เลขที่ 12/4หมู่ 4 ต.ทรายมูล อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ 50130 โทร. 08 - 1530-4762
โกโก้ เป็นพืชเขตร้อน เจริญเติบโตได้ดีในที่ๆมีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 25-28 องศาเซลเซียส ต้นโกโก้ต้องการน้ำสม่ำเสมอ พื้นที่ๆเหมาะสมในการปลูกต้นโกโก้ ควรมีฝนตกสม่ำเสมอตลอดทั้งปี หรือควรมีแหล่งน้ำเพียงพอสำหรับต้นโกโก้ ดินที่เหมาะสมในการปลูกต้นโกโก้ควรมีหน้าดินลึกไม่น้อยกว่า 1.5 เมตร pH ประมาณ 6.5 ต้นโกโก้ชอบดินที่สามารถระบายน้ำดี แต่ต้นโกโก้ก็สามารถทนน้ำท่วมขังได้ถึง 5 เดือน โกโก้เป็นพืชที่ต้องการร่มเงาพอสมควร โดยเฉพาะในช่วงระยะเวลาที่ต้นยังเล็กอยู่
แหล่งกำเนิดของโกโก้ โกโก้มีแหล่งกำเนิดอยู่บริเวณเขตร้อนชื้นของทวีปอเมริกาโดยเฉพาะแถบลุ่มน้ำอเมซอน และบางส่วน ในทวีปอเมริกากลาง ซึ่งพบว่าชาวอินเดียนแดงเป็นพวกแรกที่ทำการปลูกโกโก้และนำเมล็ดมาทำ
เครื่องดื่มของพระเจ้า โดยเรียกเมล็ดโกโก้ว่า “Cacahualt” ต่อมาผันเป็นชื่อ “Cacao” (คาเคา) ส่วนเครื่องดื่มที่ผลิตได้จาก เมล็ดโกโก้เรียกวา “Xocoatl” ต่อมาผันเป็นชื่อ “Chocolate” (ช็อกโกแลต) ชาวสเปนเป็นชาติแรกที่เริ่มทำ
เครื่องดื่มจากเมล็ดโกโก้โดยผสมกับน้ำตาลจากอ้อยทำเป็นเครื่องดื่ม ซึ่งต่อมาเป็นที่นิยมกันมากในแถบยุโรป
จนสิ้นศตวรรษที่ 16 ได้มีการเพาะปลูกโกโก้กันอย่างจริงจัง ในแถบร้อนชื้นของทวีปอเมริกา ได้แก่ ประเทศ โคลัมเบีย เวเนซุเอลา เม็กซิโก ทรินิแดดและเอกวาดอร์ ต่อมาได้มีการนำโกโก้เข้าไปปลูกตามแหล่งปลูกต่าง ๆ
ในอาณานิคมของสเปน ดัตซและโปรตุเกส สำหรับเอเชีย ชาวดัตชและชาวสเปนได้นำโกโก้เข้ามาปลูกในประเทศอินโดนีเซียและ ฟลิปปินส์ เป็นครั้งแรกในปีค.ศ. 1895 จากนั้น ปี ค.ศ. 1950 ได้เริ่มนำโกโก้สายพันธุ์ อมีโลนาโด้ (Amelonado) จากศูนย์วิจัยโกโก้ ประเทศกานามาปลูกและพบว่าต้นโกโก้เจริญเติบโตได้ดีและสามารถให้ผลผลิต
ในปีที่ 2 หลังการปลูก ส่วนการปลูกเชิงการค้า เริ่มครั้งแรกในปค.ศ. 1956 โดยบริษัทบอร์เนียว อาบากา ได้ทำการปลูกต้นโกโก้บริเวณเทือกเขา Tiger ทางตะวันออก เฉียง เหนือของเมือง Tawau และบริเวณ Quoin Hill ซึ่งเป็นของบริษัทบอมเบย์ เบอร์ม่า ทิมเบอร์ ในประเทศไทยโกโก้ ถูกนำเขามาปลูกครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ.2446 โดยหลวงราชเคนิกร (วิทย์, 2527) แต่ไม่ได้รับความสนใจเนื่องจากไม่ทราบถึงการนำมาใช้ประโยชน์ ต่อมาในปี 2495
กรมกสิกรรม (กรมวิชาการ เกษตร ในปจจุบัน) ได้นำเมล็ดพันธุ์โกโก้ มาจากต่างประเทศ นำมาปลูกที่สถานีกสิกรรมจำนวน 4 แห่ง คือ สถานีกสิกรรมบางกอกนอย กรุงเทพฯ สถานีกสิกรรมพลิ้ว จังหวัดจันทบุรี สถานียางคอหงส์ จังหวัดสงขลา และสวนยางนาบอน จังหวัดนครศรีธรรมราช แต่ไม่ได้มีความนิยม ต่อมาในปี2515 กรมกสิกรรม
เริ่มนำพันธุ์โกโก้จากต่างประเทศเข้ามาปลูกและทำการศึกษาอย่างจริงจังที่สถานีทดลองยางในชอง (ปัจจุบัน คือ ศูนยวิจัยและพัฒนาการเกษตรกระบี่) ใน ปี พ.ศ. 2522 พ.ต.อ.กฤช สังขทรัพย รัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นำผลโกโก้ จำนวน14 พันธุ์ และกิ่งพันธุ์โกโก้ จำนวน 10 พันธุ์ จากรัฐซาบาห์ประเทศมาเลเซีย มาปลูกที่สถานีทดลองพืชสวนสวี (ปจจุบัน คือ ศูนย์วิจัยพืชสวนชุมพร) และ พ.ศ. 2525 กองพืชสวน กรม วิชาการเกษตร โดย นายวิทย์ สุวรรณวุธ ได้นำกิ่งพันธุโกโก้จำนวน 18 สายพันธุ์จากสถานีวิจัยพืชสวนกึ่งรอน (Sub-Tropical Horticulture Research Station) รัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา เขามาทดลองปลูกที่สถานีทดลองพืชสวนสวี พ.ศ.2535 นายอานุภาพ ธีระกุล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยพืชสวนชุมพร ได้นำเขากิ่งพันธุ์ โกโก้จำนวน 10 สายพันธุ์ จากมหาวิทยาลัยรีดดิ้ง (Reading University) ประเทศอังกฤษ มาปลูกที่ศูนย์วิจัยพืชสวนชุมพร ซึ่งเป็นแหล่งรวบรวมพันธุ์โกโก้ของไทยในปัจจุบัน และขยายไปปลูกอย่างแพร่หลายตามจังหวัดต่างๆ ทั้งในภาคใต้ ภาคตะวันตกและภาคตะวันออก โดยได้เริ่มต้นปลูก ต้นโกโก้ ในลักษณะของโครงการต่าง ๆ ที่ดำเนินการ โดยภาครัฐ ในส่วนของกรมวิชาการเกษตรไดศึกษาวิจัยด้านการปรับปรุงพันธุ์โกโก้ ซึ่งดำเนินการโดยศูนย์วิจัย พืชสวนชุมพร บุคคลที่มี
ส่วนสำคัญ คือ นายผานิต งานกรณาธิการ อดีตนักวิชาการเกษตรชำนาญการพิเศษ ได้ทำการทดสอบและคัดเลือกพันธุ์โกโก้ จนได้การรับรองพันธุ์จากกรมวิชาการเกษตร คือ พันธุ์โกโก้ลูกผสมชุมพร 1 ที่เป็นพันธุ์การค้าในปัจจุบัน และศูนย์วิจัยพืชสวนชุมพรได้ดำเนินการวิจัยด้านพันธุ์เทคโนโลยีการผลิต และ การแปรรูปอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
พันธุ์ลูกผสม I.M.1
พันธุ์ลูกผสม ชุมพร 1
สายพันธุ์พันธุ์โกโก้
สายพันธุ์พันธุ์โกโก้ ที่ปลูกสามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
1. ครีโอโล (Criollo) : ผลค่อนข้างใหญ่ สีแดง หรือออกเหลือง เปลือกบาง ผิวขรุขระ ก้นผลแหลม เมล็ดใหญ่
สีขาว หรือม่วงอ่อน และมีกลิ่นหอม เป็นพันธุ์ที่อุตสาหกรรมช็อคโกแลตต้องการมาก แต่ไม่ทนต่อโรคแมลง จึงไม่
เป็นที่นิยมปลูกในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
2. พันธุ์ Forastero ลักษณะผลสั้น ผลสุกสีเหลือง ผิวเรียบไม่ขรุขระ มีร่องตื้น ๆ ตามแนวผล ให้ผลผลิต
สูงกว่า Criollo แบ่งเป็น 2 กลุ่มย่อย คือ
2.1 เวสแอฟริกัน อมิโลนาโด (West African Amelonado) : เป็นพันธุ์ที่นิยมปลูกมากที่สุดในปัจจุบัน สามารถผสมตัวเองได้ และเมื่อปลูกด้วยเมล็ด มักไม่กลายพันธุ์ ทนทานต่อโรค แมลงได้ดี แต่มักอ่อนแอต่อโรค ยอดแห้งและกิ่งแห้ง โกโก้พันธุ์นี้ให้ผลผลิตสูง เป็นที่ต้องการของตลาดมาก ลักษณะของผลมีสีเขียว ค่อนข้างยาว เมื่อแก่มีสีเหลือง เปลือกหนา ก้นมน เมล็ดสีม่วงเข้ม ค่อนข้างแบน
2.2 อัพเปอร์ อเมซอน (Upper Amazon): ผลสีเขียว เมื่อแก่เป็นสีเหลือง เมล็ดสีม่วงเข้ม ให้ผลผลิต
สูงกว่า และเร็วกว่า พันธุ์อมิโลนาโด
2.3 ทรีนิ ตาริโอ (Trinitario) : เป็นพันธุ์ลูกผสมระหว่าง Amelonado กับ Criollo คุณภาพเมล็ดสูงกว่าพันธุ์ อมิโลนาโด และต้านทานโรคแมลงแต่ผลผลิตต่ำกว่า Forastero และเป็นพันธุ์ที่ต้องการผสมข้ามต้น ขยายพันธุ์ โดยการติดตา หรือปักชำ
สำหรับในประเทศไทย มีการพัฒนาสายพันธุ์ลูกผสม ออกมาอย่างน้อย 2 สายพันธุ์คือ
1. พันธุ์ลูกผสม ชุมพร 1 : ให้ผลผลิตสูงและคุณภาพเมล็ดดี โดยให้ผลผลิตเมล็ดโกโก้แห้งสูงสุดตลอดเวลา
การทดลอง 13 ปี สูงกว่าพันธุ์ที่เกษตรกรปลูกประมาณ 31.4% ให้ผลผลิตเฉลี่ย 127.2 กก./ไร่ เมล็ดมีเปอร์เซ็นต์ไขมันสูงประมาณ 57.27% ลักษณะผล ป้อม ไม่มีคอและก้นไม่แหลม ผิวผลเรียบ ร่องค่อนข้างตื้นเมล็ดมีเนื้อในเป็นสีม่วง มีความทนทานต่อโรคกิ่งแห้งค่อนข้างสูง ทนทานต่อโรคผลเน่าดำปานกลาง ลักษณะการผสมเกสร เป็นพวกผสมข้ามต้น ควรปลูกลูกผสมพันธุ์อื่นร่วมด้วยอย่างน้อย 1 พันธุ์ในแปลงเดียวกัน โดยปลูกคละปนกันไปเพื่อประโยชน์ในการผสมเกสร
2. พันธุ์ลูกผสม I.M.1 พัฒนาพันธุ์ โดย ดร.สัณห์ ละอองศรี สาขาไม้ผล ภาควิชาพืชสวน คณะผลิตกรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่ ลักษณะเด่นคือ เจริญเติบโตเร็ว ทนแล้ง เหมาะสำหรับปลูกในเขตภาคกลาง เหนือและอีสาน ให้ผลผลิตสูง เริ่มออกดอกติดผลและเก็บเกี่ยวได้ในปีที่ 3 หลังจากปลูก เมล็ดแห้ง มีขนาดและคุณภาพตรงกับความต้องการของตลาด เมล็ดมีปริมาณไขมันสูงเฉลี่ย 52 เปอร์เซ็นต์
ที่มา : http://gg.gg/13iqfu