พระราชบัญญัติความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554
1. ให้แจ้งต่อพนักงานตรวจความปลอดภัยในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง หรือลูกจ้างประสบอันตรายจากการทำงาน
(1) กรณีที่ลูกจ้างเสียชีวิต
ให้แจ้งในทันทีที่ทราบฯ ต่อพนักงานตรวจความปลอดภัย (โดยโทรศัพท์โทรสารหรือวิธีอื่นที่มีรายละเอียดพอสมควร)
ให้แจ้งเป็นหนังสือฯ ภายใน 7 วันนับแต่วันที่ลูกจ้างเสียชีวิต
(2) กรณีเกิดเพลิงไหม้ การระเบิด สารเคมีรั่วไหลฯ
ให้แจ้งในทันทีที่ทราบฯ ต่อพนักงาน ตรวจความปลอดภัย (โดยโทรศัพท์ โทรสาร หรือวิธีอื่นที่มีรายละเอียดพอสมควร)
ให้แจ้งเป็นหนังสือฯ ภายใน 7 วันนับแต่วันเกิดเหตุ
(3) กรณีที่ลูกจ้าง ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ตามกฎหมาย ว่าด้วยเงินทดแทน
ให้แจ้งฯ ต่อสำนักงานประกันสังคม
ส่งสำเนาหนังสือ แจ้งนั้นต่อพนักงานตรวจความปลอดภัยภายใน 7 วัน
แบบ สปร. 5
แบบ กท. 16
2. จัดให้ลูกจ้างระดับบริหารหัวหน้างานและลูกจ้างทุกคน ได้รับการฝึกอบรมด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานฯ
(1) จัดให้ลูกจ้างทุกคนได้รับการฝึกอบรมก่อนเริ่มทำงาน ในกรณี
ลูกจ้างเข้าทำงานใหม่ต้องได้รับการฝึกอบรมตามหัวข้อฯ (6 ชั่วโมง)
ลูกจ้างเปลี่ยนงานเปลี่ยนสถานที่ทำงาน หรือเปลี่ยนแปลงเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ ซึ่งมีปัจจัยเสี่ยงแตกต่างไปจากเดิม ต้องได้รับการฝึกอบรมตามหัวข้อฯ (3 ชั่วโมง)
(2) จะให้ลูกจ้างระดับบริหารและหัวหน้างานเข้ารับการฝึกอบรมตามหลักสูตร (12 ชั่วโมง)
(3) การฝึกอบรมฯ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์
จัดเก็บหลักฐานการฝึกอบรม:
ทะเบียนรายชื่อลูกจ้างซึ่งผ่านการอบรม
วัน เวลา และสถานที่อบรม พร้อมลายมือชื่อของวิทยากรผู้ทำการอบรมเก็บไว้ในสถานประกอบกิจการหรือสถานที่ที่ลูกจ้างทำงาน พร้อมที่จะให้พนักงานตรวจความปลอดภัยหรือตรวจสอบได้
3. ติดประกาศข้อความแสดงสิทธิและหน้าที่ของนายจ้างและลูกจ้าง
ให้ติดประกาศข้อความแสดงสิทธิและหน้าที่ของนายจ้างและลูกจ้างในที่ที่เห็นได้ง่าย ณ สถานที่ประกอบกิจการซึ่งต้องประกอบด้วยข้อความตามที่กำหนดฯ
4. ติดประกาศสัญลักษณ์เตือนอันตรายและเครื่องหมายเกี่ยวกับความปลอดภัยอาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน
ให้สัญลักษณ์เตือนอันตรายและเครื่องหมายเกี่ยวกับความปลอดภัย
กฎกระทรวง กำหนดมาตรฐานในการบริหารและการจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2549
1. แจ้งชื่อของเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน (จป.) ระดับต่าง ๆ เพื่อขึ้นทะเบียนฯ
1. เอกสารที่เกี่ยวข้อง:
(1) สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนหรือหนังสือเดินทางฯ
(2) สำเนาเอกสารการแต่งตั้งเป็นเจ้าหน้าที่ความปลอดภัย
(3) สำเนาเอกสารแสดงวุฒิ การศึกษาของ จป.ฯ หรือสำเนาใบรับรองผ่านการฝึกอบรม หลักสูตร จป.ฯ
2. ตัวอย่างเอกสาร:
(1) คำสั่งแต่งตั้งจป.ฯ วิชาชีพ
(2) คำสั่งแต่งตั้งจป.ฯ หัวหน้างาน
(3) คำสั่งแต่งตั้งจป.ฯ บริหาร
(4) แบบแจ้งชื่อจป.ฯ วิชาชีพ เพื่อขึ้นทะเบียน
(5) แบบแจ้งชื่อจป.ฯ หัวหน้างาน
(6) แบบแจ้งชื่อจป.ฯ บริหาร
2. ส่งรายงานผลการดำเนินงาน ของ จป. เทคนิคขั้นสูง หรือ จป. วิชาชีพ
แจ้งต่ออธิบดีหรือผู้ที่อธิบดีมอบหมาย
ทุก 3 เดือนตามปีปฏิทิน
ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ครบกำหนด
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
แบบ จป.(ท)
แบบ จป.(ว)
3. การดำเนินการเกี่ยวกับการแต่งตั้งหรือเปลี่ยนแปลง คณะกรรมการ ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน (คปอ.)
(1) เผยแพร่และปิดประกาศรายชื่อและหน้าที่รับผิดชอบของคปอ. โดยเปิดเผย ณ สถานประกอบกิจการเพื่อให้ลูกจ้างรับทราบ และปิดประกาศไว้อย่างน้อย 15 วัน
(2) จัดให้คปอ. ได้รับการฝึกอบรม ตามหลักสูตรฯ ภายใน 60 วัน นับตั้งแต่วันที่แต่งตั้ง (12 ชั่วโมง)
(3) เมื่อมีการเปลี่ยนแปลง คปอ. ให้เผยแพร่ และปิดประกาศรายชื่อ และหน้าที่ฯ ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่เปลี่ยนแปลง โดยปิดประกาศไว้อย่างน้อย 15 วัน
(4) ส่งสำเนารายชื่อ คปอ. และหน้าที่รับผิดชอบ ต่ออธิบดี หรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย
(4.1) กรณีที่สถานประกอบการไม่มีจป.วิชาชีพ หรือจป.เทคนิคขั้นสูง ให้ส่งภายใน 15 วันนับแต่วันที่แต่งตั้งหรือเปลี่ยนแปลง
(4.2) กรณีที่สถานประกอบการในจป.วิชาชีพ หรือจป.เทคนิคขั้นสูง ให้ส่งโดยแนบไปพร้อมกับแบบ จป.(ท) หรือ แบบ จป.(ว)
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
หนังสือ แจ้งการแต่งตั้งหรือเปลี่ยนแปลงในคปอ.
ตัวอย่างเอกสาร:
คำสั่งแต่งตั้งคปอ.
4. รายงานการดำเนินงาน หรือรายงานการประชุมเกี่ยวกับการดำเนินการของ คปอ.
(1) ปิดประกาศมติของที่ประชุมคณะกรรมการ เกี่ยวกับความปลอดภัยในการทำงานไว้ในที่นี่ เปิดเผย เพื่อให้ลูกจ้างทราบภายใน 7 วัน ประชุม
(2) ส่งสำเนารายงานการ ดำเนินการ เกี่ยวกับ ความปลอดภัยในการทำงาน และการปฏิบัติหน้าที่ของคปอ. แนบไปพร้อมกับแบบ จป.(ท) หรือ แบบ จป.
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
บันทึก รายงานการดำเนิน หรือรายงานการประชุม เกี่ยวกับการดำเนินการของ คปอ. และหน่วยงานความปลอดภัย
5. การจัดเก็บหลักฐาน ในการดำเนินการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน คปอ. และหน่วยงานความปลอดภัย
(1) จัดทำสำเนา และจัดเก็บหลักฐานเกี่ยวกับ
การเปลี่ยนแปลง คปอ. และเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ระดับเทคนิคขั้นสูง หรือระดับวิชาชีพ
หน้าที่รับผิดชอบของคปอ. และเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน
บันทึกรายงานการดำเนินงาน หรือรายงานการประชุมเกี่ยวกับการดำเนินการ ของคปอ. และหน่วยงานความปลอดภัย
(2) จัดเก็บไว้ในสถานประกอบกิจการเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 2 ปี และพร้อม ที่จะให้พนักงานตรวจความปลอดภัยตรวจสอบ
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
สำเนาเอกสารและหลักฐานที่เกี่ยวข้อง
1. จัดให้มีการตรวจวัด ระดับความร้อน แสงสว่าง หรือเสียง
(1) จัดให้มีการตรวจวัด และวิเคราะห์ สภาวะการทำงาน เกี่ยวกับระดับความร้อน แสงสว่าง หรือเสียง ภายในสถานประกอบกิจการ
(2) ในกรณีที่นายจ้าง ไม่สามารถตรวจวัดฯ เองได้ ต้องให้ผู้ที่ขึ้นทะเบียน ตามมาตรา 9 หรือนิติบุคคล ที่ได้รับใบอนุญาตฯ ตามมาตรา 11 เป็นผู้ดำเนินการแทน
(3) จัดทำรายงาน ผลการตรวจวัดและวิเคราะห์ สภาวะการทำงาน ตามแบบที่อธิบดีประกาศกำหนด พร้อมทั้งส่งรายงานผลฯ ต่ออธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่เสร็จสิ้นการตรวจวัด
(4) จัดเก็บผลการตรวจวัดและวิเคราะห์ สภาวะการทำงานดังกล่าวไว้ ณ สถานประกอบกิจการ เพื่อให้พนักงานตรวจความปลอดภัย สามารถตรวจสอบได้
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
รายงานผลการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงาน
2. การปิดประกาศและเอกสารหรือหลักฐานในการดำเนินการปรับปรุงหรือแก้ไขสภาวะการทำงานทางด้านวิศวกรรม
(1) ในกรณีที่บริเวณการทำงานมีระดับความร้อน เกินมาตรฐานที่กำหนด ให้นายจ้างดำเนินการปรับปรุงหรือแก้ไข สภาวะการทำงานทางด้านวิศวกรรม เพื่อควบคุมระดับความร้อนให้เป็นไปตามมาตรฐาน
(2) ภายในสถานประกอบกิจการที่สภาวะการทำงาน มีระดับเสียงเกินมาตรฐานกำหนด ให้นายจ้างดำเนินการปรับปรุง หรือแก้ไขทางวิศวกรรม โดยควบคุมที่ต้นกำเนิดของเสียง หรือ ทางผ่านของเสียง หรือบริหารจัดการเพื่อควบคุมระดับเสียงที่ลูกจ้างจะได้รับให้ไม่เกินมาตรฐานที่กำหนด
(3) จัดให้มีการปิดประกาศ และเอกสารหรือหลักฐาน ในการดำเนินการปรับปรุง หรือแก้ไขดังกล่าวไว้ เพื่อให้พนักงานตรวจความปลอดภัย สามารถตรวจสอบได้
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
ประกาศและเอกสารหรือหลักฐานในการดำเนินการ ปรับปรุงหรือแก้ไขสภาวะการทำงานทั้งด้านวิศวกรรม
3. จัดให้มีมาตรการอนุรักษ์การได้ยินในสถานประกอบกิจการ
ในกรณีที่สภาวะการทำงาน ในสถานประกอบกิจการ มีระดับเสียงที่ลูกจ้างได้รับ เฉลี่ยตลอด ระยะเวลา การทำงาน 8 ชั่วโมง ตั้งแต่ 85 เดซิเบลเอ ขึ้นไป ให้นายจ้างจัดให้มีมาตรการ อนุรักษ์การได้ยิน ในสถานประกอบกิจการ ตามหลักเกณฑ์ และวิธีการที่อธิบดีประกาศกำหนด
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
เอกสารแสดงผลการดำเนินงาน เกี่ยวกับมาตรการ อนุรักษ์การได้ยินในสถานประกอบกิจการ
4. การฝึกอบรมเกี่ยวกับวิธีการใช้และบำรุงรักษา อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล
(1) จัดให้ลูกจ้างได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับวิธีการใช้ และบำรุงรักษา อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล
(2) เก็บหลักฐานการฝึกอบรมไว้ ณ สถานประกอบกิจการเพื่อให้พนักงานตรวจความปลอดภัย สามารถตรวจสอบได้
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
เอกสาร แสดงหลักฐานการฝึกอบรมเกี่ยวกับวิธีการใช้และบำรุงรักษาอุปกรณ์ คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล
5. การตรวจสุขภาพและการรายงานผล
จัดให้มีการตรวจสุขภาพ ลูกจ้าง ที่ทำงานในสภาวะการทำงาน ที่ได้รับอันตรายจากความร้อน แสงสว่าง หรือเสียง และรายงานผล รวมทั้งดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสุขภาพ ของลูกจ้าง ตามพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
เอกสารแสดงหลักฐานการตรวจสุขภาพลูกจ้างฯ
1. จัดให้มีการตรวจวัดวิเคราะห์ และจัดทำรายงานสภาพแวดล้อม ในการทำงาน เกี่ยวกับระดับความร้อนแสงสว่างและเสียง
(1) ตรวจวัดอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
(2) มี จป.ระดับวิชาชีพ หรือผู้สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าระดับปริญญาตรี ด้านวิทยาศาสตร์เป็นผู้รับรองรายงาน
(3) จัดเก็บรายงานดังกล่าวไว้ ณ ที่ตั้งโรงงานให้พร้อม สำหรับการตรวจสอบของพนักงานเจ้าหน้าที่
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
รายงานผลการตรวจวัด วิเคราะห์ สภาพแวดล้อมในการทำงาน เกี่ยวกับระดับความร้อน แสงสว่างและเสียง
1. จัดให้มีการตรวจวัด บันทึกผลการตรวจวัด และประเมินสภาพอากาศ ว่ามีบรรยากาศอันตรายหรือไม่
(1) ให้ดำเนินการ ทั้งก่อนให้ลูกจ้างเข้าไปทำงานและระหว่างที่ลูกจ้างทำงาน
(2) ถ้าตรวจพบบรรยากาศ อันตราย ต้องดำเนินการ เพื่อให้สภาพอากาศนั้น ไม่มีบรรยากาศอันตราย เช่น การระบายอากาศ
(3) เก็บไว้เป็นหลักฐาน ให้พนักงานตรวจความ ปลอดภัยตรวจสอบ
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
ประเมินสภาพอากาศ และการดำเนินการ เพื่อให้สภาพอากาศในที่อับอากาศ ไม่มีบรรยากาศอันตราย
2. จัดให้มีหนังสืออนุญาตให้ลูกจ้างทำงานในที่อับอากาศทุกครั้งที่ทำงานในที่อับอากาศ
เก็บไว้เป็นหลักฐานให้พนักงานตรวจความปลอดภัยตรวจสอบ
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
หนังสืออนุญาตให้ลูกจ้างทำงานในที่อับอากาศ
3. จัดให้มีการฝึกอบรมลูกจ้าง รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องตามหลักเกณฑ์ฯ ได้แก่
(1) ผู้อนุญาต
(2) ผู้ช่วยเหลือ
(3) ผู้ควบคุม
(4) ผู้ปฏิบัติงานในที่อับอากาศ
เก็บไว้เป็นหลักฐานให้พนักงานตรวจความปลอดภัยตรวจสอบ
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
หลักฐานการฝึกอบรม ได้แก่
(1) ชื่อผู้ผ่านการฝึกอบรม
(2) หลักสูตรการฝึกอบรม
(3) ระยะเวลาการอบรม
(4) วันเดือนปีที่ฝึกอบรม
(5) การประเมินผลการฝึกอบรม
4. จัดให้มีหนังสือมอบหมายให้ลูกจ้าง ผู้ซึ่งได้รับการฝึกอบรมฯ เป็นผู้มีหน้าที่รับผิดชอบ ในการอนุญาตให้ลูกจ้างทำงานในที่อับอากาศ (กระทำการแทนนายจ้าง)
เก็บไว้เป็นหลักฐานให้พนักงานตรวจความปลอดภัยตรวจสอบ
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
หนังสือมอบหมายให้เป็นผู้อนุญาตให้ลูกจ้างทำงานไหนที่อับอากาศ
1. จัดให้มีแผนป้องกันและระงับอัคคีภัย (กรณีที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป)
(1) แผนฯ ประกอบด้วยการตรวจตรา การอบรม การรณรงค์ ป้องกันอัคคีภัย การดับเพลิง การอพยพหนีไฟ และการบรรเทา ทุกข์
(2) จัดเก็บแผนฯ ไว้ให้พนักงานตรวจความปลอดภัยตรวจสอบได้
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
แผนป้องกันและระงับอัคคีภัย
2. จัดให้ลูกจ้างได้รับการฝึกอบรม การดับเพลิงขั้นต้น
(1) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของจำนวนลูกจ้างในแต่ละหน่วยงาน
(2) ผู้ดำเนินการ ฝึกอบรม ต้องได้รับใบอนุญาตจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
หลักฐานการฝึกอบรมของลูกจ้าง
3. จัดให้ผู้มีหน้าที่เกี่ยวกับการป้องกัน และระงับอัคคีภัยได้รับการฝึกอบรม
ฝึกอบรมเกี่ยวกับการป้องกัน และระงับอัคคีภัย การใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ในการดับเพลิง การปฐมพยาบาล และการช่วยเหลือในกรณีฉุกเฉิน
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
หลักฐานการฝึกอบรม ของลูกจ้าง ในตำแหน่งที่เกี่ยวข้อง
4. จัดให้ลูกจ้างทุกคนฝึกซ้อมดับเพลิง และถูกซ้อมอพยพหนีไฟพร้อมกัน
(1) อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
(2) ก่อนการฝึกซ้อมไม่น้อยกว่า 30 วัน ต้องส่งแผนการฝึกซ้อมดับเพลิง และฝึกซ้อมอพยพหนีไฟ รวมทั้งรายละเอียดที่เกี่ยวข้องฯ ต่ออธิบดีฯ
(3) จัดทำรายงานผลการ ฝึกซ้อมดังกล่าวตามแบบที่อธิบดีกำหนด และยื่นต่ออธิบดี ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่เสร็จสิ้นการฝึกซ้อม
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
(1) แผนการฝึกซ้อมดับเพลิงและฝึกซ้อมอพยพหนีไฟ
(2) แรงงานผลการฝึกซ้อมดับเพลิง และฝึกซ้อมอพยพหนีไฟ
5. จัดให้มีการดูแลรักษาและตรวจสอบถังดับเพลิง ให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ดี
(1) มีการตรวจสอบไม่น้อยกว่า 6 เดือนต่อหนึ่งครั้ง
(2) ติดป้ายแสดงผลการตรวจสอบและวันที่ทำการตรวจสอบครั้งสุดท้ายไว้ที่อุปกรณ์ฯ
(3) จัดเก็บผลการตรวจสอบ ไว้ให้พนักงานตรวจสอบความปลอดภัย ตรวจได้ตลอดเวลา
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
เอกสารแสดงผลการดูแล รักษาและตรวจสอบถังดับเพลิง
6. จัดให้มีการดูแลรักษา และตรวจอุปกรณ์ดับเพลิง ให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ดี
(1) มีการตรวจสอบไม่น้อยกว่า 1 เดือนต่อหนึ่งครั้ง
(2) ติดป้ายแสดงผลการตรวจสอบและวันที่ทำการตรวจสอบครั้งสุดท้ายไว้ที่อุปกรณ์ฯ
(3) จัดเก็บผลการตรวจสอบไว้ให้พนักงานตรวจความปลอดภัยตรวจได้ตลอดเวลา
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
เอกสารแสดงผลการดูแลรักษาและตรวจสอบอุปกรณ์ดับเพลิง
1. ตรวจสอบทดสอบและบำรุงรักษา: ผู้ประกอบกิจการโรงงาน ต้องตรวจสอบทดสอบและบำรุงรักษาระบบและอุปกรณ์ สำหรับป้องกัน และเพื่อระงับอัคคีภัย ให้ สามารถพร้อมทำงานได้ตลอดเวลา
(1) เครื่องดับเพลิงชนิดมือถือ
ตรวจสอบทุกเดือน
ทดสอบการรับความดัน (hydrostatic test) ทุก 5 ปี
(2) เครื่องสูบน้ำดับเพลิง
ขับด้วยเครื่องยนต์ ทดสอบเดินเครื่อง ทุกสัปดาห์
ขับด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ทดสอบเดินเครื่อง ทุกเดือน
เครื่องสูบน้ำ ทดสอบปริมาณการสูบน้ำและความดัน ทุกปี
(3) หัวรับน้ำดับเพลิง (Fire department connections)
ตรวจสอบ ทุกเดือน
(4) หัวดับเพลิงนอกอาคาร (Hydrants)
ตรวจสอบ ทุกเดือน
ทดสอบ (เปิดและปิด) ทุกปี
บำรุงรักษา ทุกครึ่งปี
(5) ถังน้ำดับเพลิง
ระดับน้ำ ตรวจสอบ ทุกเดือน
สภาพถังน้ำ ตรวจสอบ ทุกครึ่งปี
(6) ถังเก็บน้ำดับเพลิง และตู้เก็บสายฉีด (Hose and hose Station)
ตรวจสอบ ทุกเดือน
(7) ระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิง (Sprinkler system)
จุดระบายน้ำ ทดสอบการไหล ทุก 3 เดือน
มาตรวัดความดัน ทดสอบค่าแรงดัน ทุก 5 ปี
หัวกระจายน้ำดับเพลิง ทดสอบ ทุก 50 ปี
สัญญาณการไหลของน้ำ ทดสอบ ทุก 3 เดือน
ล้างท่อ ทดสอบ ทุก 5 ปี
วาล์วควบคุม
- ตรวจสอบซีลวาล์ว ทุกสัปดาห์
- ตรวจสอบอุปกรณ์ล็อกวาล์ว ทุกเดือน
- ตรวจสอบสวิตช์สัญญาณปิด - เปิดวาล์ว ทุกเดือน
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
(1) เอกสารการตรวจสอบ ทดสอบ บำรุงรักษาระบบและอุปกรณ์
(2) เก็บรักษาไว้ที่โรงงาน พร้อมที่จะให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบได้
2. จัดให้มีแผนป้องกันและระงับอัคคีภัยในโรงงาน
(1) ต้องจัดให้มีแผน ป้องกัน และระงับอัคคีภัยในโรงงาน
(2) ประกอบด้วยแผนการตรวจสอบ ความปลอดภัยด้านอัคคีภัย แผนการอบรมเรื่องการป้องกันและระงับอัคคีภัย แผนการดับเพลิง และแผนการอพยพหนีไฟ
(3) ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามแผน
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
(1) แผนป้องกันและระงับอัคคีภัย
(2) เก็บแผนฯ ไว้ที่โรงงานพร้อมให้ตรวจสอบได้
3. การฝึกอบรมเรื่องการป้องกันและระงับอัคคีภัย
(1) ต้องจัดให้คนงานได้รับการฝึกอบรม เรื่องการป้องกัน และระงับอัคคีภัย ตามที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมกำหนด
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
มีเอกสารหลักฐานที่สามารถ ตรวจสอบได้
4. ระบบการอนุญาตทำงานที่มีประกายไฟ หรือความร้อนที่เป็นอันตราย
(1) ต้องจัดทำระบบการอนุญาตทำงานที่มีประกายไฟหรือความร้อนที่เป็นอันตราย (Hot Work Permit System) ให้เป็นไปตามหลักวิชาการด้านความปลอดภัย
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
เอกสารหลักฐาน Hot Work Permit ที่ สามารถตรวจสอบได้
5. บุคลากรผู้ดำเนินการตรวจความปลอดภัยด้านอัคคีภัยประจำเดือน
(1) ต้องจัดให้มีบุคลากรที่ปฏิบัติงานด้านความปลอดภัยของโรงงาน ดำเนินการตรวจความปลอดภัย ด้านอัคคีภัยเป็นประจำ อย่างน้อยเดือนละครั้ง
(2) พบสภาพที่เป็นอันตราย ที่อาจก่อให้เกิดเพลิงไหม้ได้ ต้องดำเนินการปรับปรุงแก้ไขโดยทันที
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
จัดทำเป็นเอกสารหลักฐาน ที่พนักงานเจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบได้
(1) แจ้งภายใน 7 วัน นับแต่วันที่มีสารเคมีอันตรายอยู่ในครอบครอง
(2) แจ้งภายในเดือนมกราคมของทุกปี
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
แบบ สอ.1
2. จัดให้มีการตรวจวัดระดับความเข้มข้นของสารเคมีอันตราย
(1) ตรวจวัดระดับความเข้มข้นของสารเคมีอันตรายในบรรยากาศของสถานที่ทำงานและสถานที่เก็บสารเคมีอันตราย
(2) ส่งรายงานผลการตรวจวัดภายใน 15 วันนับแต่วันที่ทราบผลการตรวจวัด
(3) ดำเนินการตรวจวัดอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
(4) ดังนั้นการตรวจวัดเพิ่มเติมภายใน 30 วัน นับจากวันที่มีการปรับปรุงแก้ไขโดยใช้มาตรการทางวิศวกรรม และบริหารจัดการแล้วเสร็จ ในกรณีที่พบว่าระดับความเข้มข้นของสารเคมีอันตรายในบรรยากาศมีค่าเกินขีดจำกัดความเข้มข้นของสารเคมีอันตราย (Threshold Limit Value: TLV)
(5) ดำเนินการตรวจวัดเพิ่มเติมภายใน 30 วัน นับจากวันที่นายจ้างทราบผลการตรวจสุขภาพของลูกจ้างว่ามีความผิดปกติ หรือพบลูกจ้างเจ็บป่วยเนื่องจากการทำงานเกี่ยวกับสารเคมีอันตราย
(6) ดำเนินการตรวจวัดเพิ่มเติมภายใน 30 วัน นับจากวันที่มีการปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลง ชนิดหรือปริมาณของสารเคมีอันตราย เครื่องจักร อุปกรณ์ กระบวนการผลิต วิธีการทำงาน หรือวิธีการดำเนินการใด ๆ ที่อาจมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงระดับความเข้มข้นของสารเคมีอันตรายในบรรยากาศของสถานที่ทำงาน และสถานที่เก็บรักษาสารเคมีอันตราย
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
(1) แบบ สอ.3 เอกสารรายงานผลการตรวจวัด และวิเคราะห์ระดับความเข้มข้นของสารเคมีอันตราย ในบรรยากาศของสถานที่ทำงาน และสถานที่เก็บรักษาสารเคมีอันตราย
ต้องได้รับการรับรอง รายงานผลจากผู้ดำเนินการตรวจวัด และผู้ดำเนินการตรวจวิเคราะห์สารเคมีอันตรายทางห้องปฏิบัติการ
(2) เอกสารแสดงผลการสอบเทียบความถูกต้อง (Calibration) การตรวจสอบการบำรุงรักษาเครื่องมือ และอุปกรณ์ที่ใช้ในการตรวจวัด และเครื่องมือที่ใช้วิเคราะห์สารเคมีอันตรายทางห้องปฏิบัติการ ตามวิธีการของหน่วยมาตรฐาน อ้างอิงฯ และเก็บหลักฐานไว้ให้พนักงานตรวจความปลอดภัยตรวจสอบได้
3. จัดให้มีการประเมินความเสี่ยงต่อสุขภาพของลูกจ้างในกรณีที่มีการใช้สารเคมีอันตราย
(1) จัดทำรายงานการประเมินความเสี่ยงต่อสุขภาพ
(2) ส่งรายงานภายใน 15 วันนับแต่วันที่ทราบผลการประเมิน
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
รายงานการประเมินความเสี่ยงต่อสุขภาพ
4. จัดให้มีการประเมินความเสี่ยงในการก่อให้เกิดอันตราย (กรณีที่มีสารเคมีอันตรายไว้ในครอบครอง ตามรายชื่อและปริมาณที่อธิบดีประกาศกำหนด)
(1) จัดทำรายงานการประเมินความเสี่ยง อย่างน้อย 5 ปีต่อหนึ่งครั้ง
(2) ส่งรายงานภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ทราบผลการประเมิน
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
รายงานการประเมินความเสี่ยงในการก่อให้เกิดอันตราย
5. จัดทำแผนปฏิบัติการ กรณีมีเหตุฉุกเฉินของสถานประกอบกิจการตามหลักเกณฑ์ฯ (กรณีที่มีสารเคมีอันตรายไว้ในครอบครอง ตามรายชื่อและปริมาณที่อธิบดีประกาศกำหนด)
(1) เก็บแผนไว้ ณ สถานประกอบกิจการ พร้อมที่จะให้ตรวจสอบได้
(2) ปรับปรุงแผนให้ทันสมัย และฝึกซ้อมตามแผนอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
แห่งฉุกเฉิน และบันทึกการฝึกซ้อม
6. จัดให้มีการฝึกอบรมลูกจ้าง ที่มีหน้าที่ควบคุมและระงับเหตุอันตรายตามหลักสูตร
(1) ทำการฝึกอบรมทบทวน อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
(2) เก็บหลักฐานการฝึกอบรม พร้อมที่จะให้ตรวจสอบได้
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
หลักฐานการฝึกอบรม
(1) เห็นแผงวงจรไฟฟ้า ที่ได้รับการรับรองจากวิศวกรหรือการไฟฟ้าประจำท้องถิ่น
(2) หากมีการแก้ไขเพิ่มเติม หรือเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ต้องแก้ไขแผนผังนั้นให้ถูกต้อง
(3) เก็บรักษาเอกสารไว้ให้พนักงานตรวจความปลอดภัยตรวจสอบ
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
เอกสารแสดงแผนผังวงจรไฟฟ้าซึ่งได้รับการรับรอง
2. แผ่นป้ายเตือนให้ระวังอันตรายจากไฟฟ้า
(1) จัดให้มีแผ่นป้ายที่มีตัวอักษรหรือสัญลักษณ์เตือนให้ระวังอันตรายจากไฟฟ้าที่มองเห็นง่ายชัดเจน ติดตั้งไว้โดยเปิดเผย ในบริเวณที่อาจเกิดอันตรายจากกระแสไฟฟ้า
(2) ให้เป็นไปตามแบบที่กำหนดไว้ในมาตรฐานผลิตภัณฑ์ อุตสาหกรรมหรือมาตรฐานอื่นตามที่อธิบดีประกาศกำหนด
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
แผ่นป้ายที่มีตัวอักษรหรือสัญลักษณ์เตือน
3. การดูแลบริภัณฑ์ไฟฟ้าและสายไฟฟ้า
(1) ดูแลให้ใช้งานได้โดยปลอดภัย หากพบว่าชำรุดหรือมีกระแสไฟฟ้ารั่ว หรืออาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้ใช้งาน ให้ซ่อมแซม หรือดำเนินการให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้อย่างปลอดภัย
(2) จัดเก็บหลักฐานในการดำเนินการ ไว้ให้พนักงานตรวจความปลอดภัยตรวจสอบได้
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
บันทึกผลการดูแลบริภัณฑ์ไฟฟ้า เราสายไฟฟ้าให้ใช้งานได้โดยปลอดภัย
4. การตรวจสอบและบำรุงรักษาระบบไฟฟ้า และบริภัณฑ์ไฟฟ้าเพื่อให้ใช้งานได้อย่างปลอดภัย
(1) ดำเนินการโดยบุคคลที่ขึ้นทะเบียน หรือนิติบุคคลที่ได้รับอนุญาต ตามพรบ.ความปลอดภัย พร้อมจัดทำบันทึกและรับรองผล
(2) จัดให้มีการตรวจสอบ และจัดให้มีการบำรุงรักษาระบบไฟฟ้า และบริภัณฑ์ไฟฟ้าของสถานประกอบกิจการ เพื่อให้ใช้งานได้อย่างปลอดภัยอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
(3) แจ้งผลการตรวจสอบและรับรอง ระบบไฟฟ้าและบริภัณฑ์ไฟฟ้าต่อพนักงานตรวจความปลอดภัย ในเขตพื้นที่รับผิดชอบภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ตรวจสอบ
(4) จัดเก็บหลักฐาน ให้พนักงานตรวจความปลอดภัยตรวจสอบ
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
บันทึกผลการตรวจสอบและรับรองระบบไฟฟ้า และบริภัณฑ์ไฟฟ้า ตามแบบท้ายประกาศฯ
5. แผ่นภาพพร้อมคำบรรยาย วิธีปฏิบัติเมื่อประสบอันตรายจากไฟฟ้า การปฐมพยาบาล และการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน
จัดให้มีแผนภาพพร้อมคำบรรยาย ติดไว้ในบริเวณที่ทำงาน ที่ลูกจ้างสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนในเรื่อง
(1) วิธีปฏิบัติเมื่อประสบอันตรายจากไฟฟ้า
(2) การปฐมพยาบาล และการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน โดยการผายปอดด้วยวิธีปากเป่า อากาศเข้าทางปากหรือจมูก ของผู้ประสบอันตราย และวิธีการนวดหัวใจจากภายนอก
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
แผ่นภาพพร้อมคำบรรยาย วิธีปฏิบัติเมื่อประสบอันตรายจากไฟฟ้า
6. ข้อบังคับในการปฏิบัติงานเกี่ยวกับไฟฟ้า
จัดให้มีข้อบังคับในการปฏิบัติงานเกี่ยวกับไฟฟ้า โดยให้มีมาตรฐานไม่ต่ำกว่าที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
เอกสารแสดงข้อบังคับในการปฏิบัติงานเกี่ยวกับไฟฟ้า
7. การฝึกอบรม ความปลอดภัยในการทำงานเกี่ยวกับไฟฟ้า จัดให้ลูกจ้างซึ่งปฏิบัติงานเกี่ยวกับไฟฟ้าได้รับการฝึกอบรม
(1) จัดให้มีการฝึกอบรมให้ลูกจ้าง ซึ่งปฏิบัติงานเกี่ยวกับไฟฟ้า ให้มีความรู้ความเข้าใจและทักษะที่จำเป็นในการทำงานอย่างปลอดภัยตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์ที่อธิบดีประกาศกำหนด
(2) จัดทำทะเบียนรายชื่อผู้ที่ผ่านการฝึกอบรม วันเวลาที่ฝึกอบรม พร้อมรายชื่อวิทยากรเก็บไว้ ณ สถานประกอบกิจการ หรือสำนักงานของนายจ้าง พร้อมที่จะให้พนักงานตรวจความปลอดภัยตรวจสอบได้ตลอดเวลา
(3) แจ้งทะเบียนรายชื่อผู้ที่ผ่านการฝึกอบรม วันเวลาที่ฝึกอบรม พร้อมรายชื่อวิทยากรต่อพนักงานตรวจความปลอดภัย ในเขตพื้นที่รับผิดชอบภายใน 15 วัน นับแต่วันที่เสร็จสิ้นการอบรม
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
ทะเบียนรายชื่อผู้ที่ผ่านการฝึกอบรม วัน เวลาที่ฝึกอบรม พร้อมรายชื่อวิทยากร หรือหนังสือรับรองความรู้ความสามารถ ในกรณีที่ลูกจ้างผ่านการฝึกอบรมสาขาช่างไฟฟ้าภายในอาคารของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน
(1) โรงงานจำพวกที่ 2 และจำพวกที่ 3 ต้องมีแบบแปลน ที่แสดงการติดตั้งระบบไฟฟ้าในโรงงานตามความเป็นจริง (as-built drawing) และรายการประกอบแบบแปลน โดยในแบบแปลนนั้นต้องมีคำรับรองของวิศวกร
(2) กรณีที่ระบบไฟฟ้าโรงงาน มีการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติม หรือเปลี่ยนแปลง จะต้องดำเนินการแก้ไขแบบแปลนให้ถูกต้องตลอดเวลา
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
(1) แบบแปลนแสดงการติดตั้งระบบไฟฟ้าในโรงงาน
(2) จัดเก็บและรักษาแบบแปลนไว้เป็นเอกสารประจำโรงงาน เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบได้
2. จัดให้มีการตรวจสอบและรับรองความปลอดภัยของระบบไฟฟ้าในโรงงาน
(1) ต้องจัดให้มีการตรวจสอบระบบไฟฟ้าในโรงงาน และรับรองความปลอดภัยของระบบไฟฟ้าในโรงงาน เป็นประจำทุกปีโดยวิศวกร
(2) โรงงานที่จัดอยู่ในประเภทอาคารที่ต้องจัดให้มีผู้ตรวจสอบตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร ให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น และให้ถือว่าได้จัดให้มีผู้ตรวจสอบนั้นแล้ว
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
(1) รายงานการตรวจสอบระบบไฟฟ้าในโรงงาน และรับรองความปลอดภัยของระบบไฟฟ้าในโรงงาน
(2) จัดเก็บไว้เป็นเอกสารประจำโรงงาน เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบได้
3. จัดให้มีบุคลากรประจำโรงงาน คนงานและวิศวกรที่เกี่ยวข้องกับระบบไฟฟ้าในโรงงาน
(1) ผู้ประกอบกิจการโรงงาน ตามประเภทหรือชนิดของโรงงาน ในบัญชีท้ายกฎกระทรวงนี้ ต้องจัดให้มีบุคลากรประจำโรงงาน
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
เอกสารหลักฐานการแต่งตั้งบุคลากรประจำโรงงาน
(1) เครื่องจักร การทำงานกับเครื่องปั๊มโลหะ เครื่องเชื่อมไฟฟ้า เครื่องเชื่อมกัน รถยก หรือเครื่องจักร ต้องใช้ลูกจ้างที่มีความชำนาญ และผ่านการอบรมตามหลักเกณฑ์
(2) รถยก ผู้ขับรถยก
(3) ปั้นจั่น ผู้บังคับปั้นจั่น ผู้ให้สัญญาณแก่ผู้บังคับปั้นจั่น ผู้ยึดเกาะวัสดุหรือผู้ควบคุมการใช้ปั้นจั่น
(4) หม้อน้ำ ผู้ควบคุมหม้อน้ำ
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
(1) หลักฐานการฝึกอบรมของลูกจ้างในตำแหน่งที่เกี่ยวข้อง
(1) จัดให้มีวิศวกรเป็นผู้รับรอง ในกรณี
การประกอบ การติดตั้ง การซ่อมแซม และการใช้งานเครื่องจักร ตามหลักเกณฑ์
การดัดแปลง แก้ไข หรือเปลี่ยนแปลงสมรรถนะของเครื่องปั๊มโลหะ หรือเครื่องป้องกันอันตรายจากเครื่องจักร
(2) จัดเก็บหลักฐาน ไว้ให้พนักงานตรวจความปลอดภัยตรวจสอบได้
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
(1) เอกสารรับรอง การประกอบ ติดตั้ง ซ่อมแซม และใช้งานเครื่องจักร
(2) เอกสารรับรอง การดัดแปลง แก้ไข สมรรถนะของเครื่องปั๊มโลหะ/เครื่องป้องกันอันตราย
(1) จัดให้มีการตรวจสอบรถยก ให้มีสภาพใช้งานได้อย่างปลอดภัยก่อนการใช้งานทุกครั้ง
(2) จัดเก็บผลการตรวจสอบ ไว้ให้พนักงานตรวจความปลอดภัยตรวจสอบได้
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
เอกสารการแสดงผลการตรวจสอบรถยนต์
(1) จัดให้มีการตรวจสอบ และการทดสอบชิ้นส่วนและอุปกรณ์ของลิฟต์โดยวิศวกร อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
(2) จัดให้มีการตรวจสอบระบบความปลอดภัย และระบบการทำงานของลิฟต์เป็นประจำทุกเดือน
(3) จัดเก็บผลการตรวจสอบและทดสอบไว้ให้พนักงานตรวจความปลอดภัยตรวจสอบได้
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
(1) เอกสารแสดงผลการตรวจสอบ และการทดสอบ ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ของลิฟต์
(2) เอกสารแสดงผลการตรวจสอบลิฟต์
(1) จัดให้มีการทดสอบและการตรวจสอบการติดตั้งปั้นจั่นโดยวิศวกรก่อนการใช้งาน
(2) จัดทำรายงานการตรวจสอบและการทดสอบซึ่งมีลายมือชื่อวิศวกรรับรอง
(3) จัดเก็บผลการทดสอบไว้ให้พนักงานตรวจความปลอดภัยตรวจสอบได้
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
รายงานการตรวจสอบและการทดสอบซึ่งมีลายมือชื่อวิศวกรรับรอง
ต้องจัดให้มีการทดสอบส่วนประกอบและอุปกรณ์ของปั้นจั่นปีละไม่น้อยกว่า 1 ครั้ง ตามหลักเกณฑ์
(1) ปั้นจั่นที่ใช้ในงานก่อสร้าง
พิกัดยก ≤ 3 ตัน (ทุก 6 เดือน)
พิกัดยก > 3 ตัน (ทุก 3 เดือน)
(2) ปั้นจั่นที่ใช้งานอื่น ๆ
พิกัดยก 1 - 3 ตัน (ปีละ 1 ครั้ง)
พิกัดยก 3 - 50 ตัน (ทุก 6 เดือน)
พิกัดยก > 50 ตัน (ทุก 3 เดือน)
(3) ปั้นจั่นที่หยุดการใช้งานตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป หรือมีการซ่อมแซมที่มีผลต่อความปลอดภัย ก่อนนำมาใช้งานใหม่ จะต้องจัดให้มีการทดสอบส่วนประกอบและอุปกรณ์ของปั้นจั่น
(4) จัดเก็บผลการทดสอบ ไว้ให้พนักงานตรวจความปลอดภัยตรวจสอบได้
(มีวิศวกรเครื่องกลเป็นผู้รับรอง ภาพถ่ายของวิศวกรขณะทดสอบ และใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม และเก็บไว้เป็นหลักฐานให้พนักงานตรวจความปลอดภัยตรวจสอบได้)
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
เอกสารแสดงผลการตรวจสอบและการทดสอบ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ของปั้นจั่น
แบบ ปจ.1 - ปั้นจั่นชนิดอยู่กับที่
แบบ ปจ.2 - ปั้นจั่นชนิดเคลื่อนที่
7. หม้อน้ำ (การทดสอบและรับรองความปลอดภัย)
(1) จัดให้มีการทดสอบและรับรองความปลอดภัยในการใช้หม้อน้ำ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง โดยวิศวกรหรือผู้ได้รับอนุญาตพิเศษให้ทดสอบหม้อน้ำได้
(2) จัดเก็บเอกสารรับรองความปลอดภัยในการใช้หม้อน้ำไว้
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
เอกสารแสดงผลการทดสอบ และรับรองความปลอดภัยในการใช้หม้อน้ำ
หมอน้ำที่ผ่านการใช้งานแล้ว/หม้อน้ำที่ย้ายติดตั้ง
การซ่อมแซมหรือดัดแปลงหม้อน้ำที่อาจมีผลกระทบต่อความแข็งแรงของหม้อน้ำหรือความปลอดภัยในการใช้หม้อน้ำ
(1) จัดให้มีวิศวกรทดสอบและรับรองความปลอดภัย
(2) จัดเก็บผลการทดสอบไว้ให้พนักงานตรวจความปลอดภัยตรวจสอบได้
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
(1) เอกสารแสดงผลการทดสอบหม้อน้ำ (ความดันที่อนุญาตให้ใช้ได้สูงสุด) - กรณีย้ายที่ติดตั้ง
(2) เอกสารรับรองความปลอดภัยในการใช้หม้อน้ำ - กรณีซ่อมแซมหรือดัดแปลงหม้อน้ำ
จัดให้มีผู้ควบคุมประจำหม้อน้ำหรือหม้อต้มที่ใช้ของเหลวเป็นสื่อนำความร้อน เป็นผู้ดูแลรับผิดชอบการใช้งาน
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
เอกสารแต่งตั้งผู้ควบคุม
แสดงใบอนุญาตผู้ควบคุมประจำหม้อไอน้ำ ไว้ ณ ที่เปิดเผยและเห็นได้ง่ายในบริเวณที่ติดตั้งหม้อน้ำ
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
เอกสารใบอนุญาตผู้ควบคุม
หม้อน้ำที่มีกำลังการผลิตไอน้ำ ตั้งแต่ 20 ตันต่อชั่วโมง ขึ้นไป ต้องจัดให้มีวิศวกรควบคุม และอำนวยการใช้หม้อน้ำ เป็นผู้ดูแลรับผิดชอบการใช้งาน
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
เอกสารแต่งตั้งวิศวกรควบคุมและอำนวยการใช้หม้อน้ำ
หม้อต้มที่ใช้ของเหลวเป็นสื่อนำความร้อน ต้องจัดให้มีการตรวจสอบคุณภาพของของเหลว ที่ใช้เป็นสื่อนำความร้อน เป็นประจำทุก 6 เดือน
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
(1) เอกสารแสดงผลการตรวจสอบคุณภาพของของเหลว
(2) เก็บรักษาผมการตรวจสอบไว้ในโรงงาน
ต้องจัดให้มีการตรวจสอบหม้อน้ำ/หม้อต้มที่ใช้ของเหลวเป็นสื่อนำความร้อนโดยวิศวกรตรวจทดสอบ หรือหน่วยรับรองวิศวกรรมด้านหม้อน้ำ เป็นประจำอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
(1) เอกสารรับรองความปลอดภัยในการใช้หม้อน้ำ
(2) รายงานผลการตรวจสอบความปลอดภัยในการใช้หม้อน้ำ
(3) เอกสารรับรองความปลอดภัยในการใช้งานหม้อต้ม
(4) รายงานผลการตรวจทดสอบความปลอดภัยในการใช้หม้อต้ม
เก็บรักษารายงานผลการตรวจสอบไว้ในโรงงาน และจะส่งให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมภายใน 30 วัน นับแต่วันที่เสร็จสิ้นการตรวจสอบ
..........................................................................................
หม้อน้ำแบบท่อน้ำที่มีอัตราการผลิตไอน้ำเครื่องละตั้งแต่ 20 ตันต่อชั่วโมงขึ้นไป หรือ
หม้อน้ำที่ใช้ความร้อนจากกระบวนการผลิต (Process boiler หรือ Process seam Generator) ทุกอัตราการผลิตไอน้ำ โดยหากหม้อน้ำดังกล่าวหยุดการใช้งานจะทำให้กระบวนการผลิตไม่สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่องได้
โดยจะต้อง
(1) เป็นหม้อน้ำที่มีหลักฐานเอกสารและมีการดำเนินการตามที่กำหนด
(2) ต้องมีแผนการฝึกอบรมทบทวนหรือพัฒนาความรู้ผู้ควบคุมหม้อน้ำในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหม้อน้ำ ได้แก่ กฎหมาย มาตรฐาน เทคโนโลยี ความปลอดภัย สิ่งแวดล้อม หรือพลังงานไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อคนต่อปี โดยผู้ให้การฝึกอบรมต้องมีคุณวุฒิระดับปริญญาตรีขึ้นไปและมีประสบการณ์ในเรื่องที่ให้การฝึกอบรมอย่างน้อย 7 ปี หรือได้รับการฝึกอบรมจากหน่วยงานที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมเห็นชอบยื่นมาพร้อมกับคำขอ
(3) ให้ยื่นคำขอต่อสำนักเทคโนโลยีความปลอดภัยกรมโรงงานอุตสาหกรรม ตามแบบ สปภ. 1-26
ระยะเวลาสูงสุดต่อการตรวจสอบภายในหม้อน้ำหนึ่งครั้ง ให้เป็นดังนี้
(1) หม้อน้ำที่ใช้เชื้อเพลิงแข็ง ให้มีการตรวจสอบภายในหม้อน้ำทุกระยะเวลาสูงสุดไม่เกิน 3 ปี
(2) หม้อน้ำที่ใช้เชื้อเพลิงเหลวหรือเชื้อเพลิงก๊าซหรือความร้อนจากก๊าซร้อนหรือความร้อนจากกระบวนการ
ผลิต ให้มีการตรวจสอบภายในหม้อน้ำทุกระยะเวลาสูงสุดไม่เกิน 5 ปี
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
แบบ สปภ. 1-26 (คำขอความเห็นชอบในการตรวจสอบภายในหม้อน้ำทุกระยะเวลาเกินกว่า 1 ปี แต่ไม่เกิน 5 ปี ต่อการตรวจสอบ 1 ครั้ง)
แบบ สปภ. 1-27 (หนังสือเห็นชอบในการตรวจสอบภายในหม้อน้ำ)
..........................................................................................
ผู้ประกอบกิจการโรงงานที่ได้รับความเห็นชอบในการตรวจสอบภายในหม้อน้ำทุกระยะเวลาเกินกว่า 1 ปี แต่ไม่เกิน 5 ปี ต่อการตรวจสอบ 1 ครั้ง ต้องจัดทำรายงานส่งให้สำนักเทคโนโลยีความปลอดภัยกรมโรงงานอุตสาหกรรมอย่างน้อยปีละครั้ง โดยการจัดทำรายงานอย่างน้อยประกอบด้วยรายละเอียด 4 รายการตามกำหนด
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
รูปเล่มรายงาน (ประกอบด้วยรายละเอียด 4 รายการ)
แบบ สปภ. 1-28 (รายงานตรวจสอบภายนอกหม้อน้ำและตรวจสอบการทำงานของระบบควบคุมอุปกรณ์ความปลอดภัย)
หม้อน้ำหรือหม้อต้มที่ใช้ของเหลวเป็นสื่อนำความร้อนที่หยุดใช้งานติดต่อกันนานกว่า 6 เดือน หากจะนำมาใช้อีกครั้ง ต้อง จัดให้มีการตรวจสอบตามที่กำหนดก่อนการใช้งาน
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
รายงานผลการตรวจสอบและจัดส่งให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมภายใน 30 วัน นับแต่วันที่เสร็จสิ้นการตรวจสอบ
ต้องจัดทำรายงานข้อมูลการติดตั้ง การตรวจสอบ และทดสอบหลังการติดตั้ง และเคลื่อนย้ายตามหลักเกณฑ์และวิธีการ
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
เอกสารรายงานข้อมูล
ต้องจัดส่งรายงานผลการดำเนินการซ่อมแซม และดัดแปลง และผลการตรวจสอบและทดสอบหลังจากที่ได้ซ่อมแซมและดัดแปลง ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบก่อนใช้งาน ตามหลักเกณฑ์และวิธีการ
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
เอกสารแสดงผลการดำเนินการ
ส่งภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ผลิตหรือมีไว้ในครอบครอง
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
แบบ ร.1-1
ส่งภายใน 15 วัน นับแต่วันที่มีการเปลี่ยนแปลง
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
แบบ ร.1-2
จัดเก็บไว้เป็นหลักฐานให้พนักงานตรวจความปลอดภัยตรวจสอบได้
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
แบบ ร.2
ส่งภายใน 7 วัน นับจากวันที่มีผู้รับผิดชอบดำเนินการทางด้านเทคนิคในเรื่องรังสี
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
แบบ ร.3-1
ส่งภายใน 7 วัน นับจากวันที่มีผู้รับผิดชอบดำเนินการทางด้านเทคนิคในเรื่องรังสีคนใหม่แทน
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
แบบ ร.3-2
ติดไว้ให้เห็นโดยชัดเจนในบริเวณรังสี บริเวณรังสีสูง บริเวณที่มีการฟุ้งกระจายของสารกัมมันตรังสี หรือบริเวณที่มีการเก็บรักษาสารกัมมันตรังสี
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
แบบ ร.4
(1) การปฏิบัติงานระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนมิถุนายน ส่งภายในกรกฎาคม
(2) การปฏิบัติงานระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงเดือนธันวาคม ส่งภายในเดือนมกราคมของปีถัดไป
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
แบบ ร.4
(1) ส่งแผนต่ออธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย เพื่อให้ความเห็นชอบภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ผลิตหรือมีไว้ครอบครองซึ่งต้นกำเนิดรังสี
(2) จัดให้มีการฝึกซ้อมแผนอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
แผนป้องกันและระงับอันตรายจากรังสี
จัดเก็บไว้เป็นหลักฐานให้พนักงานตรวจความปลอดภัยตรวจสอบได้
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
รายงานผลการตรวจสุขภาพลูกจ้างซึ่งปฏิบัติงานเกี่ยวกับรังสี
ให้ผู้ประกอบกิจการโรงงานที่มีการใช้สารกัมมันตรังสี ต้องจัดให้มีเจ้าหน้าที่ผู้มีคุณสมบัติสำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าระดับปริญญาตรีทางด้านวิทยาศาสตร์ ที่มีการศึกษาเกี่ยวกับการป้องกันอันตรายจากรังสี อย่างน้อย 3 หน่วยกิต หรือผ่านการอบรมการใช้ การดูแลรักษา และการป้องกันอันตราย จากการใช้อุปกรณ์ และสารกัมมันตรังสี จากสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
เอกสารหลักฐานการแต่งตั้งผู้ควบคุมดูแลประจำโรงงาน (RSO: Radiation Safety Officer)
(1) ให้ผู้ประกอบกิจการโรงงานที่มีการใช้สารกัมมันตรังสี ต้องจัดทำรายงานข้อมูลเกี่ยวกับชนิด จำนวน แหล่งที่มา วิธีการใช้ และการเก็บรักษากัมมันตรังสี
(2) แจ้งทุกปีภายในวันที่ 30 ธันวาคม
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
แบบ ร.ง.7
ต้องแจ้งข้อมูลต่อกรมโรงงานอุตสาหกรรมภายใน 30 วัน นับจากวันที่นำสารกัมมันตรังสีมาใช้งาน
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
แบบ ร.ง. 7
(1) จัดให้มีสัญญาณเตือนภัยและแผนฉุกเฉิน เพื่อป้องกันอันตรายในกรณีที่มีอุบัติเหตุร้ายแรง และให้มีการซ้อมการปฏิบัติตามแผนที่วางไว้
(2) สัญญาณเตือนภัยต้องได้รับการตรวจสอบ ให้อยู่ในสภาพพร้อมที่จะใช้งานได้ตลอดเวลา
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
(1) แผนฉุกเฉิน
(2) เอกสารบันทึกผลการซ้อมแผนฉุกเฉิน
(3) เอกสารบันทึกการตรวจสอบสัญญาณเตือนภัย
จัดให้มีการตรวจวัดระดับรังสี ณ บริเวณที่มีการใช้รังสี และบริเวณที่เก็บรักษาสารกัมมันตรังสีเป็นประจำ
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
เก็บรายงานบันทึกผลไว้เพื่อการตรวจสอบ ของพนักงานเจ้าหน้าที่
ในกรณีที่คนงานได้รับรังสีเกินที่กำหนดไว้ จะต้องจัดทำรายงานเสนอต่อกรมโรงงานอุตสาหกรรมภายใน ระยะเวลาไม่เกิน 7 วัน
จัดให้มีการอบรม และนำคนงาน ให้มีความรู้เรื่องรังสี วิธีการระมัดระวังป้องกันอันตราย และแก้ไขอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
หลักฐานการฝึกอบรม แนะนำคนงานให้มีความรู้เรื่องรังสี
(1) จัดให้คนงานที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับรังสี มีเครื่องบันทึกรังสีด้วยฟิล์ม (Film Badge) ติดตัวตลอดเวลาที่ปฏิบัติงาน
(2) ให้เก็บรักษาสถิติการได้รับรังสีของแต่ละคนไว้
(3) ส่งบันทึกแจ้งผลต่อกรมโรงงานอุตสาหกรรมทุก 6 เดือน
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
บันทึกผลการได้รับรังสีของคนงาน
(1) ในกรณีรังสีเกิดการสูญหาย ต้องแจ้งให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม รับทราบภายใน 24 ชั่วโมง
(2) ในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินทางรังสี ซึ่งทำให้ระดับรังสีสูงผิดปกติ เสียตังค์แจ้งให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมทราบทันที
(3) ในกรณีเกิดอัคคีภัย ในบริเวณที่มีสารกัมมันตรังสี จะต้องแจ้งให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมรับทราบทันที
(1) สารเคมีอันตราย
(2) จุลชีวันเป็นพิษ: ไวรัส แบคทีเรีย รา หรือสารชีวภาพอื่น
(3) กัมมันตภาพรังสี
(4) ความร้อน ความเย็น ความสั่นสะเทือน ความกดดันบรรยากาศ แสง เสียง หรือสภาพแวดล้อมอื่นที่อาจเป็นอันตราย
(1) ตรวจโดยแพทย์แผนปัจจุบันชั้นหนึ่ง ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรมด้านอาชีวเวชศาสตร์ หรือที่ผ่านการอบรมด้านอาชีวเวชศาสตร์
(2) จัดเก็บบันทึกผลการตรวจสุขภาพ ไว้เป็นหลักฐานให้พนักงานตรวจความปลอดภัยตรวจสอบ
(3) กรณีที่ต้องจัดให้มีการตรวจสุขภาพของลูกจ้าง
ก่อนเข้าทำงาน ภายใน 30 วันนับแต่วันที่รับลูกจ้างเข้าทำงาน
ประจำปี อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
กรณีเปลี่ยนงาน (อันตรายแตกต่างจากเดิม) ภายใน 30 วันนับแต่วันที่เปลี่ยน
กรณีลูกจ้างหยุดงาน 3 วันติดต่อกัน ก่อนให้ลูกจ้างกลับเข้าทำงาน
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
(2) บันทึกผลการตรวจสุขภาพของลูกจ้าง
(1) จัดให้ลูกจ้างได้รับการรักษาพยาบาลทันที และทำการตรวจสอบหรือหาสาเหตุของความผิดปกติ เพื่อประโยชน์ในการป้องกัน
(2) ให้ส่งผลการตรวจสุขภาพของลูกจ้างที่พบความผิดปกติหรือการเจ็บป่วย การให้การรักษาพยาบาลและการป้องกันแก้ไขต่อพนักงานตรวจแรงงานตามแบบ ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ทราบความผิดปกติหรือการเจ็บป่วย
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
แบบ จผส.1
เเจ้งให้อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย ทราบล่วงหน้าก่อนการทำงานไม่น้อยกว่า 7 วัน
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
แบบแจ้งสถานที่ หรือเปลี่ยนสถานที่การทำงานประดาน้ำ
(1) จัดให้ลูกจ้างที่ทำงานประดาน้ำ เข้ารับการตรวจสุขภาพโดยแพทย์เวชศาสตร์ใต้น้ำ หรือแพทย์ที่ผ่านการอบรมหลักสูตรแพทย์เวชศาสตร์ใต้น้ำ ตามกำหนดระยะเวลาดังนี้
1) ก่อนให้ลูกจ้างทำงานประดาน้ำ
2) ตรวจสุขภาพเป็นระยะอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
3) ตรวจสุขภาพเป็นระยะอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง สำหรับลูกจ้างที่ทำงานประดาน้ำที่มีอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไป
4) เมื่อลูกจ้างเจ็บป่วยจากการทำงานประดาน้ำ หรือเจ็บป่วยด้วยโรคอื่นที่แพทย์สั่งให้ลูกจ้างหยุดงานตั้งแต่ 7 วันขึ้นไป
(2) จัดทำแบบตรวจสุขภาพลูกจ้าง และเก็บบัตรตรวจสุขภาพของลูกจ้างไว้ในสถานประกอบกิจการ พร้อมให้พนักงาน ตรวจสอบได้ตลอดเวลา
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
บัตรตรวจสุขภาพของลูกจ้างที่ทำงานประดาน้ำ
(1) งานก่อสร้างที่เข้าข่ายต้องจัดทำแผนงาน
งานอาคาร: ซึ่งมีพื้นที่เกิน 2000 ตารางเมตร หรืออาคารสูงตั้งแต่ 15 เมตรขึ้นไป และมีพื้นที่เกิน 1000 ตารางเมตร
งานสะพานที่มีช่วงความยาวตั้งแต่ 30 เมตรขึ้นไป หรืองานสะพานข้ามทางแยก ทางยกระดับสะพานกลับรถ
งานขุดซ่อมแซม หรือรื้อถอนระบบ สาธารณูปโภคที่ลึกตั้งแต่ 3 เมตรขึ้นไป
งานอุโมงค์รือทางลอด
(2) จัดเก็บแผนไว้พร้อมที่จะให้พนักงานตรวจความปลอดภัยตรวจสอบได้
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
แผนงานการก่อสร้างซึ่งจัดทำก่อนเริ่มดำเนินการก่อสร้างโดยมีรายละเอียดที่สำคัญครบถ้วน
(1) จัดให้มีมาตรการด้านความปลอดภัย และได้รับความเห็นชอบเป็นหนังสือจากวิศวกร
(2) จัดเก็บหนังสือไว้ ณ ที่ก่อสร้าง เพื่อให้พนักงานตรวจความปลอดภัยตรวจสอบได้
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
หนังสือแสดงความเห็นชอบให้ลูกจ้างเข้าพักอาศัยในอาคาร ซึ่งอยู่ในระหว่างการก่อสร้างหรือในเขตก่อสร้าง
จัดให้มีแผนผังวงจรไฟฟ้า และวิศวกรควบคุมดูแลการติดตั้งและการใช้งานให้เกิดความปลอดภัย
(1) มีวิศวกรลงนามรับรองแผนผังวงจรไฟฟ้า
(2) จัดให้มีวิศวกรควบคุมดูแลการติดตั้งและการใช้งานให้เกิดความปลอดภัย
(3) จัดเก็บแผนผังไว้ให้พนักงานตรวจความปลอดภัยตรวจสอบได้ตลอดเวลา
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
แผนผังวงจรไฟฟ้า แสดงการติดตั้งและการใช้ระบบไฟฟ้าในเขตก่อสร้าง
จัดให้ลูกจ้างได้รับการฝึกอบรมตามหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด
(1) ผู้บังคับเครื่องตอกเสาเข็ม
(2) ผู้บังคับลิฟต์
(3) การทำงานเกี่ยวกับปั้นจั่น: ผู้บังคับปั้นจั่น ผู้ให้สัญญาณแก่ผู้บังคับปั้นจั่น ผู้ยึดเกาะวัสดุ หรือผู้ควบคุมการใช้ปั้นจั่น
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
หลักฐานการฝึกอบรมของลูกจ้างในตำแหน่งที่เกี่ยวข้อง
(1) ชนิดและประเภทที่ต้องจัดให้มีการตรวจรับรอง
เครื่องจักรที่ใช้งานยก งานเคลื่อนย้าย หรือการติดตั้ง
เครื่องจักรที่ใช้ในงานดินหรืองานถนน
เครื่องจักรที่ใช้ในงานคอนกรีต
เครื่องจักรที่ใช้ในงานก่อสร้างฐานราก
เครื่องจักรที่ใช้ในงานขุด งานเจาะ หรืองานอุโมงค์
เครื่องจักรที่ใช้ในงานตัด งานเชื่อม หรืองานเจีย
เครื่องจักรที่ใช้ในงานรื้อถอนทำลายสิ่งก่อสร้าง
(2) จัดเก็บเอกสาร ผลการตรวจรับรอง ไว้ให้พนักงานตรวจความปลอดภัยตรวจสอบได้
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
เอกสารการตรวจรับรองประจำปีเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำงานก่อสร้าง
(1) จัดให้มี
วิศวกรตรวจรับรองคุณลักษณะของเครื่องตอกเสาเข็ม
ผู้ควบคุมงาน ตรวจสอบ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยก่อนใช้งาน
(2) จัดเก็บเอกสารผลการตรวจ ไว้ให้พนักงานตรวจความปลอดภัยตรวจสอบได้
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
เอกสารผลการตรวจเครื่องตอกเสาเข็ม
(1) จัดให้มีการตรวจสอบส่วนประกอบและอุปกรณ์ของลิฟต์ทุกเดือนตามหลักเกณฑ์
(2) โดยมีวิศวกรเป็นผู้ควบคุม และบันทึกวันเวลาที่ตรวจสอบ
(3) จัดเก็บเอกสารผลการตรวจสอบ ไว้ให้พนักงานตรวจความปลอดภัยตรวจสอบได้ตลอดเวลา
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
เอกสารแสดงผลการตรวจสอบลิฟต์ขนส่งวัสดุชั่วคราวและลิฟต์โดยสารชั่วคราว
(1) การคำนวณ ออกแบบ และกำหนดขั้นตอนการดำเนินการโดยวิศวกรก่อนลงมือปฏิบัติงาน
(2) วิศวกรควบคุมดูแลให้เกิดความปลอดภัย
(3) ผู้ควบคุมงานทำหน้าที่ตรวจความปลอดภัยในการทำงานก่อนการทำงานและขณะทำงานทุกขั้นตอนเพื่อให้เกิดความปลอดภัย
ลักษณะงานที่เข้าข่ายต้องจัดให้มี:
(1) การเจาะ ขุดรู หลุม บ่อ คู ลึก 2 เมตรขึ้นไป
(2) การจัดทำโครงสร้างเครื่องตอกเสาเข็มเอง
(3) การเคลื่อนย้ายเสาเข็ม (โดยไม่ใช้ราง)
(4) งานเสาเข็มเจาะขนาดใหญ่ ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ 70 เซนติเมตรขึ้นไป
(5) การทำงานเกี่ยวกับงานตอกเสาเข็ม และงานเสาเข็มเจาะในขณะมีพายุ ฝนตก ฟ้าคะนอง หรือภัยธรรมชาติ
(6) การทดสอบการรับน้ำหนักบรรทุกของเสาเข็ม
(7) การก่อสร้างกำแพงพืด
(8) การใช้ค้ำยัน
(9) การติดตั้งหรือทดสอบการใช้งานของเครื่องจักรและอุปกรณ์ ซึ่งอยู่ในระหว่างการก่อสร้างอันอาจก่อให้เกิดอันตราย
(10) การขุดเจาะอุโมงค์
(11) การรื้อถอนทำลายสิ่งก่อสร้าง
(12) การจัด PPE ให้เหมาะสมตามลักษณะของงาน
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
(1) โรงงานจำพวกที่ 3 (12 ประเภทอุตสาหกรรมเสี่ยง) ต้องจัดทำรายงานวิเคราะห์ความเสี่ยง จากอันตรายที่อาจเกิดจากการประกอบกิจการโรงงานในกรณี
ขอประกอบกิจการโรงงาน
ขออนุญาตขยายโรงงาน
(2) โรงงานที่ตั้งและประกอบกิจการอยู่ในเขตประกอบการอุตสาหกรรม จะต้องทบทวน จัดทำและยื่นรายงาน ครั้งต่อไปทุก ๆ 5 ปี ภายในวันที่ 30 ธันวาคมของปีที่ 5
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
รายงานจากวิเคราะห์ความเสี่ยงจากอันตราย ที่อาจเกิดจากการประกอบกิจการโรงงาน
ผู้ประกอบอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรมที่มีกระบวนการผลิตดังต่อไปนี้ ต้องดำเนินการจัดการความปลอดภัย กระบวนการผลิตตามหลักเกณฑ์
(1) กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีอันตรายร้ายแรงในปริมาณครอบครอง ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง เท่ากับหรือมากกว่าปริมาณที่กำหนดอยู่ในบัญชีสุดท้ายข้อบังคับ หรือ
(2) กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับแก๊สไวไฟ หรือของเหลวไวไฟ ที่มีปริมาณครอบครองตั้งแต่ 4,545 กิโลกรัม หรือ 10,000 ปอนด์ขึ้นไป ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง
2. การตรวจประเมินความปลอดภัยกระบวนการผลิต
(1) การตรวจประเมินภายใน ให้ดำเนินการตามเกณฑ์การตรวจประเมินตามข้อบังคับ อย่างน้อย 1 ครั้งต่อปี โดยคณะผู้ตรวจประเมินของสถานประกอบการเอง ทั้งนี้ ผู้ตรวจประเมินอย่างน้อย 1 คน ต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ และความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรม และกระบวนการผลิต ซึ่งอาจมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางร่วมอยู่ด้วยตามความจำเป็น หรืออาจมีผู้ตรวจประเมินฝึกหัดร่วมอยู่ด้วยก็ได้ และให้เก็บรายงานการตรวจประเมินที่บันทึกส่วนที่บกพร่องที่ได้รับการแก้ไขแล้ว ไว้เป็นหลักฐานที่สถานประกอบการอย่างน้อย 3 ปี
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
รายงานการตรวจประเมินภายใน พร้อมบันทึกส่วนที่บกพร่องที่ได้รับการแก้ไขแล้ว
(2) การตรวจประเมินภายนอก ให้ดำเนินการทุก 3 ปี โดยคณะผู้ตรวจประเมินที่ขึ้นทะเบียนไว้กับ กนอ. คณะผู้ตรวจประเมินภายนอก ต้องมีอย่างน้อย 3 คนขึ้นไป ทั้งนี้ ผู้ตรวจประเมินอย่างน้อย 1 คน ต้องเป็นผู้ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญ ด้านวิศวกรรมและกระบวนการผลิต ซึ่งอาจมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางร่วมอยู่ด้วยตามความจำเป็น หรืออาจมีผู้ตรวจประเมินฝึกหัดรวมอยู่ด้วยก็ได้ และให้เก็บรายงานการตรวจประเมินที่บันทึกส่วนที่บกพร่องที่ได้รับการแก้ไขแล้ว 2 ฉบับล่าสุด ไว้เป็นหลักฐานที่สถานประกอบการนั้นด้วย
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
รายงานการตรวจประเมินภายนอก พร้อมกับบันทึกส่วนที่บกพร่องที่ได้รับการแก้ไขแล้ว
(3) ให้ยื่นรายงานการตรวจประเมินภายนอกประกอบการยื่นขอต่ออายุใบอนุญาตต่อ กนอ. หรือกรณีเกิดอุบัติเหตุเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยกระบวนการผลิต หรือกรณีการขอขยายกำลังการผลิตที่กระบวนการผลิตเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยกระบวนการผลิต โดยมิได้หมายความรวมถึงการขยายพื้นที่ ให้ยื่นรายงานการตรวจประเมินภายนอก ประกอบการยื่นขออนุญาตต่อ กนอ.
(1) การติดตั้งอุปกรณ์และส่วนควบของระบบก๊าซ ต้องได้รับการตรวจทดสอบรับรองอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
(2) โดยวิศวกรผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม หรือผู้ที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมเห็นชอบ
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
เอกสารรายงานผลการตรวจทดสอบรถฟอร์คลิฟต์ (Forklift) ที่ใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลวเป็นเชื้อเพลิง
(1) ต้องจัดให้มีคนงานซึ่งได้รับหนังสือรับรองผ่านการฝึกอบรมจากหน่วยงานที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมรับรอง และขึ้นทะเบียนเป็นคนงานควบคุมก๊าซ
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
เอกสารหลักฐานการแต่งตั้งและขึ้นทะเบียนเป็นคนงานควบคุมก๊าซ (แบบ สภ.1-17)
ต้องจัดทำและส่งรายงานข้อมูลการติดตั้งการตรวจสอบและทดสอบหลังการติดตั้ง ให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม หรือสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดที่โรงงานตั้งอยู่ทราบภายใน 30 วัน นับแต่วันที่มีการติดตั้งตามหลักเกณฑ์และวิธีการ
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
ต้องจัดทำและดำเนินการตามแผนการบำรุงรักษาระบบทำความเย็น รวมถึงอุปกรณ์ในระบบทำความเย็น ตามหลักวิชาการด้านวิศวกรรม เพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
ผู้ประกอบกิจการโรงงานต้องจัดทำแผนฉุกเฉินในกรณีแอมโมเนียรั่วไหล และต้องจัดให้มีการฝึกซ้อมตามแผนฉุกเฉินดังกล่าวอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
(2) เอกสารบันทึกผลการฝึกซ้อมตามแผนฉุกเฉิน
ผู้ประกอบกิจการโรงงานต้องจัดทำและส่งรายงานผลการดำเนินการซ่อมแซมและดัดแปลงและผลการตรวจสอบและทดสอบหลังจากที่ได้ซ่อมแซมและดัดแปลงระบบทำความเย็นให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมหรือสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดที่โรงงานตั้งอยู่ทราบก่อนการใช้งาน ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีกำหนด
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
(1) ผู้ประกอบกิจการโรงงานที่ใช้ระบบทำความเย็นต้องจัดให้มีวิศวกรที่ได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมตามกฎหมายว่าด้วยวิศวกรที่ขึ้นทะเบียนกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อตรวจสอบและทดสอบการใช้งานระบบทำความเย็นให้มีความปลอดภัยอยู่เสมออย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
(2) การตรวจสอบและทดสอบความปลอดภัยของเครื่องจักร และอุปกรณ์ในระบบทำความเย็น ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีกำหนด
(3) ส่งรายงานผล ให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม หรือสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดที่โรงงานตั้งอยู่ทราบภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ทำการตรวจสอบหรือทดสอบตามหลักเกณฑ์และวิธีการ
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
(1) ผู้ประกอบกิจการโรงงานที่ใช้ระบบทำความเย็น ต้องจัดให้มีผู้ควบคุมดูแลการทำงานประจำระบบทำความเย็น
(2) ผู้ควบคุมต้องมีคุณวุฒิที่ได้รับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงด้านช่างอุตสาหกรรมที่มีหน่วยการศึกษาด้านระบบทำความเย็นและระบบปรับอากาศ หรือช่างผู้ชำนาญงานที่ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรผู้ควบคุมระบบทำความเย็น จากกระทรวงอุตสาหกรรม หรือสถาบันอื่นที่กระทรวงอุตสาหกรรมเห็นชอบ และเป็นคนงานประจำโรงงาน ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีกำหนด
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
หลักฐานการแต่งตั้งผู้ควบคุมดูแลการทำงานประจำระบบทำความเย็น
สิ่งปฏิกูล หมายถึง อุจจาระหรือปัสสาวะในโรงงานผู้ก่อกำเนิด และให้หมายความรวมถึง มูลสัตว์หรือสิ่งอื่นใด ซึ่งเป็นสิ่งโสโครกในโรงงานของผู้ก่อกำเนิด
วัสดุที่ไม่ใช้แล้ว หมายถึง วัสดุหรือสิ่งใดๆ ที่โรงงานผู้ก่อกำเนิดไม่ใช้แล้ว หรือที่ไม่ประสงค์ใช้ตามวัตถุประสงค์เดิม หรือที่ไม่ได้คุณภาพ หรือยังไม่ได้ใช้งาน ที่เป็นของเสียอันตราย และไม่เป็นของเสียอันตราย ไม่ว่าจะมีมูลค่าหรือสามารถนำไปจำหน่ายหรือขายเป็นสินค้า หรือผลิตภัณฑ์พลอยได้หรือไม่ก็ตาม แต่ไม่รวมถึงมูลฝอยติดเชื้อตามกฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุข และกากกัมมันตรังสีตามกฎหมายว่าด้วยพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ
ของเสียอันตราย หมายถึง วัสดุที่ไม่ใช้แล้วที่มีองค์ประกอบ หรือปนเปื้อนสารอันตราย หรือมีลักษณะและคุณสมบัติที่เป็นอันตราย
การเก็บกากอุตสาหกรรมในโรงงาน
แยกกากอุตสาหกรรมที่เป็นอันตรายและไม่เป็นอันตรายออกจากกันโดยเป็นไปตามหลักวิชาการ
พื้นที่ภายในโรงงานต้องมีพื้นที่รองรับเพียงพอ
มีความปลอดภัย
ป้องกันไม่ให้ปนเปื้อนสู่สิ่งแวดล้อม
การนำกากอุตสาหกรรมออกนอกโรงงาน
ก่อนนำกากอุตสาหกรรมออกนอกโรงงาน ต้องได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม และเมื่อได้รับอนุญาตให้นำออกโรงงาน แล้วผู้ก่อกำเนิดมีหน้าที่แจ้งข้อมูลการขนส่งและติดตามกากอุตสาหกรรมไม่ให้เกิดการลักลอบทิ้ง และติดตามกากอุตสาหกรรม ให้ถูกจัดการจนแล้วเสร็จถึงจะพ้นภาระความรับผิด ดังนั้นจึงต้องเลือกผู้รับดำเนินการที่ปฏิบัติตามกฎหมายถูกต้อง ครบถ้วน อย่างเคร่งครัด
หน้าที่ของโรงงานผู้ก่อกำเนิด
โรงงานผู้ก่อกำเนิด มีหน้าที่รายงานการจัดเก็บ และการจัดการสิ่งปฏิกูล หรือวัสดุไม่ใช้แล้วภายในบริเวณโรงงาน ในรอบปีที่ผ่านมาต่อกรมโรงงานอุตสาหกรรม ภายในวันที่ 30 เมษายนของปีถัดไป โดยการรายงานให้ดำเนินการแบบและวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบการรายงานข้อมูลกระทรวงอุตสาหกรรม (i-SingleForm)
หน้าที่ของโรงงานผู้รับดำเนินการ
โรงงานผู้รับดำเนินการสามารถรับกับอุตสาหกรรมตามที่อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรมอนุญาตเท่านั้น
เมื่อรับกากอุตสาหกรรมที่เป็นวัตถุดิบเข้ามาแล้ว ต้องตรวจสอบลักษณะสำคัญ (Fingerprinting) ทุกครั้ง
ต้องเก็บกากอุตสาหกรรมที่เป็นวัตถุดิบให้มีความปลอดภัยและป้องกันไม่ให้ปนเปื้อนสู่สิ่งแวดล้อม
โรงงานผู้รับดำเนินการต้องจัดการกากอุตสาหกรรมที่เป็นวัตถุดิบให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด
ต้องรายงานการจัดการวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์รายเดือน โดยจัดส่งรายงานภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป โดยการรายงานให้ดำเนินการโดยแบบและวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบการรายงานข้อมูลกระทรวงอุตสาหกรรม (i-SingleForm)
(1) ประเภทหรือชนิดของโรงงานที่ต้องมีบุคลากรด้านสิ่งแวดล้อมประจำโรงงานและประเภทหรือชนิดของโรงงาน ตามบัญชีท้ายประกาศต้องจัดทำรายงานชนิดและปริมาณสารมลพิษที่ระบายออกจากโรงงาน
(2) การเก็บตัวอย่างน้ำให้เก็บตัวอย่างน้ำเสียหรือน้ำทิ้งดังนี้
น้ำเสียก่อนเข้าระบบบำบัดน้ำเสียอย่างน้อย 3 เดือนต่อครั้ง
น้ำเสียหรือน้ำทิ้งออกจากระบบบำบัดน้ำเสียอย่างน้อย 3 เดือนต่อครั้ง
น้ำทิ้งระบายออกนอกโรงงานอย่างน้อย 1 เดือนต่อครั้ง
น้ำเสียที่ส่งบำบัดภายนอกโรงงาน ให้เก็บตัวอย่างน้ำในบ่อสุดท้ายอย่างน้อย 1 เดือนต่อครั้ง
กรณีไม่มีการระบายออกนอกโรงงาน ให้เก็บตัวอย่างน้ำในบ่อสุดท้ายอย่างน้อย 3 เดือนต่อครั้ง
ให้โรงงานที่มีมลพิษน้ำและอากาศ ต้องจัดทำรายงานชนิดและปริมาณสารมลพิษ ที่ระบายออกจากโรงงาน ตามประเภทหรือชนิดของโรงงานที่กรมอุตสาหกรรมกำหนด
(3) การเก็บตัวอย่างอากาศ ให้เก็บตัวอย่างอากาศที่ระบายออกจากกล่องระบายอากาศของโรงงาน อย่างน้อย 6 เดือนต่อครั้ง
(4) การรายงานมลพิษอากาศ ให้ใช้วิธีการได้มาของข้อมูล การจัดทำรายงานตามที่กำหนด และต้องมีพารามิเตอร์ตามที่กำหนด
(5) การตรวจวัดชนิดและปริมาณสารมลพิษ ต้องทำการตรวจวัดโดยห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ของทางราชการ หรือห้องปฏิบัติการวิเคราะห์เอกชนที่ขึ้นทะเบียนกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม
(6) การจัดทำรายงานชนิดและปริมาณสารมลพิษ ให้ดำเนินการตามแบบที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมกำหนด และส่งรายงานให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยให้รายงานข้อมูลรอบที่ 1 ของเดือนมกราคม ถึงเดือนมิถุนายนภายในวันที่ 1 กันยายนของปีที่รายงาน และให้รายงานข้อมูลรอบที่ 2 ของเดือนกรกฎาคม ถึงเดือนธันวาคม ภายในวันที่ 1 มีนาคมของปีถัดไป
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
(1) แบบรายงานที่เกี่ยวข้อง
แบบ รว.1
แบบ รว.2
แบบ รว.3
(2) ลงนามรับรองในแบบรายงาน โดยผู้ประกอบกิจการโรงงาน หรือผู้รับมอบอำนาจ และผู้ควบคุมดูแลระบบป้องกันสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ
(3) เก็บรักษารายงานชนิดและปริมาณสารมลพิษไว้ที่โรงงาน 1 ชุด เป็นระยะเวลา 3 ปี และพร้อมที่จะให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบได้
(1) โรงงาน 12 รายการ ตามบัญชีท้ายกฎกระทรวงควบคุมการปนเปื้อนในดินและน้ำใต้ดินภายในบริเวณโรงงาน พ.ศ. 2559 ผู้ประกอบกิจการโรงงานต้องจัดให้มีการตรวจสอบและต้องจัดทำรายงานผลการตรวจสอบคุณภาพดินและน้ำใต้ดิน
จัดให้มีการตรวจสอบ และต้องจัดทำรายงานผล ก่อนวันเริ่มประกอบกิจการโรงงาน และเก็บไว้เพื่อให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมสามารถเรียกตรวจสอบได้
จัดให้มีการตรวจสอบครั้งที่ 2 เมื่อครบกำหนด 180 วัน นับแต่วันเริ่มประกอบกิจการโรงงาน
จัดให้มีการตรวจสอบคุณภาพดินต่อไปทุก 3 ปี และตรวจสอบคุณภาพน้ำใต้ดินต่อไปทุก 1 ปี
กรณีประกอบกิจการโรงงานก่อนวันที่ 26 ตุลาคม 2559
ต้องจัดให้มีการตรวจสอบคุณภาพดินและน้ำใต้ดินครั้งแรกภายใน 180 วัน (นับแต่วันที่ 26 ตุลาคม 2559)
จัดให้มีการตรวจสอบครั้งที่ 2 เมื่อครบกำหนด 180 วัน นับแต่วันที่ได้ทำการตรวจสอบครั้งแรก
จัดให้มีการตรวจสอบคุณภาพดินต่อไปทุก 3 ปี และตรวจสอบคุณภาพน้ำใต้ดินต่อไปทุก 1 ปี
(2) ต้องจัดทำและส่งรายงานผลการตรวจสอบคุณภาพดินและน้ำใต้ดิน ให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม หรือสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดที่โรงงานตั้งอยู่ภายใน 120 วัน นับแต่วันครบกำหนด
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
รายงานผลการตรวจสอบคุณภาพดินและน้ำใต้ดิน
ในกรณีที่ปรากฏตามรายงานผลการตรวจสอบคุณภาพดินและน้ำใต้ดินว่าการปนเปื้อนในดินและน้ำใต้ดินโรงงานใดสูงกว่าเกณฑ์การปนเปื้อนในดินและน้ำใต้ดิน ผู้ประกอบกิจการโรงงานนั้นต้อง
(1) จัดให้มีการทำรายงานเสนอมาตรการควบคุมการปนเปื้อนในดิน และน้ำใต้ดิน และมาตรการลดการปนเปื้อนในดินและน้ำใต้ดิน ให้ไม่สูงกว่าเกณฑ์การปนเปื้อนในดินและน้ำใต้ดิน
(2) ส่งรายงานดังกล่าวให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมหรือสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดที่โรงงานตั้งอยู่ภายใน 180 วัน นับแต่วันที่ตรวจพบว่าภายในบริเวณโรงงานมีการปนเปื้อนในดินและน้ำใต้ดินสูงกว่าเกณฑ์การปนเปื้อนในดินและน้ำใต้ดิน ทั้งนี้ให้กำหนดระยะเวลาที่คาดว่า จะสามารถดำเนินการลดการปนเปื้อนในดินและน้ำใต้ดินไม่ให้สูงกว่าเกณฑ์การปนเปื้อนในดินและน้ำใต้ดินไว้ในรายงานดังกล่าวด้วย
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
รายงานเสนอมาตรการควบคุมการปนเปื้อนในดินและน้ำใต้ดิน และมาตรการลดการปนเปื้อนในดินและน้ำใต้ดิน
(1) โรงมหรสพ
(2) โรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรมที่มีห้องพักตั้งแต่ 80 ห้องขึ้นไป
(3) สถานบริการตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการที่มีพื้นที่ตั้งแต่ 200 ตารางเมตรขึ้นไป
(4) อาคารชุดตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด หรืออาคารอยู่อาศัยรวมที่มีพื้นที่ตั้งแต่ 2,000 ตารางเมตรขึ้นไป
(5) อาคารโรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานที่มีความสูงมากกว่าหนึ่งชั้น และมีพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 5,000 ตารางเมตรขึ้นไป
(6) ป้ายหรือสิ่งที่สร้างขึ้นสำหรับติดหรือตั้งป้าย ที่สูงจากพื้นดินตั้งแต่ 15 เมตรขึ้นไป หรือมีพื้นที่ตั้งแต่ 50 ตารางเมตรขึ้นไป หรือป้ายที่ติดหรือตั้งบนหลังคาหรือดาดฟ้าของอาคาร หรือส่วน หนึ่ง ส่วนใดของอาคารที่มีพื้นที่ตั้งแต่ 25 ตารางเมตรขึ้นไป
ยกเว้นสาร 194 ชนิดตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง ยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติ วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 เกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนวัตถุอันตรายที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบ พ.ศ. 2547
(1) ข้อมูลความปลอดภัย (Safety Data Sheet) ตามแบบ วอ./อก.3
(2) ข้อกำหนดของวัตถุอันตราย (Specification)
(3) เอกสารหรือภาพถ่ายแสดงลักษณะบรรจุวัตถุอันตราย
(4) เอกสารหรือภาพถ่ายแสดงการบรรจุหีบห่อหรือผูกมัด (ถ้ามี)
(5) รายงานการวิเคราะห์ของห้องปฏิบัติการตามมาตรฐาน หรือเอกสารยืนยันข้อกำหนดของวัตถุอันตรายนั้น
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
แบบ วอ./อก. 1 (คำขอขึ้นทะเบียนวัตถุอันตราย)
แบบ วอ./อก. 3 (ข้อมูลความปลอดภัย Safety Data Sheet)
แบบ วอ./อก. 2 (ใบสำคัญการขึ้นทะเบียนวัตถุอันตราย) ใช้ได้จนถึงวันสิ้นปีปฏิทิน แห่งปีที่หกนับแต่ปีที่ออกใบสำคัญการขึ้นทะเบียนวัตถุอันตราย
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
แบบ วอ./อก. 4 (คำขอต่ออายุใบสำคัญการขึ้นทะเบียนวัตถุอันตราย)
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
แบบ วอ./อก. 8 (คำขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายการในใบสำคัญการขึ้นทะเบียน)
1.4 กรณีที่จำเป็นต้องผลิตหรือนำเข้าซึ่งตัวอย่างวัตถุอันตรายที่จะขอขึ้นทะเบียนวัตถุอันตรายหรือต้องนำเข้ามาซึ่งวัตถุอันตรายอย่างอื่นเพื่อใช้ในการผลิตวัตถุอันตรายที่จะขอขึ้นทะเบียนวัตถุอันตราย
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
แบบ วอ./อก. 9 (คำขออนุญาตผลิตหรือนำเข้าซึ่งตัวอย่างวัตถุอันตราย)
แบบ วอ./อก. 10 (ใบอนุญาตผลิตตัวอย่างวัตถุอันตราย)
แบบ วอ./อก. 11 (ใบอนุญาตนำเข้าตัวอย่างวัตถุอันตราย)
2. การแจ้งข้อเท็จจริงของผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้ส่งออก หรือผู้มีไว้ครอบครองซึ่งวัตถุอันตราย ที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมมีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบ
ผู้นำเข้าหรือส่งออก สามารถแจ้งข้อเท็จจริง โดยผ่านระบบสัญญาณคอมพิวเตอร์เข้ากับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของกรมโรงงานอุตสาหกรรม
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
แบบ วอ./อก. 6 (ใบแจ้งข้อเท็จจริงของผู้นำเข้าหรือผู้ส่งออกวัตถุอันตราย)
แบบ วอ./อก. 6.1 (ใบสมัครเป็นสมาชิก)
แบบ วอ./อก. 6.2 (หนังสือรับรองการเป็นสมาชิก)
แบบ วอ./อก. 6.3 (หนังสือรับแจ้งข้อเท็จจริง)
(1) แจ้งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับชื่อวัตถุอันตราย สูตรและอัตราส่วน ชื่อทางการค้า ชื่อสามัญหรือชื่อย่อ (ถ้ามี) ปริมาณที่ผลิต นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ครอบครอง ปริมาณที่ขาย ขายแก่ผู้ใด เเละผู้ซื้อนำไปใช้ในกิจการใด ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบตามแบบ วอ.อก. 7
(2) การประกอบการในระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนมิถุนายน ต้องแจ้งภายในเดือนกรกฎาคมของปีนั้น และการประกอบการในระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงเดือนธันวาคม ต้องแจ้งภายในเดือนมกราคมของปีถัดไป
ผู้ประกอบการสามารถแจ้งข้อเท็จจริงของผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้ส่งออก หรือผู้มีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุอันตราย ตามแบบ วอ.อก. 7 ผ่านระบบสัญญาณคอมพิวเตอร์เข้ากับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของกรมโรงงานอุตสาหกรรม
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
แบบ วอ./อก. 7 (ใบแจ้งข้อเท็จจริงของผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้ส่งออก หรือผู้มีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุอันตราย)
แบบ วอ./อก. 7.3 (ใบสมัครเป็นสมาชิก)
3. การให้แจ้งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการผลิตหรือกการนำเข้าซึ่งวัตถุดิบอันตรายตามบัญชี 5.6 ที่กรมโรงงานรับผิดชอบ
(1) ให้ผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าซึ่งวัตถุอันตราย ที่มีปริมาณเกินกว่า 1,000 กิโลกรัมต่อปี แจ้งข้อเท็จจริงตามแบบ วอ./อก. 20
(2) ให้แจ้งเพียงครั้งเดียว แจ้งผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของกรมโรงงานอุตสาหกรรม หรือตามที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมประกาศกำหนดภายในระยะเวลา 30 วัน นับแต่วันที่มีการผลิต หรือนำเข้าวัตถุอันตราย ในปริมาณที่เกินกว่ากำหนดไว้ดังกล่าว
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
แบบ วอ./อก. 20 (ใบแจ้งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการผลิตหรือกการนำเข้าซึ่งวัตถุดิบอันตรายตามบัญชี 5.6)
4. การดำเนินการผลิตนำเข้าส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุอันตรายชนิดที่ 2
(1) ผู้ที่จะดำเนินการผลิต นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุอันตรายชนิดที่ 2 ให้แจ้งการดำเนินการต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามแบบ วอ./อก. 5 จำนวน 2 ชุด
(2) ผู้ที่จะขอต่ออายุใบรับแจ้งการผลิต นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุอันตรายชนิดที่ 2 ให้แจ้งขอต่ออายุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามแบบ วอ./อก. 5/1จำนวน 2 ชุด โดยต้องยื่นคำขอภายใน 90 วัน ก่อนวันที่ใบรับแจ้งสิ้นอายุ
(3) ทำเนียบสำเนาใบสำคัญการขึ้นทะเบียนมาพร้อมการแจ้ง เว้นแต่วัตถุอันตรายนั้นจะได้รับการยกเว้นไม่ต้องขึ้นทะเบียน
(4) ใบรับแจ้งหรือใบต่ออายุใบรับแจ้งการดำเนินการเกี่ยวกับวัตถุอันตรายชนิดที่ 2 ให้ใช้ได้มีกำหนด 3 ปี นับแต่วันออกใบรับแจ้ง
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
แบบ วอ./อก. 5 (ใบแจ้งการดำเนินการเกี่ยวกับวัตถุอันตรายชนิดที่ 2)
แบบ วอ./อก. 5/1 (ใบขอต่ออายุใบรับแจ้งการดำเนินการเกี่ยวกับวัตถุอันตรายชนิดที่ 2)
แบบ วอ./อก. 5/2 (ใบแจ้งความประสงค์ขอใช้บริการ หรือขอต่ออายุใบรับแจ้งการดำเนินการ เกี่ยวกับวัตถุอันตรายชนิดที่ 2 โดยผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์)
5. การดำเนินการผลิต นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุอันตรายชนิดที่ 3
(1) ผู้ที่ประสงค์จะดำเนินการผลิต นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 ให้ยื่นคำขอ พร้อมด้วยเอกสารตามที่ระบุไว้ในแบบคำของบจำนวน 2 ชุด
(2) ให้ยื่นต่อหน่วยงานผู้รับผิดชอบในการควบคุมวัตถุอันตรายน้ำนั้น
(3) การขออนุญาตผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของหน่วยงาน ให้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่หน่วยงานดังกล่าวกำหนด
(4) ผู้ที่ประสงค์จะขอต่ออายุใบอนุญาตนำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุอันตราย ให้ยื่นคำขอพร้อมด้วยเอกสารตามที่ระบุไว้จำนวน 2 ชุด
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
แบบ วอ. 1 (คำขออนุญาตผลิตวัตถุอันตราย)
แบบ วอ. 2 (ใบอนุญาตผลิตวัตถุอันตราย)
แบบ วอ. 3 (คำขออนุญาตนำเข้าวัตถุอันตราย)
แบบ วอ. 4 (ใบอนุญาตนำเข้าวัตถุอันตราย)
แบบ วอ. 5 (คำขออนุญาตส่งออกวัตถุอันตราย)
แบบ วอ. 6 (ใบอนุญาตส่งออกวัตถุอันตราย)
แบบ วอ. 7 (คำขออนุญาตมีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุอันตราย)
แบบ วอ. 8 (ใบอนุญาตมีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุอันตราย)
แบบ วอ. 9 (คำขอต่ออายุใบอนุญาต)
6. การนำเข้าหรือมีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 เพื่อใช้เป็นสารมาตรฐานในการวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ
(1) การขออนุญาตนำวัตถุอันตราย ให้ยื่นหนังสือขออนุญาตนำเข้าตามแบบ
(2) หนังสือขออนุญาตนำเข้า ออกให้สำหรับแต่ละผลิตภัณฑ์ หรือแต่ละชื่อของวัตถุอันตราย โดยให้ใช้ได้ไม่เกิน 6 เดือน นับแต่วันที่ได้รับอนุญาตและใช้ได้เพียงหนึ่งครั้ง
(3) ให้ยื่นเอกสารแจ้งข้อเท็จจริงการนำเข้าตามแบบ วอ./อก.14 หรือแจ้งผ่านระบบสัญญาณคอมพิวเตอร์เข้ากับระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของกรมโรงงานอุตสาหกรรมตามหลักเกณฑ์ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบก่อนนำของออกจากด่านศุลกากร
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
วอ./อก. 12 (หนังสือขออนุญาตนำเข้าวัตถุอันตรายชนิดที่ 4)
วอ./อก. 13 (หนังสืออนุญาตนำเข้าวัตถุอันตรายชนิดที่ 4)
วอ./อก. 14 (ใบแจ้งข้อเท็จจริงการนำเข้าวัตถุอันตรายชนิดที่ 4)
(1) ให้ผู้ได้รับหนังสืออนุญาตนำเข้าได้รับยกเว้น ไม่ต้องยื่นหนังสือขออนุญาตมือไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุอันตรายไม่เกินอายุของหนังสืออนุญาตนำเข้าวัตถุอันตราย
(2) กรณีผู้นำเข้าต้องส่งมอบวัตถุดิบอันตรายให้แก่ผู้สั่งซื้อ สวัสดีให้ยื่นเอกสารแสดงบัญชีส่งมอบวัตถุอันตรายตามแบบ วอ./อก. 15 ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบ ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ส่งมอบ
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
แบบ วอ./อก. 15 (บัญชีการส่งมอบวัตถุอันตรายชนิดที่ 4)
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
การขออนุญาตมีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุอันตราย ให้ยื่นหนังสือขออนุญาตมีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุอันตราย ตามแบบ วอ.อก. 16
(ข้อยกเว้น ห้องปฏิบัติการของกระทรวง กรมราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ องค์การของรัฐ และสภากาชาดไทย ที่มีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุอันตราย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นสารมาตรฐานในการวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ)
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
แบบ วอ.อก. 16 (หนังสือขออนุญาตมีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุอันตรายชนิดที่ 4)
แบบ วอ.อก. 17 (หนังสืออนุญาตมีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 มีอายุ 3 ปีนับแต่วันที่ได้รับอนุญาต)
ผู้มีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุอันตรายต้อง
(1) จัดให้มีมาตรการความปลอดภัยเกี่ยวกับการเก็บ การใช้ และการกำจัดทำลายให้เป็นไปตามหลักวิชาการโดยมีผู้รับผิดชอบเฉพาะ
(2) ให้ยื่นแบบรายงานข้อมูล ปริมาณการมีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุอันตรายตามแบบ วอ./อก. 18 ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบปีละ 1ครั้งทุก ๆ สิ้นปีปฏิทิน หรือแจ้งผ่านระบบสัญญาณคอมพิวเตอร์เข้ากับระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของกรมโรงงานอุตสาหกรรม ตามหลักเกณฑ์ภายในเดือนกุมภาพันธ์ของปีถัดไป
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
แบบ วอ.อก. 18 (แบบรายงานข้อมูลปริมาณการมีไว้ในครอบครอง ซึ่งวัตถุอันตรายชนิดที่ 4)
ผู้ประสงค์ต่ออายุหนังสือขออนุญาตมีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุอันตรายให้ยื่นตามแบบ วอ.อก. 19ก่อนหนังสืออนุญาตสิ้นอายุ
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
แบบ วอ.อก. 19 (หนังสือขอต่ออายุอนุญาตมีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุอันตรายชนิดที่ 4)
7. การเก็บรักษาวัตถุอันตรายที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมรับผิดชอบ
ให้ผู้ประกอบการวัตถุอันตรายดำเนินการด้านความปลอดภัยเกี่ยวกับการเก็บรักษาวัตถุอันตรายให้เป็นไปตามประกาศกรมโรงงานอุตสาหกรรม เรื่อง คู่มือการเก็บรักษาสารเคมีและวัตถุอันตราย พ.ศ. 2550 หรือเป็นไปตามหลักเกณฑ์นานาชาติโดยความเห็นชอบจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม
8. การจัดให้มีบุคลากรเฉพาะรับผิดชอบความปลอดภัยการเก็บรักษาวัตถุอันตราย
ผู้ประกอบการวัตถุอันตรายที่มีลักษณะเป็นไปตามข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ ต้องมีบุคลากรเฉพาะประจำสถานที่เก็บรักษาวัตถุอันตราย
(1) ผู้ผลิต ผู้นำเข้า หรือผู้ส่งออกวัตถุอันตราย ที่มีวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 ชนิดที่ 2 หรือชนิดที่ 3 ปริมาณตั้งแต่ 1,000 เมตริกตัน/ปี ขึ้นไป
(2) ผู้มีไว้ในครอบครองวัตถุอันตราย ที่มีพื้นที่การเก็บรักษาวัตถุอันตราย ตั้งแต่ 300 ตารางเมตรขึ้นไป
(3) ผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้ส่งออก หรือผู้มีไว้ในครอบครองวัตถุอันตราย ที่เป็นวัตถุไวไฟหรือวัตถุออกซิไดซ์ วัตถุเปอร์ออกไซด์
ต้องแจ้งการมีบุคลากรเฉพาะรับผิดชอบความปลอดภัยการเก็บรักษาวัตถุอันตรายที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมรับผิดชอบตามแบบ บฉ. 1
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
แบบ บฉ. 1 (แจ้งการมีบุคลากรเฉพาะรับผิดชอบความปลอดภัยการเก็บรักษาวัตถุอันตราย)
9. การจดทะเบียนเป็นบุคลากรเฉพาะ
ผู้ประสงค์จดทะเบียนเป็นบุคลากรเฉพาะต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
(1) สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีที่หลักสูตรกำหนดให้เรียนวิชาเคมีไม่น้อยกว่า 8 หน่วยกิต หรือสำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าระดับมัธยมศึกษาตอนปลายและมีประสบการณ์หน้าที่ประจำรับผิดชอบการเก็บรักษาวัตถุอันตรายรวมกันไม่น้อยกว่า 3 ปี
(2) ผ่านการทดสอบวัดความรู้ตามหลักสูตรความปลอดภัยการเก็บรักษาวัตถุอันตราย ที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมกำหนด โดยได้คะแนนในการสอบไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
แบบ บฉ. 2 (คำขอจดทะเบียนเป็นบุคลากรเฉพาะรับผิดชอบความปลอดภัยการเก็บรักษาวัตถุอันตราย)
โดยยื่นพร้อมหลักฐานดังนี้
(1) สำเนาบัตรประชาชน
(2) สำเนาทะเบียนบ้าน
(3) สำเนาปริญญาบัตรและผลการศึกษา (Transcript)/ สำเนาหลักฐานการศึกษาไม่ต่ำกว่าระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และหนังสือรับรองประสบการณ์
(4) หลักฐานการสอบผ่านการทดสอบวัดความรู้ แบบ บฉ.3 (หนังสือรับรองการจดทะเบียน)
10. แผนความปลอดภัยการเก็บรักษาวัตถุอันตรายประจำปี
(1) ให้บุคลากรเฉพาะจัดทำแผนความปลอดความปลอดภัยการเก็บรักษาวัตถุอันตรายประจำปี
(2) จัดเก็บแผนไว้ ณ สถานที่เก็บรักษาวัตถุอันตราย สามารถให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบรายงานได้ตลอดเวลา
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
เอกสารรายละเอียดแผนความปลอดภัยการเก็บรักษาวัตถุอันตรายประจำปี
11. การรายงานความปลอดภัยการเก็บรักษาวัตถุอันตราย
(1) ผู้ประกอบการ วัตถุอันตรายต้องส่งรายงานความปลอดภัยการเก็บรักษาวัตถุอันตรายตามแบบ บฉ.4 ปีละ 1 ครั้ง ทุกสิ้นปีปฏิทิน โดยมีบุคลากรเฉพาะเป็นผู้จัดทำและรับรองรายงาน
(2) โดยให้ส่งผ่านระบบสัญญาณคอมพิวเตอร์เข้ากับระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของกรมโรงงานอุตสาหกรรมเท่านั้น
(3) การส่งรายงานความปลอดภัยการเก็บรักษาวัตถุอันตรายให้ปฏิบัติตามขั้นตอนวิธีการ
(4) ให้จัดพิมพ์รายงานเก็บไว้ในสถานประกอบการวัตถุอันตราย เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบได้ตลอดเวลา
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
แบบ บฉ. 4 (รายงานความปลอดภัยการเก็บรักษาวัตถุอันตราย)
12. ระบบการจำแนกและการสื่อสารความเป็นอันตรายของวัตถุอันตราย
ให้ผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้ส่งออก และผู้มีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุอันตราย ต้องมีการจำแนกและการสื่อสารความเป็นอันตรายของวัตถุอันตราย ดังต่อไปนี้
(1) จำแนกความเป็นอันตรายทางกายภาพ 16 ประเภท และความเป็นอันตรายต่อสุขภาพ 10 ประเภท และความเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม 2 ประเภท
(2) ติดฉลาก
(3) จัดทำเอกสารข้อมูลความปลอดภัย
เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้อง สามารถดำเนินการเกี่ยวกับวัตถุอันตรายนั้น ๆ ได้อย่างปลอดภัย
13. การขนส่งวัตถุอันตรายที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมรับผิดชอบ
ผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้ส่งออก ผูมีไว้ในครอบครอง และผู้ขนส่ง ซึ่งวัตถุอันตราย ต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการขนส่งวัตถุอันตรายที่กำหนด ในเรื่องดังต่อไปนี้
(1) การจำแนกประเภทวัตถุอันตราย
(2) ข้อกำหนดในการบรรจุวัตถุอันตราย และการใช้ภาชนะบรรจุ
(3) การตรวจสอบทดสอบภาชนะบรรจุ
(4) การติดเครื่องหมาย ฉลาก และป้าย
(5) การจัดแยกและขนถ่ายวัตถุอันตราย
(6) เอกสารคำแนะนำเกี่ยวกับวัตถุอันตราย
14. การขึ้นทะเบียนภาชนะบรรจุที่ใช้ขนส่งวัตถุอันตรายที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมรับผิดชอบ
ให้ผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้ส่งออก ผู้มีไว้ในครอบครอง หรือผู้ขนส่ง ที่ขนส่งวัตถุอันตรายโดยแทงค์ยึดติดถาวร ยื่นคำขอขึ้นทะเบียนแทงค์ยึดติดถาวรตามแบบ พร้อมเอกสารหลักฐานดังต่อไปนี้จำนวน 1 ชุด
(1) ข้อมูลความปลอดภัยของวัตถุอันตราย (Safety Data Sheet)
(2) สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนหรือสำเนาบัตรประจำตัวคนต่างด้าว
(3) สำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล (กรณีนิติบุคคล)
(4) หนังสือมอบอำนาจพร้อมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มอบและผู้รับมอบอำนาจ (กรณีมีการมอบอำนาจ)
(5) เอกสารแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับแทงค์ยึดติดถาวร
(6) เครื่องในบนแผ่นโลหะ (Marking) บอกรายละเอียดประจำแทงค์ ทั้งนี้ ให้เป็นไปตาม ข้อกำหนด การขนส่งสินค้าอันตรายทางถนนของประเทศไทย
(7) หลักฐานแสดงการประกันความเสียหายจากการขนส่งวัตถุอันตราย (ถ้ามี)
(8) ปลูกถ่ายแทงค์ยึดติดถาวร 5 ด้าน (ซ้าย ขวา หน้า หลัง และด้านบน)
ทะเบียนทั้งยึดติดถาวรให้มีอายุไม่เกิน 3 ปี นับแต่วันขึ้นทะเบียน และให้ยื่นคำขอต่ออายุทะเบียน แทงค์ยึดติดถาวรตามแบบ วอ./อก. 23 ภายใน 60 วัน ก่อนวันที่ทะเบียนแทงค์ยึดติดถาวรสิ้นอายุ
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
แบบ วอ./อก. 21 (คำขอขึ้นทะเบียนแทงค์ยึดติดถาวร)
แบบ วอ./อก. 22 (ทะเบียนแทงค์ยึดติดถาวร)
แบบ วอ./อก. 23 (คำขอต่ออายุทะเบียนแทงค์ยึดติดถาวร)
15. การประกันความเสียหายจากการขนส่งวัตถุอันตราย
(1) ผู้ขนส่งต้องทำประกันความเสียหายโดยขอบเขตการคุ้มครอง ให้เริ่มต้นตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางซึ่งการประกันภัยต้องครอบคลุมอุบัติเหตุที่เกิดแก่บุคคลภายนอกจากการขนส่งวัตถุอันตราย และอุบัติเหตุทำให้เกิดการรั่วไหล การระเบิด หรือการติดไฟของวัตถุอันตราย ที่ทำการขนส่งทุกกรณี
(2) การประกันภัยต้องเป็นการประกันภัยกับบริษัทประกันวินาศภัยที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยตามกฎหมายว่าด้วยการประกันวินาศภัย
(3) ผู้ขนส่งต้องจัดให้มีการประกันภัยตลอดเวลาที่ดำเนินกิจการ
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
ผู้ขนส่งต้องจัดเก็บสำเนากรมธรรม์ ประกันภัยสำหรับยานพาหนะที่ใช้ในการขนส่งไว้เป็นหลักฐานที่ตัวยานพาหนะนั้น เพื่อพร้อมให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ
16. การยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 สำหรับวัตถุอันตราย ที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมรับผิดชอบ ที่ใช้ในการวิเคราะห์ วิจัย และพัฒนา
(1) ให้การนำเข้า การส่งออก หรือการมีไว้ในครอบครอง ซึ่งวัตถุอันตราย เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ วิจัย และพัฒนา ที่มีปริมาณไม่เกินหนึ่งกิโลกรัม ได้รับการยกเว้น ไม่ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535
(2) ให้ผู้ที่ได้รับการยกเว้น ยื่นใบแจ้งการนำส่งเอกสารหลักฐาน พร้อมเอกสารหลักฐานประกอบตามแบบ วอ./อก. 24 ก่อนเริ่มดำเนินการ
(3) เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ลงลายมือชื่อรับแจ้งแล้ว ให้ใช้เอกสารดังกล่าวเป็นหลักฐานในการนำเข้าการส่งออก หรือการมีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุอันตรายเพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่
แบบรายงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
แบบ วอ./อก. 24