ISO 50001:2018 คืออะไร?
ISO 50001:2018 คือมาตรฐานสากลสำหรับระบบการจัดการพลังงาน (Energy Management System: EnMS) ที่องค์กรนำไปใช้เพื่อปรับปรุงสมรรถนะด้านพลังงานอย่างต่อเนื่อง
วงจร Plan-Do-Check-Act (PDCA) สำหรับการปรับปรุงกระบวนการสอดคล้องกับแนวทางการบริหารความเสี่ยงที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว หลายองค์กรใช้การบริหารความเสี่ยงเป็นกระบวนการพื้นฐาน โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ การเงิน และอาชีวอนามัยและความปลอดภัย
แนวคิดการบริหารจัดการตามความเสี่ยงโดยธรรมชาติ ดังนี้:
หนึ่งในขั้นตอนแรกของการดำเนิน ระบบการจัดการพลังงาน (EnMS) คือการทำความเข้าใจ "บริบท" ขององค์กร หรือประเด็นสำคัญที่มีผลกระทบต่อองค์กร เช่น ความมั่นคงของการจัดหาพลังงาน
องค์กรต้องเผชิญกับอิทธิพลที่หลากหลายและเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสี่ยงในรูปแบบของภัยคุกคามและโอกาส การระบุความเสี่ยงเหล่านี้จะช่วยให้องค์กรพิจารณาถึง การเปลี่ยนแปลง เหตุการณ์ และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น เพื่อวางแผนหรือกำหนดกลยุทธ์การลดความเสี่ยง
การวางแผน – ความเสี่ยงและโอกาส (Planning – Risk and Opportunities):
องค์กรที่ต้องการแนวทางที่ครอบคลุมในการประเมินความเสี่ยงสามารถใช้ ISO 31000 Risk Management – Principles and Guidelines
ให้แนวทางทั่วไปเกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยง
ไม่ได้มุ่งเน้นให้ทุกองค์กรใช้แนวทางเดียวกัน แต่สามารถปรับให้เหมาะสมกับองค์กรแต่ละแห่ง
การออกแบบและดำเนินแผนการบริหารความเสี่ยงต้องคำนึงถึง บริบท วัตถุประสงค์ โครงสร้าง กระบวนการ การดำเนินงาน และทรัพยากรเฉพาะขององค์กร
การวางแผน – กฎหมายและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง (Planning – Legal and Other Requirements):
การประเมินว่าองค์กรปฏิบัติตามกฎหมายด้านพลังงานหรือไม่นั้นเป็นสิ่งสำคัญ
การรักษาความรู้เกี่ยวกับข้อกำหนดทางกฎหมายและสถานะการปฏิบัติตามข้อกำหนดช่วยสร้างแนวทางการบริหารความเสี่ยง
องค์กรสามารถตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อกำหนดและเข้าใจว่าความเสี่ยงมาจากที่ใด
จากนั้นสามารถพัฒนากลยุทธ์เพื่อลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องได้
การปรับปรุง – การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง (Improvement – Continual Improvement):
แนวคิดที่ยึดตามความเสี่ยงช่วยให้องค์กรเตรียมพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอน เช่น เสถียรภาพของแหล่งพลังงาน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่นขององค์กร
แนวทางที่ยึดตามความเสี่ยง สนับสนุนการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
องค์กรต้องมีการประเมิน อิทธิพลภายนอกและภายในอยู่เสมอ เพื่อพัฒนาแนวทางที่ดีที่สุดสำหรับการบริหารพลังงาน
บางองค์กรที่นำระบบการจัดการพลังงาน (EnMS) มาใช้ อาจต้องการผนวกรวมเข้ากับ ระบบบริหารคุณภาพ (QMS) หรือ ระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม (EMS) หากเป็นกรณีนี้ องค์กรจะคุ้นเคยกับแนวคิด "การคิดแบบกระบวนการ (Process-Based Thinking)" แต่หากไม่มีพื้นฐานด้านนี้ อาจไม่ชัดเจนว่าการใช้แนวทางกระบวนการสามารถนำมาปรับใช้กับข้อกำหนดของ EnMS ใน ISO 50001 ได้อย่างไร
ข้อกำหนดของ ISO 9001 สำหรับ QMS อิงอยู่บนหลักการบริหารคุณภาพ 7 ประการ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ "Process Approach" โดยในบทนำของมาตรฐาน ISO 9001 อธิบายแนวคิดนี้ไว้ว่า: เป็นแนวทางที่ช่วยให้องค์กรได้รับผลลัพธ์ที่สม่ำเสมอมากขึ้น โดยต้องพิจารณาและบริหารจัดการกิจกรรมต่าง ๆ ในรูปแบบของกระบวนการที่เชื่อมโยงกัน ซึ่งร่วมกันสร้างเป็นระบบการจัดการ
Process Approach สามารถนำไปใช้กับ EnMS ได้ เนื่องจากองค์กรต้องมีความเข้าใจอย่างครอบคลุมเกี่ยวกับการใช้พลังงาน การบริโภคพลังงาน และอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานในกระบวนการขององค์กร
บริบทขององค์กร (Context)
องค์กรจำเป็นต้องเข้าใจ กระบวนการหลัก ที่เกี่ยวข้องกับการใช้พลังงาน และพิจารณาถึงประเด็นต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อองค์กรและการบริโภคพลังงาน
การสนับสนุนและความสามารถของบุคลากร (Support/Competence)
บุคลากรที่บริหารจัดการการใช้พลังงานต้องมีความสามารถที่เหมาะสม ต้องมีการพัฒนา ทักษะและความรู้ ที่จำเป็นสำหรับกระบวนการที่ใช้พลังงาน
หากบุคลากรไม่มีความสามารถที่เหมาะสม อาจทำให้เกิด การละเมิดข้อกำหนดทางกฎหมาย หรือส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
การทบทวนพลังงาน (Energy Review)
การประเมินพลังงานที่ครอบคลุม ต้องพิจารณาทั้งรูปแบบการใช้พลังงานในปัจจุบันและอดีต วิเคราะห์ การใช้และการบริโภคพลังงาน เพื่อระบุ Significant Energy Uses (SEUs) หรือ กระบวนการที่ใช้พลังงานมากเป็นพิเศษ
การตรวจสอบภายใน (Internal Audit)
กระบวนการต่าง ๆ ที่อยู่ภายใต้ EnMS ต้องถูกตรวจสอบอย่าง เป็นระบบ และดำเนินการ ตามระยะเวลาที่เหมาะสม การตรวจสอบช่วยให้องค์กรประเมินได้ว่า ระบบทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่
สมรรถนะและการเฝ้าระวัง (Performance and Monitoring)
องค์กรต้องมีการวิเคราะห์ข้อมูลพลังงานที่ได้จาก EnMS เพื่อติดตาม ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
การดำเนินการแก้ไข (Corrective Action)
การดำเนินการแก้ไขเป็นโอกาสในการ ปรับปรุงและแก้ไขปัญหาที่พบใน EnMS แนวทางกระบวนการเริ่มต้นจาก การวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาที่แท้จริง (Root Cause Analysis) ต้องดำเนินการจนได้แนวทางแก้ไขที่ยั่งยืนและเหมาะสม
ประโยชน์ของการดำเนินการตามมาตรฐาน ISO 50001
ในขณะที่ระบบการจัดการกระบวนการทางธุรกิจที่มีการวางแผนมาอย่างดีนั้นมีประโยชน์อยู่แล้ว การนำระบบการจัดการพลังงาน (EnMS) ที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐาน ISO 50001 จะให้ประโยชน์เฉพาะเพิ่มเติมดังต่อไปนี้:
1. กรอบการบริหารจัดการพลังงาน
ระบบ EnMS ที่มีประสิทธิภาพซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ทางธุรกิจขององค์กรจะช่วยให้สามารถมองเห็นการใช้พลังงานและพื้นที่ที่สามารถปรับปรุงได้ ช่วยกำหนดนโยบาย กระบวนการ ขั้นตอน และแผนปฏิบัติการเพื่อนำโอกาสในการประหยัดพลังงานมาใช้ การปรับปรุงการบริหารพลังงานอย่างต่อเนื่องจึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
2. การลดต้นทุน
การระบุปัจจัยที่สิ้นเปลืองพลังงานผ่านระบบ EnMS จะนำไปสู่การประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งช่วยลดต้นทุนโดยรวมของธุรกิจและอาจลดค่าใช้จ่ายได้อย่างมาก มีหลายกรณีที่องค์กรซึ่งดำเนินการตามมาตรฐาน ISO 50001 สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานในปีแรกได้เทียบเท่าหรือมากกว่าต้นทุนการดำเนินการตามมาตรฐาน
3. การลดการใช้พลังงาน
การลดต้นทุนและการลดการใช้พลังงานเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกันโดยตรง ด้วยการจัดการและปรับปรุง EnMS อย่างต่อเนื่อง องค์กรจะสามารถระบุโอกาสในการประหยัดพลังงาน รวมถึงการระบุ "การเก็บผลไม้ใกล้มือ" (Low-Hanging Fruit) ซึ่งเป็นโอกาสในการประหยัดพลังงานที่ง่ายและรวดเร็วได้
4. การลดการปล่อยคาร์บอน
หลายธุรกิจรายงานผลกระทบของตนต่อปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) หรือ "คาร์บอนฟุตพริ้นท์" แม้ว่าการลดการปล่อย CO2 จะไม่สามารถกล่าวได้ว่าเป็นเหตุผลหลักในการนำมาตรฐาน ISO 50001 มาใช้โดยตรง แต่การลดการใช้พลังงานย่อมมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร
5. การมีส่วนร่วมขององค์กร
แนวทาง "จากบนลงล่าง" (Top down) ของมาตรฐาน ISO 50001 ช่วยให้มั่นใจได้ว่าผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลักภายในองค์กรเข้าใจและสนับสนุนระบบ EnMS องค์กรมีแรงจูงใจในการบรรลุเป้าหมายด้านพลังงาน และสามารถใช้มาตรฐานนี้เพื่อกระตุ้นการมีส่วนร่วมของพนักงานคนอื่น ๆ ได้ด้วย
6. การเปรียบเทียบประสิทธิภาพ (Benchmarking)
ISO 50001 กำหนดให้องค์กรต้องกำหนดค่าพื้นฐานด้านพลังงาน (Energy Baseline) เพื่อใช้เป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพการใช้พลังงาน เมื่อมีค่าพื้นฐานแล้ว องค์กรสามารถติดตามและปรับปรุงประสิทธิภาพพลังงานได้ตลอดเวลา
7. การปฏิบัติตามกฎระเบียบ (Regulatory Compliance)
เช่นเดียวกับ ISO 14001 และ ISO 45001 มาตรฐาน ISO 50001 กำหนดให้องค์กรต้องระบุและเข้าถึงข้อกำหนดทางกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพพลังงาน การใช้พลังงาน และการใช้ทรัพยากร
8. ชื่อเสียงขององค์กร (Reputation)
การได้รับการรับรอง ISO 50001 สามารถเพิ่มชื่อเสียงขององค์กรได้โดยแสดงให้เห็นว่าธุรกิจมีความมุ่งมั่นในการปรับปรุงประสิทธิภาพพลังงานและลดการใช้พลังงานอย่างต่อเนื่อง เมื่อองค์กรได้รับการรับรองแล้ว จะสามารถใช้โลโก้ในเอกสารและสื่อประชาสัมพันธ์ขององค์กรเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้าและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
9. โอกาสทางการค้า (Commerciality)
ในตลาดที่มีการแข่งขันสูงขึ้นเรื่อย ๆ การได้รับการรับรองมาตรฐาน เช่น ISO 50001 อาจเป็นข้อกำหนดที่สำคัญสำหรับองค์กรที่ต้องการเสนอขายสินค้าและบริการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคสาธารณะ ซึ่งการมีมาตรฐานที่ได้รับการรับรองจะช่วยให้บริษัทมีโอกาสชนะสัญญาทางธุรกิจมากขึ้น