ศาสนาและประเด็นปัญหาทางสังคม
ชนชั้นกลางที่ขยายตัวและขบวนการฟื้นฟูศาสนา (evangelical movement) ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการประพฤติตนอย่างมีเกียรติและยึดมั่นในศีลธรรม สิ่งเหล่านี้รวมถึง การทำบุญ การรับผิดชอบต่อตนเอง การควบคุมพฤติกรรม[c] การอบรมสั่งสอนเด็ก และการวิจารณ์ตนเอง[22][32] นอกเหนือจากการพัฒนาตนเองแล้ว การปฏิรูปสังคมก็ได้รับความสำคัญเช่นกัน[33] ลัทธิประโยชน์นิยม (Utilitarianism) เป็นอีกปรัชญาที่เน้นย้ำความก้าวหน้าทางสังคม โดยอ้างอิงหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มากกว่าศีลธรรม[34][35] แนวคิดทั้งสองนี้ได้ผสมผสานเข้าด้วยกัน[36] นักปฏิรูปมุ่งเน้นประเด็นต่าง ๆ เช่น การปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ของสตรีและเด็ก การมอบความสำคัญกับการปฏิรูปตำรวจมากกว่าการลงโทษรุนแรงเพื่อป้องกันอาชญากรรม ความเท่าเทียมทางศาสนา และการปฏิรูปทางการเมืองเพื่อสร้างประชาธิปไตย[37] มรดทางการเมืองของขบวนการปฏิรูปคือ การเชื่อมโยงระหว่างกลุ่มนอกรีต (ส่วนหนึ่งของขบวนการฟื้นฟูศาสนา) ในอังกฤษและเวลส์ เข้ากับพรรคเสรีนิยม (Liberal Party)[38] ความสัมพันธ์นี้คงอยู่จนถึงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง[39] นิกายเพรสไบทีเรียน (Presbyterians) มีบทบาทคล้ายคลึงกันในฐานะเสียงทางศาสนาเพื่อการปฏิรูปในสกอตแลนด์[40]
ศาสนาเป็นประเด็นที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองในช่วงเวลานี้ โดยกลุ่มนอกรีต (Nonconformists) ผลักดันให้มีการแยกศาสนจักรออกจากอำนาจของรัฐ (disestablishment) ในกรณีของคริสตจักรแห่งอังกฤษ[41] ในปี 1851 กลุ่มนอกรีตมีสัดส่วนประมาณครึ่งหนึ่งของผู้เข้าร่วมโบสถ์ในอังกฤษ[d][42] และการเลือกปฏิบัติทางกฎหมายที่เคยมีต่อพวกเขานอกเหนือจากสกอตแลนด์ ค่อยๆ ถูกยกเลิกไป[43][44][45][46] ข้อจำกัดทางกฎหมายที่มีต่อชาวโรมันคาทอลิก ก็ถูกยกเลิกเช่นกัน จำนวนชาวคาทอลิกในบริเตนใหญ่เพิ่มขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนมานับถือศาสนาและการอพยพมาจากไอร์แลนด์[41]
ในกลุ่มผู้มีการศึกษาระดับสูง มีแนวคิดโลกิยนิยม (Secularism) และความสงสัยในความแม่นยำของพันธสัญญาเดิม (Old Testament) เพิ่มมากขึ้น[47] นักวิชาการทางภาคเหนือของอังกฤษและสกอตแลนด์ มีแนวโน้มเคร่งศาสนามากกว่า ในขณะที่อไญยนิยม และอเทวนิยม (แม้การเผยแพร่แนวคิดนี้จะเป็นสิ่งผิดกฎหมาย)[48] กลับได้รับความนิยมในหมู่นักวิชาการทางภาคใต้[49] นักประวัติศาสตร์เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “วิกฤติศรัทธาของชาววิกตอเรีย” (Victorian Crisis of Faith) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มุมมองทางศาสนาต้องปรับตัวเพื่อรองรับความรู้ทางวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ และการวิพากษ์วิจารณ์คัมภีร์ไบเบิล[50]