คมกฤช จันทราสา เทคนิคการออกเสียงขับร้อง
เรียบเรียงหลักสูตรโดย คมกฤช จันทราสา อาจารย์โอ๊ะ
51 เสียงที่เกิดจากน้ำลาย
เสียงที่เกิดจากน้ำลาย ซึ่งน้ำลายจะมีความเหนียวจึงทำให้เกิดเสียงของน้ำลายดังขึ้นมา หรือเสียงของการกลืนน้ำลาย การออกเสียงขับร้องก็เหมือนกับการรับประทานอาหาร เมื่อเวลาที่น้องๆรับประทานอาหารโดยปกติแล้วจะมีเสียงของน้ำลายดังขึ้นทุกครั้ง บางคนเมื่อเวลารับประทานอาหารจะมีเสียงของน้ำลายดังมาก และบางคนเมื่อรับประทานอาหารจะมีเสียงของน้ำลายดังน้อยมาก หากจะไม่ให้เกิดเสียงของน้ำลายขณะที่รับประทานอาหารก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ การออกเสียงขับร้องก็ย่อมเหมือนกับการเคี้ยวอาหารขณะขับร้อง น้องๆออกเสียงขับร้องในหนึ่งประโยคก็เหมือนกับน้องๆได้รับประทานอาหารเข้าไปหนึ่งคำ แล้วน้องๆลองขับร้องเคี้ยวดูสิว่า อาหารที่น้องๆเคี้ยวอยู่นั้นอร่อยบ้างไหม เมื่อน้องๆออกเสียงขับร้องหากเคี้ยวอาหารได้อร่อย เสียงที่ขับร้องออกมานั้นก็จะเกิดความสวยงามด้วยความไพเราะ หากผู้อื่นได้รับฟังก็ย่อมรู้สึกได้ลิ้มรสถึงความอร่อยด้วยความไพเราะได้เช่นกัน เมื่อน้องๆออกเสียงขับร้อง 1-3 ประโยค น้องๆจะเริ่มรู้สึกว่ามีน้ำลายเหนียวเกิดขึ้น หากน้องๆออกเสียงขับร้องประโยคต่อไป เสียงของน้ำลายเหนียวก็จะเกิดดังขึ้นเหมือนกับเสียงน้ำลายขณะที่รับประทานอาหารเช่นกัน ให้น้องๆจิบน้ำเย็นหรือน้ำอุ่นก็ได้ เพื่อล้างน้ำลายเหนียวต่างๆออกไปให้หมด เพียงแค่นี้เสียงของน้ำลายเหนียวก็จะไม่ดังสอดแทรกเข้ามารบกวนเสียงที่น้องๆขับร้องได้อีกต่อไป ให้น้องๆตรวจสอบดูตนเองว่า เมื่อเวลาออกเสียงขับร้องมีเสียงที่เกิดจากน้ำลายเหนียวบ้างไหม
53 เสียงที่มีสระอูผสมอยู่ท้ายเสียง
การออกเสียงขับร้องที่มีเสียงสระอูผสมอยู่ท้ายเสียงจะมีคำดังต่อไปนี้ เช่นคำว่า เกา กาว เก้า ก้าว เขา ขาว เข้า ข้าว เคา คราว คาว เค้า เงา งาว เง้า เหงา เจา จาว เจ้า จ้าว เจียว เชา ชาว เช้า เช่า เชี่ยว เซา ซาว เซ้า เซี้ยว เนา นาว เน้า เน่า เหนี่ยว เหนียว เดา ดาว ด้าว เดียว เดี่ยว เดี๋ยว เตา ตาว เต้า เตี๋ยว เทา ทาว เท่า เฒ่า เถ้า เท้า เที่ยว เบา บาว เบ้า เบี้ยว เปา ปาว เป่า เปล่า เป้า เปลี่ยว เปร้ยว เผา ผาว เผ้า เผ่า เพา เพรา เพร่า เพียว เมา มาว เม่า เหมียว เยา ยาว เย้า เหย้า เยียว เรา ราว เร้า เร่า เรียว เลา ลาว เล่า เล้า เวา วาว เว้า เอา อาว เอ้า เอี่ยว เหา หาว เหี่ยว ให้น้องๆสังเกตว่า การออกเสียงขับร้องที่มีเสียงสระอูผสมอยู่ท้ายเสียงนี้ จะมีเฉพาะตัวสระ อา และพยัญชนะตัว วอ แหวน ซึ่งจะอยู่ท้ายคำ และจะให้เสียงเป็นสระ อู ผสมเกิดขึ้นอยู่ท้ายเสียง การออกเสียงขับร้องที่มีเสียงสระอูผสมอยู่ท้ายเสียงนี้ ก็จะเหมือนกับการออกเสียงขับร้องให้มีความกังวานด้วยความสั่นสะเทือนของเสียงสระ ฮู หรือเสียงสระอู ให้น้องๆตรวจสอบดูบทเพลงที่นำมาขับร้อง ว่ามีการออกเสียงขับร้องที่มีเสียงสระ อู ผสมอยู่ท้ายเสียงบ้างไหม
52 เสียงคำร้องหนึ่งคำมีเมโลดีอยู่หลายตัว
การออกเสียงขับร้องในหนึ่งคำร้องจะมีเสียงของเมโลดี้รวมกันอยู่หลายตัว ขอยกตัวอย่างอันดับแรกก่อนว่า ในหนึ่งคำร้องจะมีเมโลดี้อยู่ด้วยกัน 2 ตัว เช่นคำว่า เรา เขา ให้น้องๆออกเสียงขับร้อง คำว่า เรา และคำว่าเขา การออกเสียงขับร้อง คำว่า เรา เสียงจะอยู่ที่ตำแหน่งโน้ตตัว มี E คือตัวที่ 1 แล้วสไลด์เสียงให้สูงขึ้นไปอยู่ที่ตำแหน่งโน้ตตัว ฟา F คือตัวที่ 2 การออกเสียงขับร้อง คำว่า เขา เสียงจะอยู่ที่ตำแหน่งโน้ตตัว ฟา F คือตัวที่ 1 แล้วสไลด์เสียงให้สูงขึ้นไปอยู่ที่ตำแหน่งโน้ตตัว ซอล G คือตัวที่ 2 วิธีการออกเสียงขับร้องแบบสไลด์เสียงให้เกิดเป็นเมโลดี้ 2 ตัว อยู่ในคำร้องเพียงหนึ่งคำนี้ ให้น้องๆออกเสียงขับร้องคำว่า เรา คือโน้ตตัวที่ 1 เสียง มี E แล้วสไลด์เสียงให้เกิดความสั่นสะเทือนของเสียงสระอูให้อยู่ในตำแหน่งของโน้ตตัวที่ 2 คือเสียง ฟา F ให้น้องๆสังเกตเสียงสระอูจะเป็นตัวสไลด์เคลื่อนที่ไปยังตำแหน่งโน้ตตัวที่ 2 นั่นเอง และคำว่า เขา ก็จะขับร้องแบบเดียวกันกับคำว่า เรา ซึ่งน้องๆก็เคยได้ผ่านการออกเสียงขับร้องด้วยเทคนิคการใช้เสียงที่มีความกังวานของ สระ วรรณยุกต์ มาแล้ว การสไลด์เสียงนี้จะไม่จำกัดว่า จะใช้การสไลด์เสียงไปยังเสียงที่สูงขึ้น หรือสไลด์เสียงไปยังเสียงที่ต่ำลงก็ได้ ตัวอย่างต่อไป
การออกเสียงขับร้อง 1 คำ จะมีเมโลดี้รวมอยู่ถึง 3 ตัว ให้น้องๆออกเสียงขับร้องคำว่า เธอ ก็จะมีเมโลดี้รวมกันอยู่ถึง 3 ตัว ในคำร้องเพียงหนึ่งคำ การออกเสียงขับร้อง คำว่า เธอ เสียงจะอยู่ที่ตำแหน่งโน้ตตัว มี E คือตัวที่ 1 แล้วสไลด์เสียงให้สูงขึ้นไปอยู่ที่ตำแหน่งโน้ตตัว ฟา F คือตัวที่ 2 แล้วสไลด์เสียงให้สูงขึ้นไปอีกให้ถึงต่ำแหน่งโน้ตตัว ซอล G คือตัวที่ 3 และต่อไปให้น้องๆออกเสียงขับร้อง คำว่า เธอ อีกเช่นกัน ซึ่งจะมีเมโลดี้รวมกันอยู่ถึง 5 ตัว ในคำร้องเพียง 1 คำ การออกเสียงขับร้อง คำว่า เธอ จะอยู่ในตำแหน่งโน้ตตัว โด C คือตำแหน่งที่ 1 แล้วสไลด์เสียงให้สูงขึ้นไปยังตำแหน่งโน้ตเสียง เร D คือตำแหน่งที่ 2 แล้วสไลด์เสียงให้สูงขึ้นไปยังตำแหน่งโน้ตเสียง มี E คือตำแหน่งที่ 3 แล้วสไลด์เสียงให้สูงขึ้นไปยังตำแหน่งโน้ตเสียง ฟา F คือตำแหน่งที่ 4 แล้วสไลด์เสียงให้สูงขึ้นไปอีกให้ถึงตำแหน่งโน้ตเสียง ซอล G คือตำแหน่งตัวที่ 5 ให้น้องๆสังเกตว่า การออกเสียงขับร้องแบบสไลด์เสียงที่มีเมโลดี้รวมกันอยู่ 3 ตัว หรือ 5 ตัว ในคำร้องเพียงหนึ่งคำนี้ ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายกับการใช้ลูกคอให้เกิดการสั่นสะเทือนของเสียงไปยังเมโลดี้ต่างๆที่กำหนดไว้ หรือเป็นลักษณะของการใช้ลูกคอให้เกิดการสั่นสะเทือนของเสียงที่เป็นไปตามส่วนจังหวะของเมโลดี้ที่กำหนอไว้นั่นเอง ให้น้องๆตรวจสอบดูบทเพลงที่นำมาขับร้อง ว่ามีการออกเสียงขับร้องที่มีการสไลด์เสียงจากคำร้องหนึ่งคำมีเมโลดี้รวมกันอยู่ถึง 2 ตัว หรือ 3 ตัว หรือ 5 ตัวบ้างไหม
54 เสียงของวรรณยุกต์ตรี
การออกเสียงขับร้องโดยใช้เสียงของวรรณยุกต์ตรี เช่นคำว่า ชีวิต การออกเสียงขับร้อง คำว่า วิต จะเป็นเสียงสั้น หากน้องๆต้องการใช้เสียงสั้นเปลี่ยนให้เป็นเสียงยาวน้องๆควรออกเสียงขับร้องคำว่า วิต ให้เป็นเสียงของวรรณยุกต์ตรีเป็นคำว่า วี๊ด
การเปลี่ยนเสียงให้เป็นเสียงวรรณยุกต์ตรี
คำว่า ชีวิต ออกเสียงขับร้องให้เป็นเสียงของวรรณยุกต์ตรี
เป็นคำว่า ชีวี๊ด
คำว่า มืดมิด ออกเสียงขับร้องให้เป็นเสียงของวรรณยุกต์ตรี
เป็นคำว่า มืดมี๊ด
คำว่า คิดถึง ออกเสียงขับร้องให้เป็นเสียงของวรรณยุกต์ตรี
เป็นคำว่า คี๊ดถึง
คำว่า นิดเดียว ออกเสียงขับร้องให้เป็นเสียงของวรรณยุกต์ตรี
เป็นคำว่า นี๊ดเดียว
คำว่า พบเจอ ออกเสียงขับร้องให้เป็นเสียงของวรรณยุกต์ตรี
เป็นคำว่า โพ๊บเจอ
คำว่า มีเธอ ออกเสียงขับร้องให้เป็นเสียงของวรรณยุกต์ตรี
เป็นคำว่า มีเธ๊อ
ในการออกเสียงขับร้องโดยใช้เสียงของวรรณยุกต์ตรีก็จะคล้ายกับการใช้คำที่เป็นเสียงสั้นเปลี่ยนให้เป็นเสียงยาว ซึ่งการใช้คำที่เป็นเสียงสั้นเปลี่ยนให้เป็นเสียงยาว ในบางคำก็ไม่ใช่เสียงของวรรณยุกต์ตรี เช่นคำว่า คน โดยเปลี่ยนให้เป็นเสียงยาวเป็นคำว่า โคน ซึ่งจะไม่ใช่เสียงของวรรณยุกต์ตรีเลย ให้น้องๆตรวจสอบดูบทเพลงที่นำมาขับร้อง ว่ามีการออกเสียงขับร้องใช้เสียงของวรรณยุกต์ตรีบ้างไหม
55 เสียงที่มีสระอีผสมอยู่ท้ายเสียง
การออกเสียงขับร้องที่มีเสียงสระ อี ผสมอยู่ท้ายเสียง จะมีคำร้องดังต่อไปนี้ เช่นคำว่า ไกล กาย กลาย ไก่ ก่าย ใกล้ ไข ขาย ไข่ ข่าย ไข้ ไขว้ ใคร คาย คลาย ใคล้ คล้าย ไง งาย ง่าย ใจ จาย จ่าย ไช ชาย ใช่ ใช้ ใน นาย นัย ใด ดาย ได้ ด้าย ไต ตาย ไต่ ต่าย ใต้ ไถ ไถ่ ถ่าย ไทย ทาย ท้าย ใบ บาย ปาย ป้าย ไป ปลาย ปาย ป้าย ไผ ผาย ไผ่ ไพ พาย พ่าย พราย ไพ่ พ้าย ไฟ ฟาย ฟ้าย ไม มาย ไม่ ไหม้ หม้าย ม่าย ใย ยาย ใย่ ย้าย ไร ราย ไร่ ไล้ ร้าย ไว วาย ไหว้ ว่าย ไว้ ว้าย ใส สาย ใส่ ใส้ ส้าย ให้ หาย ห้าย ไหล ใหล ไอ อาย ไอ้ อ้าย ไฮ ฮาย ไฮ่ ไฮ้ ให้น้องๆสังเกตว่า การออกเสียงขับร้องที่มีเสียงสระ อี ผสมอยู่ท้ายเสียงนี้ จะมีเฉพาะตัว สระไอไม้มไล กับ สระไอไม้ม้วน และพยัญชนะตัว ยอ ยักษ์ ที่อยู่ท้ายคำ ซึ่งจะให้เสียงเป็นเสียงสระอีผสมเกิดขึ้นอยู่ท้ายเสียง การออกเสียงขับร้องที่มีเสียงสระอีผสมอยู่ท้ายเสียงนี้ก็จะเหมือนกับการออกเสียงขับร้องให้มีความกังวานด้วยความสั่นสะเทือนของเสียง ฮี หรือเสียงสระ อี ให้น้องๆตรวจสอบดูบทเพลงที่นำมาขับร้อง ว่ามีการออกเสียงขับร้องที่มีเสียงของสระ อี ผสมอยู่ท้ายเสียงบ้างไหม
56 เสียงที่ถูกเปลี่ยนสัญญาณเสียง
การออกเสียงขับร้องโดยการเปลี่ยนสัญญาณเสียง ก็จะเหมือนกับการออกเสียงขับร้องใช้เสียงหลบเมโลดี้คำร้อง หากเนื้อคำร้องที่สามารถออกเสียงขับร้องได้เต็มเสียงได้ แต่จะมีเมโลดี้คำร้องคำใดคำหนึ่งถูกเปลี่ยนสัญญาณเสียงให้กลายเป็นเสียงหลบเมโลดี้ เมื่อฟังเสียงโดยรวมทั้งหมดแล้ว ก็จะให้ความรู้สึกว่าเป็นเมโลดี้คำร้องคำนี้ซึ่งเป็นเสียงสูง แต่ที่จริงแล้วก็ไม่ใช่เมโลดี้คำร้องที่เป็นเสียงสูงมากเท่าไหร่หรอก หากใช้เสียงที่แท้จริงออกเสียงขับร้องให้เต็มเสียงก็สามารถขับร้องออกมาได้ แต่จะเป็นการใช้วิธีการเปลี่ยนสัญญาณเสียงออกเสียงขับร้องให้รู้สึกว่าคำร้องคำนี้เป็นเสียงสูง ให้น้องๆตรวจสอบดูบทเพลงที่นำมาขับร้อง ว่ามีการออกเสียงขับร้องโดยการเปลี่ยนสัญญาณเสียงบ้างไหม
57 เสียงที่มีสระโอผสมอยู่หน้าเสียง
การออกเสียงขับร้องที่มีเสียงสระโอผสมอยู่หน้าเสียง ก็จะเหมือนกับการออกเสียงขับร้องคำที่เป็นเสียงสั้นเปลี่ยนให้เป็นเสียงยาว เช่น คำว่า
คบ ออกเสียงขับร้องให้เป็นเสียงยาวโดยมีเสียงสระโอผสมอยู่หน้าเสียง เป็นคำว่า โค๊บ
จด ออกเสียงขับร้องให้เป็นเสียงยาวโดยมีเสียงสระโอผสมอยู่หน้าเสียง เป็นคำว่า โจด
ชด ออกเสียงขับร้องให้เป็นเสียงยาวโดยมีเสียงสระโอผสมอยู่หน้าเสียง เป็นคำว่า โช๊ด
ซบ ออกเสียงขับร้องให้เป็นเสียงยาวโดยมีเสียงสระโอผสมอยู่หน้าเสียง เป็นคำว่า โซ๊บ
พบ ออกเสียงขับร้องให้เป็นเสียงยาวโดยมีเสียงสระโอผสมอยู่หน้าเสียง เป็นคำว่า โพ๊บ
หมด ออกเสียงขับร้องให้เป็นเสียงยาวโดยมีเสียงสระโอผสมอยู่หน้าเสียงเป็นคำว่า โหมด
จบ ออกเสียงขับร้องให้เป็นเสียงยาวโดยมีเสียงสระโอผสมอยู่หน้าเสียง เป็นคำว่า โจบ
ชม ออกเสียงขับร้องให้เป็นเสียงยาวโดยมีเสียงสระโอผสมอยู่หน้าเสียง เป็นคำว่า โชม
ดม ออกเสียงขับร้องให้เป็นเสียงยาวโดยมีเสียงสระโอผสมอยู่หน้าเสียง เป็นคำว่า โดม
ทน ออกเสียงขับร้องให้เป็นเสียงยาวโดยมีเสียงสระโอผสมอยู่หน้าเสียง เป็นคำว่า โทน
บน ออกเสียงขับร้องให้เป็นเสียงยาวโดยมีเสียงสระโอผสมอยู่หน้าเสียง เป็นคำว่า โบน
ผม ออกเสียงขับร้องให้เป็นเสียงยาวโดยมีเสียงสระโอผสมอยู่หน้าเสียง เป็นคำว่า โผม
มน ออกเสียงขับร้องให้เป็นเสียงยาวโดยมีเสียงสระโอผสมอยู่หน้าเสียง เป็นคำว่า โมน
ให้น้องๆสังเกตว่าการออกเสียงขับร้องที่มีเสียงสระโอผสมอยู่หน้าเสียงนี้จะกำหนดเฉพาะตัวพยัญชนะ บ ด ม น ซึ่งอยู่ท้ายคำ และจะใช้เสียงเป็นเสียงสระโออยู่หน้าเสียง ก็จะเหมือนกับการออกเสียงขับร้องใช้เสียงสั้นให้เป็นเสียงยาว และเหมือนกับการออกเสียงขับร้องให้มีความกังวานด้วยความสั่นสะเทือนของเสียง ฮือ หรือเสียงสระ อือ ให้น้องๆตรวจสอบดูบทเพลงที่นำมาขับร้อง ว่ามีการออกเสียงขับร้องใช้เสียงที่มีสระโอผสมอยู่หน้าเสียงบ้างไห
58 เสียงที่ถูกการกลั่นกรองให้ละเอียดขึ้น
เสียงที่ถูกกลั่นกรองที่กลั่นกรองเสียงเพื่อให้เสียงมีความละเอียดและนุ่มนวลขึ้น ก็จะเป็นตัวแปรที่มาจากการกลั่นกรองของอารมณ์ เช่นจัดอารมณ์ให้อยู่ในระดับความลึกนิ่งและละเอียดอ่อน เสียงที่ขับร้องออกมาก็จะมีความนิ่งและละเอียดอ่อนได้เช่นกัน
หากจัดระดับอารมณ์ให้อยู่ในระดับตื้นหรือต่ำ เสียงที่ขับร้องออกมาก็จะมีความหยาบและแข็งกระด้าง เสียงที่ถูกการกลั่นกรองหรือปรุงแต่งเสียงก็ย่อมมาจากการจัดระดับของอารมณ์นั่นเอง จะขอยกตัวอย่างขึ้นมาเปรียบเทียบแสดงให้น้องๆเห็นว่า การปรุงแต่งกลั่นกรองเสียงก็จะเหมือนกับเครื่องกรองน้ำดื่ม หากน้องๆดื่มน้ำก็จะได้น้ำที่สะอาดและบริสุทธิ์ ก็คือการบริโภคนั่นเอง และหากน้องๆได้ปรุงแต่งกลั่นกรองเสียงได้ดี ผู้ฟังก็จะได้รับฟังเสียงที่มีความนุ่มนวลนิ่งและละเอียดอ่อนมีความไพเราะ ก็คือการบริโภคทางเสียงเช่นเดียวกัน ให้น้องๆลองฝึกการปรุงแต่งกลั่นกรองเสียงโดยให้น้องๆเป็นเครื่องกลั่นกรองเสียงชนิดหนึ่ง หรือจะใช้เครื่องกลั่นกรองอารมณ์เข้ามาผสมเป็นเครื่องเดียวกันก็ได้ คุณภาพของเครื่องก็จะมีประสิทธิภาพกลั่นกรองเสียงได้สูงขึ้น น้องๆ ลองฝึกทำดู
59 เสียงที่ถูกการถ่ายทอดให้เกิดความรู้สึก
การออกเสียงขับร้องที่ถ่ายทอดออกมาให้เกิดความรู้สึก หรือผู้ที่ได้ถ่ายทอดเล่าเรื่องราวด้วยเหตุการณ์ต่างๆของบทเพลงให้เกิดอารมณ์และความรู้สึกทางเสียงด้วยการขับร้องให้ได้เหตุสมจริงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น น้องๆจะสังเกตได้ว่าในหนึ่งบทเพลงจะถูกลำดับไว้ด้วยเวลาสถานที่ และเหตุการณ์ที่ถูกจัดไว้ในประโยคคำร้องตามลำดับให้เกิดเป็นเรื่องราวด้วยอารมณ์ต่างๆไว้อย่างมากมาย การออกเสียงขับร้องเพลงเล่าเรื่องราวที่ถูกถ่ายทอดออกมาด้วยอารมณ์ให้เกิดความรู้สึกในลักษณะของเสียงที่กลมกลืนเข้ากับเหตุการณ์นี้ ตัวอย่างเช่น น้องๆได้อ่านเนื้อหาของบทเพลงแล้วและรู้สึกว่าบทเพลงนี้ มีเหตุการณ์ที่ให้ความผิดหวังและเสียใจเป็นเช่นไร น้องๆลองมาดูกันอีกว่า ความผิดหวังและเสียใจนี้มีระดับอารมณ์เป็นอย่างไรบ้าง คือ
1 อาจจะผิดหวังและเสียใจเพียงน้อยนิด 2 อาจจะผิดหวังเสียใจปานกลางไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป 3 อาจจะผิดหวังและเสียใจเป็นอย่างมากถึงที่สุด
เมื่อน้องๆรู้ว่าความผิดหวังและเสียใจเกิดขึ้นอยู่ในระดับใด น้องๆก็ควรเริ่มจัดระดับความรู้สึกของน้องๆให้เกิดอารมณ์ของความผิดหวังและเสียใจว่า อยู่ในระดับใดที่ต้องการ และน้องๆก็ถ่ายทอดความรู้สึกของอารมณ์ออกมาด้วยการออกเสียงขับร้องเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นต่างๆได้อย่างสมจริงเข้ากับเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น หากน้องๆยังต้องการออกเสียงขับร้องเล่าเรื่องราวถ่ายทอดออกมาให้เกิดความรู้สึกในบทเพลงใดๆต่อไปก็ตาม น้องๆควรใช้ทักษะเทคนิคนี้เข้ามาเปรียบเทียบให้รู้ถึงระดับความรู้สึกและอารมณ์ที่ควรจะถ่ายทอดออกมาเป็นเสียงเพลงได้ดีเช่นกัน น้องๆคงทำได้นะ
60 เสียงที่เกิดขึ้นตามลำดับของช่วงเวลา และวัย
จะขอกล่าวถึงเสียงของน้องๆ ที่ได้ใช้ออกเสียงในชีวิตประจำวันตามลำดับของช่วงเวลาตั้งแต่น้องๆเริ่มตื่นนอนกันเลย ขณะที่น้องๆเริ่มตื่นนอนขึ้นมานี้ หากน้องๆได้ใช้เสียงพูดขึ้นมาเมื่อใด เสียงของน้องๆที่พูดออกมาก็จะเกิดเป็นเสียงต่ำที่แหบแห้ง และอู้อี้มากซึ่งไม่น่ารับฟังสักเท่าไร และเป็นช่วงเวลาที่ไม่ควรออกเสียงขับร้องเป็นอย่างยิ่ง และเมื่อน้องๆทำภารกิจประจำวันของตนเองเสร็จสิ้นแล้ว ระหว่าง 2 ชั่วโมงแรกนี้ น้องๆบางคนอาจจะมีความง่วงนอนคงค้างหลงเหลืออยู่ หรือสภาวะของร่างกายยังซึมเซาอยู่ หากน้องๆได้ออกเสียงขับร้องก็จะทำให้เกิดความขาดหายของอารมณ์ หรือการขาดหายของรสชาดของเสียงที่ไม่มีชีวิตชีวา และไร้ซึ่งความชุ่มชื่นของเสียงอีกด้วย หากเวลาผ่านมาถึง 4 ชั่วโมง ความกระฉับกระเฉงของร่างกายน้องๆก็จะเริ่มดีขึ้น กระปี้กระเปร่าขึ้น สดใสขึ้น และมีความตื่นตัวได้ดีซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหมาะกับการออกเสียงขับร้อง หากเวลาผ่านมาถึง 6 ชั่วโมง ซึ่งเป็นเวลาที่น้องๆควรรับประทานอาหาร และหากน้องๆยังใช้เสียงขับร้องเพลงอยู่นั้น ก็จะทำให้พลังของน้องๆถดถอยลงเป็นอย่างมากเลยทีเดียว น้องๆควรหยุดพักการออกเสียงขับร้องไว้สักครู่จึงจะดีกว่า แล้วหันมาจัดการกับอาหารที่ทำให้ท้องอิ่มเพื่อให้เกิดพลังงานไว้นำมาใช้ในการออกเสียงขับร้องในชั่วโมงต่อไป เสียงและพลังของน้องๆก็จะมีความสมบูรณ์มากขึ้น และน้องๆอย่าลืมการดูแลรักษาเสียงร้องด้วย ช่วงเวลารับประทานอาหารกลางวัน 12.00น-13.00น เมื่อน้องๆรับประทานอาหารกลางวันเสร็จเรียบร้อยแล้ว และก็เวลาเริ่มเข้าสู่ 13.00น-15.00น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหมาะกับการออกเสียงขับร้องเพลงได้เป็นอย่างดี หากเวลามาถึง 15.00น น้องๆควรจัดอาหารว่างมารับประทานเพื่อให้เกิดพลังงาน และนำมาใช้ในการออกเสียงขับร้องต่อไปจนกว่าจะถึงเวลา 18.00น เวลา 18.00น-19.00น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่น้องๆควรรับประทานอาหารมื้อเย็น และหยุดพักการออกเสียงขับร้องไว้ชั่วคราว หากน้องๆยังใช้เสียงขับร้องเพลงอยู่ พลังของน้องๆก็จะถดถอยลงเป็นอย่างมากทีเดียว เพราะร่างกายของน้องๆยังต้องการพลังงานเพื่อนำมาใช้ในชั่วโมงต่อไป เมื่อน้องๆรับประทานอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว และเริ่มเข้าสู่เวลา 19.00น-22.00น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหมาะกับการออกเสียงขับร้องได้เป็นอย่างดี ช่วงเวลา 22.00น เป็นเวลาที่น้องๆควรพักผ่อน และหยุดการออกเสียงขับร้องเพลง หากน้องๆยังออกเสียงขับร้องเพลงอยู่ เสียงของน้องๆจะมีลักษณะของเสียงที่คล้ายกับคนเป็นหวัด หรือเสียงที่เกิดจากอาการของการง่วงนอนนั่นเอง น้องๆก็คงรู้จักการใช้เสียงที่เกิดขึ้นตามลำดับของช่วงเวลาดีแล้ว หวังว่าน้องๆทุกคนคงเลือกเวลาในการใช้เสียงขับร้องเพลงได้ถูกต้องตามลำดับของเวลาที่เกิดขึ้นกับน้องเองได้ดี น่าตื่นตาตื่นใจกับเทคนิคการออกเสียงขับร้องไหมครับ น้องๆค่อยๆลองฝึกดูนะครับเทคนิคอันไหนที่น้องๆคิดว่าออกเสียงขับร้องได้ง่ายให้ฝึกเทคนิคอันนั้นก่อน จากง่ายไปหายากนะครับ พี่จะเอาใจช่วย 00
เรียบเรียงหลักสูตรโดย คมกฤช จันทราสา อาจารย์โอ๊ะ