ข้อกังวลและข้อควรระวัง ความปลอดภัย : ผลิตภัณฑ์โกโก้และช็อกโกแลตโดยทั่วไปมีความปลอดภัยสูง โดยจากการศึกษาเป็น 3 เดือนในผู้ชายและผู้หญิงที่มีสุขภาพแข็งแรง พบว่าการได้รับโกโก้ฟลาวานอลสูงถึง 1,000-2,000 มก. พบว่ามีความปลอดภัย ความดันโลหิตไม่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงการทำงานของเกล็ดเลือด คอเลสเตอรอล หรืออัตราการเต้นของหัวใจ (อ้างอิง 19) โปรดจำไว้ว่าผลิตภัณฑ์จากโกโก้บางชนิด โดยเฉพาะช็อกโกแลตจะมีน้ำตาลและไขมันในปริมาณสูงและให้แคลอรีจำนวนมาก ดังนั้นจึงควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ เนื่องจากน้ำตาล ไขมัน และแคลอรีมากเกินไปอาจลบล้างประโยชน์เชิงบวกของสารฟลาวานอลในโกโก้ได้ ฤทธิ์ต้านเกล็ดเลือด : อาจทำให้เลือดแข็งตัวช้าในผู้ที่มีสุขภาพดีและอาจเพิ่มผลกระทบของยาต้านเกล็ดเลือดบางชนิด เพราะการศึกษาพบว่าการบริโภคดาร์กช็อกโกแลต 30 กรัม (โกโก้ 65%) ทุกวัน เป็นเวลา 1 สัปดาห์ มีผลเพิ่มฤทธิ์ของยาต้านเกล็ดเลือดโคลพิโดเกรล (Clopidogrel) หรือ Plavix® อย่างมีนัยสำคัญ และยังมีผลเพิ่มฤทธิ์ต้านเกล็ดเลือดของยาแอสไพรินด้วยเล็กน้อย (อ้างอิง 17) อาจกระตุ้นไมเกรน : มีรายงานการบริโภคโกโก้และ/หรือช็อกโกแลตแล้วกระตุ้นให้เกิดไมเกรนได้ในบางคน อย่างไรก็ตาม หลักฐานในเรื่องนี้มีปะปนกันไปและยังไม่มีความชัดเจนว่าโกโก้กระตุ้นให้เกิดไมเกรนได้อย่างไร แต่จากการศึกษา เราพบว่าโกโก้มีเอมีน Phenylethylamine และ Tyramine (ประมาณ 0.1-2.8 ไมโครกรัม/กรัม และ 3.6-8.3 ไมโครกรัม/กรัม ตามลำดับ) ซึ่งพบได้ในอาหาร เช่น ไวน์และชีส ซึ่งผู้ที่เป็นไมเกรนมักได้รับคำแนะนำว่าให้หลีกเลี่ยง และโกโก้ยังมีผลเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังสมอง ซึ่งในทางทฤษฎีแล้วอาจกระตุ้นให้เกิดไมเกรนได้ในบางคน (อ้างอิง 60) อย่างไรก็ตาม การศึกษาทางคลินิกในผู้ที่เป็นไมเกรนก็มีผลลัพธ์ที่หลากหลาย โดยบางรายงานพบว่ามีอุบัติการณ์การเกิดไมเกรนเพิ่มขึ้น แต่บางรายงานบางรายก็พบว่าไม่มี (อ้างอิง 97, 98, 99) หรืออย่างในการศึกษาทดลองทางคลินิกที่ควบคุมด้วยยาหลอก ก็พบว่าการบริโภคช็อกโกแลต 44-62 กรัม ไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงของไมเกรนในผู้ที่มีประวัติเป็นไมเกรน เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก (100) อาจกระตุ้นสิว : แม้ว่าการศึกษาบางส่วนที่บริโภคช็อกโกแลตแท่งไม่พบว่าทำให้สิวแย่ลงหรือกระตุ้นการเกิดสิว แต่การศึกษาขนาดเล็กที่ควบคุมด้วยยาหลอกที่ให้ผงโกโก้ 100% ในผู้ชายอายุ 18-35 ปี พบความสัมพันธ์ในระดับปานกลางของจำนวนสิวที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มที่ได้รับโกโก้ เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก โดยผู้วิจัยสรุปว่าในผู้ชายที่เป็นสิวง่าย การบริโภคช็อกโกแลตมีความสัมพันธ์กับการกำเริบของสิวที่มากขึ้น (101) ออกซาเลตกับความเสี่ยงนิ่วในไต : มูลนิธิโรคไต (The National Kidney Foundation) แนะนำให้ผู้ที่มีแนวโน้มที่จะเกิดนิ่วในไตจากแคลเซียมออกซาเลต (นิ่วในไตชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด) ให้หลีกเลี่ยงการบริโภคโกโก้และช็อกโกแลต เนื่องจากในโกโก้และช็อกโกแลตมีปริมาณของออกซาเลตในระดับปานกลางถึงสูง ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพได้ในบางคน โดยในการศึกษาเล็ก ๆ ในกลุ่มผู้หญิงที่บริโภคดาร์กช็อกโกแลต 68 กรัม (โกโก้ 72%) มีผลเพิ่มปริมาณออกซาเลตในปัสสาวะโดยเฉลี่ย 69% ในช่วงเวลา 6 ชั่วโมง เมื่อเทียบกับตอนที่ไม่ได้บริโภค (102) โดยปริมาณออกซาเลตในผงโกโก้ 1 ช้อนโต๊ะจะมีประมาณ 36 มก. ในขณะที่ดาร์กช็อกโกแลต 50 กรัมอาจมีออกซาเลตถึง 100 มก. ซึ่งเหล่านี้คือว่าใกล้เคียงหรือเกินจากปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน (โดยปกติแล้วควรจำกัดปริมาณออกซาเลตจากอาหารอยู่ที่ 50-80 มก./วัน) คาเฟอีนและธีโอโบรมีน (Caffeine & Theobromine) : ปริมาณของสารทั้งสองนี้ที่พบในโกโก้และช็อกโกแลตอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ในบางคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรับประทานในขณะที่ท้องว่าง เช่น แสบร้อนกลางอก โรคกระเพาะ นอนไม่หลับ วิตกกังวล และหัวใจเต้นผิดจังหวะในบางคน นอกจากนี้ การบริโภคโกโก้วันละ 50-100 กรัมต่อวัน (ให้ธีโอโบรมีน 800-1,500 มก.) อาจทำให้เกิดอาการตัวสั่น เหงื่อออก ปวดศีรษะอย่างรุนแรง (103) อาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้และอาเจียนในบางคน (104) หรืออาจเป็นปัญหาสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด (มีผลเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดเมื่อได้รับในขนาดวันละ 500 มก. เป็นเวลา 4 สัปดาห์) ในผู้ที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้จึงควรจำกัดการบริโภคดาร์กช็อกโกแลตไม่ให้เกิน 2 มื้อ/สัปดาห์ ส่วนในสัตว์เลี้ยง คาเฟอีนและธีโอโบรมีนยังเป็นพิษต่อสุนัขและแมว (โดยเฉพาะดาร์กช็อกโกแลต) ทำให้สุนัขและแมวเกิดอาการกระหายน้ำมาก อาเจียน ท้องเสีย ท้องอืด และกระวนกระวาย ซึ่งอาจนำไปสู่อาการชัก โคม่า และตายได้ จึงห้ามให้นำมาให้สัตว์เลี้ยงกิน แคดเมียม (Cadmium) : สหภาพยุโรปได้กำหนดขีดจำกัดของแคดเมียมไว้ที่ 0.6 ไมโครกรัม/ผงโกโก้หนึ่งกรัม (แคดเมียมในช็อกโกแลตที่มีโกโก้ 30-50% คือ 0.3 ไมโครกรัม/กรัม ส่วนช็อกโกแลตที่มีโกโก้มากกว่า 50% อย่างดาร์กช็อกโกแลต คือ 0.8 ไมโครกรัม/กรัม ส่วนในช็อกโกแลตนมจะอยู่ที่ 0.1 ไมโครกรัม/กรัม เนื่องจากมีความกังวลเป็นพิเศษในเด็กที่มักกินช็อกโกแลตนมมากกว่าดาร์กช็อกโกแลต) การศึกษาที่ตีพิมพ์ในปี 2018 โดยนักวิจัยจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาได้ตรวจผลิตภัณฑ์โกโก้และช็อกโกแลตจำนวน 144 รายการ (ไม่ระบุยี่ห้อ) ที่จำหน่ายในสหรัฐอเมริกา แล้วพบว่าความเข้มข้นของแคดเมียมสูงสุดในผงโกโก้เฉลี่ยอยู่ที่ 0.7 ไมโครกรัม/กรัม), โกโก้นิบส์เฉลี่ย 0.62 ไมโครกรัม/กรัม, ดาร์กช็อกโกแลตเฉลี่ย 0.27 ไมโครกรัม/กรัม และช็อกโกแลตนมในระดับต่ำมาก คือ เฉลี่ย 0.06 ไมโครกรัม/กรัม (105) แคดเมียมเป็นหนึ่งในสารก่อมะเร็งที่อาจเป็นพิษต่อไต สามารถทำให้กระดูกอ่อนลง ทำให้เกิดอาการปวดกระดูก และอาจส่งผลต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์ ในผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนัก 150 ปอนด์สามารถทนต่อการสัมผัสแคดเมียมอย่างต่อเนื่องทุกวัน (นั่นคือ จากแหล่งรับสัมผัสทั้งหมด เช่น อาหาร เครื่องดื่ม อากาศ) ได้ถึง 25 ไมโครกรัม ในขณะที่เด็กที่มีน้ำหนักเพียงครึ่งหนึ่งสามารถทนได้ ประมาณ 12 ไมโครกรัม (106) ผลิตภัณฑ์ “ออร์แกนิก” โดยทั่วไปมักมีการปนเปื้อนแคดเมียมมากกว่าผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่ออร์แกนิก เพราะปริมาณแคดเมียมในเมล็ดโกโก้จะเพิ่มขึ้นตามปริมาณแคดเมียมในดินที่ปลูกและเมื่อดินมีความเป็นกรดเพิ่มขึ้น (107) นิกเกิล (Nickel) : ผงโกโก้และช็อกโกแลตมักมีนิกเกิลค่อนข้างสูงและอาจก่อให้เกิดผื่นแพ้สัมผัส (Allergic contact dermatitis) ในบุคคลที่ไวต่อนิกเกิล ซึ่งมักจะเกิดขึ้นเมื่อรับประทานเข้าไปในปริมาณมากหรือร่วมกับอาหารอื่น ๆ ที่มีนิกเกิลสูง เช่น ถั่วและถั่วต่างๆ อาหารกระป๋อง หอย ข้าวโอ๊ต (รวมถึงกราโนลา) ถั่วลิสง เฮเซลนัท วอลนัท และเมล็ดทานตะวัน (108) สารตะกั่วและสารหนู (Lead & Arsenic) : อาจมีพบบ้างเล็กน้อยในโกโก้และช็อกโกแลต (เกี่ยวข้องกับการเก็บเกี่ยวและกระบวนการผลิต) แต่ทุกยี่ห้อจากหลายการทดสอบมักมีปริมาณไม่เกินค่ามาตรฐาน อะคริลาไมด์ (Acrylamide) : เป็นสารที่เป็นพิษต่อระบบประสาทและน่าจะเป็นสารก่อมะเร็งที่เกิดขึ้นเมื่อเมล็ดโกโก้ถูกคั่ว (เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการผลิตทั่วไป) การทดสอบขององค์การอาหารและยาในปี 2002 พบปริมาณอะคริลาไมด์ในผงโกโก้และช็อกโกแลตแท่งต่าง ๆ มีตั้งแต่ 0.29-4.5 ไมโครกรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค อะคริลาไมด์ในปริมาณเพียงเล็กน้อยก็อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเนื้องอกได้ ทำให้รัฐแคลิฟอร์เนียต้องมีฉลากเตือนบนอาหารที่มีอะคริลาไมด์มากกว่า 0.2 ไมโครกรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภคต่อวัน แม้ว่าจะมีความเสี่ยงเพียงเล็กน้อยต่อระบบประสาทหากได้รับน้อยกว่าวันละ 140 ไมโครกรัมก็ตาม (109) โอคราทอกซิน เอ (Ochratoxin A) : เมล็ดโกโก้สามารถปนเปื้อนเชื้อราซึ่งผลิตสารพิษได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกระบวนการอบแห้งและการเก็บรักษา โดย Ochratoxin A นี้เป็นสารก่อมะเร็งและเป็นพิษต่อไต เป็นหนึ่งในสารพิษจากเชื้อราที่พบได้บ่อยที่สุดในเมล็ดโกโก้ อย่างไรก็ตาม สารพิษนี้ส่วนใหญ่จะพบในเปลือกของเมล็ดถั่ว ซึ่งจะถูกคัดออกระหว่างการผลิต โดยจากการวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์โกโก้และช็อกโกแลตรวม 85 รายการที่ขายในแคนาดาในระหว่างปี 2011-2012 พบว่ามีผงโกโก้เพียง 2 รายการที่มีปริมาณสาร Ochratoxin A เกินขีดจำกัดของยุโรป (110) ส่วนผสมของนมในดาร์กช็อกโกแลต (ควรระวังในผู้ที่แพ้นม) : ในผู้ที่แพ้นมควรระวังว่าดาร์กช็อกโกแลตแท่งที่อาจมีนมเป็นส่วนผสมอยู่ เนื่องจากผลการทดสอบที่เผยแพร่ในปี 2020 โดย FDA กับดาร์กช็อกโกแลตแท่งและช็อกโกแลตชิปจำนวน 119 รายการที่ในฉลากระบุว่า “ปราศจากนม” พบว่าในจำนวนเหล่านี้มีประมาณถึง 10% ที่มีนมผสมอยู่ด้วย (111)
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/cocoa-and-dark-chocolate/ | Medthai