ส. 1.1 ม.4-6/4 พระพุทธศาสนามีทฤษฎีและวิธีการที่เป็นสากลและมีข้อปฏิบัติที่ยึดทางสายกลาง
1. พระพุทธศาสนามีทฤษฎีและวิธีการที่เป็นสากล คือมีหลักการและวิธีการซึ่งเป็นที่ยอมรับว่ามีความความถูกต้องและสามารถพิสูจน์ได้ ซึ่งตรงกับหลักธรรม อริยสัจ 4 ได้แก่
1. สอนว่า “ชีวิตและโลกนี้มีปัญหา” ตรงกับหลักอริยสัจ 4 คือ ทุกข์
2. สอนว่า “ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นมีสาเหตุ” ตรงกับหลักอริยสัจ 4 คือ สมุทัย
3. สอนว่า “มนุษย์มีศักยภาพในตนเองที่สามารถแก้ปัญหาได้” ตรงกับหลักอริยสัจ 4 คือนิโรธ
4. สอนว่า “การแก้ปัญหาต้องใช้ปัญญาและความเพียร ตรงกับหลักอริยสัจ 4 คือ มรรค
2.พระพุทธศาสนามีข้อปฏิบัติที่ยึดทางสายกลาง เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา หรืออริยมรรคมีองค์8 ได้แก่
1. สัมมาทิฎฐิ แปลว่า ความเห็นชอบ คือมีความเห็นถูกต้องตามทำนองคลองธรรม
2. สัมมาสังกัปปะ แปลว่า ดำริชอบ คือไม่ลุ่มหลงไปกับความสุขทางกาย ไม่พยาบาท ไม่คิดร้ายผู้อื่น
3. สัมมาวาจา แปลว่า เจรจาชอบ คือ ไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดไร้สาระ
4. สัมมากัมมันตะ แปลว่า การกระทำชอบ คือไม่ฆ่าสัตว์ทำลายชีวิต ไม่ลักขโมย ไม่ประพฤติผิดในกาม
5. สัมมาอาชีวะ แปลว่า เลี้ยงชีพชอบ คือหากินด้วยอาชีพที่สุจริต ไม่คดโกง หลอกลวง
6. สัมมาวายามะ แปลว่า พยายามชอบ คือ พยายามละเว้นจากความชั่วต่าง ๆ มุ่งสร้างและรักษาความความดีให้คงอยู่
7. สัมมาสติ ปลว่า ระลึกชอบ คือ มีสติรอบคอบในการคิด ทำ พูด
8. สัมมาสมาธิ แปลว่า ตั้งจิตมั่นชอบ คือ มีจิตตั้งมั่นอย่างถูกต้องแน่วแน่ในการประพฤติธรรม
ส. 1.1 ม.4-6/5 พระพุทธศาสนาเน้นการพัฒนาศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง
1. การพัฒนาศรัทธา
ศรัทธา แปลว่า ความเชื่อมั่นในสิ่งดีงามที่ประกอบด้วยเหตุและผล
2. การพัฒนาปัญญา ปัญญาแปลว่า รู้ทั่วถึง
ความรู้มี 2 ประเภท ได้แก่
- ความรู้มีมาตั้งแต่เกิดเรียกว่า สหชาตปัญญา
- ความรู้ที่มีขึ้นด้วยการศึกษาเล่าเรียนและฝึกฝน เรียกว่า โยคะปัญญา
ปัญญาที่ควรพัฒนามี 3 ประการได้แก่
1. ปัญญารู้จักความเสื่อมเรียกว่า อปายโกศล เช่นรู้ว่าอะไรคือความเสื่อม อะไรคือเหตุที่ทำให้เกิดความเสื่อม
2. ปัญญารู้จักความเจริญเรียกว่า อายโกศล เช่นรู้ว่าอะไรคือเจริญ อะไรคือเหตุที่ทำให้เกิดความเจริญ
3. ปัญญารู้จักวิธีการละเหตุแห่งความเสื่อมและสร้างเหตุแห่งความเจริญ เรียกว่า อุปายโกศล
ส. 1.1 ม.4-6/6 วิเคราะห์ลักษณะประชาธิปไตยในพระพุทธศาสนา
หลักประชาธิปไตยทั่วไปในพระพุทธศาศาสนา
1. หลักนิติธรรม : พระพุทธศาสนามีพระธรรมวินัยเป็นกฎหมายสูงสุด
2. หลัก สิทธิ เสรีภาพ : พระภิกษุมีสิทธื เสรีภาพภายใต้พระธรรมวินัย
3. หลักความเสมอภาค : ทุกคนที่เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาย่อมเท่าเทียมกันภายใต้พระธรรมวินัย
4. พระพุทธศาสนายึดหลักความถูกต้องตามธรรมะและความเป็นเอกฉันท์ในการลงมติในที่ประชุม โดยใช้หลักเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์ตัดสินในที่ประชุมสงฆ์ เรียกว่า เยภุยยสิกา ประกอบกับหลักความถูกต้องตามศีลวินัยสงฆ์และหลักธรรมะอื่น ๆ ประกอบการพิจารณาร่วมกัน
5. มีการกำหนดลักษณะของศาสนาไว้เรียบร้อย ไม่ปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม ลักษณะของพระพุทธศาสนาคือสายกลาง ไม่ซ้ายสุด ไม่ขวาสุด เรียกแนวกลางๆ ของพระพุทธศาสนาว่า วิภัชชวาที
6. การแบ่งอำนาจ พระเถระผู้ใหญ่ทำหน้าที่บริหารปกครองหมู่คณะ การบัญญัติพระวินัย พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติเอง เช่นมีภิกษุผู้ทำผิดมาสอบสวนแล้วจึงทรงบัญญัติพระวินัย ส่วนการตัดสินคดีตามพระวินัยทรงบัญญัติแล้ว เป็นหน้าที่ของพระวินัยธรรมซึ่งเท่ากับศาล
7. พระพุทธเจ้าประทานความเป็นใหญ่แก่สงฆ์ เช่นเมื่อมีผู้มาขอบวชเพิ่มจำนวนมากขึ้น พระพุทธเจ้าทรงเลิกการประทานอุปสมบทด้วยพระองค์เอง ทรงประทานความเป็นใหญ่ให้พระสงฆ์ดำเนินการอุปสมบทเอง โดยพระสงฆ์เป็นผู้คัดเลือกและสอบคุณสมบัติผู้มาขอบวชกันเองในการทำพิธีอุปสมบทนั้น พระสงฆ์ทั้งปวงต้องมีมติเห็นด้วยเป็นเอกฉันท์ ถ้ามีการคัดค้านแม้เพียงหนึ่งเสียงถือว่าการอุปสมบทเป็นโมฆะ
หรือในเรื่องของการทำสังฆกรรม ซึ่งต้องประกอบด้วย
- จำนวนพระสงฆ์ต้องครบองค์ประชุม
- สถานที่ประชุมของสงฆ์ เรียกว่า สีมา (เขตพัทธสีมา)
- ต้องมีการประกาศเรื่องที่ประชุม
- ภิกษุผู้เข้าร่วมประชุมมีสิทธิแสดงวามคิดเห็นทั้งในทางเห็นด้วยหรือคัดค้าน
- การทำสังฆกรรมทั้งหมดมติของที่ประชุมต้องเป็นเอกฉันท์
ส. 1.1 ม.4-6/7 การเปรียบเทียบหลักการของพระพุทธศาสนากับหลักการของวิทยาศาสตร์
ความสอดคล้องของหลักการทางพระพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์
1. ด้านความเชื่อ หลักการของวิทยาศาสตร์นั้นก่อนจะเชื่ออะไรนั้นต้องมีการพิสูจน์ให้เห็นจริงโดยอาศัยเหตุผลและปัญญา ซึ่งสอดคล้องกับพระพุทธศาสนา ดังปรากฏอยู่ใน กาลามสูตร ซึ่งสอนไม่ให้เชื่องมงายไร้เหตุผล อันได้แก่
– อย่าปลงใจเชื่อ เพียงเพราะได้ยินได้ฟังตามๆ กันมา
– อย่าปลงใจเชื่อ เพียงเพราะยึดถือสืบๆ กันมา
– อย่าปลงใจเชื่อ เพียงเพราะข่าวเล่าลือ
– อย่าปลงใจเชื่อ เพียงเพราะอ้างตำรา
– อย่าปลงใจเชื่อ เพียงเพราะเดาเอาเอง
– อย่าปลงใจเชื่อ เพียงเพราะคาดคะเน
– อย่าปลงใจเชื่อ เพียงเพราะตรึกตามอาการ
– อย่าปลงใจเชื่อ เพียงเพราะชอบใจว่าตรงกับความเห็นของตน
– อย่าปลงใจเชื่อ เพียงเพราะเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อถือได้
– อย่าปลงใจเชื่อ เพียงเพราะนับถือว่าสมณะผู้นั้น เป็นครูของตน
2. ด้านความรู้ หลักการของวิทยาศาสตร์และพระพุทธศาสนาต่างยอมรับความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ซึ่งมีการพิสูจน์โดยการทดลอง
ความแตกต่างในหลักการทางพระพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์
1. การยอมรับโลกแห่งสสาร
- วิทยาศาสตร์ ยอมรับโลกแห่งสสารที่รับรู้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 ว่ามีอยู่จริง โลกที่อยู่พ้นจากนั้นไม่ยอมรับ
- พระพุทธศาสนายอมรับสิ่งที่อยู่นอกเหนือประสาทสัมผัสทั้ง 5 ว่ามีอยู่จริง (ยอมรับความจริงนามธรรม)
2. การมุ่งความจริงมาตีแผ่
- วิทยาศาสตร์ สนใจเอาความจริงมาตีแผ่ไม่เน้นความดีชั่ว
- พระพุทธศาสนา เน้นเรื่องศีลธรรมความดี ความชั่ว มุ่งให้มนุษย์มีความสุขจนถึงความสงบอันสูงสุด คือ นิพพาน
3. การให้ความสำคัญแก่มูลค่าและคุณค่า
- วิทยาศาสตร์ ให้ความสำคัญแก่มูลค่ามากกว่า คุณค่า
- พระพุทธศาสนาให้ความสำคัญแก่คุณค่ามากกว่า มูลค่า โดยให้ความสำคัญแก่การใช้เงินทองไม่สนองตัณหาแต่เป็นในทางที่ช่วยให้คนพ้นทุกข์และทำสิ่งดีงาม
4. การมุ่งแสวงหาความสุข
- วิทยาศาสตร์ มุ่งแสวงหาความสุขทางกาย โดยเชื่อว่าความสุขมีแต่ความสุขทางกาย ความสุขทางใจเป็นผลพลอยได้เมื่อคนเกิดความสุขทางกาย
- พระพุทธศาสนา มุ่งแสวงหาความสุขทางใจ ความสุขที่เกิดจากการทำดีและการละจากกิเลสตัณหา หาได้ด้วยการฝึกจิตของตน
ส. 1.1 ม.4-6/8 วิเคราะห์การฝึกฝนและพัฒนาตนเอง การพึ่งตนเอง และการมุ่งอิสรภาพในพระพุทธศาสนา หรือแนวคิดของศาสนาที่ตนนับถือตามที่กำหนด
พระพุทธศาสนาเน้นการฝึกอบรมตนเอง การพึ่งตนเอง และการมุ่งอิสรภาพ
พระพุทธศาสนาได้วางขั้นตอนของการฝึกตนไว้กว้างๆ เรียกว่า สิกขา มี 3 ขั้นตอนได้แก่
1. อธิศีลสิกขา คือการฝึกอบรมหรือควบคุมตนในเรื่องศีล ได้แก่การควบคุมทางกาย เป็นการงดเว้นประพฤติชั่วทางกาย และการควบคุมวาจา เป็นการงดเว้นประพฤติชั่วทางวาจา
2. อธิจิตตสิกขา คือการฝึกอบรมหรือควบคุมตนในเรื่องจิต หรือสมาธิ เป็นการฝึกฝนพัฒนาจิตให้ดีงามยิ่งๆ ขึ้นไป
3. อธิปัญญาสิกขา คือการฝึกอบรมหรือควบคุมตนในเรื่องปัญญา
เป้าหมายของการฝึกหัดอบรมตนเองตามหลักพระพุทธศาสนา คือ วิมุตติ หรือความหลุดพ้น หมายถึงความหลุดพ้นจากการครอบงำของความโลภ ความโกรธ และความหลง
ส. 1.1 ม.4-6/9 วิเคราะห์พระพุทธศาสนาว่าเป็นศาสตร์แห่งการศึกษาซึ่งเน้นความสัมพันธ์ของเหตุปัจจัยกับวิธีการแก้ปัญหา หรือแนวคิดของศาสนาที่ตนนับถือตามที่กำหนด
พระพุทธศาสนาเป็นศาสตร์แห่งการศึกษา
การศึกษาตามความหมายของพระพุทธศาสนา หมายถึง การอบรมสั่งสอนบุคคลให้เป็นผู้ที่สมบูรณ์ เป็นผู้ที่มีความรู้ดี ประพฤติดี หลักการศึกษาในพระพุทธศาสนา เรียกว่า ไตรสิกขา มี 3 ด้านคือ
1. ศิลสิกขา คือการศึกษาด้านศีลหรือพฤติกรรม
2. จิตตสิกขา หรือ สมาธิสิกขา คือการศึกษาด้านจิตใจ
3. ปัญญาสิกขา คือการศึกษาด้านปัญญา
คุณลักษณะผู้สำเร็จการศึกษาตามแนวพุทธ
คุณลักษณะของผู้สำเร็จการศึกษาตามแนวพุทธจะมีลักษณะที่พึงสังเกต หรือมีพัฒนาการที่สมบูรณ์ในมี 4 ด้านคือ
1. ภาวิตกาย คือ ผู้มีกายที่พัฒนาแล้ว
2. ภาวิตศีล คือ ผู้มีศีลที่พัฒนาแล้ว คือมีความประพฤติดีงาม
3. ภาวิตจิต คือ ผู้มี จิตที่พัฒนาแล้ว คือมีคุณภาพจิตดี มีสมรรถภาพจิตที่แข็งแกร่ง
4. ภาวิตปัญญา คือ ผู้มี ปัญญาที่พัฒนาแล้ว มีความสามารถในการคิดอย่างเป็นระบบ
พระพุทธศาสนาเน้นความสัมพันธ์ของเหตุปัจจัยและวิธีการแก้ปัญหา
- พระพุทธศาสนาเน้นเหตุ-ปัจจัย
เหตุ หมายถึงปัจจัยจำเพาะที่เป็นหลักให้เกิดมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นมาโดยสมบูรณ์ เช่น น้ำเป็นปัจจัยจำเพาะให้เกิดมีน้ำแข็ง ส่วนปัจจัย หมายถึงองค์ประกอบหรือเงื่อนไขแวดล้อมที่ทำให้ปัจจัยจำเพาะ (เหตุ) อย่างใดๆ มีความสมบูรณ์ ช่น ถ้าน้ำเป็น "เหตุ" ของน้ำแข็ง "ปัจจัย" ก็คือ ตู้เย็น ไฟฟ้า ช่องแช่แข็งในตู้เย็น และอุณหภูมิที่ต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง
รวมความว่าสิ่งต่างๆ ในโลกนี้มีล้วนเกี่ยวข้องกันเสมอไม่โดยตรงก็โดยอ้อม หลักการสิ่งต่างๆ อิงอาศัยกัน เป็นเหตุปัจจัยแก่กันและกัน สอดคล้องกับหลักธรรม ที่เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท
- พระพุทธศาสนาเป็นศาสตร์แห่งเหตุ-ผล ปรากฏอยู่ในหลักธรรมคือ อริยสัจ 4 ซึ่งเป็นหลักในการแก้ปัญหา ได้แก่
1. ทุกข์ (ตัวปัญหา ) เป็น ผล
2. สมุทัย (เป็นที่มาของปัญหา ) เป็น เหตุ
3. นิโรธ (ภาวะสิ้นปัญหา) เป็น ผล
4. มรรค (ข้อปฏิบัติในการแก้ปัญหา) เป็น เหตุ
ส. 1.1 ม.4-6/10 วิเคราะห์พระพุทธศาสนาในการฝึกตนไม่ให้ประมาท มุ่งประโยชน์และสันติภาพบุคคล สังคมและโลก
ก. พระพุทธศาสนาฝึกตนไม่ให้ประมาท
ความไม่ประมาท คือความมีสติ วิธีฝึกตนไม่ให้ประมาท ได้แก่
1. เตือนตนไม่ให้ประมาทด้วยพุทธพจน์ เช่น “ความประมาทเป็นทางแห่งความตาย”
2. ฝึกตนไม่ให้ประมาทตามแนวอภิณหปัจจเวกขณ์ 5 อันได้แก่
- ควรพิจารณาเนืองๆ ว่า เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่มีใครล่วงพ้นความแก่ไปได้
- ควรพิจารณาเนืองๆ ว่า เรามีความเจ็บป่วย เป็นธรรมดา ไม่มีใครล่วงพ้นความเจ็บป่วยไปได้
- ควรพิจารณาเนืองๆ ว่า เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่มีใครล่วงพ้นความตายไปได้
- ควรพิจารณาเนืองๆ ว่า เราต้องมีการพลัดพรากจากของรักหรือคนรักทั้งหมดทั้งสิ้น
- ควรพิจารณาเนืองๆ ว่า เรามีกรรมเป็นของๆ ตน เราทำกรรมสิ่งใดไว้ เราต้องรับผลของกรรมนั้น
3. ฝึกตนไม่ให้ประมาทใน 4 สถาน ได้แก่
- เตือนตนว่า จิตของเราต้องไม่ติดใจในสิ่งที่ชวนให้ติดใจ
- เตือนตนว่า จิตของเรา ต้องไม่ขัดเคืองในสิ่งที่ชวนให้ขัดเคือง
- เตือนตนว่า จิตของเรา ต้องไม่หลงในสิ่งที่ชวนให้หลง
- เตือนตนว่า จิตของเราต้องไม่มัวเมาในสิ่งที่ชวนให้มัวเมา
4. ฝึกตนไม่ให้ประมาทอย่างสูงสุดโดยการปฏิบัติตามหลักสติปัฎฐาน 4 คือการตั้งสติกำหนดพิจารณาสิ่งทั้งหลายให้รู้เท่าทันตามความเป็นจริง 4 ประการ ได้แก่
- กายานุปัสสนา คือ การตั้งสติพิจารณากาย อิริยาบถของกาย
- เวทนานุปัสสนา คือ การตั้งสติพิจารณาความรู้สึก (สุข ทุกข์ เฉยๆ )
- จิตตานุปัสสนา คือ การตั้งสติพิจารณาจิต
- ธัมมานุปัสสนา คือ การตั้งสติพิจารณาธรรม
ข. พระพุทธศาสนามุ่งประโยชน์สุขและสันติภาพแก่บุคคล สังคมและโลก
หลักธรรมของพระพุทธศาสนาที่มุ่งประโยชน์สุขและสันติภาพแก่บุคคล และสังคมโดยตรง คือ สังคหวัตถุ 4 ได้แก่
1. ทาน คือการให้
2. ปิยวาจา คือมีวาจาซาบซึ้งใจ
3. อัตถจริยา คือการประพฤติประโยชน์
4. สมานัตตตา คือความมีตนเสมอ
ม. 4-6/11. วิเคราะห์พระพุทธศาสนากับปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและการพัฒนาประเทศแบบยั่งยืน หรือแนวคิดของศาสนาที่ตนนับถือตามที่กำหนด
พระพุทธศาสนากับปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง
1. มัตตัญญุตา คือ เป็นผู้รู้จักประมาณตนเอง
2. มัชฌิมาปฏิปทาคือ ทางสายกลาง 8 ประการ
3. ธัมมัญญุตา คือเป็นผู้รู้จักเหตุ
4. อัตถัญญุตา คือเป็นผู้รู้จักผล
5. สันตุฏฐีปะระมัง ธะนัง คือ ความสันโดษ (มักน้อย) เป็นทรัพย์อย่างยิ่ง
6. อัตตาหิ อัตตะโน นาโถ คือ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
พระพุทธศาสนากับการพัฒนาประเทศแบบยั่งยืน
การพัฒนาแบบยั่งยืนคือการพัฒนาที่มุ่งให้เกิดความสมดุลในด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม เป็นการพัฒนาที่ไม่ก่อให้เกิดปัญหาตามมาอีกในอนาคต
ลักษณะทั่วไปของการพัฒนาแบบยั่งยืน (เชิงพุทธ) ได้แก่
1. คนสัมพันธ์กับคนอย่างมีความสุข ไม่มีมัจฉริย 5 (ความตระหนี่ 5 ) ได้แก่ อาวาส กุล ลาภ วัณณ ธัมม
2. คนสัมพันธ์กับสังคมอย่างมีความสุข (ปฏิบัติตามหลักพรหมวิหาร 4)
3. คนสัมพันธ์กับธรรมอย่างรู้เท่าทัน
4. คนสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมอย่างเกื้อกูลกัน
5. คนสัมพันธ์กับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่อย่างมีสติ
ม. 4-6/12 วิเคราะห์ความสำคัญของพระพุทธศาสนาเกี่ยวกับการศึกษาที่สมบูรณ์ การเมืองและสันติภาพ หรือแนวคิดของศาสนาที่ตนนับถือตามที่กำหนด
หลักธรรมพื้นฐานของพระพุทธศาสนากับการศึกษาที่สมบูรณ์
หลักพุทธธรรมพื้นฐานของพระพุทธศาสนาที่นำมาใช้เป็นหลักในการประยุกต์การจัดการศึกษาทั้งเป็นเกณฑ์ในการพิจารณาปัญหา และเชิงปฏิบัติการเสริมในรายละเอียดได้แก่ - อริยสัจ 4 - ปฏิจจสมุปบาท
คุณธรรมในการเรียนการสอน ได้แก่ ปัญญา
ประเภทของปัญญามี 3 ประเภท ได้แก่
- ปัญญาที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดเรียกว่า สหชาติปัญญา
- ปัญญาที่เป็นความรู้ในอาชีพเรียกว่า นิปากปัญญา
- ปัญญาที่เป็นความรู้แจ้ง รู้จริง รู้ถูกต้องเรียกว่า วิปัสสนาปัญญา
กระบวนการให้เกิดปัญญา มี 3 ทาง
- ปัญญาเกิดจากการฟัง เรียกว่า สุตมยปัญญา
- ปัญญาเกิดจากการคิด เรียกว่า จินตามยปัญญา
- ปัญญาเกิดจากการปฏิบัติ เรียกว่า ภาวนามยปัญญา
การจัดการศึกษาตามแนวสัมมาทิฏฐิ(ความเห็นชอบ) ปัจจัยที่กระตุ้นการเรียนรู้มี 2 อย่างคือ
- ปัจจัยกระตุ้นการเรียนรู้จากภายนอกเรียกว่า ปรโตโฆสะ
- ปัจจัยกระตุ้นการเรียนรู้จากภายใน เรียกว่า โยนิโสมนสิการ
ความสำคัญของพระพุทธศาสนากับการเมือง
หลักคำสอนเกี่ยวกับเรื่องการเมืองและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ได้แก่ หลักคำสอนเรื่องความเป็นใหญ่ในการใช้
ประกอบการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ เรียกว่า อธิปไตย 3 มี 3 ประการได้แก่
1. อัตตาธิปไตย คือการถือตนเองเป็นใหญ่
2. โลกาธิปไตย คือการถือชาวโลกตนเองเป็นใหญ่
3. ธรรมมาธิปไตย คือการถือความชอบธรรมเป็นใหญ่
ความสำคัญของพระพุทธศาสนากับสันติภาพ:
หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาที่มุ่งเน้นการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ เพื่อเกิดสันติภาพที่ยั่งยืนได้แก่
1. สาราณียธรรม หมายถึง ธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความให้ระลึกถึงกัน
2. สังคหวัตถุ4 หมายถึงคุณธรรมที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจของผู้อื่น
3. พรหมวิหาร 4 หมายถึง หลักความประพฤติอันประเสริฐ (ธรรมของพรหม)
4. ทศพิธราชธรรม หมายถึงคุณธรรมของผู้ปกครองหรือธรรมของพระราชา