25-26 มีนาคม 2023
การตระเตรียมตัวเราให้พร้อม
สำหรับการเสด็จกลับมา
ขององค์พระผู้เป็นเจ้า
I. การที่ผู้เชื่อใส่ใจต่อถ้อยคำของผู้เผยพระวจนะนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวด — 2ปต.1:19ก:
1. ถ้อยคำของผู้เผยพระวจนะเป็นเรื่องที่พระเจ้าต้องการให้เรารู้และผู้เชื่อทั้งหลายควรใส่ใจต่อสิ่งเหล่านี้ — 1ปต.1:10; 2ปต.3:2; ลก.1:70.
2. องค์พระเยซูเจ้าทรงกำชับให้เราทำความเข้าใจถึงถ้อยคำของผู้เผยพระวจนะ; กรณีนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าผู้เชื่อทั้งหลายต้องสนใจต่อถ้อยคำของผู้เผยพระวจนะที่อยู่ในพระคัมภีร์ — มธ.24:15; เทียบ ดนอ.9:24-27.
3. ถ้าคริสตจักรไม่สนใจถ้อยคำของผู้เผยพระวจนะเหล่านี้ให้มากพอ ผู้เชื่อมากมายก็จะสูญเสียความเชื่อไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้, ถูกหลอกลวงด้วยคำโกหก, ถูกทำลายเนื่องจากขาดไปซึ่งความรู้, และหลงลืมการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าโดยการไม่เฝ้าระวัง — ฮซอ.4:6; 1ธซ.5:4-6; มธ.24:42; 1ปต.5:8.
4. ถ้าผู้เชื่อไม่มีคำพยากรณ์ (ถ้อยคำของผู้เผยพระวจนะ) ที่อยู่ในพระคัมภีร์ พวกเขาก็จะตกเข้าไปในความมืด — กจ.26:18; ยฮ.12:35-36; อฟ.5:8-9:
(1) ยุคปัจจุบันนี้เป็นเวลากลางคืน — รม.13:12; 1ธซ.5:4-8.
(2) ในเวลาที่องค์พระเยซูเจ้าเสด็จกลับมาใหม่ แสงอรุณจะเบิกฟ้า (2ปต.1:19ค) และยุคหน้า ซึ่งก็คือยุคอาณาจักรนั้นจะเป็นเวลากลางวัน.
II. เปโตรได้เปรียบคำพยากรณ์ (ถ้อยคำของผู้เผยพระวจนะ) ที่อยู่ในพระคัมภีร์เป็นเหมือนตะเกียงที่ส่องแสงอยู่ในที่มืด — ข้อ 19ข:
1. กรณีนี้บ่งชี้ว่ายุคนี้คือที่มืดแห่งราตรีกาล (รม.13:12) และมนุษย์โลกทุกคนล้วนเดินและเคลื่อนไหวอยู่ในความมืด (เทียบ กจ.26:18).
2. ถ้อยคำของผู้เผยพระวจนะที่อยู่ในพระคัมภีร์ ซึ่งเปรียบเหมือนตะเกียงของผู้เชื่อนั้นได้ถ่ายทอดความสว่างฝ่ายวิญญาณ (ไม่เพียงแต่เป็นความรู้ที่เป็นตัวอักษร ซึ่งเข้าใจได้ในความคิดเท่านั้น) ให้ส่องสว่างไปสู่ความมืดมนของพวกเขา เพื่อชี้นำเขาให้เข้าสู่กลางวันและให้ผ่านราตรีที่มืดมิดจนถึงแสงอรุณเบิกฟ้าแห่งวันที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาปรากฏ — 2ปต.1:19ข; 2ตธ.4:8; 1:12.
3. ก่อนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเป็นแสงตะวันจะมาปรากฏ เราต้องการให้ถ้อยคำซึ่งเป็นความสว่างนี้มาส่องสว่างแก่ทุกย่างก้าวของเรา — มลค.4:2; บพส.119:105, 130.
4. ถ้าเราใส่ใจต่อถ้อยคำของผู้เผยพระวจนะที่อยู่ในพระคัมภีร์ ซึ่งส่องสว่างดุจดวงตะเกียงที่ส่องเข้าไปในที่มืด เราก็จะมีพระคริสต์ผุดขึ้นในใจของเราเพื่อส่องสว่างเข้าไปในความมืดมน — 2 ปต.1:19ข.
III. เราต้องใส่ใจต่อตะเกียงที่ส่องสว่างอยู่ในที่มืดจนแสงอรุณเบิกฟ้าและดาวประจำรุ่งจะผุดขึ้นในใจของเราทั้งหลาย — ข้อ 19ค:
1. คำศัพท์ภาษากรีก คำว่า “ที่มืด” อาจแปลว่า “ที่มืดมัว” หรือสถานที่อันสกปรก, เหือดแห้ง, และถูกละเลย.
2. “แสงอรุณ” เป็นคำอุปมาที่บรรยายถึงช่วงเวลาที่เต็มด้วยความสว่างซึ่งจะมาถึงเช่นเดียวกับเวลาที่แสงอรุณเบิกฟ้า โดยจะมีดาวประจำรุ่งผุดขึ้นในใจของผู้เชื่อก่อนที่รุ่งอรุณจะมาถึง. ผู้เชื่อเหล่านี้ได้รับแสงสว่างและถูกส่องสว่างให้กระจ่างแจ้งเพราะได้ใส่ใจต่อถ้อยคำที่ส่องสว่างในคำพยากรณ์ที่อยู่ในพระคัมภีร์.
(1) กรณีนี้จะชักนำและหนุนใจผู้เชื่อให้กระหายที่จะแสวงหาการสถิตอยู่ขององค์พระผู้เป็นเจ้าและเฝ้าระวังเพื่อเขาทั้งหลายจะไม่พลาดที่จะพบกับองค์พระผู้เป็นเจ้าในการเสด็จกลับมา (parousia: พารุสเซีย) ในส่วนที่ซ่อนเร้นของพระองค์ เมื่อพระองค์จะเสด็จมาดุจขโมย — มธ.24:27 และคำอธิบาย 1, ข้อ 42-43; 2ธซ.2:8 และคำอธิบาย 3.
(2) คำอุปมานี้จะต้องชี้ถึงยุคหน้า ซึ่งก็คือยุคแห่งอาณาจักร อันเป็นแสงอรุณเบิกฟ้าที่จะส่องแสงในเวลาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะมาปรากฏ (เสด็จมา) เป็นดวงตะวันแห่งความชอบธรรม ซึ่งความสว่างของพระองค์จะฉายส่องพุ่งทะลุความมืดมนแห่งราตรีกาลของยุคปัจจุบันนี้ — มลค.4:2:
3. ดาวประจำรุ่งจะปรากฏขึ้นในเวลาที่มืดมิดที่สุดก่อนฟ้าสาง — วว.22:16ข; เทียบ อฤธ.24:17; มธ.2:2, 9-10:
(1) กรณีนี้บ่งชี้ว่าพระคริสต์จะมาปรากฏในฐานะที่เป็นดาวประจำรุ่งที่สุกใสในเวลาที่มืดมิดที่สุดก่อนสิ้นสุดยุคสมัยนี้ — วว.22:16ข.
(2) การมาปรากฏขององค์พระผู้เป็นเจ้าในฐานะที่เป็นดาวประจำรุ่งและการมาปรากฏของพระองค์ในฐานะดวงตะวันแห่งความชอบธรรมนั้นไม่ได้เกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน — 2:28; มลค.4:2:
ก. ดาวประจำรุ่งจะปรากฏก่อนฟ้าสาง และการปรากฏของดวงตะวันนั้นเกิดขึ้นภายหลังแสงอรุณเบิกฟ้า.
ข. พระคริสต์จะทรงปรากฏต่อทุกคนที่อยู่บนแผ่นดินโลกอย่างเปิดเผยในฐานะที่เป็นดวงตะวันแห่งความชอบธรรมหลังแสงอรุณเบิกฟ้า — ข้อ 2.
ค. ในฐานะที่เป็นดาวประจำรุ่งที่สุกใสก่อนยามรุ่งสาง พระองค์จะทรงปรากฏแก่ผู้มีชัยชนะของพระองค์อย่างเป็นส่วนตัว คือผู้ที่เฝ้าระวัง, ตระเตรียมตัว, และเฝ้าคอยพระองค์ — วว.22:16ข.
ง. พระองค์จะประทานตัวของพระองค์เองอย่างลับๆ ในฐานะที่เป็นดาวประจำรุ่งแก่ผู้ที่รักพระองค์ อีกทั้งผู้ที่เฝ้าระวังและเฝ้าคอยพระองค์ เพื่อพวกเขาจะได้ลิ้มรสล่วงหน้าถึงความใหม่สดแห่งการสถิตอยู่ของพระองค์ในเวลาที่พระองค์เสด็จกลับมาภายหลังที่ได้จากไปอย่างยาวนาน — 2:28.
4. เมื่อเราใส่ใจต่อถ้อยคำที่อยู่ในพระคัมภีร์ดุจดวงตะเกียงที่ส่องเข้าไปในที่มืด สภาพการณ์ที่อยู่ภายในเราก็จะเป็นเหมือนกับแสงอรุณเบิกฟ้าและดาวประจำรุ่งผุดขึ้นในใจของเรา — 2ปต.1:19ค:
(1) ในด้านภาพเล็งนั้น “แสงอรุณเบิกฟ้า” ชี้ถึง ยุคหน้า ซึ่งก็คือยุคแห่งอาณาจักรอันเป็นเวลาที่แสงอรุณที่จะเบิกฟ้า — เทียบ มธ.13:43.
(2) ในเรื่องแบบเล็งของพระคริสต์นั้น พระคัมภีร์ทั้งเล่มเริ่มต้นจากการที่พระองค์ทรงเป็นความสว่างและจบลงที่พระองค์ทรงเป็นดาวประจำรุ่ง— ยนซ.1:3; วว.2:28; 22:16ข.
(3) “ดาวประจำรุ่ง” ชี้ถึงพระคริสต์ผู้จะผุดขึ้นอย่างลับๆ ในใจของผู้ที่รักในการมาปรากฏของพระองค์ในความมืดมนแห่งราตรีกาลก่อนรุ่งอรุณของยุคแห่งอาณาจักร — ข้อ 16ข.
(4) ถ้าเราใส่ใจต่อพระคำในพระคัมภีร์ที่ทำการฉายส่องอย่างต่อเนื่อง เราก็จะมีอาณาจักรเป็นเหมือนแสงอรุณที่อยู่ในเรา และพระคริสต์เป็นเหมือนดาวประจำรุ่งที่ผุดขึ้นในใจของเราก่อนที่พระองค์จะเสด็จมาปรากฏอย่างแท้จริงดุจดาวประจำรุ่งที่สุกใส — 2ปต.1:19; วว.2:28.
(5) พระคริสต์ในฐานะที่เป็นดาวประจำรุ่งจะถูกประทานให้แก่เหล่าผู้มีชัยชนะเป็นบำเหน็จอย่างแรกของพวกเขา; เราต้องตระเตรียมตัวเราให้พร้อมสำหรับการมาปรากฏอย่างลับๆ ขององค์พระผู้เป็นเจ้า ในฐานะดาวประจำรุ่ง — ข้อ 28-29.