บทบาทของภาครัฐในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันนั้นมีความสำคัญและครอบคลุมหลายมิติ ตั้งแต่การวางนโยบายไปจนถึงการบังคับใช้กฎหมายและการสร้างความร่วมมือกับภาคส่วนอื่น ๆ โดยสรุปแล้ว บทบาทหลักของภาครัฐ ได้แก่
กำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ชาติ: รัฐบาลมีหน้าที่หลักในการกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ระดับชาติเพื่อป้องกันและปราบปรามการทุจริตอย่างบูรณาการ เช่น แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติประเด็นการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ เพื่อเป็นทิศทางให้หน่วยงานต่าง ๆ ยึดถือปฏิบัติ
ออกกฎหมายและกฎระเบียบ: ผลักดันและปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตให้มีความทันสมัย ครอบคลุม และรัดกุม รวมถึงการออกระเบียบ ข้อบังคับ หรือประกาศต่าง ๆ เพื่อลดช่องว่างและช่องทางในการทุจริต เช่น กฎหมายการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ กฎหมายข้อมูลข่าวสาร
จัดสรรงบประมาณและทรัพยากร: จัดสรรงบประมาณและทรัพยากรที่เพียงพอและเหมาะสมให้กับหน่วยงานที่รับผิดชอบการป้องกันและปราบปรามการทุจริต เพื่อให้สามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สอบสวนและดำเนินคดี: จัดตั้งและสนับสนุนหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่เฉพาะในการสอบสวน ไต่สวน และดำเนินคดีกับการทุจริต เช่น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.), สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.), กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และสำนักงานอัยการสูงสุด
ลงโทษผู้กระทำผิด: สร้างความมั่นใจว่าผู้กระทำผิดจะได้รับการลงโทษตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด เป็นธรรม ไม่มีการเลือกปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ข้าราชการ หรือบุคคลทั่วไป เพื่อสร้างความเกรงกลัวและป้องปรามการกระทำความผิด
ตรวจสอบทรัพย์สินและยึดคืน: มีกลไกในการตรวจสอบและยึดทรัพย์สินที่ได้มาจากการทุจริตคืนสู่แผ่นดิน เพื่อไม่ให้ผู้กระทำผิดได้ประโยชน์จากการกระทำของตน และนำทรัพย์สินเหล่านั้นกลับมาใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะ
เพิ่มความโปร่งใส: เปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการให้ประชาชนสามารถเข้าถึงและตรวจสอบได้ง่ายตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
ปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน: ลดขั้นตอนการทำงานที่ซับซ้อน ลดการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ และนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในการบริการประชาชนและการดำเนินงานภาครัฐ เพื่อลดโอกาสในการเรียกรับผลประโยชน์
เสริมสร้างระบบควบคุมภายใน: พัฒนาระบบการควบคุมภายในและการตรวจสอบภายในของหน่วยงานภาครัฐทุกระดับให้มีความเข้มแข็งและมีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันการทุจริตตั้งแต่ต้น
ปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรม: จัดให้มีการฝึกอบรม ปลูกฝังค่านิยมความซื่อสัตย์สุจริต คุณธรรม และจริยธรรมให้แก่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกระดับชั้น รวมถึงการวางมาตรฐานทางจริยธรรมที่ชัดเจนและการบังคับใช้อย่างจริงจัง
ป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน: วางมาตรการและกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนเพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปมีผลประโยชน์ทับซ้อนในการปฏิบัติหน้าที่
สนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชน: เปิดช่องทางให้ประชาชนสามารถแจ้งเบาะแสการทุจริตได้อย่างสะดวก ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ รวมถึงคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส และส่งเสริมให้ภาคประชาสังคมมีบทบาทในการเฝ้าระวังและตรวจสอบ
รณรงค์สร้างความตระหนัก: จัดกิจกรรมรณรงค์และให้ความรู้แก่สาธารณชนเกี่ยวกับพิษภัยของการทุจริต และกระตุ้นให้เกิดจิตสำนึกในการไม่ยอมรับและไม่ทนต่อการทุจริต
สร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ: เข้าร่วมเป็นภาคีและปฏิบัติตามอนุสัญญาระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้านการทุจริต เช่น อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต (UNCAC) และแลกเปลี่ยนข้อมูล/ประสบการณ์กับนานาชาติ
ภาคเอกชนมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน ไม่แพ้ภาครัฐและภาคประชาสังคม เพราะเป็นส่วนสำคัญที่เชื่อมโยงกับระบบเศรษฐกิจและมักเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการทุจริต บทบาทหลักๆของภาคเอกชน ได้แก่
กำหนดนโยบายต่อต้านการทุจริตที่ชัดเจน: บริษัทต้องมีนโยบาย "ไม่ให้ ไม่รับ ไม่ทน" ต่อการทุจริตและคอร์รัปชันอย่างเด็ดขาด ครอบคลุมพนักงาน ผู้บริหาร คู่ค้า และพันธมิตรทางธุรกิจ
สร้างระบบควบคุมภายในที่เข้มแข็ง: ออกแบบและใช้ระบบการควบคุมภายในที่มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันการทุจริต เช่น การควบคุมทางการเงิน การอนุมัติการเบิกจ่าย การจัดซื้อจัดจ้างที่โปร่งใส และการตรวจสอบภายใน
ส่งเสริมจริยธรรมองค์กร: ปลูกฝังค่านิยมความซื่อสัตย์สุจริตและความโปร่งใสให้แก่พนักงานทุกระดับ มีการอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับนโยบายต่อต้านการทุจริตและแนวปฏิบัติที่ถูกต้อง
การบริหารความเสี่ยงด้านการทุจริต: ประเมินความเสี่ยงที่องค์กรอาจเผชิญจากการทุจริตและกำหนดมาตรการเพื่อลดความเสี่ยงเหล่านั้น
ไม่จ่ายสินบนในทุกรูปแบบ: ปฏิเสธการให้หรือรับสินบน หรือผลประโยชน์อื่นใดที่ผิดกฎหมายหรือผิดจริยธรรม ไม่ว่าจะเพื่อแลกกับการได้มาซึ่งสัญญา หรือเพื่อให้ได้รับการอำนวยความสะดวก
เปิดเผยข้อมูล: มีความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจ การทำธุรกรรม และการเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสามารถตรวจสอบได้
จัดทำบัญชีที่เป็นจริง: บันทึกบัญชีอย่างถูกต้องและโปร่งใส ไม่มีการตกแต่งบัญชีเพื่อปกปิดการทุจริตหรือการกระทำที่ผิดกฎหมาย
กำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ชาติ: รัฐบาลมีหน้าที่หลักในการกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ระดับชาติเพื่อป้องกันและปราบปรามการทุจริตอย่างบูรณาการ เช่น แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติประเด็นการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ เพื่อเป็นทิศทางให้หน่วยงานต่าง ๆ ยึดถือปฏิบัติ
ออกกฎหมายและกฎระเบียบ: ผลักดันและปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตให้มีความทันสมัย ครอบคลุม และรัดกุม รวมถึงการออกระเบียบ ข้อบังคับ หรือประกาศต่าง ๆ เพื่อลดช่องว่างและช่องทางในการทุจริต เช่น กฎหมายการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ กฎหมายข้อมูลข่าวสาร
จัดสรรงบประมาณและทรัพยากร: จัดสรรงบประมาณและทรัพยากรที่เพียงพอและเหมาะสมให้กับหน่วยงานที่รับผิดชอบการป้องกันและปราบปรามการทุจริต เพื่อให้สามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เข้าร่วมโครงการแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย (Thai Private Sector Collective Action Against Corruption - CAC): CAC เป็นโครงการสำคัญที่ผลักดันให้บริษัทเอกชนต่างๆ ประกาศเจตนารมณ์และสร้างระบบป้องกันการทุจริตภายในองค์กร และมีการรับรองจากบุคคลที่สาม ซึ่งช่วยสร้างความเชื่อมั่นและยกระดับมาตรฐานของภาคเอกชนไทย
ร่วมมือกับภาครัฐและภาคประชาสังคม: เข้าร่วมกิจกรรม การรณรงค์ และการผลักดันนโยบายร่วมกับภาครัฐและองค์กรภาคประชาสังคม เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำธุรกิจที่โปร่งใสและเป็นธรรม
แลกเปลี่ยนความรู้และแนวปฏิบัติที่ดี: แบ่งปันประสบการณ์และแนวปฏิบัติที่ดีในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตระหว่างบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกันหรือต่างอุตสาหกรรม
ภาคประชาสังคมมีบทบาทสำคัญและเป็นกำลังเสริมที่แข็งแกร่งในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน โดยเข้ามาเติมเต็มช่องว่างและเพิ่มความสมบูรณ์ให้กับการทำงานของภาครัฐและภาคเอกชน บทบาทหลักๆ ของภาคประชาสังคม ได้แก่
สอดส่องและเปิดโปงการทุจริต: องค์กรภาคประชาสังคม (Civil Society Organizations - CSOs) ทำหน้าที่เป็น "สุนัขเฝ้าบ้าน" คอยจับตาดูการดำเนินงานของภาครัฐและภาคเอกชน โดยเฉพาะในโครงการขนาดใหญ่ที่มีงบประมาณจำนวนมาก เช่น โครงการจัดซื้อจัดจ้าง โครงสร้างพื้นฐาน หรือการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดิน หากพบความผิดปกติหรือการทุจริต ก็จะรวบรวมข้อมูลและเปิดเผยต่อสาธารณะ หรือส่งเรื่องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ
รับแจ้งเบาะแสและคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส: บางองค์กรภาคประชาสังคมจัดให้มีช่องทางในการรับแจ้งเบาะแสการทุจริตจากประชาชน และอาจมีบทบาทในการช่วยเหลือคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแสที่อาจได้รับผลกระทบจากการเปิดโปงข้อมูล
ติดตามการบังคับใช้กฎหมาย: ติดตามความคืบหน้าของคดีทุจริตที่ถูกเปิดเผย และตรวจสอบว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการดำเนินคดีอย่างจริงจังและเป็นธรรมหรือไม่
ให้ความรู้และปลูกฝังจิตสำนึก: จัดกิจกรรมรณรงค์ เผยแพร่ข้อมูล และให้ความรู้แก่ประชาชนทั่วไป นักเรียน นักศึกษา ถึงพิษภัยของการทุจริต สร้างความเข้าใจถึงสิทธิและหน้าที่ในการต่อต้านคอร์รัปชัน รวมถึงปลูกฝังค่านิยมความซื่อสัตย์สุจริต
สร้างความตระหนักในสังคม: ใช้ช่องทางสื่อต่างๆ ทั้งสื่อหลักและโซเชียลมีเดีย เพื่อกระตุ้นให้สังคมเกิดความตระหนักรู้ถึงปัญหาการทุจริต และสร้างกระแส "ไม่ทนต่อการทุจริต"
ผลักดันนโยบายและกฎหมาย: รวมกลุ่มกันเป็นพลังในการเรียกร้องและเสนอแนะนโยบายหรือการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน: กระตุ้นให้ประชาชนในระดับชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบโครงการของรัฐในพื้นที่ของตนเอง และส่งเสริมบทบาทของพลเมืองในการเป็นเจ้าของประเทศ
เสริมสร้างศักยภาพกลุ่มองค์กรประชาชน: ให้ความรู้และฝึกอบรมทักษะที่จำเป็นในการตรวจสอบ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูล การอ่านงบประมาณ หรือการสังเกตความผิดปกติ ให้กับกลุ่มประชาชนหรืออาสาสมัครในท้องถิ่น
ศึกษาและวิเคราะห์ปัญหา: ทำการวิจัยและวิเคราะห์สาเหตุ รูปแบบ และผลกระทบของการทุจริต เพื่อเสนอแนวทางแก้ไขที่เป็นรูปธรรมและมีหลักวิชาการรองรับ
จัดทำดัชนีและรายงาน: บางองค์กรอาจจัดทำดัชนีชี้วัดความโปร่งใส หรือรายงานสถานการณ์การทุจริต เพื่อเป็นข้อมูลให้กับสาธารณะและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ภาคประชาสังคมมีบทบาทสำคัญและเป็นกำลังเสริมที่แข็งแกร่งในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน โดยเข้ามาเติมเต็มช่องว่างและเพิ่มความสมบูรณ์ให้กับการทำงานของภาครัฐและภาคเอกชน บทบาทหลักๆ ของภาคประชาสังคม ได้แก่
สร้างจิตสำนึกและค่านิยมที่ถูกต้อง: เริ่มต้นจากตัวเองและครอบครัว โดยปลูกฝังค่านิยมความซื่อสัตย์สุจริต ความละอายต่อการทุจริต และไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเหนือประโยชน์ส่วนรวม
ปฏิเสธการให้และรับสินบน: ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายเงินเล็กๆ น้อยๆ เพื่อ "อำนวยความสะดวก" หรือการยอมรับผลประโยชน์ที่ไม่ถูกต้อง ประชาชนควรกล้าที่จะปฏิเสธและไม่เข้าร่วมกับการกระทำดังกล่าว
ไม่เพิกเฉยเมื่อพบเห็น: เมื่อพบเห็นการทุจริต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยหรือเรื่องใหญ่ ไม่ควรเพิกเฉยหรือมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว แต่ควรรู้สึกว่านี่คือปัญหาของส่วนรวมที่ต้องช่วยกันแก้ไข
เฝ้าระวังและสอดส่อง: สังเกตการณ์การทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ การจัดซื้อจัดจ้างโครงการภาครัฐในพื้นที่ การใช้จ่ายงบประมาณ หรือความผิดปกติที่อาจบ่งชี้ถึงการทุจริตในชุมชนของตน
รวบรวมข้อมูลและพยานหลักฐาน: หากพบเห็นพฤติการณ์ที่น่าสงสัย ควรพยายามรวบรวมข้อมูล วันเวลา สถานที่ ชื่อบุคคลที่เกี่ยวข้อง (ถ้าทราบ) และพยานหลักฐานต่างๆ เช่น ภาพถ่าย คลิปวิดีโอ หรือเอกสาร (ถ้าทำได้และไม่เป็นอันตราย)
แจ้งเบาะแสการทุจริต: ใช้ช่องทางที่หน่วยงานภาครัฐและภาคประชาสังคมจัดเตรียมไว้ เช่น สายด่วน ป.ป.ช. (1205), ป.ป.ท. (1206), ศูนย์ดำรงธรรม (1567), เว็บไซต์ของหน่วยงานต่างๆ หรือแจ้งผ่านองค์กรภาคประชาสังคม เช่น องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) (ACT) การแจ้งเบาะแสอย่างกล้าหาญและรอบคอบเป็นกุญแจสำคัญในการนำไปสู่การตรวจสอบ
ใช้สิทธิเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร: ประชาชนมีสิทธิตามกฎหมายข้อมูลข่าวสารของราชการ ในการร้องขอข้อมูลการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อนำมาตรวจสอบความโปร่งใส
เข้าร่วมกิจกรรมของภาคประชาสังคม: เข้าร่วมเป็นสมาชิกหรืออาสาสมัครกับองค์กรภาคประชาสังคมที่ทำงานด้านการต่อต้านการทุจริต เพื่อเสริมสร้างพลังและร่วมกันขับเคลื่อนกิจกรรมต่างๆ
แสดงความคิดเห็นและเรียกร้อง: ใช้ช่องทางต่างๆ เช่น สื่อสังคมออนไลน์ การรวมกลุ่ม การลงชื่อเรียกร้อง เพื่อแสดงความคิดเห็นต่อปัญหาการทุจริตและเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขอย่างจริงจัง
ตรวจสอบโครงการในชุมชน: เข้าร่วมในกระบวนการตรวจสอบและติดตามโครงการพัฒนาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชุมชนท้องถิ่นของตนเอง เพื่อให้มั่นใจว่างบประมาณถูกใช้ไปอย่างคุ้มค่าและโปร่งใส
เลือกตั้งผู้แทนที่ดี: ใช้สิทธิเลือกตั้งอย่างรอบคอบ โดยพิจารณาจากคุณสมบัติ ความซื่อสัตย์สุจริต และวิสัยทัศน์ของผู้สมัคร ทั้งในระดับชาติและท้องถิ่น
ติดตามและตรวจสอบผู้แทนที่เลือกไป: เมื่อเลือกตั้งผู้แทนไปแล้ว ควรติดตามการทำงานของพวกเขาอย่างใกล้ชิด และใช้สิทธิในการตรวจสอบ เช่น การร้องเรียนเมื่อพบเห็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร: แบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับการทุจริตที่ถูกต้องและน่าเชื่อถือกับคนรอบข้าง และกระตุ้นให้ผู้อื่นมีส่วนร่วมในการต่อต้านการทุจริต
ใช้พลังของสื่อสังคมออนไลน์อย่างสร้างสรรค์: ใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียในการเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้อง สร้างการรับรู้ และเรียกร้องความเป็นธรรม โดยใช้วิจารณญาณและคำนึงถึงผลกระทบ