....ตั้งแต่ประเทศไทยได้มีการรายงานการระบาดของโรคลัมปีสกิน เมื่อเดือนมีนาคมจนถถึงปัจจุบัน (เดือนสิงหาคม) ....พบว่ามีระบาดเป็นวงกว้างเกือบทั้งประเทศ หลากหลายวิธีการควบคุมและการป้องกันโรคลัมปีสกิน ไม่ว่าจะงดการเคลื่อนย้ายทั้งสัตว์ปกติ สัตว์ป่วย หรือแม้แต่ซากสัตว์ การควบคุมพาหะ ระบบความภัยทางชีวภาพในภายฟาร์ม...และท้ายสุดแล้วเครื่องมือในการควบคุบโรคลัมปีสกินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็คงหลีดเลี่ยงไม่ได้ คือ วัคซีนป้องกันโรคลัมปีสกิน
.
.
....โดยหลักการแล้วสัตว์ที่จะสามารถทำวัคซีนได้คือ สัตว์ที่มีสุขภาพดี ....
...โดยธรรมชาติของการระบาดภายในฟาร์ม....พบสัตว์ป่วย เพียง 5 - 45 % ของฝูงและทะยอยป่วย...
...เกษตรกรจึงเกิดคำถามแล้วจะตัดสินใจอย่างไร...หรือทำอย่างไร ไม่ให้เกิดตัวป่วยเพิ่ม...
...ทำความรู้จักกับวัคซีนและการทำงานของร่างกายวัว ในเรื่องระบบภูมิคุ้มกันก่อน...·
ระบบภูมิคุ้มกัน แบ่งออกเป็น 2 ระบบย่อย
1. ระบบภูมิคุ้มกันแบบไม่จำเพาะเจาะจง
- มีความจำเพาะต่ำ ไม่มีการจดจำ (no memory) แต่มีการตอบสนองที่รวดเร็ว ประกอบด้วย ผิวหนังและเยื่อบุ
- เซลล์กลุ่ม phagocytes ได้แก่ นิวโทรฟิลและแมคโครฟาจ
- โปรตีนและสารน้ำ ได้แก่ ระบบคอมพลีเมนท์ พลาสมาโปรตีน และไซโตไคน์ แต่เมื่อระบบภูมิแบบไม่จำเพาะทำงานไม่ไหวแล้วต้องอาศัยแบบจำเพาะเข้ามาช่วย
2. ระบบภูมิคุ้มกันแบบจำเพาะเจาะจง
Cell-mediated immunity (CMI) -> อาศัยเซลล์
T lymphocytes T cell สร้างมาจากต่อม thymus
CD4+ T lymphocytes ช่วยเหลือการทำงานของเซลล์อื่นและควบคุมการตอบสนองทางภูมิคุ้มกัน หรือ CD 4 (MHC 2) helper T cell ทำหน้าที่เหมือนแม่ทัพใหญ่ของระบบภูมิคุ้มกัน
CD8+ T lymphocyte มีหน้าที่ทำลายเซลล์ที่มีการติดเชื้อ หรือCD 8 (MHC 1) cytotoxic T cell ทำหน้าที่เหมือนนักฆ่าที่ต้องทำงานในระยะประชิด
Humoral immunity (HI) -> อาศัยแอนติบอดี
B lymphocytes (แอนติบอดี) สร้างมาจากไขกระดูกซึ่งจะพัฒนาต่อไปเป็น Plasma cell ทำหน้าที่สร้างแอนติบอดีที่มีความจำเพาะมาก ๆ เปรียบเทียบได้กับผลธนู
IgM เป็นแอนติบอดีแรกที่สร้างขึ้นเมื่อร่างกายได้รับสิ่งแปลกปลอม มีความจำเพาะต่ำ
IgG เป็นแอนติบอดีหลักในเลือด แพร่ผ่านรกและน้ำนม มีความสำคัญต่อภูมิคุ้มกันในลูกสัตว์
IgA อยู่บริเวณเยื่อบุต่าง ๆ ป้องกันการติดเชื้อของระบบทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจ และผิวหนัง
IgE มีบทบาทในภาวะภูมิคุ้มกันไวเกิน ภูมิแพ้ และภูมิคุ้มกันต่อพยาธิ
เมื่อแอนติเจน (antigen) ซึ่งอาจเป็นเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่เนื้อเยื่อในร่างกาย จะกระตุ้นกลไกการต่อต้านหรือทำลายสิ่งแปลกปลอมแบบจำเพาะ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว 2 ชนิด คือ เซลล์บี (B cell) และ เซลล์ที (T cell) เซลล์บีและเซลล์ทีจะจับกับแอนติเจนอย่างจำเพาะ และจะกระตุ้นให้เซลล์บีพัฒนาไปเป็นเซลล์พลาสมา (plasma cell) ทำหน้าที่สร้างและหลั่งแอนติบอดี (antibody) สำหรับเซลล์ทีที่ถูกกระตุ้นมีหลายชนิดและทำหน้าที่ต่างกัน เช่น
- เซลล์ทีที่ทำลายเซลล์แปลกปลอมหรือเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัส (cytotoxic T cell)
- เซลล์ทีผู้ช่วย (helper T cell) ซึ่งกระตุ้นการทำงานและการแบ่งเซลล์ของเซลล์เม็ดเลือดขาว
ในการตอบสนองดังกล่าวเซลล์บีและเซลล์ทีบางส่วนจะพัฒนาไปเป็นเซลล์ความจำ (memory Cell) ที่มีความจำเพาะต่อแอนติเจนนั้น ทำให้เมื่อได้รับแอนติเจนชนิดเดิมอีกในครั้งต่อไป จะตอบสนองและสร้างแอนติบอดีได้อย่างรวดเร็ว
การใช้วัคซีน
วัคซีน หมายถึง สารหรือแอนติเจนที่ได้จากเชื้อ หรือส่วนประกอบของเชื้อที่เมื่อให้เข้าไปในร่างกายแล้ว สามารถกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อแอนติเจนนั้นและสามารถช่วยป้องกันการเกิดโรคที่เกิดจากจุลชีพต้นแบบนั้นได้ (protective immunity)
ประเภทวัคซีน
วัคซีนเชื้อเป็น (Modified live vaccine)
- การนำเชื้อที่ยังมีชีวิตอยู่มาใช้เป็นวัคซีน
- สามารถเพิ่มจำนวนและสร้างแอนติเจนได้ภายในสัตว์ที่ได้รับวัคซีน
- กระตุ้นภูมิคุ้มกันชนิด CMI ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าวัคซีนเชื้อตาย
- สามารถให้ความคุ้มโรคที่ดีกว่า
- ใช้ปริมาณเชื้อต่อโด๊สน้อยกว่า
- ต้องเก็บรักษาที่อุณหภูมิต่ำ ทำให้เพิ่มต้นทุนโดยเฉพาะในประเทศเขตร้อน
- เชื้อในวัคซีนสามารถเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติหรือแลกเปลี่ยนชิ้นส่วนทางพันธุกรรมกับเชื้อที่อยู่ในพื้นที่จนเกิดเป็นเชื้อที่สามารถก่อโรค รุนแรงได้ (vaccine reversion)
- ในกรณีที่ฉีดให้กับสัตว์ที่ภูมิคุ้มกันไม่เต็มประสิทธิภาพ (immunocompromised) อาจทำให้สัตว์ป่วยได้
วัคซีนเชื้อตาย (Inactivated vaccine)
- วัคซีนที่ทำจากส่วนประกอบของเชื้อที่ไม่มีชีวิต
- ให้ความคุ้มโรคได้ไม่ดีเท่าวัคซีนเชื้อเป็น
- ต้องมีการให้ซ้ำหลายครั้ง
- เพิ่มโอกาสในการแพ้วัคซีน เพิ่มภาระงานและค่าใช้จ่ายข้อดี คือ มีความปลอดภัยสูง
- ความเสี่ยงของการเกิดโรคจากการใช้วัคซีนน้อย
- เก็บรักษาได้ง่าย
....วัคซีนที่ใช้เพื่อการป้องกันโรคลัมปีสกิน เป็น "วัคซีนเชื้อเป็น" ที่ให้ประสิทธิภาพการสร้างภูมิคุ้มกันมากกว่า"วัคซีนเชื้อตาย"...
ดังนั้น การใช้วัคซีนป้องกันโรคลัมปีสกิน...จำเป็นต้องทำในสัตว์ที่ยังไม่ป่วยเท่านั้น...
ตอบคำถามจากคำถามที่พบบ่อย
ควรเลือกวัคซีนที่มีลักษณะคุณสมบัติตรงกับเชื้อที่ระบาด (ซึ่งเชื้อที่มีการระบาดในประเทศไทย มีความใกล้เคียงกับเชื้อในวัคซีน) ควรเลือกวัคซีนที่มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการคุ้มโรค ผลิตจากแหล่งผลิตที่น่าเชื่อถือ รวมถึงต้องมีการควบคุมอุณหภูมิตลอดการขนส่ง
ฟาร์มที่อยู่ในพื้นที่ระบาดควรมีการฉีดวัคซีน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันในฝูง แต่ไม่ควรทำในสัตว์ที่ป่วยหรืออ่อนแอ
ไม่ควรน้ำนมจากแม่โคที่เป็นโรคมาให้ลูกสัตว์กิน เนื่องจากเชื้อไวรัสติดผ่านทางน้ำนมได้ หากมีความจำเป็น ต้องนำน้ำนมมาผ่านการฆ่าเชื้อด้วยความร้อนก่อน (65 องศาเซลเซียส นาน 30 นาที)
หลังจากทำวัคซีน สัตว์สามารถแสดงอาการคล้ายกับการติดเชื้อตามธรรมชาติได้ แต่ไม่รุนแรง เนื่องจากวัคซีนที่ใช้เป็นชนิดเชื้อเป็น
สัตว์ที่แสดงอาการอยู่ ไม่ควรอย่างยิ่งในการทำวัคซีน เนื่องจากจะเป็นการเพิ่มปริมาณไวรัสในตัวสัตว์ให้สูงมากขึ้น จะทำให้สัตว์แสดงอาการรุนแรงได้
ปัจจุบัน กรมปศุสัตว์ กำลังพิจารณาในการผลิตวัคซีนเพื่อใช้ในประเทศ ขณะนี้อยู่ในกระบวนการคัดเลือกวัคซีน การเพิ่มขยายเชื้อ การทดสอบประสิทธิภาพและความคุ้มโรค
วิธีคัดกรองสัตว์ป่วยกับที่ดีที่สุด คือ สังเกตอาการ เช่น ต่อมน้ำเหลืองบวมโต และตุ่มนูนที่ผิวหนัง
การใช้วัคซีน Neethling type สามารถสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสลัมปี สกิน ได้ทุกชนิดเนื่องจากเชื้อไม่ได้มีหลาย serotype
สัตว์ที่หายป่วยจะมีภูมิคุ้มกัน CMI ตลอดชีวิต และ HI ประมาณ 8 เดือน อาจไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนซ้ำในตัวที่หายป่วย
ถ้าอยากมั่นใจว่าสัตว์ที่หายป่วยนั้นจะมีภูมิคุ้มกันสูง และอยู่ในระดับที่คงที่ควรฉีดวัคซีนกระตุ้นซ้ำทุกปี
โอกาสพบไวรัสจากวัคซีนในเลือด น้ำเชื้อ น้ำนม มีน้อย มีรายงานพบประมาณ 28 วัน
การเกิด recombination ของเชื้อไวรัสลัมปี สกิน มีโอกาสเกิดได้น้อยมาก เคยมีรายงานพบได้จากการทดลอง
ตัวที่พบตุ่มขึ้น จะมีภูมิคุ้มกันอย่างแน่นอน ซึ่งภูมิอยู่ได้นานอย่างน้อย 2 เดือน ส่วนเพื่อนร่วมฝูงที่ไม่แสดงอาการ บางตัวก็มีภูมิ บางตัวก็ไม่มีภูมิ
ตัวที่มีภูมิแสดงว่ามีการติดเชื้อมาก่อน โดยไม่แสดงอาการ (subclinical) บางตัวที่ไม่มีอาการ สามารถเจอเชื้อในเลือดด้วย ควรเฝ้าระวัง เพราะสามารถแพร่เชื้อให้ตัวอื่นได้ หลังจากนี้ยังต้องมีการเจาะดูอย่างต่อเนื่องไปอีก ตัวที่ภูมิยังไม่ขึ้นในการเจาะครั้งแรก สัตว์อาจจะอยู่ในช่วง early stage of infection
PCR เจอเชื้อในเลือดได้ก่อนภูมิขึ้น แต่มีข้อจำกัดนะเพราะ viremia เป็นแบบ intermittent อาจจะเจอบ้าง ไม่เจอบ้าง
13 . ถ้าจะทำวัคซีน LSD ในสัตว์ที่เคยป่วยด้วยโรค LSD ต้องรอให้สัตว์หายแล้วนานอย่างน้อย 150-180 วัน
14. สัตว์บางตัวเป็นแล้วเป็นช้ำได้ เนื่องจาก ภูมิยังไม่ขึ้นหรือขึ้นแต่ไม่ดีพอ และรอบที่สอง ปริมาณไวรัสเยอะมาก
15. โรค LSD ทำให้ภูมิตก ดังนั้น ในโคนมจึงส่งผลให้ SCC เพิ่มสูงขึ้นได้
***เพื่อความมั่นใจ ปรึกษาสัตวแพทย์ ยอมรับผลข้างเคียง ***