ชาวกวย  หรือ   กูย ที่ คนไทยเรียกว่า  ” ส่วย”   ภาษาอังกฤษเขียนว่า kuy kui  koui  kouei   หรือ kouai เป็นชนกลุ่มใหญ่ที่ตั้งหลักแหล่งอยู่ในเขตจังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ และบางส่วนของจังหวัดอุบลราชธานี บุรีรัมย์ มหาสารคาม นครราชสีมา สุพรรณบุรีและปราจีนบุรี  มีภาษาพูด เป็นของตัวเอง นักภาษาศาสตร์จัดภาษากวยอยู่ในภาษาตระกูลมอญ-เขมร(mon-khmer)  สาขา katuic  ตะวันตกคล้ายภาษาโส้ แสก  ข่า   มอญ  ที่พูดเข้าใจกันได้  ไม่มีภาษาเขียน  จึงอาศัยการ บอกเล่าสืบต่อกันมา   ชาวกวยแต่ละถิ่นจะมีการใช้สำเนียงภาษาที่แตกต่างกันไป

           เดิมชุมชนกวยตั้งภูมิลำเนาอยู่บริเวณตอนใต้ของแม่น้ำมูลและเทือกเขาดงรักปกครองกันเองโดยมีผู้อาวุโสเป็นหัวหน้า และมีการไปมาหาสู่กันในชุมชนเหล่านั้นในฐานะเครือญาติกัน

เมื่อไทยได้ขยายอำนาจการเมืองการปกครองมายังภาคอีสาน ตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรีเป็นต้นมา ดินแดนเมืองสุรินทร์ ศรีสะเกษ และเมืองเดชอุดม ถูกเรียกว่า หัวเมืองเขมรป่าดง เพราะเป็นดินแดนที่อยู่ชายขอบ ของอาณาจักรไทยสมัยนั้น สภาพทั่วไปเต็มไปด้วยป่าทึบ ชายฉกรรจ์แถบนี้ต้องเก็บของป่า เช่น ผลไม้ น้ำผึ้ง ชัน นอแรด ฯลฯ เป็นส่วยส่งราชสำนักกรุงเทพมหานคร ประชาชน ในแถบนี้จึงถูกเรียกว่า ส่วย และเนื่องจากพวกกวยเป็นกลุ่มใหญ่ที่อาศัยในบริเวณนี้ จึงถูกเรียกว่า “ส่วย” เรื่อยมา

 ( ไพทูรย์ มีกุศล. 2542:94)

           ปัจจุบันอำเภอขุนหาญมีหมู่บ้านที่ยังคงใช้ภาษาส่วยในการสื่อสารเป็นส่วนใหญ่ อาศัยอยู่ในพื้นที่ 4 ตำบล จำนวน 26 หมู่บ้าน

       ซึ่งมีหมู่บ้าน ดังนี้

                          1.ตำบลโพธิ์กระสังข์ ใช้ภาษาส่วย 13 หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านตาตา บ้านโพธิ์กระสังข์ บ้านบกสะดำ บ้านหนองประดิษฐ์ บ้านหนองขนาน บ้านซำ บ้านหนองคู บ้านโนนคูณ บ้านพอก บ้านแต้ บ้านโพธิ์กระสังข์เหนือ บ้านสดำ และบ้านใหม่พัฒนา

                          2.ตำบลโนนสูง ใช้ภาษาส่วย 6 หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านโนนสูง บ้านดาน บ้านนา

บ้านกระเจา บ้านหนองบัว บ้านจะกุด

                          3.ตำบลกระหวัน ใช้ภาษาส่วย 6 หมู่บ้าน ได้แก่  บ้านโพธิ์น้อย บ้านจะเนียว

 บ้านกันจด  บ้านกันจดใหม่ บ้านตะหลุง และบ้านจะเนียวพัฒนา

                          4.ตำบลสิ ใช้ภาษาส่วย 1 หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านโนนสว่าง


  ประเพณี  

การรำสะเองหรือแกลมอ เป็นการพึ่งพาสิ่งเร้นลับเหนือธรรมชาติ โดยเฉพาะวิญญาณ   ของบรรพบุรุษ เทวดาที่อยู่บนฟ้า เพื่อขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ดวงวิญญาณของบรรพบุรุษมาปกป้องรักษา เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย

  ความเชื่อ   

เผ่าส่วยจะมีความเชื่อถือ   ประเพณีและวัฒนธรรมคล้ายๆกับชนเผ่าลาว   ได้รับคติหรือแนวปฏิบัติจากทางพระพุทธศาสนา   ประชากรมีรายได้จากการทำเกษตร   ทำนา   ทำไร่   รับจ้าง   ทำสวนผลไม้    ปลูกยาง

   วิถีชีวิตและภาษาของเผ่าส่วย   

  ชาวส่วยจะมีความผูกพันกับป่าไม้ที่เป็นธรรมชาติ เพราะต้องเลี้ยงช้าง ทำการเกษตร ทอผ้า ใช้ภาษาส่วยในการพูด ปัจจุบันชาวส่วยได้พัฒนาชุมชนจนเจริญทัดเทียมกลุ่มอื่น และมีการศึกษาพัฒนาชุมชนตนเองให้เจริญมากขึ้นตามยุคสมัย