เดิมทีแคร์รอตเป็นสีขาว สีม่วง สีเหลือง สีแดงมาก่อน แต่แล้วในศตวรรษที่ 17 เกษตรกรชาวดัตช์ได้พัฒนาพันธุ์แคร์รอตจนได้เป็นสีส้ม ซึ่งเป็นสีราชวงศ์ออเรนจ์-นัสเซา(William of Nassau) เพื่อเป็นเกียรติแก่ วิลเลี่ยม แห่ง ออเรนจ์ (William of Orange) เนื่องในโอกาสประกาศอิสรภาพจากประเทศสเปน เมื่อปี ค.ศ.1648 นั่นเอง

อ้างอิง: Pettit, S. (2022, January 04). 30 surprising facts about the Netherlands. Expatica.

ฮอลแลนด์ ไม่เท่ากับ เนเธอร์แลนด์ หลายๆคนมักเข้าใจผิดว่าฮอลแลนด์คืออีกชื่อเรียกหนึ่งของปรเทศเนเธอร์แลนด์ แท้จริงแล้วฮอลแลนด์เป็นเพียงส่วนหนึ่ง(North Holland และ South Holland)ของประเทศเนเธอร์แลนด์เท่านั้น

ประเทศเนเธอร์แลนด์ประกอบด้วย 12 จังหวัด ได้แก่ Groningen, Friesland, Drenthe, Overijssel, Gelderland, Flevoland, Utrecht, North Holland, South Holland, Zeeland, North Brabant และ Limburg

อ้างอิง: Pettit, S. (2022, January 04). 30 surprising facts about the Netherlands. Expatica. 

ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์…จำนวนจักรยานมากกว่าจำนวนประชากรเกือบสองเท่า 🚲 ปัจจุบันประเทศเนเธอร์แลนด์มีจำนวนประชากรประมาณ 17 ล้านคน หากแต่มีจำนวนรถจักรยานถึง 22 ล้านคัน ซึ่งคิดเป็น 1.3 เท่าของจำนวนประชากรเลยทีเดียว โดยเฉลี่ยแล้วชาวดัตช์ปั่นจักรยานถึง 2.9 กิโลเมตรต่อวันต่อคน คิดเป็น 1 ส่วน 4 ของการเดินทางทั้งหมดของชาวดัตช์

อ้างอิง: Pettit, S. (2022, January 04). 30 surprising facts about the Netherlands. Expatica.

ประเทศเนเธอร์แลนด์เป็นประเทศแรกของโลกที่การสมรสเพศเดียวกันชอบด้วยกฎหมาย

การสมรสเพศเดียวกัน (ดัตช์: Huwelijk tussen personen van gelijk geslacht หรือ homohuwelijk) ชอบด้วยกฎหมายตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 2001 เป็นต้นมา

อ้างอิง: Pettit, S. (2022, January 04). 30 surprising facts about the Netherlands. Expatica.

ชายชาวดัตช์สูงที่สุดในโลก ส่วนสูงโดยเฉลี่ยของชายชาวดัตช์อยู่ที่ 182.53 เซนติเมตร ขณะที่ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พบว่าความสูงเฉลี่ยของชายไทยอยู่ที่ 169.46 เซนติเมตร

อ้างอิง: Pettit, S. (2022, January 04). 30 surprising facts about the Netherlands. Expatica.

การที่เบียร์ในยุโรปถูกกว่าน้ำดื่มนั้น เหตุผลแรกก็เพราะว่าประเทศในทวีปยุโรปส่วนใหญ่ มีระบบสาธารณูปโภคที่ดี ทำให้มีน้ำประปาที่สะอาดมากพอที่จะบริโภคได้และภาครัฐได้ติดตั้งก๊อกน้ำสำหรับบริโภคไว้ทั่วไปในพื้นที่สาธารณะ

เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้คนสามารถเข้าถึงน้ำดื่มได้ง่าย โดยไม่จำเป็นที่จะต้องเสียเงินเพื่อซื้อน้ำดื่มจากร้านค้า ร้านอาหารต่าง ๆ จึงเลือกที่จะวางจำหน่ายเฉพาะน้ำแร่ที่มีราคาสูง ส่วนน้ำเปล่าแบบธรรมดา จะสามารถหาซื้อได้ที่ซูเปอร์มาร์เก็ต เท่านั้น สำหรับประเทศเยอรมนียังมีเหตุผลเพิ่มเติมอีกว่าประเทศแห่งนี้มีภูเขาไฟหลายร้อยลูก ซึ่งอุดมไปด้วยแร่ธาตุและกลายเป็นแหล่งผลิตน้ำแร่คุณภาพสูง มีรสสัมผัสที่ดี ทำให้คนเยอรมันนิยมสั่งน้ำแร่เมื่อไปร้านอาหารหรือนำมาผสมกับเครื่องดื่ม เช่น เบียร์

นอกจากความชื่นชอบในการดื่มของชาวเยอรมันแล้ว อีกปัจจัยที่ผลักดันอุตสาหกรรมเบียร์ในเยอรมนีให้เติบโตคือ การเก็บภาษีจากเบียร์ที่ต่ำที่สุดในยุโรป โดยราคาขายเฉลี่ยในห้างสรรพสินค้าคือ 25 บาทต่อขวด (330 มิลลิลิตร) 

และมีการเรียกเก็บภาษีประมาณ 1 ถึง 2 บาทต่อขวด คิดเป็นเพียง 4 ถึง 8% เท่านั้น

หากเราลองมาเทียบกับเบียร์ที่ขายในประเทศไทย ภาษีเบียร์ไม่เกิน 7 ดีกรี จะสูงถึง 48%

ความตรงต่อเวลาของคนเยอรมันนั้นปรากฏอยู่แทบทุกอย่างในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นความตรงต่อเวลาของรถโดยสาร การนัดหมาย หรือเวลาเข้างานออกงาน จนมีคำพูดว่า หลักการของคนเยอรมันคือ ไปก่อน 5 นาทีก็ยังดีกว่าไปสาย 1 นาที

อ้างอิง: https://th.hrnote.asia/tips/work-culture-each-country-10212021/?fbclid=IwAR3CSbTBYZ81RbqLHSF-g8sLnk1mFqvIcSo0gI8jHSQQliBI_icbI7GACx0

ทางด่วนประเทศเยอรมัน สามารถขับในความเร็วสูงสุดที่สุดในโลก “ทางด่วนในภาษาเยอรมัน Autobahn (ออโต้บาห์น) เริ่มสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1929 เพื่อเชื่อมระหว่างเมืองโคโลญกับเมืองบอนน์ ในยุคอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ปัจจุบันความยาวโครงข่ายทั้งหมดประมาณ 12,917 กิโลเมตร (ค.ศ. 2014) ซี่งจุดเด่นของเยอรมัน ออโต้บาห์น คือรถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ สามารถวิ่งได้ความเร็วสูง โดยปราศจากข้อจำกัดทางกฏหมายหรือสภาพถนน

เยอรมัน ออโต้บาห์นขึ้นชื่อว่าเป็นทางหลวงที่ดีที่สุดของโลก อัตราการเกิดอุบัติเหตุค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในทวีปยุโรป ทั้งๆ ที่ส่วนใหญ่รถยนต์แต่ละคันขับด้วยความเร็วที่สูงมาก ทางหลวงแห่งนี้เป็นที่ใฝ่ฝันของผู้ที่ชอบขับรถเร็วจากประเทศอื่นๆ ไปเพื่อขับรถสักครั้งหนึ่งในชีวิต แต่ละปีมีคนจำนวนมากจากหลายประเทศทั่วโลก เดินทางไปประเทศเยอรมนีเพื่อขับรถบนออโต้บาห์น

อ้างอิง: http://www.spyderautoimport.com/news_detail/965/พาคุณไปรู้จัก-/-เยอรมัน-ออโต้บาห์น/-German-Autobahn-ถนนที่นักซิ่งทั่วโลกต้องไปซักครั้งหนึ่งในชีวิต/

ถ้าพูดถึงขนมปังในประเทศเยอรมัน เขาจะไม่ได้หมายถึงขนมปังขาวจากอเมริกา แต่มันคือขนมปังที่ทำมาจากแแป้ง น้ำและ ใส่ธัญพืชลงไป ที่มีสารอาหาร ซึ่งคนเยอรมันจะภูมิใจในขนมปังของตัวเองมากๆ ในเยอรมันจะมีขนมปังมากถึง 300 ชนิด เช่น Korn-Brot ซึ่งคำว่า Korn จะหมายถึงขนมปังที่มีธัญพืช Brot จะหมายถึงขนมปัง

ประเทศญี่ปุ่นมีเครื่องขายของอัตโนมัติมากถึง4ล้านเครื่องทั่วประเทศ 😱

โดยจำนวนนี้ทำให้เป็นอันดับ2รองจากอเมริกาที่มี6ล้านเครื่อง แต่ญี่ปุ่นถูกจัดว่าเป็นประเทศที่มีเครื่องขายของอัตโนมัติมากที่สุดเมื่อเทียบกับอัตราส่วนต่อจำนวนประชากร โดยเคยมีจำนวนมากที่สุดถึง5ล้าน6แสนเครื่องเมื่อปีค.ศ.2,000 เนื่องจากญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีความปลอดภัยสูงไม่ค่อยมีการลักขโมย จึงสามารถทำให้ตั้งเครื่องต่างๆไว้ภายนอกอาคารหรือตามสถานที่สาธารณะต่างๆได้ นอกจากขายเครื่องดื่มแล้ว ญี่ปุ่นยังมีเครื่องขายแกงกะหรี่ เสื้อผ้า หรือผลไม้อีกด้วย

อ้างอิง https://www.mdsol.co.jp/column/column_123_828.html

ภูเขาไฟฟูจิเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมไม่ใช่ทางธรรมชาติ 🗻

เมื่อเทียบกับภูเขาอื่นๆแล้ว ภูเขาไฟฟูจิไม่ได้มีรูปร่างหรือการประทุที่แปลกใหม่แต่อย่างใด และภูเขาไฟฟูจิยังเปิดให้ผู้คนขึ้นไปเยี่ยมชมและปีนป่ายทำกิจกรรมได้จึงก่อให้เกิดขยะจำนวนมากเป็นเหตุให้ไม่ผ่านการพิจารณาการเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ แต่ทางญี่ปุ่นไม่ได้ยอมแพ้เสนอชื่อภูเขาไฟฟูจิอีกครั้งในฐานะมรดกโลกด้านวัฒนธรรม เนื่องจากภูเขาไฟฟูจิเป็นสถานที่ที่เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมความเชื่อของชาวญี่ปุ่นและยังเป็นสถานที่ที่มีอิทธิพลต่องานศิลปะ จะเห็นได้ว่างานศิลปะของญี่ปุ่นจำนวนมากมีภูเขาไฟฟูจิเข้าไปเป็นส่วนประกอบ ด้วยเหตนี้ทำให้ภูเขาไฟฟูจิได้รับการคัดเลือกเป็นมรดกโลกด้านวัฒนธรรมในปีค.ศ.2013

รถไฟที่ญี่ปุ่นมีคนใช้งานใน1วันต่อสถานีเยอะที่สุดในโลก 🚅🇯🇵

จากการรวบรวม สถิติการใช้งานรถไฟปี2019โดยสถานีที่คน ใช้งานเฉลี่ยมากที่สุด10อันดับแรกอยู่ที่ญี่ปุ่น คือ สถานีชินจุกุ สถานีชิบุย่า สถานีอิเคะบุคุโระ และอื่นๆตามลำดับ และอันอับที่11คือสถานี Paris-Nordที่ปารีสฝรั่งเศสนั้นเอง โดยเฉลี่ยมีคนใช้งานที่สถานีชินจุกุ เพียงสถานีเดียว3ล้าน5แสนคนต่อวันเลยทีเดียว แต่ขึ้นชื่อว่าญี่ปุ่นถึงแม้มีคนมีคนใช้งานเยอะเป็นล้านคนต่อวัน ญี่ปุ่นก็ยังสามารถบริหารเวลาของรถไฟได้ดีอันดับต้นๆโลกอีกด้วย

อ้างอิง https://malmsdeen.com/%E8%B1%86%E7%9F%A5%E8%AD%98/densharanking/?fbclid=IwAR1vx1LTy33PifcYz_d_-PqDXFebHdomEAA0Fucf94Zhi-fEPRIq9bClJAI#i-3

การกินราเมงให้เสียงดังซู๊ดๆ แบบคนญี่ปุ่นนั้นไม่ใช่แค่เรื่องมารยาท 🍜

คงเคยได้ยินกันมาแล้วบ้างว่า คนญี่ปุ่นนั้นกินราเมงหรืออาหารที่เป็นเส้นๆ แล้วต้องดูดเส้นดังซู๊ดๆ ก็เป็นเพราะว่าเป็นการให้เกียรติคนทำอาหาร แต่ที่จริงมันเหตุผลเยอะกว่านั้น มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง

1. ไม่ให้ลวกลิ้น

การดูดเส้นแบบซู๊ดๆ จะทำให้เส้นนั้นสัมพัสกับอากาศก่อนเข้าปากเป็นการลดอุณหภูมิของเส้น ตามธรรมชาติ และ การป้องกันไม่ให้เส้นในซุปร้อนๆ ลวกลิ้นเราได้

2. เป็นการเพื่มความอร่อย

นอกจากราเมงแล้ว อาหารประเภษเส้นของญี่ปุ่นยังมี โซบะ และอุด้ง ซึงทั้งสองอย่างก็มีทั้่งร้อนและเย็น แต่ถึงอย่างนั้นคนญี่ปุ่นก็ยังดูดเส้นซู๊ดๆ เพราะว่า การดูดเส้นเข้าไปก็นจะมีกลิ่นอายของอาหาร เข้าไปในปากด้วย ซึ่งจะทำให้การรับรู้รสชาติของอาหารนั้นดียิ่งขึ้น ทำให้เพิ่มความอร่อยขึ้น

3. เป็นการให้เกียรติคนทำอาหาร

และแน่นอนว่า การที่กินอาหารอย่างอร่อยนั้นเป็นการบอกว่า อาหารของเขาอร่อยจริงๆ และการดูดเส้นซู๊ดๆน้ัน ก็เป็นการให้เกียรติคนทำนั้นเอง

แต่ถ้าพูดถึงเรื่องมารยาทบนโตะอาหารแล้วนั้น นอกเหนือจากอาหารประเภทเส้น ที่ญี่ปุ่นถือว่าการทานอาหารแล้วทำให้เกิดเสียงเช่น เคี้ยวเสียงดัง คุยกันเสียงดัง หรือเสียงการกระทบกันของภาชนะ ถือว่าเป็นเป็นมารยาทที่ไม่ค่อยดีบนโต๊ะอาหารเช่นกัน

อ้างอิง https://lyriq.jp/articles/日本人が食事中音をたてるのは何故

ทำไมที่ญี่ปุ่นชอบแจกทิชชู่ 🧻

ถ้าใครเคยได้ไปเที่ยวญี่ปุ่น ตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆที่คนพลุกพล่านน่าจะเคยพบคนแจกทิชชู่กระจัดกระจายอยู่ตามที่ต่างๆ นักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างเราๆอาจจะคิดว่าคนญี่ปุ่นรักความสะอาดอยากให้คนมีทิชชู่ติดกระเป๋าไว้ใช้กัน แต่จริงๆแล้วนั่นเป็นวิธีการโฆษณาสินค้าหรือประชาสัมพันธ์กิจการแบบหนึ่งที่ใช้โดยทั่วไปในญี่ปุ่นค่ะ พูดง่ายๆคือในญี่ปุ่นนิยมแจกทิชชู่แบบพกพาที่ซองพิมพ์ลายหรือใส่แผ่นกระดาษของสินค้าหรือบริการที่อยากโปรโมทไว้ในซองแทนการแจกเพียงกระดาษอย่างเดียว และผลการสำรวจพบว่าคนจะยอมรับซองทิชชู่มากกว่ารับกระดาษเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ยังเป็นวิธีที่ถูกและค่อนข้างได้ผลเมื่อเทียบกับการโปรโมทแบบอื่นเพราะสามารถเลือกแจกทาร์เกทและโฆษณาสินค้าไปจนกว่าคนจะใช้ทิชชู่หมดนั่นเองค่ะ

แต่!!!ชาวต่างชาติอย่างเราก่อนจะรับทิชชู่ต้องดูท่าทางการแต่งกายคนแจกนิดนึงนะคะ เพราะบางทีก็เป็นธุรกิจ18+ค่า😳

อ้างอิง https://j-you.co.jp/blog/tissue-ad/

ฝรั่งเศสถูกเรียกอีกชื่อว่า Hexagon

ประเทศฝรั่งเศสถือเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปตะวันตก และมักถูกเรียกว่าหกเหลี่ยมเพราะมีรูปร่างหกด้าน โดย สามารถวาดประเทศภายในรูปหกเหลี่ยมซึ่งมี เส้นผ่านศูนย์กลาง 1,000 กม. เมื่อวัดระยะทางจากเหนือสุด ไปใต้สุดของประเทศจะมีระยะทางประมาณ 1,000 กม. และ จากตะวันออกไปตะวันตกจะมีระยะทาง 1,000 กม. เช่นกัน

อ้างอิง https://www.caloundracity.asn.au/Fran.../icons/icon_hexa.htm

14 กรกฏาคม วันชาติฝรั่งเศส ต่างชาติเรียก “Bastille day” แต่คนฝรั่งเศสเรียก “Le Quatorze Juillet”

วันที่ 14 กรกฏาคม ถือเป็นวันชาติฝรั่งเศส โดยคนต่างชาติจะเรียกวันดังกล่าวว่า “Bastille day” แต่คนฝรั่งเศสจะเรียกวันชาติของตัวเองว่า “Le Quatorze Juillet” หรือ la fête nationale (วันชาติ)

โดย 14 กรกฎาคม ค.ศ. 1789 ชาวฝรั่งเศสยกพลไปที่คุกบาสตีย์ (Bastille) ซึ่งใช้เป็นที่ขังนักโทษการเมือง เกิดเหตุการณ์การทลายคุกบาสตีย์ (Fall of the Bastille) ซึ่งต่อมาถือเป็นวันเริ่มต้นเหตุการณ์ปฏิวัติฝรั่งเศส เป็นวันชาติฝรั่งเศสในปัจจุบัน

คนฝรั่งเศสสามารถลาพักผ่อนแบบได้รับเงินเดือนได้มากถึง 5 สัปดาห์ต่อปี

เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 1936 คนงานชาวฝรั่งเศสได้ร่วมกันกำหนดวันหยุดโดยได้รับค่าจ้าง ซึ่งเรียกว่า les congés payés หรือ Les Vacances เดิมกำหนดไว้ที่ 15 วัน แต่หลังจากนั้นได้เพิ่มเป็น 3 สัปดาห์ในปี 1956, 4 สัปดาห์ในปี 1969 และ 5 สัปดาห์ในปี 1982 เพื่อให้ชาวฝรั่งเศสได้อุทิศตนให้กับการพักผ่อนและการท่องเที่ยวรอบโลก

อ้างอิง https://www.youtube.com/watch?v=q7TXeKC8O8I

คำนำหน้านามในภาษาฝรั่งเศสมีเพศด้วยนะ

คำนำหน้าคำนามในภาษาฝรั่งเศสมี 2 เพศ คือเพศหญิงและเพศชาย โดยเพศชายจะใช้ un หรือ le ส่วนเพศหญิงจะใช้ une หรือ la

Texas ถือเป็นเมืองหลวงของคาวบอย 🐎🏇🤠

เท็กซัสเป็นที่รู้จักในฐานะเมืองหลวงคาวบอยของโลก คนส่วนใหญ่ที่อาศัยและเป็นเจ้าของฟาร์มปศุสัตว์ในเท็กซัสทำงานตลอดทั้งปีในการดูแลปศุสัตว์และการเกษตร ซื่งเป็นงานที่หนัก ต้องมีความมุ่งมั่น และอุทิศตนเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของสัตว์ เราจะสามารถเห็นวัฒนธรรมคาวบอยในเมืองใหญ่ๆ เช่น ออสติน ดาร์ลัส ฟอร์ดเวิร์ท หรือ ฮิวตัน ที่ถึงแม่จะมีสิ่งปลูกสร้างและเทคโลโลยีที่ทันสมัยรวามถึงความร่ำรวยจากบ่อน้ำมันดิบและพลังงาน แต่วัฒนธรรมคาวบอยและวิถีชีวิตปศุสัตว์ เช่นการขี่ม้าเลียงวัว แต่งกายแบบคาวบอย อาหาร รวมถึงการพกปืนไปในที่สารณะอย่างถูกกฏหมาย ยังคงมีให้เห็นและเป็นที่คุ้นเคยของคนที่นี้

สี่ที่แท้จริงของเทพีเสรีภาพ ไม่ได้เป็นสีเขียว

สีที่แท้จริงของเทพีเสรีภาพ ที่ถือเป็นสัญลักษณ์ของมหานครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา คือสีทองแดง

หาดกคุณมาเยือน นิวยอร์ก “อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพ” เป็นสิ่งที่ต้องนึกถึงเป็นอันดับแรกๆ รูปปั้นขนาดมหึมาสีเขียวอมฟ้าโดดเด่นตระการตาท่ามกลางอ่าวลิเบอร์ตี้ รู้หรือไม่ว่า สีเขียวอมฟ้าที่เห็น แท้จริงแล้วเป็นสีสนิมของโลหะสำริด

อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพ (The Statue of Liberty) ปะติมากรรมโลหะสำริดแบบนีโอคลาสสิกขนาดใหญ่ เป็นรูปเทพีสวมเสื้อคลุม ตัวแทนของลิเบอร์ตัส (Libertas) หรือเทพธิดาโรมัน แขนขวาถือคบเพลิงไว้เหนือศีรษะ แขนซ้ายถือแผ่นจารึก มีเลขโรมันสลักไว้ว่า "JULY IV MDCCLXXVI" (4 กรกฎาคม พ.ศ. 2319) ซึ่งเป็นวันที่ประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกา ทั้งยังมีโซ่ขาดอยู่บริเวณเท้าของรูปปั้น แสดงถึงสัญลักษณ์ของอิสรภาพ เป็นของขวัญจากชาวฝรั่งเศสที่มอบให้แก่ผู้คนในสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1885 ด้วยความชื่นชมชาวอเมริกันที่กล้าหาญในการต่อสู้กับสหราชอาณาจักรและสามารถประกาศอิสรภาพเป็นชาติเอกราชได้ในที่สุด

เดิมทีรูปปั้นเทพีเสรีภาพเป็นสีทองแดงเงางาม แต่ในช่วงทศวรรษแรกที่ตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกานั้น รูปปั้นค่อย ๆ เปลี่ยนสีจากสีทองแดงเป็นสีน้ำตาลทึบ และเปลี่ยนสีจนกลายเป็นสีเขียวอมฟ้าอย่างที่เห็นกันในปัจจุบัน

การเปลี่ยนสีเป็นผลมาจากการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน (Oxidation reaction) ที่เกิดสะสมมาเป็นเวลานานหลายปี ร่วมกับมลพิษทางอากาศ โดยการเปลี่ยนสีครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อทองแดงที่รูปปั้นทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ ทองแดงให้อิเล็กตรอนกับออกซิเจน เปลี่ยนแปลงไปเป็นคอปเปอร์ออกไซด์ (Copper oxide) เริ่มที่เปลี่ยนเป็นคูไปรท์ (Cuprite) ที่ให้สีแดงอมชมพู หลังจากนั้นคูไปรท์ให้อิเล็กตรอนมากขึ้นกับออกซิเจนจนอยู่ในรูปของเทนอไรต์ (Tenorite) ที่ให้สีน้ำตาลทึบ จึงทำให้รูปเทพีมีสีที่เข้มขึ้น

แม้ว่าอนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพจะมีสีเขียวอมฟ้ามายาวนานกว่า 100 ปี เนื่องด้วยปฏิกิริยาเคมีของทองแดงกับออกซิเจน แต่ภายใต้สีเขียวอมฟ้าที่สะดุดตานั้นภายในก็ยังคงเป็นโลหะสำริดที่งดงาม

ร้านสะดวกชื้อ 7-11 มีบ้านเกิดที่สหรัฐอเมริกา

เซเว่น อีเลฟเว่น (7-Eleven) ที่ทุกวันนี้แทบจะเห็นกันทุกหัวมุมซอยใหญ่ๆ กันเลยทีเดียว

ด้วยรูปแบบการให้บริการที่รวดเร็ว และมีของเครื่องใช้ที่มากกว่าร้านค้าทั่วไป อีกทั้งยังเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง จึงทำให้เซเว่น อีเลฟเว่น มีการเติบโตไปอย่างมาก แต่รู้หรือไม่ว่า จริงๆ แล้ว เซเว่น อีเลฟเว่น ถือกำเนิดมาจากไหน เมื่อไหร่ แล้วเข้ามาในบ้านเราได้อย่างไร

7-Eleven เซเว่น อีเลฟเว่น เป็นชื่อกิจการระบบแฟรนไชส์ ที่เป็นลิขสิทธิของ บริษัท เซาท์แลนด์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศ สหรัฐอเมริกา ซึ่งในช่วงนั้นไม่ได้เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง เหมือนปัจจุบัน แต่เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่ 07.00 – 23.00 น. โดยกิจการแรกเริ่มให้บริการผลิตและจัดจำหน่ายน่้ำแข็ง ที่เมืองดัลลัส รัฐเทกซัส สหรัฐอเมริกา จนมาถึงปี พ.ศ. 2470 ทางบริษัท ได้นำสินค้าต่างๆ เริ่มมาจัดวางจำหน่าย เพื่ออำนวยความสะดวก และได้เปลี่ยนชื่อเป็น Tote’m Store ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา

จนมาถึง พ.ศ. 2489 ได้มีการเปลี่ยนชื่ออีกครั้ง เป็น เซเว่น-อีเลฟเว่น (7-Elevent) และได้ขยายกิจการขยายกว้างขึ้น และเมื่อปี ค.ศ. 1980 บริษัทประสบปัญหาทางการเงิน และมีบริษัทจากญี่ปุ่นเข้ามาช่วยเหลือ คือ อิโต-โยคะโด ซึ่งเป็นผู้ซื้อกิจการแฟรนไชส์รายใหญ่ที่สุด เข้ามาคุมบริษัท และได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท เซเว่น แอนด์ ไอ โฮลดิงส์และให้ เซเว่น อีเลฟเว่น เป็นบริษัทลูก ตั้งแต่นั้นมา

ทำไมธงชาติสหรัฐถึงมีรูปดาว 50 ดวง

ความหมายของดวงดาวและลายทางบนธงชาติอเมริกา

มีดาวห้าแฉกสีขาวขนาดเล็ก 50 ดวงในสี่เหลี่ยมนั้น ดาวห้าแฉกขนาดเล็ก 50 ดวงนี้เป็นตัวแทนของ 50 รัฐของสหรัฐอเมริกา 13 ลายทางเป็นตัวแทนของ 13 อาณานิคมของสหรัฐอเมริกาเมื่อประเทศนี้ก่อตั้งขึ้นครั้งแรก

ธงชาติอเมริกันเรียกว่า ธงดวงดาวและลายทาง อย่างไรก็ตาม ชื่ออย่างเป็นทางการเรียกว่า "ธงชาติสหรัฐอเมริกา" สีแดงบนธงชาติ หมายถึง ความกล้าหาญ สีขาวเป็นสัญลักษณ์ของความจริง, สีฟ้าแสดงถึงความยุติธรรม ธงชาติอเมริกันเป็นสัญลักษณ์ของอิสรภาพ รวมถึงเสรีภาพทั้งหมดที่รับรองโดยรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา

การออกแบบธงชาติอเมริกา

ธงชาติอเมริกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า อัตราส่วนกว้างยาวคือ 19:10 มุมบนซ้ายของดาวและแถบเป็นพื้นที่ดาวสีน้ำเงิน มีกฎเกี่ยวกับจำนวนดาวในส่วนนี้ นั่นคือจำนวนรัฐในสหรัฐอเมริกาคือจำนวนดาวบนธง ในปี พ.ศ. 2361 รัฐสภาคองเกรสแห่งสหรัฐอเมริกาได้ผ่านร่างกฎหมาย

แก้ไขแถบกว้างสีแดงและสีขาวบนธงชาติเป็น 13 และจำนวนดาวห้าแฉกก็เท่ากับจำนวนรัฐในสหรัฐอเมริกา สำหรับทุกรัฐที่เพิ่มเข้ามา ต้องเพิ่มดาวให้กับธง โดยทั่วไป จะมีการดำเนินการในวันที่ 4 กรกฎาคมของปีที่สองหลังจาก NSW เข้าร่วม

และตามที่วอชิงตัน ประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกากล่าว แถบสีแดงเป็นสัญลักษณ์ของสหราชอาณาจักร แถบสีขาวเป็นสัญลักษณ์ของอิสรภาพจากสหราชอาณาจักร แต่มุมมองที่กว้างกว่านั้นก็คือ สีแดง หมายถึง ความแข็งแกร่งและความกล้าหาญ สีขาว หมายถึง ความบริสุทธิ์ ไร้เดียงสา สีน้ำเงิน หมายถึง ความระมัดระวัง ความพากเพียร และความยุติธรรม

ต่อมาสหรัฐอเมริกาได้จัดวันครบรอบธงชาติอเมริกัน โดยกำหนดเป็นวันที่ 14 มิถุนายน ของทุกปี วันนี้จะมีการจัดงานรำลึกทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา

แสตมป์ดวงแรกของโลก ‘Penny Black’ เกิดขึ้นที่สหราชอาณาจักร

ในปี 1834 ชาวสหราชอาณาจักรชื่อว่าเจมส์ ชาลเมอส์ (James Chalmers) เป็นบุคคลแรกที่เสนอแนวคิดการใช้แสตมป์เป็นค่าธรรมเนียมในการส่งจดหมาย และต่อมาในวันที่ 1 พฤษภาคม 1840 หรือ ในอีก 6 ปีต่อมานั้น แนวคิดของเจมส์ ชาลเมอส์ก็ได้รับการยอมรับภายใต้การผลักดันของเซอร์ โรว์แลนด์ ฮิลล์ (Sir Rowland Hill) แสตมป์ดวงแรกของโลกจึงได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการ มีชื่อว่า แสตมป์เพนนีแบล็ค (Penny Black) โดยมีราคาหน้าแสตมป์อยู่ที่ 1 เพนนี (หรือประมาณ 0.46 บาทหากเทียบค่าเงินในปัจจุบัน) และมีพระบรมฉายาลักษณ์ผินพระพักตร์ข้างของสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรีย กษัตริย์อังกฤษในสมัยนั้นอยู่บนดวงแสตมป์อีกด้วย นอกจากนี้แล้ว แสตมป์สะสมสำหรับโอกาสพิเศษยังได้ถูกทำขึ้นครั้งแรกปี 1924 ในงาน British Empire Exhibition ที่ Wembly อีกด้วย

หอสมุดแห่งชาติของประเทศอังกฤษมีหนังสือและสื่อการเรียนรู้ต่างๆมากถึง 170 ล้านรายการ เป็นหนึ่งในหอสมุดที่ใหญ่ที่สุดในโลก

The British Library หรือ หอสมุดแห่งชาติประเทศอังกฤษ เป็นหนึ่งในห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดในโลก (ในอดีตเคยใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก) โดยภายในหอสมุดมีหนังสือและสื่อการเรียนรู้ต่างๆให้เลือกสืบค้นมากกว่า 170 ล้านรายการทั้งในรูปแบบภาษาอังกฤษและภาษาต่างประเทศ ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพความยิ่งใหญ่ของหอสมุดนี้โดยการนำชั้นหนังสือทั้งหมดมาวางเรียงต่อกันจะได้ระยะทางทั้งหมด 746 กิโลเมตร หรือเท่ากับการเดินทางจากลอนดอนไปถึงสก็อตแลนด์เลยทีเดียว หอสมุดแห่งนี้ได้ถูกก่อตั้งขึ้นในปี 1973 หรือเมื่อ 49 ปีที่แล้ว แต่หนังสือหรือสื่อการเรียนรู้ต่างๆก็ยังคงมีการอัพเดตให้ทันยุคสมัยตลอดเวลา หอสมุดแห่งนี้ตั้งอยู่ในกรุงลอนดอน เมืองหลวงของประเทศอังกฤษ เปิดให้ผู้ที่สนใจเข้าใช้บริการฟรีตลอดปี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

อ้างอิง https://www.bl.uk/

มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด เป็นมหาวิทยาลัยที่มีความเก่าแก่เป็นอันดับ 2 ของโลก

มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ( University of Oxford) ตั้งอยู่ ณ เมืองออกซฟอร์ด ประเทศอังกฤษ เป็นมหาวิทยาลัยที่มีความเก่าแก่เป็นอันดับ 2 ของโลกที่ยังมีการทำการเรียนการสอนอยู่ โดยมีหลักฐานว่าเริ่มทำการเรียนการสอนครั้งแรกในปี 1096 มีการใช้ระบบ Collegiate system ในการแบ่งมหาวิทยาลัยออกเป็นคอลเลจหรือบ้าน (college) ต่างๆถึง 38 คอลเลจ คล้ายกับในหนังเรื่อง Harry Potter แต่ละคอลเลจจะมีระบบจัดการและชื่อเสียงที่แตกต่างกันออกไป ปัจจุบันมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดมีศิษย์เก่าที่มีชื่อเสียงและความสามารถระดับโลกมากมายรวมถึงประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรีหรือผู้นำรัฐบาลในหลายๆประเทศทั่วโลก นักแสดง นักกีฬาที่มีชื่อเสียง และเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาต่างๆ นอกจากนี้มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดยังได้รับการจัดอันดับให้เป็น Top 5 มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของโลกมาหลายปีซ้อนแล้วอีกด้วย

อ้างอิง https://www.ox.ac.uk/

หอสมุดแห่งชาติของประเทศอังกฤษมีหนังสือและสื่อการเรียนรู้ต่างๆมากถึง 170 ล้านรายการ เป็นหนึ่งในหอสมุดที่ใหญ่ที่สุดในโลก

The British Library หรือ หอสมุดแห่งชาติประเทศอังกฤษ เป็นหนึ่งในห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดในโลก (ในอดีตเคยใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก) โดยภายในหอสมุดมีหนังสือและสื่อการเรียนรู้ต่างๆให้เลือกสืบค้นมากกว่า 170 ล้านรายการทั้งในรูปแบบภาษาอังกฤษและภาษาต่างประเทศ ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพความยิ่งใหญ่ของหอสมุดนี้โดยการนำชั้นหนังสือทั้งหมดมาวางเรียงต่อกันจะได้ระยะทางทั้งหมด 746 กิโลเมตร หรือเท่ากับการเดินทางจากลอนดอนไปถึงสก็อตแลนด์เลยทีเดียว หอสมุดแห่งนี้ได้ถูกก่อตั้งขึ้นในปี 1973 หรือเมื่อ 49 ปีที่แล้ว แต่หนังสือหรือสื่อการเรียนรู้ต่างๆก็ยังคงมีการอัพเดตให้ทันยุคสมัยตลอดเวลา หอสมุดแห่งนี้ตั้งอยู่ในกรุงลอนดอน เมืองหลวงของประเทศอังกฤษ เปิดให้ผู้ที่สนใจเข้าใช้บริการฟรีตลอดปี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

อ้างอิง https://www.bl.uk/

ชาวอังกฤษดื่มชามากเป็นอันดับ 2 ของโลก

วัฒนธรรมการดื่มชาของชาวอังกฤษได้เริ่มต้นขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยแคทเธอรีนแห่งบราแกนซา สมเด็จพระราชินีในสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 แห่งอังกฤษเป็นบุคคลแรกที่นำประเพณีดื่มชาเข้ามาในสหราชอาณาจักร แต่ในยุคแรกนั้นประเพณีการดื่มชาแพร่หลายแค่ในชนชั้นสูง และถือเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยสำหรับประชาชนทั่วไป จนต่อมาชาได้ถูกปรับให้มีราคาถูกลง ประเพณีการดื่มชาจึงแพร่หลายอย่างรวดเร็ว ข้อมูลทางสถิติเปิดเผยว่าปริมาณชาที่ดื่มโดยคนอังกฤษ มีปริมาณรวมกันถึง 100 ล้านถ้วยต่อวัน

ถึงแม้กำแพงเมืองจีนจะยิ่งใหญ่ แต่ก็ไม่สามารถมองเห็นจากอวกาศได้

กำแพงเมืองจีน (Great Wall of Chaina) หรือกำแพงหมื่นลี้ ตั้งอยู่บนพรมแดนทางตอนเหนือของประเทศจีน เริ่มต้นสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ฉิน (ราวปี พ.ศ.322-337 หรือ 221-206 ปีก่อนคริสตกาล) เมื่อปี ค.ศ. 1987 หรือ พ.ศ. 2530 องค์การ UNESCO ได้บันทึก เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก มีความยาวที่แท้จริงถึง 21196.18 กิโลเมตร แต่ก็มีความกว้างของกำแพงเมืองจีนนั้นเทียบเท่ากับซอยเล็กๆ เท่านั้นเอง โดยการยืนยันของนักบินอากาศชาวจีนว่าไม่สามารถมองเห็นกำแพงเมืองจีนจากนอกโลกได้

อ้างอิง https://www.nasa.gov/vision/space/workinginspace/great_wall.html?fbclid=IwAR0pZDNATli_-d-tNTo6ch_ObZ8Cj1bUXcVD9JgxGo_-IpYNWK_NfJAVM90

ประเทศจีนมีโซนเวลาเพียงโซนเวลาเดียว

ประเทศจีนมีพื้นที่กว่า 9 ล้านกว่าตารางกิโลเมตร ซึ่งเมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกา หรือแคนาดาที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ใกลล้เคียงกันแล้ว ประเทศจีนกลับเป็นประเทศเดียวที่ใช้โซนเวลาเพียงเวลาเดียวคือ (GMT+8) แต่นี่ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งปัญหาเช่น เวลาที่พระอาทิตย์ตกดินในเขตปกครองตัวเองซินเจียงจะช้ากว่าเมืองในฝั่งตะวันออกนานถึง 2-3 ชั่วโมง

อ้างอิง https://www.timeanddate.com/time/zone/china

เลข 8 เป็นเลขมงคลของคนจีน

สำหรับคนจีนแล้วไม่ว่าจะเป็นราคา เวลาหรือสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับตัวเลข มักจะใช้ตัวเลข 8 อยู่เสมอ เพราะคนจีนถือว่าเลข 8 เป็นเลขมงคล เพราะ 8 (八) ในภาษาจีน อ่านว่า “ปา” (bā) ซึ่งออกเสียงคล้ายกับคำว่า “ฟา” (fā) 发 ในคำว่า “ฟาไฉ” 发财(fā cái) ที่แปลว่าร่ำรวย ดังนั้นคนจีนจึงมักจะใช้เลข 8 ที่ดึงดูดโชคลาภและความมั่งคั่ง

ประเทศจีนเป็นประเทศแห่งรถไฟ

ถึงแม้ว่าสถิติระยะทางของรางรถไฟในประเทศของจีนจะยังคงเป็นรองสหรัสอเมริกาอยู่ แต่หากนำรางรถไฟในประเทศของจีนมาเรียงต่อกันสามารถพันรอบโลกได้ถึงสามรอบครึ่ง อีกทั้งจีนยังมีรางรถไฟความเร็วสูงที่ยาวที่สุดในโลกถึง 40,000 กิโลเมตร และมีรถไฟความเร็วสูง Shanghai Maglev ที่มีความเร็วสูงสุด (ที่วิ่งให้บริการจริง) : 431 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (267 ไมล์ต่อชั่วโมง) และเคยทดสอบได้ความเร็วสูงสุดถึง 501 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (311 ไมล์ต่อชั่วโมง) ให้บริการอยู่ในตัวเมืองรอบนอกเซี่ยงไฮ้

อ้างอิง https://civilnoteppt.com/worlds-top-10-countries-having-largest-railway-network/?fbclid=IwAR1FsVogTlNQx8QtAZvy0fISzrMTqroLmJ0n9dMdixiGOIVxIMa4Uc3naSA

ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีภาษาราชการทั้งหมด 4 ภาษา ซึ่งแบ่งตามโซน

🔸ภาษาเยอรมัน เป็นภาษาที่ใช้มากที่สุดในประเทศ มากกว่า 60% แต่ภาษาเยอรมันที่ใช้ในสวิตเซอร์แลนด์จะแตกต่างจากภาษาเยอรมันที่ใช้ในประเทศเยอรมัน ซึ่งเรียกว่า สวิสเยอรมัน (Swiss German)

🔸ภาษาฝรั่งเศส เป็นภาษาที่ใช้มากอันดับสองของประเทศ ประมาณ 22% สำหรับฝั่งที่ติดกับประเทศฝรั่งเศส

🔸ภาษาอิตาเลียน มีการใช้กันประมาณ 8% ฝั่งทางภาคใต้ในรัฐทีชิโน และ บางมณฑลของรัฐเกราบึนเดิน Graubünden

🔸ภาษาโรมันซ์ น้อยกว่า 1% (Rhaeto-Romanic ภาษาละตินโบราณ) จะถูกใช้สื่อสารในรัฐเกราบึนเดิน Graubünden

และมากกว่า 40% ของชาวสวิสที่มีอายุมากกว่า 15 ปี มักใช้กันมากกว่า 1 ภาษา

อ้างอิง https://www.eda.admin.ch/aboutswitzerland/en/home/gesellschaft/sprachen/die-sprachen---fakten-und-zahlen.html?fbclid=IwAR32OAOlVSWgqWPzuh8uLid56r_-RewVBatRg5xuRQq4q0wAvhfL1snjUME

ทำไมค่าเงินของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ถึงใช้อักษรย่อ CHF

โดยทั่วไปแล้ว เราจะเห็นว่าคำย่อสกุลเงินต่างๆ อักษรย่อ 2 ตัวแรกจะมาจาก ประเทศ เช่น ไทยบาท THB ซึ่ง TH เป็นรหัสประเทศส่วน B ย่อมาจากเงินบาท หรือ เงินสิงคโปร์ดอลล่า SGD

ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ใช้สกุลเงิน ฟรังก์สวิส (Swiss franc) โดยมีตัวย่อของสกุลเงินคือ “CHF”

ซึ่ง CH นั้นย่อมาจาก “Confoederatio Helvetica” เป็นภาษาละติน หรือ สมาพันธรัฐสวิส ซึ่งก็คือชื่อทางการของประเทศสวิตเซอร์แลนด์นั้นเอง

อ้างอิง https://studyinginswitzerland.com/swiss-franc-facts/

วันอาทิตย์ คือวันหยุดพักผ่อนของชาวสวิส

ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์วันอาทิตย์ถือเป็นวันหยุดพักผ่อนของพวกเขา ส่วนใหญ่ก็จะใช้เวลาพักผ่อน หรือ ทำกิจกรรมกับครอบครัว

ถ้าใครเคยไปจะพบว่า ธนาคาร ไปรษณีย์ ร้านค้าต่างๆ รวมไปถึงร้านสะดวกซื้อส่วนใหญ่ จะปิดทำการในวันอาทิตย์ แม้กระทั่งเมืองใหญ่ๆ ของสวิตเซอร์แลนด์ก็หาร้านค้าที่เปิดทำการในวันอาทิตย์ได้น้อยมาก อาจจะมีร้านสะดวกเล็กซื้อเล็กๆที่อยู่ตามสถานีรถไฟหรือสนามบินเปิดบ้าง หากใครต้องไปเรียน หรือไปเที่ยว อย่าลืมวางแพลนกันดีๆนะ

อ้างอิง https://www.iamexpat.ch/lifestyle/lifestyle-news/why-do-most-shops-switzerland-shut-sundays?fbclid=IwAR1m2V9Y26fxZf4vE03cknxewMH3TSsp6W9TqM2ti0DIbQ-RQRj-Nr0bgs8

ชาวสวิสเป็นคนตรงเวลามาก

ความตรงเวลานั้นเป็นหนึ่งวัฒนธรรมที่สำคัญมากๆสำหรับคนสวิส ก็เหมือนกับชื่อเสียงเรื่องความแม่นยำของนาฬิกาสวิส และ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมการรถไฟของสวิสถึงต่อตรงเวลาเช่นกัน

เพราะฉะนั้นใครที่จะไปเรียน หรือเที่ยว ที่สวิตเซอร์แลนด์ หรือพบปะกับชาวสวิสนั้น เราควรไปให้ถึงทันเวลา หรือก่อนเวลานัดสัก 5 นาที เพื่อเป็นการให้เกียรติและเคารพคนอื่น

อ้างอิง : คลิกที่นี่ 1  คลิกที่นี่ 2

ตู้ไปรษณีย์ขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศไทย (อดีตเคยเป็นที่สุดในโลก) อยู่ที่อำเภอเบตง จังหวัดยะลา

ตู้ไปรษณีย์ตั้งอยู่ที่มุมถนนสุขยางค์ บริเวณสี่แยกหอนาฬิกาใจกลางเมืองเบตง สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2467 ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง โดยนายสงวน จินดา นายกเทศมนตรีอำเภอเบตง ผู้เคยเป็นบุรุษไปรษณีย์มาก่อน ลักษณะของตู้เป็นรูปทรงกลมและเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก มีเส้นรอบวงของตัวตู้ประมาณ 140 ซม. ถ้านับจากฐานขึ้นไปจะรวมความสูงได้ทั้งหมดประมาณ 320 เซนติเมตร สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงความยากลำบากในการติดต่อสื่อสารระหว่างอำเภอเบตงกับอำเภอื่น ๆ ในอดีต และการติดต่อสื่อสารกันด้วยจดหมายนั้นจัดเป็นวิธีที่สะดวกที่สุด อีกทั้งเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการสื่อสาร ของอำเภอเบตงในคราวเดียวกัน และจากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็มีอายุกว่า 80 ปีแล้ว ซึ่งตู้เดิมยังคงได้รับการอนุรักษ์ พร้อมกับใช้งานจริงไม่เปลี่ยนแปลง

อ้างอิง คลิกที่นี่

คนไทยมีนามสกุลครั้งแรก สมัยรัชกาลที่ 6

ตั้งแต่โบราณมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ 5 คนไทยเราไม่มีนามสกุลใช้ มีแต่ชื่อโดดๆ ทั้งชื่อก็ยังซ้ำกันมาก ดังนั้น ในรัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศพระราชบัญญัตินามสกุลขึ้นในวันที่ 22 มีนาคม 2455 บังคับใช้เป็นกฎหมายตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2456 เป็นต้นไป ที่ให้คนไทยต้องมีนามสกุล เพื่อสะดวกแก่การจดทะเบียนคนเกิด คนตาย และทำการสมรส โดยนามสกุลหมายเลข 1 ที่ทรงพระราชทาน คือ นามสกุล “สุขุม” พระราชทานเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ.2456 ต้นสกุลคือ เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม)

อ้างอิง คลิกที่นี่

แพลตฟอร์มโซเซียลมีเดียที่คนไทยชอบ และใช้มากที่สุด ในปี 2022 คือ Facebook

จากรายงาน Digital Stat ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2022 เพื่อเรียนรู้พฤติกรรมของคนไทยในการใช้โซเซียลมีเดีย สรุปได้ว่า Facebook เป็นแพลตฟอร์มที่ครองอันดับหนึ่งในประเทศไทย ซึ่งหากเรามองย้อนกลับไปที่เหตุผล เราพอจะทราบได้ว่าสิ่งที่ทำให้ Facebook เป็นอันดับเพราะเป็นแพลตฟอร์มที่ตอบโจทย์สิ่งที่ต่างๆ ได้ดีกว่า โดยใช้ในการติดตามเพื่อน ครอบครัว และคนที่รู้จัก และยังใช้เพื่อติดตามข้อมูลข่าวสาร เรื่องราวที่เป็นกระแส ดารานักร้องต่างๆ เป็นต้น

อ้างอิง คลิกที่นี่

เกาะพะงัน ติดอันดับ 1 Workation ของโลก ประจำปี 2022

เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2565 เว็บไซด์ William Russell ผู้ดำเนินการเกี่ยวจัดทำแผนประกันสำหรับผู้ที่อาศัยและทำงานในต่างประเทศ ได้เปิดเผย ผลสำรวจ 10 สถานที่เหมาะสมสำหรับการทำงาน (Workation) ประจำปี 2565 โดยพิจารณาครอบคลุมทั้งชาวต่างชาติ บุคคลทั่วไป ผู้เชี่ยวชาญ ครอบครัว คนทำงานระยะไกล คนเร่ร่อนทางดิจิทัล ผู้เดินทางบ่อย สตาร์ทอัพ ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง บริษัทขนาดใหญ่ องค์กรการกุศล และองค์กรภาครัฐ โดยพิจารณาคะแนนจาก ค่าใช้จ่ายรายเดือน ความเร็วอินเตอร์เน็ต ความสนุกสนาน และความปลอดภัย โดยเกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี ประเทศไทย ได้อันดับที่ 1 มีค่าใช้จ่ายรายเดือน 1,051 เหรียญสหรัฐ มีอินเทอร์เน็ตเร็ว 24Mbps ความสนุก ระดับยอดเยี่ยม และความปลอดภัย ระดับยอดเยี่ยม

อ้างอิง คลิกที่นี่