็จะยิ่งประหยัดมากเท่านั้น (จากซีรีส์ดังที่ฉายในอเมริกาเรื่อง kids say the darnedest things--ผู้แปล)

 

 

วันอาทิตย์ ที่ร้านค้าภายใน Borsheims Patrick Wolff แชมป์หมากรุกสองสมัยจะรอต้อนรับทุกคนที่มา—ใกล้ๆ กันนั้นเองก็จะมี Norman Beck นักดนตรีฝีมือไม่ธรรมดาจาก Dallas 

 

 

การปฏิบัติอย่างพิเศษสุดกับผู้ถือหุ้นในปีนี้ก็คือการกลับมาของเพื่อนผม Arial Hsing นักปิงปองติดอันดับของทีมชาติ (และพนันได้เลยว่าต้องไปโอลิมปิกสักวันหนึ่ง) ตอนนี้อายุ 14 ปี Ariel เข้าร่วมการประชุมประจำปีเมื่อ 4 ปีที่แล้วและฆ่าผู้มาร่วมงานทุกคนรวมทั้งผมด้วย (คุณสามารถตามไปดูความขายหน้าของผมได้บน YouTube แค่พิมพ์ว่า Ariel Hsing Berkshire)

 

 

แน่นอนว่าผมได้วางแผนการกลับมาและจะพาเธอออกไปนอก Borsheims เวลาบ่ายโมงของวันอาทิตย์ มันจะเป็นการแข่งขันแมตซ์สามแต้ม แล้วพอผมทำให้เธอยอมสยบได้แล้ว ผู้ถือหุ้นทุกคนก็จะได้รับเชิญให้ลองเสี่ยงโชคคล้ายๆ การแข่งสามแต้มนั้นเช่นกัน ผู้ชนะจะได้รับกล่องขนม See’s candy ซึ่งเราจะมีอุปกรณ์ให้พร้อมสรรพ แต่คุณจะเอากระป๋องไปเองก็ได้ถ้าคิดว่านั่นจะช่วยได้ (แต่มันไม่ช่วยอะไรหรอก)

 

 

ร้าน Gorat’s จะเปิดอีกครั้งสำหรับผู้ถือหุ้น Berkshire ในวันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคมและจะเสิร์ฟอาหารตั้งแต่บ่ายโมงจนถึง 4 ทุ่ม ซึ่งอย่างไรก็ตามในปีที่แล้วมีอุปสงค์อย่างท่วมท้น มากกว่าที่คาดไว้ในปีนั้น ผมจึงขอให้เพื่อนของผมซึ่งก็คือ Donna Sheehan จากร้าน Piccolo’s ร้านโปรดอีกร้านของผมให้เสิร์ฟอาหารให้ด้วยอีกที่หนึ่ง (รูทเบียร์ของเขาเด็ดจริงๆ) ผมวางแผนว่าผมจะกินอาหารจากทั้งสองร้านนี้เลย เพราะทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมามันทำให้ผมหิวมากจริงๆ และผมมีจานโปรดด้วยในแต่ละร้าน โปรดจำหากคุณต้องการจอง เบอร์โทรร้าน Gorat’s 402-551-3733 ในวันที่ 1 เมษายน (แต่ห้ามจองก่อน) และที่ Piccolo’s โทร. 402-342-9038

 

 

น่าสลดเป็นอย่างมากที่เราไม่สามารถจะรับแขกต่างชาติเป็นพิเศษได้ในปีนี้ เนื่องจากปีที่แล้วมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นถึงกว่า 800 คน และต้องใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมงครึ่งต่อคนในการแจกลายเซ็นของผม ตั้งแต่ที่เราคาดหวังให้มีการต้อนรับผู้เข้าเยี่ยมชมต่างชาติเพิ่มขึ้น Charlie และผมจึงตัดสินใจกันว่าเราต้องตัดกิจกรรมนี้ทิ้งไป แต่แน่ใจได้เลยว่าเรายินดีต้อนรับทุกๆ ชาติที่มาเสมอ

 

 

ปีที่แล้วเราเปลี่ยนวิธีการกำหนดการถาม-ตอบว่าคำถามใดที่ควรจะถาม ทำให้ผมได้รับจดหมายต่อว่าการจัดการแบบใหม่นี้เป็นกระบุง ดังนั้นเราจะใช้วิธีการเดิมอีกครั้ง คือมีนักหนังสือพิมพ์ด้านการเงิน 3 คน ถาม Charlie และผมขึ้นก่อนในช่วงถาม-ตอบ จากนั้นจึงเป็นคำถามของผู้ถือหุ้นที่ส่งเมล์ให้พวกเขา

 

 

นักข่าวและอีเมล์ของพวกเขาคือ Carol Loomis จาก Fortune ( cloomis@fortunemail.com ) Becky Quick จาก CNBC ( BerkshireQuestions@cnbc.com ) และ Andrew Ross Sorkin จาก The New York Times ( arsorkin@nytimes.com ) จากคำถามที่ถูกส่งไปนักข่าวแต่ละคนจะคัดเลือกคำถามที่เขาหรือเธอตัดสินใจได้ว่าคำถามไหนสำคัญและน่าสนใจ พวกเขาฝากบอกกับผมว่าคำถามที่มีโอกาสที่ดีที่สุดที่จะได้รับเลือกนั้นจะเป็นคำถามที่ไม่มากกว่า 1 หรือ 2 ข้อ (ในอีเมล์โปรดบอกให้พวกเขารู้ว่าคุณจะเปิดเผยชื่อหรือไม่หากจดหมายได้รับเลือกให้ถาม)

 

 

ทั้งผมและ Charlie ไม่ได้เตรียมตัวมาเพื่อตอบล่วงหน้ามากนัก เรารู้แค่ว่านักข่าวจะเลือกขึ้นมาถามคนละข้อ นั่นคือสิ่งที่เราชอบ

 

 

เราจะมีการประชุมกันอีกครั้งตอน 8 โมง 15 ของวันเสาร์ด้วยไมโครโฟน 13 ตัว สำหรับผู้ถือหุ้นเพื่อจะถามพวกเขากันเอง ณ ที่ประชุม เราจะเลือกคำถามที่ถามจากนักข่าวที่เลือกจากผู้ถือหุ้น  เราจะเพิ่มเวลาให้ 30 นาที และอาจจะมีเวลาเหลือพอสำหรับ 30 คำถามจากแต่ละกลุ่ม

 

 

ณ อายุ 86 และ 79 ปีของ Charlie และผมยังโชคดีที่ได้ทำตามฝันของเรา เราเกิดในอเมริกา มีพ่อแม่ที่ดีเยี่ยม ที่เห็นว่าเราควรมีการศึกษาที่ดี เรามีครอบครัวที่สวยงามและสุขภาพดี และได้ยีน “ธุรกิจ” ที่ทำให้เราก้าวหน้าในการมีประสบการณ์ที่มากมายมหาศาลจากผู้ที่ทำให้เราประพฤติตัวในสังคมได้เป็นอย่างดี ยิ่งไปกว่านั้นเรายังได้ทำงานที่เรารักมาแสนนานที่ย่นย่อระยะทางให้เราด้วยพรสวรรค์และความร่วมมือที่น่ายินดี จริงๆ แล้วปีที่ผ่านๆ มา งานของเรากลายเป็นสิ่งที่เย้ายวนใจมากขึ้น (ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมเราถึงเต้นแท็ปมาทำงาน) ถ้ามันแย่ลง เรายินดีจะจ่ายชดเชยเพื่อที่เราจะได้มาทำงานเหมือนเดิม (แต่อย่าบอก Comp Committee นะครับ)

 

 

สำหรับพวกเรานั้นไม่มีอะไรสนุกไปกว่าการมารวมตัวกันของผู้ถือหุ้นในการประชุมประจำปีที่ Berkshire อีกแล้ว ดังนั้นมาร่วมงานกับเราในวันที่ 1 พฤษภาคม ที่ Qwest for annual Woodstock for Capitalists ให้ได้นะครับ เราจะรอพบคุณที่นั่น

26 กุมภาพันธ์ 2010

 

Warren E. Buffett

ประธานบริหาร

ป.ล. มาด้วยรถไฟนะครับ

 

..........................................................................

หมายเหตุ: จดหมายฉบับนี้แปลเป็นภาษาไทย โดย บุณยาพร ศรีงิ้วราย

http://www.mbamagazine.net/home/index.php/blog/46-people/230--3-