25-26 มีนาคม 2023
การตระเตรียมตัวเราให้พร้อม
สำหรับการเสด็จกลับมา
ขององค์พระผู้เป็นเจ้า
I. ถ้าจะเตรียมตัวเราให้พร้อมสำหรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า เราต้องคงไว้ซึ่งชัยชนะของเราโดยมีการดำเนินชีวิตที่เฟื่องฟู ซึ่งก็คือการดำเนินชีวิตที่ได้รับการเปลี่ยนใหม่ทุกวัน (2กธ.4:16-18); การเปลี่ยนใหม่นี้จะต้องใหม่สดทุกๆ ยามเช้า (มธ.13:43; ลก.1:78-79; สภษ.4:18; วนฉ.5:31):
1. เราต้องรับสุของค์พระผู้เป็นเจ้าในยามเช้าตรู่เพื่อจะมีการเริ่มต้นใหม่ในแต่ละวัน — บพส.119:147–148.
2. ทุกเช้าเราควรยอมให้องค์พระเยซูเจ้าผู้เป็นดวงตะวันของเราผุดขึ้นในตัวเราเพื่อเราจะถูกเปลี่ยนใหม่ — ลก.1:78–79; มลค.4:2; วนฉ.5:31:
(1) เราควรตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อมาสามัคคีธรรมกับองค์พระผู้เป็นเจ้า และเราสามารถอธิษฐานว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอบพระคุณพระองค์สำหรับการเริ่มต้นใหม่; ขอให้วันนี้เป็นวันที่น่าจดจำในชีวิตของข้าพเจ้า”; นี่คือสิ่งที่เราเรียกว่าการฟื้นฟูทุกๆ ยามเช้า.
(2) ทุกเช้าเราควรถวายพระคริสต์เป็นเครื่องบูชาเผาและเครื่องบูชาสันติสุขของเรา โดยมีพื้นฐานอยู่บนการที่พระองค์ทรงเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปของเรา เพื่อเราจะมีการเริ่มต้นใหม่; เราไม่เพียงทำเช่นนี้ทุกวัน แต่ยังต้องทำเช่นนี้ด้วยความหวานชื่นและความลึกซึ้งด้วย — ลวต.6:12–13.
(3) การยึดพระคริสต์เป็นเครื่องบูชาเผาของเราในทุกยามเช้าคือการยึดพระองค์ในฐานะผู้ที่ดำเนินชีวิตเพื่อความอิ่มหนำของพระเจ้าอย่างเด็ดขาด และในฐานะชีวิตซึ่งทำให้เราสามารถดำเนินชีวิตเช่นนั้นได้ — 1:9; 6:12-13; ยฮ.5:19, 30; 6:38; 7:18; 8:29.
3. ถ้าอยากมีการดำเนินชีวิตที่เฟื่องฟู เราต้องเป็นผู้ที่รักองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างถึงที่สุดและเป็นอยู่ต่อพระองค์โดยยึดเอาการรับสุขและการได้รับพระคริสต์อย่างครบบริบูรณ์ที่สุดมาเป็นเป้าหมายในแต่ละวัน — 1กธ.22:9; 2กธ.5:14-15; ฟป.3:14.
4. เราต้องเป็นผู้ดำเนินชีวิตแห่งแท่นบูชาและกระโจม — ยนซ.12:7-8; 13:3-4, 18:
(1) การที่พระเจ้าทรงปรากฏต่อเราย่อมส่งผลให้เราถวายตัว ทำให้เราก่อแท่นบูชา; แท่นบูชามีไว้สำหรับการนมัสการพระเจ้าโดยการถวายทุกสิ่งที่เราเป็นและทุกสิ่งที่เรามีแด่พระเจ้าเพื่อพระประสงค์ของพระองค์; การก่อแท่นบูชาหมายความว่าชีวิตของเรามีเพื่อพระเจ้า, พระเจ้าทรงเป็นชีวิตของเรา, และความหมายแห่งชีวิตของเราก็คือพระเจ้า — 8:20-21ก; อซด.29:18-22.
(2) การดำเนินชีวิตแห่งกระโจมคือการที่เราประกาศว่าเราเป็นแขกแปลกหน้าและคนต่างแดนบนแผ่นดินโลก ที่กำลังเสาะหาบ้านเมืองที่ประเสริฐกว่า และเฝ้าจดจ่อรอคอยเมืองที่พระเจ้าเป็นผู้ก่อสร้าง นั่นคือกรุงเยรูซาเล็มใหม่ — ฮร.11:9–10, 13, 16.
5. การเฟื่องฟูที่ถูกเปลี่ยนใหม่ทุกวันคือการถูกเปลี่ยนแปลงอย่างใหม่สดทุกวัน; ถ้าเราคงอยู่ในการเปลี่ยนแปลงนี้ไปตลอดชีวิตของเรา เราก็จะเติบโตในชีวิตขององค์พระผู้เป็นเจ้าจนเราได้สุกงอม — รม.12:2; 2กธ.3:18; ฮร.6:1ก.
6. เรารับการเปลี่ยนใหม่ทุกวันผ่านสี่สิ่งนี้: กางเขน (2กธ.4:10-12, 16-18); พระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ทำให้เราถูกซ่อมแซม, ทำใหม่, สร้างใหม่ด้วยชีวิตอันศักดิ์สิทธิ์ (ตต.3:5); วิญญาณที่ผสมกลมกลืนของเรา (อฟ.4:23); และพระคำอันบริสุทธิ์ของพระเจ้า (5:26).
7. เราต้องมาร่วมโต๊ะขององค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยความใหม่ (มธ.26:29); องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงยอมรับโต๊ะงานเลี้ยงเก่า; เราต้องถูกเปลี่ยนใหม่ทุกวันด้วยการเรียนรู้ที่จะพูดว่า “ขอโทษ โปรดให้อภัยแก่ข้าพเจ้าด้วย.”
8. ขณะที่เราอยู่ท่ามกลางการทนทุกข์ เราต้องต้อนรับพระกรุณาที่ใหม่สดขององค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเช้า เพื่อเราจะมีประสบการณ์ต่อการเปลี่ยนใหม่ของพระองค์; มิฉะนั้นเราจะยังคงเป็นเหมือนเดิม และเราก็ผ่านการทนทุกข์นั้นอย่างเปล่าประโยชน์ — พรท.3:22–24; 2กธ.4:16–18.
II. ถ้าจะเตรียมตัวเราให้พร้อมสำหรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า เราต้องคงไว้ซึ่งชัยชนะของเราโดยการมีส่วนในการปฏิบัติฝ่ายสวรรค์ของพระคริสต์ ด้วยการป้อนเลี้ยงลูกแกะของพระองค์และเลี้ยงดูแกะของพระองค์ เพื่อดูแลฝูงแกะของพระเจ้า ซึ่งก็คือคริสตจักร ผลลัพธ์ก็จะนำมาซึ่งพระกายของพระคริสต์ — ยฮ.21:15–17; 1ปต.2:25; 5:1–4; ฮร.13:20–21:
1. เราต้องเลี้ยงดูผู้คนตามแบบอย่างขององค์พระเยซูเจ้าในการปฏิบัติของพระองค์ เพื่อทำให้แผนการบริหารที่นิรันดร์ของพระเจ้าสำเร็จลุล่วง — มธ.9:36; ยฮ.10:11; ฮร.13:20; 1ปต.5:4:
(1) สาเหตุที่เราไม่บังเกิดผลนั้นเป็นเพราะเราขาดใจที่รักและให้อภัยของพระบิดาและวิญญาณที่เลี้ยงดูและเสาะหาของพระบุตร — ลก.15:1–24.
(2) เราต้องทะนุถนอมผู้คน (ทำให้พวกเขามีความสุขและทำให้เขารู้สึกเบิกบานและสบาย) ในสภาพมนุษย์ของพระเยซู (มธ.9:10; ลก.7:34); เราต้องบำรุงเลี้ยงผู้คน (ป้อนเลี้ยงเขาด้วยพระคริสต์ผู้ครอบคลุมสรรพสิ่งซึ่งอยู่ในการปฏิบัติที่มีสามช่วงเวลาของพระองค์) ในสภาพพระเจ้าของพระคริสต์ (มธ.24:45–47).
(3) พระคริสต์ทรงต้องผ่านมณฑลซะมาเรีย โดยเจตนาอ้อมไปที่เมืองซุคารเพื่อจะได้ตัวหญิงที่ไม่มีศีลธรรมคนหนึ่ง ด้วยการทะนุถนอมเธอโดยการขอน้ำดื่มจากเธอ เพื่อจะบำรุงเลี้ยงเธอด้วยพระเจ้าตรีเอกภาพที่หลั่งไหลในฐานะแม่น้ำที่มีน้ำแห่งชีวิต — ยฮ.4:13–14.
(4) ในฐานะผู้ไม่มีบาป พระองค์ไม่ทรงปรับโทษหญิงที่คบชู้ แต่ทรงทะนุถนอมเธอเพื่อให้เธอได้รับการอภัยบาปในด้านหลักกฎหมายและปลดปล่อยเธอให้หลุดพ้นจากความบาปในด้านอินทรียภาพ (8:1–11, 32, 36); คนแรกที่ได้รับความรอดจากพระคริสต์ผ่านการตรึงกางเขนของพระองค์คือโจรที่รับโทษประหาร — นี่เป็นเรื่องที่มีความหมายสำคัญ (ลก.23:42–43).
(5) องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จไปที่ยะริโฮเพื่อเยี่ยมเยียนและได้ตัวบุคคลผู้หนึ่งซึ่งเป็นหัวหน้าคนเก็บภาษี และการประกาศพระคำของพระองค์คือการเลี้ยงดู (19:1–10); พระองค์ยังทรงทะนุถนอมเหล่าบิดามารดาโดยการวางพระหัตถ์แก่บุตรของพวกเขา (มธ.19:13–15).
(6) ขณะที่พระองค์ทรงดูแลคริสตจักรทั้งหลายซึ่งเป็นคันประทีปทองคำองค์พระผู้เป็นเจ้าที่เสด็จสู่สวรรค์ทรงเป็น “พระคริสต์ผู้ดำเนิน” และ “พระวิญญาณผู้ตรัส”; โดยการดำเนินอยู่ท่ามกลางคริสตจักรทั้งหลาย พระองค์จึงทราบถึงสภาพการณ์ของแต่ละคริสตจักร จากนั้นพระองค์ก็ตรัสแก่เราตามสิ่งที่พระองค์ทรงเห็น เพื่อให้วิสุทธิชนทุกคนในคริสตจักรทั้งหลายได้ถูกเปลี่ยนแปลงในระบบสิ่งใหม่ทดแทนสิ่งเก่าอย่างอินทรียภาพ โดยมีเป้าหมายที่จะทำให้พวกเขากลายเป็นผู้มีชัยชนะของพระองค์ — วว.1:12-13; 2:1, 7.
2. เราต้องเลี้ยงดูผู้คนตามแบบอย่างของอัครทูตเปาโลผู้เลี้ยงดูวิสุทธิชนทั้งหลายในฐานะมารดาที่ให้นมบุตรและบิดาที่คอยตักเตือน เพื่อจะดูแลฝูงแกะของพระเจ้า — 1ธซ.2:7-8, 11-12; 1ตธ.1:16; กจ.20:28:
(1) เปาโลเลี้ยงดูวิสุทธิชนทั้งหลายในเมืองเอเฟโซโดยการสอนเขา “ทั้งในที่สาธารณะและตามบ้านตามเรือน” (ข้อ 20) และโดยการเตือนสติวิสุทธิชนแต่ละคนด้วยน้ำตาเป็นเวลาถึงสามปี (ข้อ 31, 19) เพื่อชี้แจงแก่พวกเขาถึงน้ำพระทัยทั้งสิ้นของพระเจ้า (ข้อ 27).
(2) เปาโลมีความห่วงใยที่ใกล้ชิดสนิทสนมต่อผู้เชื่อทั้งหลาย (2กธ.7:2–7; ฟม.7, 12) และเขายอมลงมาสู่ระดับของผู้ที่อ่อนแอเพื่อจะได้ตัวพวกเขา (2กธ.11:28–29; 1กธ.9:22; เทียบ มธ.12:20)
(3) เปาโลยินดีที่จะจ่ายราคาด้วยสิ่งที่เขามี ซึ่งหมายถึงทรัพย์สินของเขา และยินดีสละสิ่งที่เขาเป็น ซึ่งหมายถึงตัวของเขาเอง เพื่อเห็นแก่วิสุทธิชนทั้งหลาย (2กธ.12:15); เขาเป็นเครื่องบูชาดื่ม เป็นหนึ่งกับพระคริสต์ซึ่งเป็นผู้ผลิตเหล้าองุ่นด้วยการเสียสละตัวเองเพื่อให้ผู้อื่นได้รับสุขพระคริสต์(ฟป.2:17; วนฉ.9:13; อฟ.3:2).
(4) เปาโลดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณนั้นเพื่อเป็นการถวายเกียรติแด่พระเจ้า เพื่อเขาจะสามารถนำพระวิญญาณนั้นไปหล่อเลี้ยงผู้อื่นเพื่อเป็นการให้เกียรติแก่มนุษย์ — 2กธ.3:3, 6, 8; ฆต.5:16, 25; วนฉ.9:9.
(5) เปาโลบ่งชี้ไว้ในคำสอนของเขาว่าคริสตจักรเป็นบ้านสำหรับชุบเลี้ยงผู้คนให้เติบโต, เป็นโรงพยาบาลเพื่อเยียวยาและฟื้นฟูพวกเขา, และเป็นโรงเรียนที่สอนและเสริมสร้างพวกเขา — อฟ.2:19; 1ธซ.5:14; 1กธ.14:31.
(6) เปาโลเปิดเผยว่าความรักคือหนทางที่ล้ำเลิศที่สุดในการที่เราจะเป็นทุกสิ่งและจะกระทำทุกสิ่ง เพื่อการก่อสร้างพระกายของพระคริสต์; ความรักย่อมมีประสิทธิภาพ — 8:1; 12:31; 13:4–8ก; อฟ.1:4; 3:17; 4:2, 15–16; 5:2; 6:24; วว.2:4–5; กซ.1:18ข; 1ธซ.1:3.