25-26 พฤศจิกายน 2023
การดำเนินชีวิตและการปรนนิบัติ
ตามแผนการบริหารของพระเจ้า
เกี่ยวกับคริสตจักร
I. ใน 1 ติโมเธียว 4:6 กล่าวว่า “ถ้าท่านเตือนสติพวกพี่น้องด้วยข้อความเหล่านี้ ท่านก็จะเป็นผู้ปฏิบัติอันดีของพระคริสต์เยซู คือได้รับการบำรุงเลี้ยงด้วยถ้อยคำแห่งหลักความเชื่อและด้วยคำสอนอันดีที่ท่านได้ติดตามอย่างกระชั้นชิดนั้น”:
1. ผู้ปฏิบัติของพระคริสต์คือผู้ปรนนิบัติผู้อื่นด้วยพระคริสต์ โดยนำพระคริสต์ในฐานะองค์พระผู้ช่วย, ชีวิต, การหล่อเลี้ยงแห่งชีวิต, และทุกสิ่งที่อยู่ในด้านบวกไปหล่อเลี้ยงให้แก่ผู้คน.
2. ถ้าเราจะนำพระคริสต์ไปหล่อเลี้ยงผู้อื่น ตัวเราเองก็จำเป็นต้องได้รับการบำรุงเลี้ยงก่อน; ผู้ปฏิบัติอันดีของพระคริสต์ย่อมนำพระคริสต์ผู้เป็นอาหารไปหล่อเลี้ยงเข้าสู่ผู้อื่น ไม่ใช่แค่สอนผู้อื่นเกี่ยวกับพระคริสต์ — มธ.4:4; ยรม.15:16; ยอค.3:1–4; ยฮ.6:57, 63.
3. เราจำเป็นต้องเตือนสติวิสุทธิชนทั้งหลายด้วยสิ่งที่เราได้รับการบำรุงเลี้ยงจากองค์
พระผู้เป็นเจ้าผ่านการปฏิบัตินี้; เราจำเป็นต้องนำเสนอความอุดมสมบูรณ์หรือเครื่องบริโภคที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงแสดงให้เราเห็นผ่านพระคำแก่วิสุทธิชนทั้งหลาย; ให้ตัวเราเองได้รับการบำรุงเลี้ยงก่อน จากนั้นจึงนำการบำรุงเลี้ยงนี้ไปหล่อเลี้ยงพลไพร่ทั้งหมดของพระเจ้า — กซ.2:19; อฟ.4:15.
4. เราจำเป็นต้องนำความอุดมสมบูรณ์ของพระคริสต์ซึ่งเป็นอาหารฝ่ายวิญญาณไป
หล่อเลี้ยงผู้อื่น ให้พวกเขาได้รับการบำรุงเลี้ยงและเติบโตในชีวิต; พระคำของพระเจ้าเปรียบเหมือนน้ำนมและอาหารแข็งซึ่งมีเพื่อการบำรุงเลี้ยง — ฮร.5:12–14; 1กธ.2:2; 1ปต.2:2:
(1) ถ้อยคำแห่งหลักความเชื่อคือถ้อยคำแห่งกิตติคุณที่ครบสมบูรณ์เกี่ยวกับแผนการบริหารแห่งพันธสัญญาใหม่ของพระเจ้า.
(2) คำสอนอันดีคือถ้อยคำอันหวานชื่นซึ่งบรรจุและถ่ายทอดความอุดมสมบูรณ์ของพระคริสต์ เพื่อบำรุงเลี้ยง, เสริมสร้าง, และเพิ่มกำลังแก่ผู้เชื่อของพระองค์.
5. ในฐานะอวัยวะทั้งหลายแห่งพระกายเดียวของพระคริสต์ เราควรปรารถนาที่จะเป็น
ผู้ปฏิบัติอันดีของพระคริสต์ซึ่ง “พูดอย่างเดียวกัน” (1กธ.1:10) ด้วยความ “เป็น
น้ำหนึ่งใจเดียวกัน” และด้วย “ปากเดียวกัน” (รม.15:6):
(1) “เราต้องเรียนรู้จุดสุดยอดแห่งการเปิดเผยที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ของพระเจ้าและเรียนรู้ที่จะพูดสิ่งเหล่านี้…. ข้าพเจ้าอยากหนุนใจให้เราทุกคนรับภารกิจที่สูงส่งนี้: ให้ออกไปโดยมี…นิมิตที่ทันต่อยุคสมัยของพระเจ้า เพื่อจะเคลื่อนไหวร่วมกับพระเจ้าเพื่อจุดสุดยอดแห่งการเปิดเผยอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ซึ่งจะทำให้แผนการบริหารที่นิรันดร์ของพระองค์ได้สำเร็จสุดยอด” — The Triune God’s Revelation and His Move, p.98.
(2) วิสุทธิชนทั้งหลายซึ่งเติบโตขึ้นมาโดยการปฏิบัติที่ทันต่อยุคสมัยขององค์พระผู้เป็นเจ้าย่อมมีรสนิยมต่อการปฏิบัตินี้ และรสนิยมนี้ก็คือปัจจัยควบคุมที่อยู่ในการฟื้นฟูขององค์พระผู้เป็นเจ้า; คนทั้งปวงที่เติบโตขึ้นมาโดยการปฏิบัตินี้ย่อมปฏิเสธละทิ้งรสชาติที่ขัดแย้งกับการปฏิบัตินี้; กรณีนี้หมายความว่าถ้าท่านพูดอะไรที่ขัดแย้งกับรสนิยมของการฟื้นฟูขององค์พระผู้เป็นเจ้า สิ่งที่ท่านพูดย่อมจะถูกปฏิเสธละทิ้ง และท่านเองก็เสียหาย — เทียบ บพส.34:8;
1ปต.2:3.
II. ผู้ปฏิบัติอันดีของพระคริสต์ย่อมสละตัวเขาเองและวางตัวเขาเองลง เพื่อจะรักษาความเด็ดขาดของหลักความจริง; หลักความจริงไม่อาจมอบหมายไว้ในมือของผู้ที่ดำเนินชีวิตตามความรู้สึกของเขา; มนุษย์ต้องยืนหยัดอยู่ฝ่ายหลักความจริง เพื่อต่อต้านตัวเขาเอง:
1. สภาพการณ์ของแต่ละปัจเจกบุคคลไม่มีผลใดๆ ต่อหลักความจริงของพระเจ้า; สิ่งที่ส่วนตัวของท่านเป็นย่อมไม่อาจส่งผลต่อสิ่งที่หลักความจริงของพระเจ้าเป็นได้ เพราะหลักความจริงเป็นเหมือนเสาที่ไม่อาจสั่นคลอน — 1ตธ.3:15.
2. เมื่อบางคนกระทำผิด เขาก็ลดมาตรฐานของหลักความจริงลงเล็กน้อย และเมื่อเขากระทำถูก เขาก็ยกมาตรฐานของหลักความจริงขึ้นเล็กน้อย; นี่ก็หมายความว่าพวกเขาเป็นเหมือนลิฟต์ที่ทำให้หลักความจริงต้องขึ้นๆ ลงๆ ไปด้วยกันกับเขา; มีเพียงผู้ที่ได้จัดการกับตัวเองแล้วจึงจะสามารถรักษาหลักความจริงให้คงอยู่ได้.
3. ถ้าเราสามารถยึดหลักความจริงเป็นมาตรฐานหนึ่งเดียว และเรามีใจกล้าที่จะยอมรับว่าเราผิดไปแล้ว ความสว่างใหม่ๆ ก็จะมาถึงเรา; ถ้าเราไม่เอาหลักความจริงไปสังเวย ความสว่างนี้ก็จะยกชูเรา; บุคคลผู้ใดที่คล้อยตามหลักความจริงก็เป็นสุข.
4. ในด้านหนึ่ง คนเราย่อมไม่อาจประกาศหลักความจริงได้ หากเขาไม่มีประสบการณ์มาก่อน; แต่ในอีกด้านหนึ่ง คนเราก็ต้องรู้ว่าตัวเขาไม่มีผลใดๆ ต่อหลักความจริง; ถ้าใครถูกนำไปสู่จุดที่เขาไม่อาจต้านทานพระคำของพระเจ้าได้อีก, ถ้าเขาไม่นำพระคำไปสังเวย, และถ้าเขารู้สึกว่าพระคำนั้นปรับโทษเขาอยู่ เขาก็จะได้รับความสว่าง; นี่เป็นเคล็ดลับของการได้รับการเปิดเผย.
III. ผู้ปฏิบัติอันดีของพระคริสต์ในฐานะคนต้นเรือนที่ดีแห่งพระคุณต่างๆ ของพระเจ้า ย่อมกล่าวพระดำรัสของพระเจ้าเพื่อให้พระเจ้าได้รับสง่าราศี ให้พระเจ้าได้สำแดงออก
(1ปต.4:10–11; อฟ.1:6); เขาไม่ได้แสวงหาสง่าราศีของตัวเองเพื่อสำแดงตัวเขาเอง
(1ธซ.2:6; ยฮ.5:41, 44) แต่ฝึกฝนวิญญาณของเขาอย่างต่อเนื่อง เพื่อปฏิเสธตัวเอง โดยไม่ประกาศตัวเขาเอง แต่ยกชูพระคริสต์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเห็นว่าตัวเขาเองเป็นทาสมาปรนนิบัติผู้เชื่อทั้งหลาย (2กธ.4:5; ลวต.14:9 และคำอธิบาย 1; 1กธ.10:31; ยซย.43:7).
IV. ผู้ปฏิบัติอันดีของพระคริสต์ย่อมนำชีวิตไปหล่อเลี้ยงและปรนนิบัติวิสุทธิชนทั้งหลายตามหลักการของต้นไม้แห่งชีวิต ไม่ใช่ตามหลักการของต้นไม้แห่งความรู้ดีและชั่ว (ยนซ.2:9; ยฮ.10:10ข; 1กธ.15:45ข; 2กธ.3:6; 4:10–12; 1ยฮ.5:12, 16ก); ในการปฏิบัติของเขานั้น เขารักษาหลักการและบรรทัดฐานการประพฤติตามอย่างแบบอย่างของเปาโลในการเผชิญกับปัญหาต่างๆ ที่คริสตจักรในเมืองโกรินโธ — “เราควรเพ่งความสนใจที่พระองค์ [พระคริสต์] เท่านั้น ไม่ใช่ที่มนุษย์, เรื่องราว, หรือสิ่งของใดๆ ที่นอกเหนือ จากพระองค์. เราควรจะต้องเพ่งความสนใจที่ตัวพระองค์ผู้เป็นศูนย์กลางเพียงหนึ่งเดียวของเราตามที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ เพื่อให้ปัญหาทุกอย่างท่ามกลางผู้เชื่อจะได้รับการแก้ไข.” (คำอธิบาย 2 ของ 1กธ.1:9).
V. ผู้ปฏิบัติอันดีของพระคริสต์ช่วยเหลือวิสุทธิชนทั้งหลายให้คิดใน “สิ่งเดียวนั้น”: “สิ่งเดียวนั้น” ในฟิลิปปอยชี้ถึงการรู้จัก, ประสบการณ์, และการรับสุขในด้านทัศนะภายในที่มีต่อพระคริสต์; “สิ่งเดียวนั้น” คือการแสวงหาพระคริสต์เพื่อจะได้รับพระองค์, ยึดฉวยพระองค์, และถือครองพระองค์ — 1:20–21; 2:2, 5; 3:7–14; 4:13.
VI. ผู้ปฏิบัติอันดีของพระคริสต์เป็นเหมือนผู้แสวงหาที่รักองค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งถูกบรรยายไว้ใน พพร.4:11 — “เจ้าสาวของฉันจ๋า ริมฝีปากของเธอมีน้ำผึ้งสดหยดย้อย น้ำผึ้งและน้ำนมอยู่ใต้ลิ้นของเธอ” — เทียบ อซด.3:8:
1. น้ำผึ้งนั้นหวาน ช่วยฟื้นสภาพแก่ผู้อ่อนแอและผู้เจ็บป่วย (บพส.119:103); น้ำนมมีไว้ป้อนเลี้ยงผู้ที่ยังไม่สุกงอม (1ปต.2:2).
2. ความหวานชื่นของน้ำผึ้งและน้ำนมที่บำรุงเลี้ยงซึ่งอยู่ใต้ลิ้นของผู้แสวงหาที่รักองค์พระผู้เป็นเจ้าบ่งชี้ว่าเธอได้สะสมความอุดมสมบูรณ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นอาหารฝ่ายวิญญาณของเธอ; เธอสะสมความอุดมสมบูรณ์อยู่ในตัวเธอมากจนดูเหมือนว่าอาหารนั้นอยู่ใต้ลิ้นของเธอ และเธอก็สามารถแจกจ่ายอาหารนี้ให้แก่ผู้ที่มีความต้องการได้ทุกเวลา — บพส.119:11; กซ.3:16.
3. ถ้อยคำที่หวานชื่นและบำรุงเลี้ยงขององค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งเป็นทรัพย์ล้ำค่าที่อาศัยอยู่ภายในเธอนั้นไม่ได้ก่อกำเนิดขึ้นมาในชั่วข้ามคืน; แต่ทรัพย์ล้ำค่านี้มาจากการเก็บรวบรวม, การกระทำกิจทางภายใน, และการเก็บรักษาไว้อย่างรอบคอบเป็นเวลานาน; นี่คือทรัพย์สมบัติที่เป็นเอกลักษณ์ของผู้ที่ได้รับการสอนจากพระเจ้าด้วยถ้อยคำที่มีพลานามัยแห่งคำสอนที่มีพลานามัยในแผนการบริหารของพระเจ้า — 1ตธ.1:10; 6:3.
VII. การเปิดเผยที่เหล่าผู้เผยพระวจนะได้รับก็คือภาระที่พวกเขาได้รับ; ถ้าปราศจากภาระเช่นนี้ก็ไม่มีการปฏิบัติแห่งพระคำ ไม่มีการเผยพระวจนะเพื่อการก่อสร้างของคริสตจักร — ยซย.1:1; 2:1; 13:1; 15:1; ซคย.12:1; มลค.1:1; กจ.6:4; 1กธ.14:4ข:
1. ภาระของเราคือการปลดปล่อยการเปิดเผยของพระเจ้าแก่มนุษย์ และการเปิดเผยของพระเจ้าก็ปลดปล่อยออกมาผ่านพระคำแห่งการเปิดเผยซึ่งพระเจ้าได้ประทานแก่เรา — 2:11–16.
2. ขณะที่เรานำพระคำของพระเจ้าไปหล่อเลี้ยง สิ่งที่เราใส่ใจไม่ใช่หัวข้อที่เราจะพูด แต่ต้องใส่ใจว่าเรามีการตรัสของพระเจ้าหรือไม่; ถ้าจะมีการตรัสของพระเจ้า ผู้ที่นำ
พระคำไปหล่อเลี้ยงก็ต้องมีภาระ — มลค.2:7; พพร.8:13-14; อฟ.5:26-27.
3. ผู้ที่นำพระคำไปหล่อเลี้ยงต้องแบกรับสภาพการณ์ของผู้คนต่อเบื้องพระพักตร์
พระเจ้า, รับรู้ถึงสภาพการณ์ของพวกเขา, และรู้ถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการตรัส — อซด.28:29–30.
4. ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในการปฏิบัติแห่งพระคำคือการไม่มีภาระที่มาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า; ถ้าปราศจากภาระ การกระทำกิจทั้งปวงของเราก็ตกอยู่ในความตายและไร้ประสิทธิภาพ; ถ้ามีภาระ เราจะมีชีวิตชีวาและเบ่งบาน:
(1) การมีภาระย่อมจัดการกับเราอย่างถึงที่สุด; ถ้าเรามีภาระ ตัวเองก็จะลดลงและถูกจัดการ เพราะว่ามีบางสิ่งที่ภาระของเราจะไม่ยอมให้เราไปทำ และบางจุดก็เรียกร้องให้ตัวเราต้องถูกจัดการก่อน เราจึงจะสามารถปลดปล่อยภาระของเราได้.
(2) ถ้าเราปรนนิบัติตามพันธะหน้าที่ แทนที่จะปรนนิบัติด้วยภาระ การปรนนิบัติเช่นนั้นย่อมทำให้เราสูญเสียการสถิตอยู่ขององค์พระผู้เป็นเจ้า — มลค.3:14; พบญ.4:25.
(3) เมื่อไรที่การปรนนิบัติของเรากลายเป็นการทำให้พันธะหน้าที่สำเร็จลุล่วง เมื่อนั้นการปรนนิบัติของเราก็ได้ตกต่ำไปแล้ว.
VIII. ถ้าจะเป็นผู้ปฏิบัติอันดีของพระคริสต์ เราก็ต้องปรารถนาที่จะมีลักษณะเฉพาะอย่างเป็นอินทรียภาพดังต่อไปนี้:
1. เราต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้าจนถึงที่สุดเพื่อจะถูกพระองค์เติมเต็มและให้พระองค์ไหลล้นเข้าสู่ผู้อื่น โดยมีพระคริสต์ผู้เป็นขึ้นเป็นอำนาจของเรา — บพส.18:1; 91:14; 97:10; 116:1–2; 119:140; ยฮ.21:15–17; 2กธ.5:14–15; 1ยฮ.4:16, 19; อฤธ.17:1–10; มธ.19:26.
2. เราต้องคงไว้ซึ่งชัยชนะของเราในพระคริสต์โดยมีการดำเนินชีวิตที่เฟื่องฟูและการตรากตรำในการเลี้ยงดู — วว.3:18–22; ฮซอ.6:1–3; รม.6:4; 7:6; 1ปต.2:25; 5:1–4.
3. เราต้องอาศัยอยู่ในการสามัคคีธรรมกับองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกวันและทุกชั่วโมง —
1กธ.1:9; 2กธ.13:14.
4. เราต้องเป็นบุคคลแห่งการอธิษฐาน — กซ.4:2; ยนซ.4:26; พรท.3:55–56; รม.10:12–13.
5. เราต้องรับสุของค์พระผู้เป็นเจ้าในพระคำตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อจะมีการเริ่มต้นใหม่ในแต่ละวัน — บพส.119:147–148.
6. เราต้องดำเนินโดยและตามวิญญาณของเราซึ่งผสมกลมกลืนกับพระวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ — ฆต.5:16, 25; รม.8:4, 16; 1กธ.6:17.
7. เราต้องดำเนินชีวิตพระคริสต์เพื่อจะสำแดงพระองค์ใหญ่ขึ้นโดยการหล่อเลี้ยงที่ครบสมบูรณ์แห่งพระวิญญาณของพระเยซูคริสต์ — ฟป.1:19.
8. เราต้องสร้างความเคยชินในการพูดพระคริสต์ต่อคนทุกประเภทเป็นประจำทุกวัน ทั้งในเวลาที่มีโอกาสและขาดโอกาส — กจ.5:42; 8:4; 2ตธ.4:2.
9. เราต้องเป็นผู้ที่จัดการกับความบาปของเราอย่างถี่ถ้วน — 1ยฮ.1:7, 9; บพส.51:1–9, 17.
10. เราต้องถูกเติมเต็มด้วยพระวิญญาณด้านธาตุแท้ทางภายในและเต็มล้นด้วยพระวิญญาณด้านแผนการบริหารทางภายนอก — กจ.13:52; อฟ.5:18; กจ.4:31; 13:9.
11. เราต้องสะสมประสบการณ์ต่างๆ ที่มีต่อพระคริสต์ (ฟป.3:8–10, 12–14) และเก็บรักษาพระคำขององค์พระผู้เป็นเจ้าไว้อย่างอุดมสมบูรณ์ (กซ.3:16; บพส.119:11, 15; ยฮ.8:31; 15:7; 1ยฮ.2:14).
IX. ทุกครั้งที่เรานำพระคำของพระเจ้าไปหล่อเลี้ยง เรื่องสำคัญอันดับแรกก็คือเราต้องฝึกฝนวิญญาณของเรา; ผู้ปฏิบัติอันดีของพระคริสต์ย่อมสร้างความเคยชินในการฝึกฝนวิญญาณของเขาไปในทางธรรมเพื่อจะดำเนินชีวิตพระคริสต์ในชีวิตประจำวันของเขา — 1ตธ.4:6-8, 15–16; 2ตธ.1:6–7; รม.1:9; 7:6; 12:11; ยฮ.4:23–24:
1. ผู้ที่ได้รับความรอดอย่างเราทั้งหลายนั้นมีทุนสำหรับดำเนินชีวิตคริสเตียนและดำเนินชีวิตคริสตจักร; ทุนนี้ก็คือวิญญาณที่พระเจ้าประทานให้เรา — 2ตธ.1:6–7; 4:22.
2. ธรรมซึ่งก็คือการดำเนินชีวิตที่เป็นการสำแดงของพระเจ้านั้นคือผลของการแจกจ่ายอันศักดิ์สิทธิ์เพื่อแผนการบริหารอันศักดิ์สิทธิ์ และการแจกจ่ายนี้ก็ขึ้นอยู่กับการฝึกฝนวิญญาณของเราเพื่อจะดำเนินชีวิตพระคริสต์ในชีวิตประจำวันของเรา เพื่อให้พระเจ้าได้ปรากฏเป็นที่ประจักษ์อย่างเป็นกลุ่มชนอยู่ในการดำเนินชีวิตคริสตจักร —1ตธ.1:3–4; 3:15–16; 4:7–8; 2ตธ.1:6–7; บทเพลงที่ 371 ข้อ 5.
3. คำว่า “ฝึกฝน” เปิดเผยเป็นนัยถึงการฝืน; ถ้าคริสเตียนอย่างเราอยากเข้มแข็งและอยากเติบโตขึ้นในองค์พระผู้เป็นเจ้า เราก็ต้องฝืนตัวเองเพื่อจะใช้วิญญาณของเรา จนกว่าเราจะเสริมสร้างความเคยชินที่เข้มแข็งในการฝึกฝนวิญญาณของเราได้ —
1ตธ.4:7.
4. เราต้องฝึกฝนวิญญาณของเราในการใช้สอยและรับสุขตรีเอกภาพทั้งหมดซึ่งเป็นผู้ควรได้รับการสรรเสริญโดยการอธิษฐานในพระวิญญาณบริสุทธิ์, โดยการรักษาตัวเองไว้ในความรักของพระเจ้า, และคอยท่าพระเมตตาแห่งองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราในวันที่พระองค์จะทรงปรากฏอย่างมีชัยชนะ เพื่อเราจะกลายเป็นการรวมยอดของชีวิตนิรันดร์ ซึ่งก็คือกรุงเยรูซาเล็มใหม่ — ยด.19–21.