การทุจริตคอร์รัปชัน โดยรวมแล้วหมายถึง การแสวงหาประโยชน์ที่มิชอบด้วยกฎหมายเพื่อตนเองหรือผู้อื่น โดยการใช้อำนาจหรือตำแหน่งหน้าที่ที่ได้รับความไว้วางใจในทางที่ผิด ซึ่งก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมและความเสียหายต่อส่วนรวม ไม่ว่าจะเป็นภาคธุรกิจ เศรษฐกิจ สังคม หรือประเทศชาติ
องค์ประกอบสำคัญของการทุจริต
อำนาจหน้าที่ : ผู้กระทำต้องมีอำนาจหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งในภาครัฐ ภาคเอกชน หรือองค์กรใด ๆ
การใช้ในทางมิชอบ : การนำอำนาจนั้นไปใช้ในลักษณะที่ผิดวัตถุประสงค์ ผิดกฎหมาย ผิดระเบียบ หรือผิดหลักคุณธรรม
การแสวงหาผลประโยชน์ : มีเจตนาเพื่อประโยชน์ส่วนตน หรือประโยชน์ของพวกพ้อง ไม่ว่าจะเป็นในรูปของเงิน สิ่งของ ตำแหน่ง สิทธิพิเศษ หรือประโยชน์อื่นใด
เบียดบังประโยชน์ส่วนรวม/สาธารณะ : ผลของการกระทำส่งผลให้ประโยชน์ของส่วนรวมลดลง หรือถูกละเลยไป
ACFE ซึ่งเป็นองค์กรผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบการทุจริต ได้แบ่งประเภทการทุจริตออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ ที่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป:
การใช้อำนาจหรือตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบเพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือผู้อื่น รวมถึงการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ที่ไม่ถูกต้อง
การนำทรัพย์สินขององค์กรหรือหน่วยงานไปใช้ส่วนตัว หรือเบียดบังเป็นของตนเองโดยมิชอบ
การบิดเบือนข้อมูลทางการเงินในงบการเงิน เพื่อให้ดูดีกว่าความเป็นจริง หรือเพื่อปกปิดการทุจริตอื่น
การแบ่งตามระดับความรุนแรงหรือการรับรู้ของสังคม (ตามแนวคิด "สี" ของการทุจริต)
บางครั้งมีการแบ่งการทุจริตตามการรับรู้ของสังคม ดังนี้:
การทุจริตสีดำ (Black Corruption) : เป็นการทุจริตที่ชัดเจน ผิดกฎหมายอย่างโจ่งแจ้ง และสังคมส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกันว่าผิดและสมควรถูกลงโทษ เช่น การเรียกรับสินบนโดยตรง การยักยอกเงินจำนวนมาก
การทุจริตสีเทา (Gray Corruption) : เป็นการกระทำที่อยู่ก้ำกึ่งระหว่างผิดและไม่ผิด บางส่วนอาจมองว่าผิด แต่อีกส่วนอาจมองว่าสามารถทำได้ หรือเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่มีความเห็นคลุมเครือ เช่น การใช้เส้นสายในการได้งาน
การทุจริตสีขาว (White Corruption) : เป็นการกระทำที่สังคมส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในกลุ่มชนชั้นนำ อาจมองว่าเป็นเรื่องปกติ ยอมรับได้ หรือเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม แม้ว่าจะเป็นการใช้อำนาจหรือตำแหน่งหน้าที่ในทางที่ผิด เช่น การแซงคิว การใช้อภิสิทธิ์ การให้ "ค่าน้ำร้อนน้ำชา" หรือ "เงินอำนวยความสะดวก" ในระดับเล็กน้อย เพื่อให้งานรวดเร็วขึ้น (ซึ่งแม้จะดูเล็กน้อย แต่ก็เป็นการทุจริต)
[ สาเหตุของการทุจริต ]
ความโลภ/ความต้องการส่วนตัว: เป็นสาเหตุคลาสสิกและพบได้บ่อยที่สุด บุคคลอาจมีความต้องการเงินทอง ทรัพย์สิน หรืออำนาจที่เกินตัว ไม่รู้จักพอ หรือมีปัญหาทางการเงิน ทำให้เลือกกระทำความผิดเพื่อตอบสนองความต้องการเหล่านั้น
การขาดคุณธรรม จริยธรรม และความซื่อสัตย์: เมื่อบุคคลขาดหลักยึดทางศีลธรรม ขาดความละอายต่อบาป และไม่เกรงกลัวต่อผลที่จะตามมา ก็จะง่ายต่อการตัดสินใจทุจริต
ค่านิยมที่ผิดเพี้ยน: สังคมที่ยกย่องความร่ำรวยโดยไม่คำนึงถึงที่มา อาจเป็นแรงจูงใจให้คนแสวงหาเงินทองโดยมิชอบ หรือการที่คนส่วนใหญ่ยอมรับการทุจริตเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น "ค่าน้ำร้อนน้ำชา" หรือ "เงินอำนวยความสะดวก"
การหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง (Rationalization): ผู้กระทำผิดมักจะหาเหตุผลมาสนับสนุนการกระทำของตนเองเพื่อลดความรู้สึกผิด เช่น "ใคร ๆ ก็ทำกัน", "เงินแค่นี้ไม่เป็นไรหรอก", "ทำเพื่อองค์กร" หรือ "เพื่อความอยู่รอด"
ช่องโหว่ของกฎระเบียบและกฎหมาย: กฎหมายที่ล้าสมัย ไม่รัดกุม หรือมีช่องว่าง ทำให้เกิดช่องทางในการเลี่ยงหรือตีความเพื่อแสวงหาผลประโยชน์
ระบบการควบคุมและตรวจสอบที่อ่อนแอ/ไม่มีประสิทธิภาพ: การขาดการตรวจสอบที่เข้มงวด การตรวจสอบที่ไม่หลากหลายจากภาคส่วนต่างๆ หรือการมีช่องว่างในการตรวจสอบภายใน ทำให้ผู้ทุจริตมีโอกาสและไม่มีผู้จับได้
การบังคับใช้กฎหมายที่ไม่จริงจัง/เลือกปฏิบัติ: การที่ผู้กระทำผิดไม่ได้รับการลงโทษอย่างเด็ดขาด หรือการเลือกปฏิบัติในการบังคับใช้กฎหมาย ทำให้คนไม่เกรงกลัวและเกิดการเลียนแบบ
ขาดธรรมาภิบาลในองค์กร: การบริหารจัดการที่ไม่โปร่งใส ไม่สามารถตรวจสอบได้ ขาดความรับผิดชอบ และไม่มีส่วนร่วมจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
วัฒนธรรมองค์กรที่ไม่ดี: หากองค์กรมีวัฒนธรรมที่ยอมรับการทุจริต หรือผู้บริหารเป็นแบบอย่างที่ไม่ดี ก็จะส่งเสริมให้เกิดการทุจริต
ระบบอุปถัมภ์/การใช้เส้นสาย: การให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ส่วนตัวหรือเครือญาติมากกว่าความรู้ความสามารถหรือความถูกต้อง ทำให้เกิดการเลือกปฏิบัติและเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้อง
สภาพเศรษฐกิจและสังคม: ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ปัญหาความยากจน หรือการแข่งขันที่รุนแรง อาจเป็นแรงกดดันให้บางคนหันไปพึ่งการทุจริตเพื่อความอยู่รอดหรือยกระดับฐานะ
สภาพทางการเมือง: การแข่งขันทางการเมืองที่รุนแรง การใช้อำนาจเพื่อช่วงชิงตำแหน่งและผลประโยชน์ หรือการแทรกแซงจากนักการเมือง อาจส่งผลให้เกิดการทุจริตในระบบราชการ
การผูกขาด: เมื่อเกิดการผูกขาดในภาคธุรกิจหรือการบริการ ผู้ผูกขาดอาจใช้อำนาจในการกำหนดกติกาหรือราคาเพื่อประโยชน์ของตนเอง โดยไม่ต้องแข่งขันอย่างเป็นธรรม ซึ่งนำไปสู่การทุจริตได้ง่ายขึ้น
การขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน: ประชาชนไม่มีช่องทางหรือไม่มีส่วนร่วมในการตรวจสอบการทำงานของภาครัฐ ทำให้การทุจริตสามารถเกิดขึ้นได้ง่ายโดยไม่มีผู้เฝ้าระวัง
ขาดการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบ: การที่ประชาชนขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการทุจริต หรือช่องทางการร้องเรียน ทำให้การตรวจสอบจากภาคประชาชนเป็นไปได้ยาก
การทุจริตคอร์รัปชันส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงและเป็นวงกว้างต่อทั้งเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของประเทศ เปรียบเสมือนโรคร้ายที่กัดกินและบ่อนทำลายความเจริญก้าวหน้าของชาติ
สูญเสียงบประมาณแผ่นดินและทรัพยากร: เงินที่ควรนำไปใช้ในการพัฒนาประเทศ เช่น การสร้างโครงสร้างพื้นฐาน การศึกษา การสาธารณสุข กลับถูกยักยอกหรือใช้ไปอย่างไม่คุ้มค่า ทำให้ประชาชนไม่ได้รับประโยชน์เต็มที่จากงบประมาณที่ควรเป็นของพวกเขา
ต้นทุนทางเศรษฐกิจสูงขึ้น: การจ่ายสินบนหรือ "ค่าใต้โต๊ะ" กลายเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนในการดำเนินธุรกิจ ไม่ว่าจะในการขอใบอนุญาต การจัดซื้อจัดจ้าง หรือการดำเนินคดี ซึ่งสุดท้ายแล้วภาระนี้จะถูกส่งต่อไปยังผู้บริโภคในรูปของราคาสินค้าและบริการที่สูงขึ้น
ลดทอนความสามารถในการแข่งขันและการลงทุน: การทุจริตทำให้ประเทศขาดความน่าเชื่อถือ นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศขาดความมั่นใจ ไม่กล้าเข้ามาลงทุน เพราะเสี่ยงต่อการต้องจ่ายสินบน การถูกเอารัดเอาเปรียบ หรือการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตช้าลง
เกิดการผูกขาดและบิดเบือนกลไกตลาด: การทุจริตเอื้อประโยชน์ให้แก่กลุ่มทุนใหญ่หรือผู้มีอิทธิพล ทำให้เกิดการผูกขาด ไม่มีการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม ทำให้ผู้ประกอบการรายย่อยเสียโอกาส และบิดเบือนการจัดสรรทรัพยากรของประเทศ
หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น: โครงการขนาดใหญ่ที่มีการทุจริตมักมีต้นทุนสูงเกินจริง หรือก่อสร้างไม่ได้มาตรฐาน ทำให้ภาครัฐต้องแบกรับภาระหนี้เพิ่มขึ้น
คุณภาพสินค้าและบริการด้อยลง: หากการจัดซื้อจัดจ้างมีการทุจริต บริษัทที่ไม่มีคุณภาพแต่อาจให้สินบนมากกว่า อาจได้งานไป ส่งผลให้โครงสร้างพื้นฐานหรือบริการสาธารณะที่ประชาชนได้รับมีคุณภาพต่ำ ไม่คุ้มค่ากับเงินที่เสียไป
สร้างความเหลื่อมล้ำและไม่เท่าเทียม: ผู้ที่มีอำนาจและเงินตราจะเข้าถึงทรัพยากรหรือบริการของรัฐได้ง่ายกว่าคนทั่วไป ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่โดยเฉพาะผู้ด้อยโอกาสไม่ได้รับสิทธิประโยชน์อย่างเท่าเทียม
ทำลายความเชื่อมั่นและศรัทธาในภาครัฐ: เมื่อประชาชนเห็นการทุจริตเกิดขึ้นบ่อยครั้ง จะทำให้เกิดความรู้สึกไม่ไว้วางใจในหน่วยงานภาครัฐ ผู้บังคับใช้กฎหมาย และนักการเมือง ซึ่งบ่อนทำลายความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชน
บ่อนทำลายคุณธรรมและจริยธรรมของสังคม: การทุจริตทำให้ค่านิยมที่ถูกต้องบิดเบี้ยว ผู้คนอาจมองว่าการทุจริตเป็นเรื่องปกติ หรือเป็นหนทางเดียวที่จะประสบความสำเร็จ ทำให้สังคมขาดความซื่อสัตย์สุจริต
เกิดความขัดแย้งและแตกแยก: การแย่งชิงผลประโยชน์จากการทุจริตนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ และอาจก่อให้เกิดความไม่สงบในสังคม
ผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตประชาชน: เงินที่ถูกทุจริตไปนั้นคือเงินที่ควรนำมาพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน เช่น การสร้างโรงพยาบาล โรงเรียน ถนน หรือระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน เมื่อเงินเหล่านี้ถูกยักยอกไป ประชาชนก็ต้องทนอยู่กับคุณภาพชีวิตที่ย่ำแย่
ปัญหาอาชญากรรมอื่นๆ: การทุจริตยังสามารถอำนวยความสะดวกให้เกิดอาชญากรรมข้ามชาติ เช่น การค้ามนุษย์ ยาเสพติด หรือการลักลอบค้าสัตว์ป่า เพราะผู้กระทำผิดใช้การทุจริตเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับกุม
บ่อนทำลายหลักธรรมาภิบาลและประชาธิปไตย: การทุจริตทำให้กระบวนการตัดสินใจทางการเมืองบิดเบือนไปจากเจตนารมณ์ที่ดี เพราะมุ่งเน้นผลประโยชน์ส่วนตนหรือพวกพ้องมากกว่าประโยชน์ส่วนรวม ทำให้ประชาธิปไตยอ่อนแอลง
ขาดเสถียรภาพทางการเมือง: การทุจริตมักนำไปสู่ความไม่พอใจของประชาชน การประท้วง หรือการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ไม่มั่นคง ทำให้ระบบการเมืองขาดเสถียรภาพ
ได้นักการเมืองและข้าราชการที่ไร้ความสามารถ: หากตำแหน่งทางการเมืองหรือราชการซื้อขายกันได้ ผู้ที่เข้ามาบริหารประเทศก็อาจไม่ใช่ผู้ที่มีความรู้ความสามารถหรือจริยธรรม แต่เป็นผู้ที่แสวงหาผลประโยชน์
ภาพลักษณ์ประเทศเสียหาย: การทุจริตทำให้ประเทศถูกมองในแง่ลบจากประชาคมโลกและองค์กรระหว่างประเทศ ซึ่งส่งผลต่อความน่าเชื่อถือและบทบาทของประเทศในเวทีโลก
ลดประสิทธิภาพการบริหารราชการแผ่นดิน: เมื่อข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่รัฐมุ่งเน้นการทุจริตมากกว่าการทำงานตามหน้าที่ ประสิทธิภาพในการให้บริการประชาชนและบริหารราชการก็จะลดลงอย่างมาก