25-26 พฤศจิกายน 2023
การดำเนินชีวิตและการปรนนิบัติ
ตามแผนการบริหารของพระเจ้า
เกี่ยวกับคริสตจักร
I. เปาโลเป็นแบบอย่างแก่ผู้เชื่อทั้งหลายในเรื่องการดำเนินชีวิตพระคริสต์, สำแดง
พระคริสต์ใหญ่ขึ้น, และนำพระคริสต์ผู้เป็นพระวิญญาณนั้นที่อยู่ในวิญญาณของเขาไปหล่อเลี้ยงเพื่อการก่อสร้างพระกายของพระคริสต์ — 1ตธ.1:16; 4:12; รม.8:16; ฟป.1:19–21ก, 25; 2กธ.3:3, 6:
1. องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปรากฏต่อเปาโลเพื่อจะแต่งตั้งเขาให้เป็นผู้ปฏิบัติและพยานบุคคลถึงสิ่งที่เปาโลได้เห็นพระองค์และในสิ่งที่พระองค์จะปรากฏแก่เปาโลในภายหน้า — กจ.26:16–19; เทียบ 1:8; 23:11; 20:20, 31:
(1) เปาโลดำเนินชีวิตที่เต็มด้วยความสูงศักดิ์ โดยมีมาตรฐานของคุณธรรมแห่งสภาพมนุษย์ที่ได้สำแดงออกซึ่งคุณลักษณะอันศักดิ์สิทธิ์ที่ล้ำเลิศที่สุด เหมือนกับการดำเนินชีวิตบนแผ่นดินโลกขององค์พระผู้เป็นเจ้าเมื่อหลายปีก่อน — อฟ.4:20–21; ฟป.4:5–8, 11–13.
(2) มนุษย์พระเจ้าผู้อัศจรรย์, ล้ำเลิศ, และลับลึกที่เคยดำเนินชีวิตอยู่ในหนังสือกิตติคุณได้ทรงดำเนินชีวิตต่อเนื่องไปในหนังสือกิจการโดยอวัยวะหนึ่งในท่ามกลางอวัยวะมากมายของพระองค์; เปาโลก็คือพยานบุคคลอันมีชีวิตของพระคริสต์ผู้กลายเป็นเนื้อหนัง, ตรึงกางเขน, เป็นขึ้น, และถูกพระเจ้ายกชู — กจ.1:8; ฟป.2:2, 5; 1:8; 2:13; กจ.27:22, 24–25; 28:3–9, ดูคำอธิบาย 1 ในข้อ 9.
2. เปาโลยึดพระคริสต์เป็นทุกสิ่ง — เป็นชีวิต, แบบอย่าง, เป้าหมาย, และเคล็ดลับของเขา — ฟป.1:19–21ก; 2:5–16; 3:7–14; 4:11–13.
3. เปาโลซึมซาบไปด้วยพระเจ้าเพื่อจะฉายส่องพระเจ้าออกมาในการปฏิบัติแห่ง
พันธสัญญาใหม่ ซึ่งเป็นการปฏิบัติแห่งพระวิญญาณนั้น, การปฏิบัติแห่งความชอบธรรม, และการปฏิบัติแห่งการคืนดี — 2กธ.3:18; 4:1; 3:6, 8–9; 5:18–20.
4. เนื่องจากเปาโลเป็นแบบอย่างต่อผู้เชื่อทั้งหลาย (1ตธ.1:16) เขาจึงสามารถกำชับให้
ติโมเธียวเป็นแบบอย่าง “ในทางวาจา, การประพฤติ, ความรัก, ความเชื่อ, และความบริสุทธิ์หมดจด” (4:12).
5. เปาโลเป็นแบบอย่างของเราในการที่เขาเป็นราชทูตของพระคริสต์ (อฟ.6:20; 2กธ.5:18–20) โดยมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้:
(1) เขาไม่ได้เป็นอยู่โดยสิ่งที่เขาเป็นหรือสิ่งที่เขาสามารถทำได้ แต่เป็นอยู่โดยชีวิตที่ไม่ตาย ซึ่งก็คือตัวของพระคริสต์เอง — ข้อ 4; ยฮ.14:6; กซ.3:4; ฆต.2:20.
(2) เขามุ่งมั่นตั้งใจในการเป็นที่พอพระทัยของพระคริสต์ในทุกเรื่อง — ในการดำเนินชีวิตพระคริสต์, ทำให้พระคริสต์จำเริญงอกงาม, สำแดงพระคริสต์, และทำให้พระคริสต์แพร่พันธ์ออกไปในทุกด้าน — 2กธ.5:9; กซ.1:10.
(3) เขาถูกบังคับไว้โดยความรักของพระคริสต์เพื่อจะไม่เป็นอยู่ต่อตัวเองอีก แต่จะเป็นอยู่ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า; สำหรับเราแล้ว การที่เราเป็นอยู่ “ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า” นั้นหมายความว่าเราอยู่ภายใต้การชี้นำและการควบคุมขององค์พระผู้เป็นเจ้า และเราต้องการที่จะสนองข้อเรียกร้องของพระองค์, ทำให้พระองค์ทรงอิ่มหนำตามความปรารถนา, และทำสิ่งที่พระองค์ทรงมุ่งหมายให้สำเร็จครบถ้วน — 2กธ.5:14–15.
(4) เขาไม่รู้จักคนใดทางภายนอกตามเนื้อหนังในสิ่งทรงสร้างเก่า แต่รู้จักคนเหล่านั้นทางภายในตามวิญญาณในสิ่งทรงสร้างใหม่ — ข้อ 16–17; ฆต.6:15.
6. เปาโลเป็นแบบอย่างของเราโดยการดำเนินชีวิตและปรนนิบัติพระเจ้าในวิญญาณที่บังเกิดใหม่ของเขาโดยพระคริสต์ผู้อาศัยอยู่ภายใน ซึ่งก็คือพระวิญญาณผู้ประทานชีวิต ไม่ใช่ในจิตของเขาโดยฤทธิ์เดชและความสามารถของจิต; เขาเป็นมนุษย์ฝ่ายวิญญาณที่หว่านสำหรับพระวิญญาณนั้นเพื่อจะบังเกิดผลแห่งพระวิญญาณนั้น —
รม.1:9; 7:6; 8:4, 16; ฆต.3:3; 5:16, 22–25; 6:8; 2กธ.4:5; 1กธ.2:15; 2กธ.2:13.
7. เปาโลเป็นแบบอย่างของเราในการที่เขามีความสำนึกของพระกายและยึดพระกายเป็นศูนย์กลาง โดยกระทำทุกสิ่งในพระกาย, ผ่านพระกาย, และเพื่อพระกาย — รม.12:4–5; 1กธ.12:12–27; อฟ.4:1–6, 15–16; กซ.2:19; กจ.28:13–15 และข้อ 15 คำอธิบาย 1.
II. หนทางที่ดีที่สุดในการเลี้ยงดูผู้คน ในการทะนุถนอมและบำรุงเลี้ยงพวกเขา คือการให้แบบอย่างที่ถูกต้องแก่เขา; เปาโลป้อนเลี้ยงลูกฝ่ายวิญญาณของเขาด้วยการดำเนินชีวิตพระคริสต์ของเขาเอง — 1ธซ.2:1–12; 2กธ.1:23—2:14; 11:28–29; 1กธ.9:22; กจ.20:28:
1. เปาโลและเหล่าผู้ร่วมงานของเขาคือแบบอย่างของข่าวแห่งความยินดีที่พวกเขาเผยแพร่; “ท่านทั้งหลายก็ทราบอยู่แล้วว่า เราเป็นคนอย่างไรท่ามกลางท่านทั้งหลายเพราะเห็นแก่ท่าน” — 1ธซ.1:5ข.
2. สิ่งที่สำคัญที่สุดในคริสตจักรก็คือตัวบุคคล; ตัวบุคคลคือหนทาง และตัวบุคคลก็คือการงานขององค์พระผู้เป็นเจ้า; สิ่งที่ท่านเป็นคือสิ่งที่ท่านกระทำ — ยฮ.5:19; 6:57; ฟป.1:19–26; กจ.20:18–35; มธ.7:17–18; 12:33–37.
3. เราต้องทำตามแบบอย่างของเหล่าอัครทูตในการใส่ใจต่อชีวิตให้มากกว่าการงาน — ยฮ.12:24; 2กธ.4:12.
4. เหล่าอัครทูตไม่เพียงประกาศกิตติคุณเท่านั้น แต่ยังดำเนินชีวิตออกซึ่งกิตติคุณด้วย; พวกเขาไม่เพียงนำกิตติคุณไปหล่อเลี้ยงโดยถ้อยคำ แต่ยังนำกิตติคุณไปหล่อเลี้ยงโดยการดำเนินชีวิตที่สำแดงฤทธิ์เดชของพระเจ้า ซึ่งเป็นการดำเนินชีวิตที่อยู่ในพระวิญญาณบริสุทธิ์และในความแน่ใจอันเปี่ยมล้นแห่งความเชื่อ — 1ธซ.1:5.
5. วิสุทธิชนทั้งหลายในเมืองเธซะโลนิเกกลายเป็นผู้ที่เอาอย่างเหล่าอัครทูต; เรื่องนี้นำพาพวกเขาให้ติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้า ให้ยึดพระองค์เป็นแบบอย่างของพวกเขา ซึ่งทำให้พวกเขากลายเป็นแบบอย่างแก่ผู้เชื่อทั้งหลายด้วย — ข้อ 6–7.
6. อัครทูตเปาโลเน้นแล้วเน้นอีกถึงการที่เหล่าอัครทูตเข้าหา (entrance) ผู้เชื่อทั้งหลาย; กรณีนี้แสดงว่าการประพฤติปฏิบัติตนของพวกเขามีบทบาทที่สำคัญอย่างยิ่งในการนำกิตติคุณไปซึมซาบเข้าสู่ผู้แรกเชื่อเหล่านี้ — ข้อ 5, 9; 2:1.
(5) เหล่าอัครทูตบากบั่นสู้รบและพูดกิตติคุณแก่ชาวเธซะโลนิเกด้วยใจกล้าที่มาจากพระเจ้า — ข้อ 2.
(6) เหล่าอัครทูตไร้ความผิดเพี้ยน, ความมลทิน, หรือการใช้อุบาย — ข้อ 3.
(7) เหล่าอัครทูตได้รับการทดสอบจนเป็นที่เห็นชอบจากพระเจ้าก่อน จากนั้นพวกเขาก็ได้รับมอบกิตติคุณจากพระเจ้า ดังนั้นคำพูดหรือการประกาศกิตติคุณของพวกเขาจึงมาจากพระเจ้าเพื่อจะเป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้า ไม่ได้มาจากตัวเขาเองเพื่อให้เป็นที่ชอบใจมนุษย์; พระเจ้าทรงชันสูตร, ตรวจสอบ, และทดสอบใจของพวกเขาอยู่เสมอ — ข้อ 4; บพส.26:2; 139:23–24; 2กธ.1:12; 6:6; 7:3.
(8) เหล่าอัครทูตไม่เคยถูกพบว่าใช้คำพูดประจบประแจง ใช้คำพูดกลบเกลื่อนเพื่อความโลภเลย — 1ธซ.2:5:
ก. การใช้คำพูดกลบเกลื่อนเพื่อความโลภคือการนำพระคำของพระเจ้าไปเจือปนเพื่อเร่ขาย — 2กธ.2:17; 4:2.
ข. เรื่องนี้ยังเป็นการเสแสร้งอยู่ในธรรมเพื่อหาผลประโยชน์ด้วย — 1ตธ.6:5; ตต.1:11; 2ปต.2:3.
(9) เหล่าอัครทูตไม่ได้แสวงหาสง่าราศีที่มาจากมนุษย์ — 1ธซ.2:6ก:
ค. การแสวงหาสง่าราศีที่มาจากมนุษย์คือสิ่งที่ล่อลวงคนงานของพระคริสต์ทุกคนอย่างแท้จริง; หลายคนถูกเรื่องนี้กลืนกินและทำลาย — เทียบ 1ซมอ.15:12.
ง. ลูซิเฟอร์กลายเป็นซาตาน ปรปักษ์ของพระเจ้า เพราะการแสวงหาสง่าราศี; ใครที่แสวงหาสง่าราศีที่มาจากมนุษย์ย่อมเป็นผู้ที่ติดตามซาตาน — ยอค.28:13–17; ยซย.14:12–15; มธ.4:8–10.
จ. เราจะให้องค์พระผู้เป็นเจ้าใช้การได้มากเท่าไรและเราจะใช้การได้นานแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับว่าเราแสวงหาสง่าราศีจากมนุษย์หรือไม่ — เทียบ ยฮ.7:17–18; 5:39–44; 12:43; 2กธ.4:5.
(10) เหล่าอัครทูตไม่ได้ถืออำนาจหรือเกียรติศักดิ์ของตนที่จะให้คนนับถือเป็นอัครทูตของพระคริสต์ — 1ธซ.2:6ข:
ก. การถืออำนาจ, เกียรติศักดิ์, หรือสิทธิในการงานของพระคริสต์ย่อมจะทำให้การงานนั้นเสียหาย; ขณะที่องค์พระเยซูเจ้าทรงอยู่บนแผ่นดินโลก พระองค์ทรงละศักดิ์ศรีของพระองค์ (ยฮ.13:4–5), ส่วนอัครทูตก็เลือกที่จะไม่ใช้สิทธิของเขา (1กธ.9:12).
ข. ถ้าเราทำตามแบบอย่างนี้ เราก็ได้ฆ่าเชื้อโรคที่ร้ายแรงถึงชีวิตในพระกายของพระคริสต์ นั่นคือเชื้อโรคของการถือตำแหน่ง — มธ.20:20–28.
(11) เหล่าอัครทูตทะนุถนอมผู้เชื่อทั้งหลายและมีความปรารถนาต่อพวกเขา อย่างที่แม่ซึ่งป้อนนมคอยทะนุถนอมและมีความปรารถนาต่อลูกของตน — 1ธซ.2:7–8; เทียบ ฆต.4:19; ยซย.49:14–15; 66:12–13:
ก. การทะนุถนอมผู้คนคือการทำให้พวกเขามีความสุข, ปลอบโยนพวกเขา, ทำให้เขารู้สึกว่าท่านน่าชื่นใจ และติดต่อได้ง่ายไปหมดทุกเรื่องและในทุกทาง.
ข. การทะนุถนอมผู้คนในสภาพมนุษย์ฝ่ายธรรมชาติของเรานั้นไม่ใช่ของแท้; เราต้องทะนุถนอมผู้คนโดยมีการสถิตอยู่ขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้อื่นหลงใหล เป็นความเที่ยงแท้ของการเป็นขึ้น.
ค. การทะนุถนอมครอบคลุมถึงการบำรุงเลี้ยง; การบำรุงเลี้ยงผู้คนคือการป้อนเลี้ยงพวกเขาด้วยพระคริสต์ผู้ครอบคลุมสรรพสิ่งในการปฏิบัติที่ครบบริบูรณ์ซึ่งมีสามช่วงเวลาของพระองค์ — อฟ.5:29.
(12) เหล่าอัครทูตไม่เพียงแบ่งปันกิตติคุณของพระเจ้าให้ชาวเธซะโลนิเก; พวกเขายังสละชีวิต (จิต) ของตนแก่เขาเหล่านั้นด้วย — 1ธซ.2:8:
ก. การดำเนินชีวิตที่สะอาดหมดจดและเที่ยงธรรม (ข้อ 3–6, 10) และการรักผู้แรกเชื่อ จนถึงกับสามารถสละชีวิต (จิต) ของเราแก่พวกเขา (ข้อ 7–9, 11) คือเงื่อนไขพื้นฐานในการทำให้พวกเขาซึมซาบไปด้วยกิตติคุณ.
ข. เปาโลไม่เพียงยินดีที่จะจ่ายราคาด้วยสิ่งที่เขามีเท่านั้น แต่ยังยินดีสละตัวเอง สละสิ่งที่เขาเป็น โดยเห็นแก่วิสุทธิชนทั้งหลายด้วย — 2กธ.12:15.
(13) เหล่าอัครทูตเห็นว่าตนเป็นบิดาที่คอยเตือนสติผู้เชื่อทั้งหลายให้ดำเนินชีวิตที่สมกับพระเจ้า ให้ดำเนินชีวิตซึ่งจะทำให้พวกเขาสามารถเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้าและจะนำพวกเขาเข้าสู่สง่าราศีของพระเจ้า — 1ธซ.2:11–12.