การเมือง การทูต และ การสงคราม
บทความหลัก: สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์
พระราชบัญญัติปฏิรูป (Reform Act)[a] ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงระบบการเลือกตั้งหลายประการ รวมถึงการขยายสิทธิเลือกตั้ง (franchise) ได้ผ่านความเห็นชอบในปี 1832[8] สิทธิเลือกตั้งได้รับการขยายอีกครั้งโดย พระราชบัญญัติปฏิรูปครั้งที่สอง (Second Reform Act)[b] ในปี 1867[9] พระราชบัญญัติปฏิรูปครั้งที่สาม (Third Reform Act) ในปี 1884 ได้นำหลักการหนึ่งเสียงต่อหนึ่งครัวเรือนมาใช้ พระราชบัญญัติเหล่านี้ทั้งหมด รวมถึงพระราชบัญญัติอื่นๆ ได้ช่วยให้ระบบการเลือกตั้งง่ายขึ้นและลดการทุจริต นักประวัติศาสตร์ บรูซ แอล คินเซอร์ (Bruce L Kinzer) บรรยายการปฏิรูปเหล่านี้ว่าเป็นการวางรากฐานให้สหราชอาณาจักรก้าวไปสู่การเป็นประชาธิปไตย ชนชั้นปกครองที่เป็นชนชั้นขุนนางดั้งเดิม พยายามรักษาอิทธิพลให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขณะเดียวกันก็อนุญาตให้ชนชั้นกลางและชนชั้นแรงงานมีบทบาททางการเมืองทีละน้อย อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงทั้งหมดและผู้ชายอีกจำนวนมากยังคงอยู่นอกระบบการเลือกตั้งนี้จนถึงช่วงต้นศตวรรษที่ 20[10]
เมืองต่างๆ ได้รับการปกครองตนเอง (political autonomy) มากขึ้น และ ขบวนการแรงงาน (labour movement) ได้รับการรับรองตามกฎหมาย[11] ระหว่างปี 1845 ถึง 1852 เหตุการณ์อดอยากครั้งใหญ่ส่งผลให้เกิดภาวะอดอยาก โรคภัย และการเสียชีวิตจำนวนมากในไอร์แลนด์ ส่งผลให้เกิดการอพยพครั้งใหญ่[12] พระราชบัญญัติข้าวโพด (Corn Laws) ได้ถูกยกเลิกไป[13] การปฏิรูปในจักรวรรดิบริติชรวมถึงการขยายอาณาเขตอย่างรวดเร็ว การยกเลิกทาสทั้งหมดในอาณานิคมของแอฟริกา และการยุติ การเนรเทศนักโทษ (transportation of convicts) ไปยังออสเตรเลีย ข้อจำกัดด้านการค้ากับอาณานิคมได้รับการผ่อนคลาย และมีการนำระบบการปกครองตนเองที่มีความรับผิดชอบ (กล่าวคือ กึ่งอัตโนมัติ) มาใช้ในบางดินแดน[14][15]
ข้อความนี้เป็นเอกสารเผยแพร่โดยทีมหาเสียงของ ลูวิส พิว (Lewis Pugh) ผู้สมัครรับเลือกตั้งทั่วไปปี 1880 ใน คาร์ดิแกนเชียร์ (ปัจจุบันเรียกว่า เซเรดิเจียน) เอกสารชิ้นนี้มีเนื้อหาอธิบายวิธีการลงคะแนนให้กับผู้สนับสนุน
ตลอดช่วงศตวรรษที่ 19 เกือทั้งหมด บริเตนเป็นประเทศที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก[16] ปากส์บริตันนิกา (Pax Britannica) เป็นชื่อที่เรียกช่วงเวลาระหว่างปี 1815 ถึง 1914 ซึ่งเป็นยุคสมัยที่สัมพันธภาพระหว่างประเทศมหาอำนาจของโลกค่อนข้างสงบสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์ระหว่างบริเตนกับประเทศอื่น ๆ[17] สงครามไครเมีย (Crimean War) ระหว่างปี 1853 ถึง 1856 เป็นเพียงสงครามเดียวที่จักรวรรดิบริติชต่อสู้กับอีกมหาอำนาจ[18][14] ภายในจักรวรรดิบริติชเองก็มีการก่อกบฏและความขัดแย้งรุนแรงหลายครั้ง[14][15] นอกจากนี้ บริเตนยังเข้าร่วมสงครามกับประเทศเล็กน้อยอีกด้วย[19][14][15] บริเตนยังมีส่วนร่วมใน การต่อสู้ทางการทูต (diplomatic struggles) ใน เดอะเกรตเกม (Great Game)[19] และ การแย่งชิงดินแดนแอฟริกา (Scramble for Africa) [14][15]
ราชินีวิกตอเรียทรงเข้าพิธีวิวาห์กับเจ้าชายอัลเบิร์ตแห่งแซ็กซ์-โคบูร์กและโกทา ซึ่งเป็นพระญาติชาวเยอรมัน ในปี 1840 ทั้งสองพระองค์มีพระโอรสธิดา 9 พระองค์ ซึ่งต่อมาได้เข้าพิธีวิวาห์กับราชวงศ์ต่างๆ ทั่วทวีปยุโรป ส่งผลให้พระองค์ได้รับการขนานนามว่า "ยายของยุโรป"[20][11] เจ้าชายอัลเบิร์ตสิ้นพระชนม์ในปี 1861[19] ราชินีวิกตอเรียทรงไว้ทุกข์และทรงงดออกงานสาธารณะนานถึงสิบปี[11] ในปี 1871 เมื่อกระแสความคิดแบบสาธารณรัฐ (republican) เริ่มก่อตัวขึ้นในบริเตน พระองค์ทรงเริ่มกลับมารับภารกิจสาธารณะอีกครั้ง ในช่วงปลายรัชสมัย พระบารมีของพระองค์ทรงทวีขึ้น เนื่องจากทรงเป็นสัญลักษณ์ของจักรวรรดิบริติช ราชินีวิกตอเรียสวรรคตเมื่อวันที่ 22 มกราคม 1901[20]
ภาพวาดเหตุการณ์ ยุทธการที่รอกส์ดริฟต์ ระหว่างสงครามอังกฤษ–ซูลู ปี 1879 โดย อัลฟงส์ เดอ นอยวิลล์ (1880)