วัดพระธาตุแอ้ว

ประวัติวัดประธาตุแอ้ว

ในสมัยก่อนประมาณพ.ศ.๑๘๐๐ คนไทยที่อยู่อาศัยอยู่ในอาณาจักรน่านเจ้าถูกศัตรูรุกราน จึงได้พากันอพยพจากที่เดิม หนีภัยข้าศึกลงมาสร้างบ้านแปลนเมืองลงมาทางใต้ แถบหลวงพระบางบ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองกิตติศัพท์โด่งดังไปทั่ว จึงเป็นเหตุให้ข้าศึกศัตรูยกกองทัพเข้าตีชิงเอาเมือง เจ้าเมืองชื่อพระเจ้าคัมภีระสิ้นพระชนม์กลางสนามรบ 

พระราชธิดาชื่อ พระนางจามรี ราชธิดาจึงพาไพล่พลอพยพข้ามน้ำโขงมุ่งหน้าทางทิศตะวันตก ถึงเมืองฝางและล่องลงมาทางทิศใต้เรื่อยๆ ซึ่งมีราชองค์รักษ์ชื่อ ท้าวปันมหาด พร้อมไพร่พลช้างและพลม้าซึ่งมี ท้าวปูเหลือง ซึ่งเป็นขุนศึกเคียงคู่ท้าวปันมหาด ล่องลงมามาตามลำน้ำปิงลงมาจากเมืองเชียงดาว ทนลำบากตรากตรำร่วมกันมาเหมือนลูก พ่อ แม่ ตรงนี้เองพระนางจึงยอมรับว่าเป็น แม่เลี้ยงหรือแม่นะ และต่อมาแถวนั้นจึงชื่อว่า บ้านแม่นะ อยู่ในอำเภอเชียงดาว

ในปัจจุบัน 


จนมาถึงเมืองแม่ระมิงค์ หรือเมืองเชียงใหม่ปัจจุบัน และล่องตามลำน้ำปิงไปเรื่อยๆ จนถึงดอยลูกหนึ่งพระนางจึงบวงสรวงเทพยดาฟ้าดินและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายว่า ถ้าข้าพเจ้ามีบุญบารมีจะได้สร้างบ้านแปลงเมือง ณ ตรงไหนก็ขอช้างม้ามงคลจงนำทางให้ข้าพเจ้าไปทางนั้นเถิด ช้างและม้ามงคลจึงหันหัวลงข้ามแม่น้ำปิงตรง “ดอยหล่อ” ซึ่งปัจจุบันอยู่ในอำเภอดอยหล่อ จังหวัดเชียงใหม่ 


ลัดเลาะขึ้นมาตามลำน้ำลี้ขึ้นมาเรื่อยๆ มาจนถึงสบลำน้ำแม่ลอบขึ้นมา ซึ่งเป็นภูเขาสลับซับซ้อนสูงชันมาก จนอำมาตข้าราชบริพารที่ตามเสด็จเหน็ดเหนื่อยมาก จึงอุทานออกมาทางปากว่า “หุยหุย” และต่อมาตรงนั้นจึงเรียกว่าดอยอี่หุย ตั้งแต่อนุสาวรีย์ครูบาเจ้าอภิชัยขาวปีขึ้นมาจนถึงบนยอดดอยเขตติดต่ออำเภอแม่ทา และเดินทางต่อมาเข้าเขต “อำเภอลี้” ทางบ้านทุ่งข้าวหางในเขตอำเภอทุ่งหัวช้างในปัจจุบันเรื่อยมา และมาซ่อมแซมแหย่งช้างและพักผ่อนเพราะเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทาง และต่อมาภายหลังจึงเรียกว่า “แม่แสม” พักผ่อนพอหายเหนื่อยแล้ว จึงได้นำช้างไปเลี้ยงตรงบ้านห้วยไร่และช้างได้หลุดหายไปหลายวันจึงตามหาเจอ 


เมื่อหาช้างมงคลเจอแล้วจึงได้เตรียมไพร่พลและเดินทางต่อและต่อมาห้วยนั้นจึงเรียกว่า “ห้วยช้างหาย” และไปเจอช้างที่ขุนห้วยๆ หนึ่งแล้วจึงนำช้างมงคลมาตกแต่งห้างประดับประดาเสร็จแล้ว จึงได้เดินทางต่อไปและต่อมาภายหลังตรงนั้นจึงเรียกว่า “ห้วยห้าง” เมื่อเดินทางมาถึงที่ๆ แห่งหนึ่งเป็นเวลานาน จึงสมควรที่จะพักผ่อน ท้าวปวงมหาดราชองค์รักษ์จึงพยายามใช้ขอและง้าวกระทุ้งหัวช้างเพื่อจะให้ช้างหมอบ แต่ช้างไม่ยอมหมอบจึงพยายามอยู่หลายครั้งช้างจึงยอมและต่อมาภายหลังตรงนั้นจึงได้ชื่อว่า “ทุ่งหัวช้าง” ซึ่งเป็นที่ตั้งอำเภอในปัจจุบัน 


พักผ่อนหลายวันพอหายเหนื่อยแล้วจึงได้เดินทางต่อไปจนถึงลำห้วยๆ หนึ่ง ช้างตกใจวิ่งหนีจนกระดิ่งหรือ (เด็ง) ที่แขวนคอช้างหลุดหาย ต่อมาภายหลังตรงนั้นจึงได้ชื่อว่า ห้วย “แม่ปันเด็ง” จากนั้นจึงได้เดินทางต่อไปจนถึงบริเวณที่ราบเรียบสะอาดแห่งหนึ่งพอที่จะสร้างบ้านแปลงเมือง จึงพากันปลงข้าวของจอดพักเก็บข้าวของลงจากหลังช้างหลังม้า และต่อมาภายหลังตรงนั้นจึงได้ชื่อว่า “แม่ปลง” หรือบ้านปวงในปัจจุบัน 


ในขณะพักไพร่พลอยู่นั้น ท้าวปันมหาดซึ่งมีนิสัยชอบออกป่าล่าสัตว์จึงได้ชวนบริวารไพล่พลออกล่าสัตว์ซึ่งไม่ไกลจากห้วยแม่ปลงนัก ท้าวปันมหาดจึงได้ประสบอุบัติเหตุถูกอสรพิษกัด  ฝ่ายพระนางจามรีและคณะบริวารที่รอคอยไม่เห็นการกลับมาของท้าวปันมหาด จึงพากันออกติดตามหาจึงได้มาพบและหาหยูกยามาโรม มาทา เสกเป่า พยาบาลรักษา แต่ก็ไม่หาย ท้าวปันมหาดทนพิษบาดแผลไม่ไหวถึงแก่พิราลัย ณ ที่บ้านปวงแห่งนั้น 

พระนางจึงให้ข้าราชบริพารจัดการบริพารจัดการบำเพ็ญพระราชกุศลศพท้าวปันมหาดตามขัติราชประเพณี แล้วจึงได้พระราชทานพระบรมสารีริกธาตุและวัตถุมงคลต่างๆ ที่ได้อาราธนาติดตามตัวมาก่อสร้างพระธาตุเจ้าเจดีย์เป็นอนุสรณ์สถานกราบไหว้ จึงถวายพระนามวัดแห่งนี้ว่า “วัดพระธาตุแอ๋ว” หรือวัดพระธาตุแอ้วในปัจจุบัน 


เสร็จแล้วพระนางจึงบวงสรวงเทพยดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วจึงได้เดินทางต่อไปจนถึงเมืองลี้ สร้างวัดพระธาตุดวงเดียว และพระราชสถานพระธาตุห้าดวง และสร้างเมืองลี้ขึ้นจนเจริญรุ่งเรืองตามประวัติเมืองลี้ หลังจากบ้านเมืองเข้าสู่ความปกติสุข พระนางจึงได้ส่งข้าราชบริพารเสนาอำมาตกลับมาทำนุบำรุงวัดพระธาตุแอ้วและวัดวาอารามอีกหลายแห่ง ตลอดจนมาตั้งรกรากสร้างไร่สร้างนาทำมาหากินกันที่บ้านปวงบ้างทุ่งหัวช้างบ้างจึงเกิดเป็นต้นตระกูลหลายตระกูลดังนี้ 


๑ ตระกูลท้าวปันมหาด ๒ ตระกูลเจ้าข้อมือเหล็ก ๓ ตระกูลเจ้ากาบบัวไหล ๔ ตระกูลเจ้าหนานเสือ ส่วนเจ้าปูเหลือง เจ้าน้อยบุญศรี ยกศาลขึ้นไว้ที่บ้าน อารักษ์เจนเมืองขึ้น ณ ทางเข้าบ้านปวง ส่วนเจ้าปันมหาด และเจ้าปูเหลืองยกศาลขึ้นไว้ที่บ้านฆ้องคำ และยังมีตระกูลอื่นๆ อีกหลายตระกูลซึ่งพากันมาตั้งหลักปักฐานทำมาหากินอยู่แถวนี่ 


ส่วนวัดพระธาตุแอ้ว ก็มีพระภิกษุสามเณรอยู่ประจำบ้างไม่อยู่บ้างถูกทิ้งร้างบ้างเป็นบางช่วงบางตอน ลุมาถึงปีพ.ศ.๒๕๑๕ คณะศรัทธาผู้เฒ่าผู้แก่ได้ไปอาราธนาท่านครูบาเจ้าอภิชัยขาวปี วัดพระพุทธบาทผาหนาม อ.ลี้ มาเป็นประธานในการบูรณปฏิสังขรณ์องค์พระธาตุให้ดีดังเดิม และมีพระสงฆ์มาอยู่บ้างไม่อยู่บ้างและถูกทิ้งร้างมาโดยตลอด จนกระทั่งปีพ.ศ.๒๕๕๐ ได้มีพระสงฆ์อยู่ประจำอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และได้ซื้อที่ดินขยายวัดพัฒนาวัดทุกๆ ด้านขึ้น แต่ก็ยังขาดจตุปัจจัยและทุนทรัพย์ในการดำเนินงาน จึงขอบอกบุญญาติโยมพุทธบริษัทร่วมเป็นเจ้าภาพในการพัฒนาวัดพระธาตุแอ้วให้สำเร็จลุล่วงให้เป็นที่ทำบุญทำกุศลศึกษาเล่าเรียนกราบไหว้บูชาของลูกหลานและพุทธศาสนิกชน 


เรื่อง/เนื้อหา

เรียบเรียง   โดย