รำวงมาตรฐานมีวิวัฒนาการมาจากการละเล่นของชาวบ้านที่เรียกว่า "รำโทน" เป็นการละเล่นที่แสดงท่าทางการร่ายรำอย่างง่าย ๆ ประกอบจังหวะของเครื่องดนตรี "โทน" เป็นหลัก เดินรำเป็นคู่ ๆ ชาย-หญิงรอบวงกลม ต่อมาในสมัยจอมพลแปลกพิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรีตระหนักถึงความสำคัญของการละเล่นรื่นเริงประจำชาติและเห็นว่าคนไทยนิยมเล่นรำโทนกันอย่างแพร่หลาย จึงมอบหมายให้กรมศิลปากรปรับปรุงการละเล่นรำโทนให้มีแบบแผนมากขึ้น โดยกรมศิลปากรได้ประพันธ์บทร้องขึ้นจำนวน 10 เพลง แบ่งเป็นกรมศิลปากรประพันธ์ขึ้น 4 เพลง ได้แก่ เพลงงามแสงเดือน เพลงชาวไทย เพลงรำซิมารำ เพลงคืนเดือนหงาย และประพันธ์โดยท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงครามอีก 6 เพลง ได้แก่ เพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ เพลงดอกไม้ของชาติ เพลงหญิงไทยใจงาม เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า เพลงยดชายใจหาญ เพลงบูชานักรบ นำท่ารำจากเพลงแม่บทใหญ่มากำหนดเป็นท่ารำในแต่ละเพลง ผู้ประดิษฐ์ท่ารำ คือ หม่อมรูต่วน (ศุภลักษณ์ ภัทรนาวิก) คุณครูลมุล ยมะคุปต์ และคุณครูผัน โมรากุล กำหนดรูปแบบการแต่งกายเป็นชุดไทยในแต่ละยุคสมัยเป็น 4 รูปแบบตามจำนวนของผู้แสดงจำนวน 8 คน 4 คู่ ได้แก่ แบบชาวบ้าน แบบรัชกาลที่ 5 แบบสากลนิยม แบบราตรีสโมสร ปรับปรุงเครื่องดนตรีจากการใช้แค่โทนกับเครื่องกำกับจังหวะ คือฉิ่ง กำหนดให้ใช้วงปี่พาทย์ และวงดนตรีสากลบรรเลงประกอบการแสดง และกำหนดรูปแบบของการแสดงให้มีแบบแบบที่ชัดเจนมากขึ้น และกำหนดชื่อเรียกขึ้นใหม่จากการละเล่น "รำโทน" เป็นการแสดง "รำวงมาตรฐาน"
รำวงมาตรฐาน เป็นการรำหมู่ประกอบด้วยผู้แสดง 8 คน ท่ารำประดิษฐ์ขึ้นจากท่ารำมาตรฐานในเพลงแม่บท ความสวยงามของการรำ อยู่ที่กระบวนท่ารำที่มีลักษณะเฉพาะในแต่ละเพลงและเครื่องแต่งกายไทยในสมัยต่าง ๆ รวมทั้งรูปแบบการแสดงในลักษณะการแปรแถวเป็นวงกลม การรำแบ่งเป็นขั้นตอนต่าง ๆ ได้ ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 : ผู้แสดงชายและหญิง เดินออกมาเป็นแถวตรง 2 แถว หันหน้าเข้าหากัน ต่างฝ่ายทำความเคารพด้วยการไหว้
ขั้นตอนที่ 2 : รำแปรแถวเป็นวงกลมตามทำนองเพลงและรำตามบทร้อง รวม 10 เพลง โดยเปลี่ยนท่ารำไปตามเพลงต่าง ๆ เริ่มตั้งแต่เพลงงามแสงเดือน เพลงชาวไทย เพลงรำซิมารำ เพลงคืนเดือนหงาย เพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ เพลงดอกไม้ของชาติ เพลงหญิงไทยใจงาม เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า เพลงยอดชายใจหาญ และเพลงบูชานักรบ
ขั้นตอนที่ 3 : เมื่อรำจบบทร้องในเพลงที่ 10 ผู้แสดงรำเข้าเวทีทีละคู่ ตามทำนองเพลงจนจบ
มีการกำหนดการแต่งกายของผู้แสดง ให้มีระเบียบด้วยการใช้ชุดไทย และชุดสากลนิยม โดยแต่งเป็นคู่ ๆ รับกันทั้งชายและหญิง ซึ่งสามารถแต่งได้ 4 แบบ คือ
แบบที่ 1 แบบชาวบ้าน
ชาย : นุ่งผ้าโจงกระเบน สวมเสื้อคอพวงมาลัย เอวคาดผ้าห้อยชายด้านหน้า
หญิง : นุ่งโจงกระเบน ห่มผ้าสไบอัดจีบ ปล่อยผม ประดับดอกไม้ที่ผมด้านซ้าย คาดเข็มขัดใส่เครื่องประดับ
แบบที่ 2 แบบรัชกาลที่ 5
ชาย : นุ่งผ้าโจงกระเบน สวมเสื้อราชปะแตน ใส่ถุงเท้ารองเท้า
หญิง : นุ่งผ้าโจงกระเบน สวมเสื้อลูกไม้ สไบพาดบ่าผูกเป็นโบว์ ทิ้งชายไว้ข้างลำตัวด้านซ้าย ใส่เครื่องประดับมุก
แบบที่ 3 แบบสากลนิยม
ชาย : นุ่งกางเกง สวมสูท ผูกเนคไท
หญิง : นุ่งกระโปรงป้ายข้าง ยาวกรอมเท้า ใส่เสื้อคอกลมแขนกระบอก
แบบที่ 4 แบบราตรีสโมสร
ชาย : นุ่งกางเกง สวมเสื้อคอพระราชทาน ผ้าคาดเอวห้อยชายด้านหน้า
หญิง : นุ่งโปรงยาวจีบหน้านาง ใส่เสื้อจับเดฟ ชายผ้าห้อยจากบ่าลงไปทางด้านล่าง เปิดไหล่ขวา ศีรษะทำผมเกล้าเป็นมวยสูง ใส่เกี้ยว และเครื่องประดับ