การนำการตลาด มาจัดการธุรกิจ จะทำให้สามารถผลิตสินค้าหรือบริการได้ตรงกับความต้องการของลูกค้าและเกิดการสร้างกลยุทธ์การตลาดที่ช่วยให้เจ้าของธุรกิจสามารถวางแผนผลิตภัณฑ์ได้ตรงตามตลาดเป้าหมาย รวมถึงการตั้งราคา การหาช่องทางจัดจำหน่าย และการส่งเสริมการตลาด เพื่อให้ธุรกิจสร้างกำไรจากผลิตภัณฑ์ได้และประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน
1.1 สินค้าที่ควรพิจารณาก่อนนำมาขาย
สินค้ามีอยู่ด้วยกันหลากหลายประเภท สินค้าแต่ละประเภทเหมาะกับร้านค้าที่แตกต่างกัน ดังนี้น จึงต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมของร้านค้ากับประเภทสินค้า ดังตัวอย่างต่อไปนี้
1) เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่
เป็นสินาค้าที่ขายได้ยาก เนื่องจากสินค้ามีราคาสูงและใช้งานได้นาน ลูกค้าส่วนใหญ่จึงต้องการรายละเอียดสินค้าและคำแนะนำอย่างละเอียดก่อนการตัดสินใจซื้อสินค้าประเภทนี้
2) เครื่องประดับราคาแพง เป็นสินค้าขนาดเล็กที่มีราคาสูง มีความเสี่ยงต่อการถูกโจรกรรม และหากสะานที่จัดจำหน่ายมีผู้คนสัญจรไปมาเป็นจำนวนมาก จะเป็นการเปิดโอกาสให้กับมิจฉาชีพที่แฝงตัวเข้ามาในกลุ่มลูกค่าเพื่อโจรกรรมสินค้า
3) สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ เป็นสินค้าที่ผิดกฎหมายตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 เจ้าของธุรกิจต้องไม่นำสินค้าประเภทนี้มาขายอย่างเด็ดขาด เพราะเจ้าของธุรกิจอาจถูกจับกุมและดำเนินคดีตามกฎหมายในข้อหาละเมิดลิขสิทธิ์ และผู้ซื้อสินค้าจะมีความผิดตามไปด้วย โดยสินค้าส่วนใหญ่ที่นิยมนำมาขายจะเป็นสินค้าที่สามารถลอกเลียนแบบได้ง่าย เช่น แผ่นซีดี แผ่นดีวีดี กระเป๋า รองเท้า เป็นต้น
1.2 บรรจุภัณฑ์ของสินค้า
ส่วนประกอบของบรรจุภัณฑ์ที่สำคัญ มีดังนี้
1) ตราสินค้า (ฺBrand) คือ ชื่อ วลี เครื่องหมาย สัญลักษณ์ หรือการออกแบบ เพื่อระบุว่าเป็นผลิตภัณฑ์ของผู้ขาย ่หรือผู้ผลิตรายใด ตราสินค้า จะช่วยแสดงความแตกต่างระหว่างผลิตภัณฑ์ของตนกับคู่แข่งขัน ซึ่งทางการตลาดอาจจะใช้คำว่า ยี่ห้อ หรือ โลโก้ โดยตราสินค้ามีความสำคัญ ดังนี้
1. ทำให้ลูกค้าเลือกซื้อสินค้าได้อย่างถูกต้อง
2. ช่วยปกป้องสิทธิตามกฎหมาย
3. แสดงความแตกต่างจากสินค้าของคู่แข่งขัน
4. ง่ายต่อการแบ่งตลาดแต่ละประเภท
5. สร้างภาพลักษณ์หรือลักษณะพิเศษที่แตกต่างจากคู่แข่งได้
6. ช่วยกำหนดราคาขายให้แตกต่างได้
2) ป้ายฉลาก (Label) คือ สิ่งที่ติดมากับผลิตภัณฑ์ หรือบรรจุภัณฑ์ เพื่อแสดงลักษณะเฉพาะของผลิตภัณฑ์ ป้ายฉลากอาจมีเพียงชื่อตราสินค้าเพียงอย่างเดียวบนผลิตภัณฑ์ หรือเป็นข้อความแสดงข้อมูลรายละเอียดที่ต้องการสื่อสารให้ผู้บริโภคได้รับทราบ ซึ่งไม่เพียงบอกว่าสินค้าคือสิ่งใด แต่ยังช่วยส่งเสริมการตลาดให้กับผลิตภัณฑ์ได้อีกด้วย
3) การบรรจุภัณฑ์ (Packaging) คือ การออกแบบและผลิตภาชนะห่อหุ้มผลิตภัณฑ์ที่เรียกว่า หีบห่อ หรือบรรจุภัณฑ์ โดยทั่วไปแบ่งตามวัถตุประสงค์หารใช้งานออกเป็น 2 ประเภท คือ บรรจุภัณฑ์กเพื่อการขนส่ง ซึ่งเป็นบรรจุภัณฑ์ชิ้นนอกที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการลำเลียงขนส่งและป้องกันสินค้าไม่ให้เสียหายระหว่างการขนส่ง และบรรจุภัณฑ์เพื่อขายปลีก ซึ่งเป็นบรรจุภัณฑ์ย่อยที่มีสินค้าอยู่ภายใน มีคุณสมบัติในการรักษาคุณภาพและแจ้งข้อมูลรายละเอียดของสินค้าได้อย่างครบถ้วน โดยบรรจุภัณฑ์มีความสำคัญดังนี้
1. ป้องกันผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่กระบวนการผลิตจนถึงผู้บริโภคคนสุดท้าย
2. ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์
3. เป็นสิ่งกระตุ้น หรือสิ่งเร้าให้ผู้ซื้อตัดสินใจซื้อ
4. ช่วยทำหน้าที่ส่งเสริมการขาย
5. ช่วยลดต้นทุนการขนส่ง
6. ก่อให้เกิดความสะดวกในด้านการจัดส่ง
7. ช่วยแบ่งปริมาณผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับผู้ซื้อ
1.3 การจัดจำหน่าย
1) รูปแบบร้านค้า โดยรูปแบบร้านค้าที่เหมาะสมกับการเริ่มต้นธุรกิจเพื่อการค้าขาย มีดังนี้
1.1 การวางขายกับพื้น หรือแบบกะดิน เป็นรูปแบบร้านค้าที่เรียบง่าย และทำได้ง่ายที่สุด โดยการใช้ผ้าขนาดพอเหมาะมาปูพื้น เพื่อวางขายสินค้า ร้านค้าในรูปแบบนี้ เหมาะกับการขายสินค้าที่มีราคาไม่สูงมากนัก เช่น สินค้ามือสอง ของลดราคา เป็นค้น จุดเด่นของการวางขายกับพื้น คือ ดึงดูดให้ลูกค้าซื้อได้ง่ายจากการยืนดูสินค้า
1.2 แผงลอย เป็นรูปแบบร้านค้าที่มีจำนวนมากที่สุดในตลาดนัด โดยการใช้แผงไม้หรือแผงเหล็กยกสูง เพื่อจัดวางสินค้าให้ลูกค้าสามารถเลือกหยิบสินค้าได้สะดวก รวมทั้งเจ้าของธุรกิจสะดวกในการเคลื่อนย้าย เก็บ พับ และกางแผงร้านค้า สินค้าที่เหมาะกับร้านค้ารูปแบบแผงลอย เช่น ไก่ทอด หมูแดดเดียว ถั่วต้ม ปลาเค็ม ผักสด ผลไม้สด ยางรัดผม ต่างหู ผ้าเช็ดหน้า เป็นต้น
1.3 ร้านติดล้อ เป็นรูปแบบร้านค้าที่นิยมกันในอดีต ที่เรียกว่า เปิดท้ายขายของ ด้วยการใช้รถยนต์ส่วนตัวมาเปิดท้ายรถ แล้วจัดเรียงสินค้าและตกแต่งตามใจชอบ เหมาะสำหรับการขายเสื้อผ้า เครื่องประดับ และสิ่งของเครื่องใช้ ร้านติดล้ออาจเป็นรถเข็นสำเร็จรูปที่เป็นที่นิยมในการขายอาหาร หรือนำรถยนต์มาตกแต่งขายอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าอื่นๆ และนำไปจอดขายตามสถานที่ต่างๆ
1.4 ล็อก หรือห้องแบ่งให้เช่า เป็นรูปแบบร้านค้าที่ได้รับความนิยมจากเจ้าของธุรกิจเป็นจำนวนมาก เนื่องจากการเช่าล็อกห้องนาดเล็กหรือห้องแบ่งนั้นไม่ต้องไปแย่งพื้นที่ขายกับเจ้าของธุรกิจรายอื่น แต่การเช่าต้องใช้ต้นทุนสูง ส่วนใหญ่ต้องมีการมัดจำและทำสัญญาเช่าเป็นรายเดือน รายวัน จึงเหมาะกับผู้ที่มีเงินทุนระดับหนึ่ง
2) หลักการพิจารณาพื้นที่ทำเลของร้านค้า
2.1 ลักษณะเด่นโดยรอบ พื้นที่โดยรอบของพื้นที่ทำเลที่จะขายสินค้านั้น มีผู้คนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของสินค้ามากน้องเพียงใด
2.2 พื้นที่แวดล้อมบริเวณใกล้เคียง สภาพแวดล้อมบริเวณใกล้เคียงของพื้นที่ทำเลนั้นมีเส้นทางคมนาคมที่สะดวกมากน้อยเพียงใด
2.3 ลักษณะพิเศษของพื้นที่ทำเล ซึ่งพื้นที่ทำเลนั้นมีทางเข้า ทางออกที่สะดวก และมองเห็นได้ชัดเจน หรือมีป้ายบอกตำแหน่งพื้นที่ทำเลหรือไม่
เปลี่ยนงานอดิเรกเป็นธุรกิจส่วนตัว การเปลี่ยนงานอดิเรก หรือสิ่งที่รักให้กลายเป็นธุรกิจ เกิดจากคนยุคใหม่มีความเป็นตัวของตัวเองและมุ่งหาความสุขทางใจมากกว่าความสุขทางวัตถุ โดยได้ทำในสิ่งที่ตนเองรักและสนุกไปกับสิ่งที่ทำ
ทำธุรกิจบนอินเทอร์เน็ต อินเทอร์เน็ตเปิดโอกาสให้คนทั่วไปสามารถสร้างธุรกิจของตนเองได้ ซึ่งเกิดจากความมีใจรักในการทำธุรกิจ ดังนั้น หากต้องการเริ่มต้นะุรกิจบนอินเทอร์เน็ต สามารถเริ่มได้จากการเช่าพื้นที่บนเว็บไซต์ (Host) พื้นที่ควบคุมบนอินเทอร์เน็ต (Domain) ที่มีให้เลือกอย่างมากมาย
ซื้อแฟรนไชส์ง่ายและสะดวก เจ้าของธุรกิจบางรายไม่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจจากศูนย์ การซื้อแฟรนไชส์ จึงเป็นวิธีที่เหมาะสมกับผู้เริ่มต้นประกอบธุรกิจ เนื่องจากจะมีผู้ที่มีความรู้มาให้คำแนะนำและให้ความรู้เกี่ยวกับธุรกิจนั้นๆ ว่า ควรทำอย่างไรจึงจะประสบความสำเร็จ
เป็นนักลงทุน คนรุ่นใหม่ ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุน ซึ่งมีหน้าที่ใช้ความคิดและใช้ความรู้มากกว่าใช้แรงกาย แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ที่ประสบความสำเร็จมักเป็นนักธุรกิจมาก่อน เนื่องจากมีความสามารถในการมองแนวโน้มทางธุรกิจได้ดี
กลยุทธ์ทางการตลาด เป็นการกำหนดเป้าหมายของธุรกิจ โดยการแบ่งส่วนตลาดของสินค้าหรือบริการออกเป็นตลาดย่อย เพื่อเลือกตลาดเป้าหมาย และวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ให้ผู้บริโภคพึงพอใจ
การแบ่งส่วนตลาด หมายถึง การแบ่งกลุ่มลูกค้าหรือตลาดของผลิตภัณฑ์ชนิดใดชนิดหนึ่งที่มีความแตกต่างกันออกเป็นส่วนย่อยๆ โดยพิจารณาจากกลุ่มผู้บริโภคซึ่งมีความแตกต่างกันตามอายุ เพศ รายได้ ระดับการศึกษา อาชีพ ศาสนา วัฏจักรชีวิตของครอบครัว
1) ประโยชน์ของการแบ่งส่วนตลาด
1.1 เลือกเป้าหมายได้ชัดเจน เลือกตลาดเป้าหมายหรือกลุ่มลูกค้าของธุรกิจและสามารถวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ได้อย่างชัดเจน
1.2 ทำให้ทรัพยากรเกิดประสิทธิภาพ จัดสรรการใช้ทรัพยากรของธุรกิจที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด มีความเหมาะสมกับส่วนตลาดที่แบ่งไว้
1.3 ตอบสนองความต้องการ เข้าใจความต้องการและมองเห็นโอกาสทางการตลาดเพื่อตอบสนองความต้องการของแต่ละส่วนตลาด
1.4 สร้างความพึงพอใจ วางแผนการตลาดได้ตรงกับความต้องการของลูกค้า และสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้าในแต่ละส่วนตลาดได้
2) เกณฑ์การแบ่งส่วนตลาด การแบ่งส่วนตลาดหรือการแบ่งกลุ่มผู้บริโภคสามารถแบ่งได้ โดยใช้เกณฑ์ต่างๆ ดังนี้
1. การแบ่งส่วนตลาดตามหลักภูมิศาสตร์ (Geographic Segmentation)
เป็นการแบ่งตลาดตามพื้นที่หรืออาณาเขตของภูมิประเทศ เช่น ประเทศ ภาค จังหวัด อำเภอ ตำบล หรือหมู่บ้าน เป็นต้น ผู้บริโภค ที่อาศัย อยู่ในอาณาเขตที่แตกต่างกันจะมีวิถีชีวิต พฤติกรรม และบุคลิกลักษณะที่แตกต่าง
1.1 ภูมิภาค (Region) เช่น ทวีปเอเชีย ทวีปยุโรป ทวีปอเมริกา ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ เป็นต้น
1.2 ภูมิอากาศ (Climate) เช่น เขตร้อน เขตหนาว เขตอบอุ่น เป็นต้น
1.3 ขนาดของเมือง (City Size) เช่น พื้นที่ต่ำกว่า 25,000 ตารางกิโลเมตร 25,001-100,000 ตารางกิโลเมตร เป็นต้น
1.4 ความหนาแน่น (Density) เช่น จำนวนประชากรต่ำกว่า 10,000 คน 10,001-100,000 คน เป็นต้น
2. การแบ่งส่วนตลาดตามหลักประชากรศาสตร์ (Demographic Segmentation)
เป็นการแบ่งตลาดตามปัจจัยทางประชากรหรือผู้บริโภคที่เกี่ยวกับเพศ อายุ การศึกษา อาชีพ รายได้ ศาสนา ซึ่งตัวแปรด้านประชากรจะมีความสัมพันธ์กับอัตราการใช้ผลิตภัณฑ์ จึงเป็นที่นิยมนำมาใช้ในการแบ่งส่วนตลาดมากที่สุด เนื่องจากสามารถแบ่งกลุ่มผู้บริโภคได้ชัดเจน และสามารถวัดได้ง่ายกว่าลักษณะอื่น ตัวแปรที่นำมาใช้ในการกำหนดกลยุทธ์ทางการตลาด
2.1 เพศ (Sex) ได้แก่ ชาย หญิง
2.2 อายุ (Age) เช่น อายุต่ำกว่า 5 ปี 6-12 ปี 13-19 ปี 20-35 ปี 36-50 ปี 50 ปีขึ้นไปเป็นต้น
2.3 อาชีพ (Occupation) เช่น ข้าราชการ พนักงาน เกษตรกร นักศึกษา แม่บ้าน เป็นต้น
2.4 รายได้ (Income) เช่น ต่ำกว่า 5,000 บาท 5,001-10,000 บาท 10,000-20,000 บาท 20,000 บาทขึ้นไป เป็นต้น
2.5 การศึกษา (Education) เช่น ระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา อาชีวศึกษา ปริญญาตรี สูงกว่าปริญญาตรี เป็นต้น
2.6 ขนดาของครอบครัว (Family Size) เช่น 2 คน 3-5 คน และ 6 คนขึ้นไป เป็นต้น
2.7 วัฏจักรชีวิคครอบครัว (Family Life Cycle) เช่น โสด แต่งงานแล้วยังไม่มีบุตร แต่งงานแล้วมีบุตรยังเล็กอยู่ แต่งงานแล้วบุตรโตแล้ว เป็นต้น
2.8 เชื้อชาติ (Race) เช่น ไทย จีน ญี่ปุ่น อังกฤษ เยอรมัน เป็นต้น
2.9 ศาสนา (Religion) เช่น พุทธ อิสลาม คริสต์ เป็นต้น
การแบ่งส่วนตลาดตามลักษณะประชากร
3.การแบ่งส่วนตลาดตามหลักจิตวิทยา (Psychographic Segmentation)
เป็นการแบ่งตลาดตามวิถีการดำรงชีวิตของบุคคล ซึ่งแต่ละกลุ่มจะมีความต้องการในการบริโภคที่แตกต่างกัน เช่น กลุ่มข้าราชการ กลุ่มแพทย์ กลุ่มเกษตรกร เป็นต้น ตัวแปรที่นำมาใช้ในการกำหนดกลยุทธืทางการตลาดมีดังนี้
3.1 ชั้นของสังคม (Social Class)
3.2 รูปแบบการดำรงชีวิต (Life Class)
3.3 บุคลิกภาพ(Personality)
ขอขอบคุณข้อมูล : AJ.Naphaphon Knluinak
การเลือกตลาดเป้าหมาย คือ การเลือกกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ธุรกิจต้องการจะขายสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการและสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้ากลุ่มนั้น การเลือกตลาดเป้าหมายมีหลายลักษณะ ดังนี้
1) การมุ่งส่วนตลาดเดียว เป็นการเลือกตลาดเป้าหมายส่วนเดียวจากส่วนตลาดหลายส่วนทั้งหมด เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่มีทรัพยากรจำกัด และไม่มีคู่แข่งขัน หรือธุรกิจเกิดขึ้นใหม่เข้ามาแข่งขัน การมุ่งส่วนตลาดเดียว หากประสบความสำเร็จก็จะทำให้ธุรกิจเป็นผู้นำในตลาดส่วนนั้น และได้รับผลตอบแทนจากการประกอบธุรกิจสูงขึ้นอีกด้วย แต่หากตลาดเป้าหมายส่วนเดียวที่เลือกไว้นั้นไม่สามารถสร้างรายได้ให้กับธุรกิจ อาจจะทำให้เกิดความล้มเหลว เนื่องจากธุรกิจไม่มีรายได้จากตลาดส่วนอื่นๆ เข้ามาทดแทน
2) การมุ่งส่วนตลาดหลายส่วน เป็นการเลือกตลาดเป้าหมายมากว่า 1 ส่วนตลาด จากส่วนตลาดหลายส่วนทั้งหมด เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีความพร้อมในทุกด้าน โดยเฉพาะด้านเงินลงทุน เพราะต้องทำกิจกรรมการตลาดที่หลากหลาย จึงต้องกำหนดกลุ่มตลาดให้ชัดเจนเพื่อดำเนินการตลาดให้เหมาะสมกับส่วนตลาดหลายส่วนที่เลือก และป้องกันการสับสนในตำแหน่งผลิตภัณฑ์ที่จะเกิดขึ้นกับผู้บริโภค
3) การมุ่งส่วนตลาดมวลรวม เป็นการเลือกส่วนตลาดใหญ่ทั้งหมาดเป็นตลาดเป้าหมาย โดยถือว่าในแต่ละส่วนตลาดไม่มีความแตกต่างกัน จึงเหมาะสำหรับสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ข้าวสาร เกลือ น้ำตาล น้ำดื่ม น้ำมันพืช เป็นต้น การมุ่งส่วนตลาดมวลรวมจึงเป็นกลยุทธ์ที่ใช้กับธุรกิจที่มุ่งเน้นการผลิตเป็นสำคัญ โดยสินค้าจะมีรูแปบบให้ลูกค้าเลือกไม่มากนัก เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในกระบวนการผลิตและเป็นกลยุทธ์ที่ธุรกิจขนาดใหญ่สามารถปฏิบัติได้
1) วางตำแหน่งตามกลุ่มผลิตภัณฑ์ สามารถวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์เป็นผู้นำในตลาดได้ เช่น อักษรเจริญทัศน์ สร้างหนังสือดีให้เด็กไทยด้วยหัวใจและปัญญา เป็นต้น
2) วางตำแหน่งตามคุณภาพหรือราคา เช่น รถยนต์จากยุโรปเป็นรถยนต์ที่มีคุณภาพดี มีราคาสูง เป็นต้น
3) วางตำแหน่งตามคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ เช่น ยาสีฟันาจากสมุนไพร กาแฟมีส่วนผสมโสม ครีมบำรุงผิวผสมวิตามินอี เป็นต้น
4) วางตำแหน่งตามคู่แข่งขัน เช่น นวัตกรรมแห่งความล้ำหน้าของโลกกับพวงมาลัยรถแบบแอ็กทีฟ จากออลนิวซีก้า เป็นต้น
5) วางตำแหน่งตามคุณประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ เช่น ครีมบำรุงผิวหน้ามีประโยชน์หลากหลาย ทั้งเพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิวหน้า ลดริ้วรอยเหี่ยวย่น ปรับสภาพผิว และปกป้องผิวหน้าจากรังสียูวี เป็นต้น
6) วางตำแหน่งตามผู้ใช้ เช่น เครื่องสำอางริเซสำหรับผู้หญิงชาวเอเชีย บอยโรออนสำหรับผู้ชาย เวนดี้ครีมอาบน้ำสำหรับผู้หญิง เป็นต้น
7) วางตำแหน่งตามการใช้สอย เช่น ยาหม่องตราพลอยใส ใช้ดมแก้วิงเวียนศรีษะ นามูเบบี้แชมพูและเจลอาบน้ำ เป็นต้น
ขอขอบคุณข้อมูล : ThaiFranchise Center
3.1 การกำหนดราคาตามต้นทุน
การกำหนดราคาตามต้นทุน เป็นการกำหนดราคาขายที่ง่ายที่สุด โดยการบวกกำไรที่ต้องการเพิ่มเข้าไปในราคาต้นทุนของสินค้า การกำหนดจำนวนที่บวกเพิ่มสามารถกำหนดเป็นจำนวนที่แน่นอน เช่น 20 บาท 100 บาท 20% ของราคาสินค้า เป็นต้น
3.2 การกำหนดราคาตามอุปสงค์ของตลาด
เป็นการกำหนดราคาโดยคำนึงถึงอุปสงค์ หรือความต้องการของตลาด เมื่อตลาดมีความต้องการผลิตภัณฑ์นั้นมากก็สามารถกำหนดราคาให้สูงขึ้นได้ และเมื่อตลาดมีความต้องการผลิตภัณฑ์นั้นน้อยลงก็สามารถกำหนดราคาให้ต่ำลงได้เช่นกัน แม้ว่าต้นทุนต่อหน่วยจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงตามความจำนวนความต้องการผลิตภัณฑ์ เช่น สินค้าในวันลอยกระทง ช่อดอกไม้วันรับปริญญา เสื้อผ้า เครื่องประดับตามความนิยม เป็นต้น
3.3 การกำหนดราคาตามการแข่งขันในตลาด
เป็นการกำหนดราคาให้เท่ากัน ต่ำกว่า หรือสูงกว่าคู่แข่งขัน แม้ว่าต้นทุนการผลิตหรือความต้องการของตลาดมีการเปลี่ยนแปลงไป หากคู่แข่งขันไม่เปลี่ยนแปลงราคา ผลิตภัณฑ์ก็จะไม่เปลี่ยนแปลงราคาด้วย โดยรักษาระดับเดิมไว้ แต่หากคู่แข่งขันเปลี่ยนแปลงราคา ผลิตภัณฑ์ก็จะเปลี่ยนแปลงราคาตาม แม้ต้นทุนการผลิตและความต้องการของตลาดเท่าเดิม เช่น น้ำดื่ม มันฝรั่ง
3.4 การกำหนดราคเชิงจิตวิทยา
เป็นการกำหนดราคาโดยคำนึงถึงความรู้สึกของผู้บริโภคหรือกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
1) การกำหนดราคาตัวสุดท้ายเป็นเศษ หรือเลขคี่ ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าราคาถูกกว่าผลิตภัณฑ์ชนิดเดียวกัน เช่น ราคา 4.75 บาท เป็นราคาที่มีเศษสตางค์ จะให้ความรู้สึกว่าผลิตภัณฑ์มีราคาถูกกว่าผลิตภัณฑ์ที่มีราคา 5 บาท เช่นเดียวกับราคา 99 บาท จะให้ความรู้สึกว่าผลิตภัณฑ์นั้นราคาถูกกว่าผลิตภัณฑ์ที่มีราคา 100 บาท
2) การกำหนดราคาตัวสุดท้ายเป็นเลขคู่ เหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อเสียง คุณภาพดี รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ที่ผู้บริโภคไม่ค่อยรู้จัก นิยมกำหนดราคาตัวสุดท้ายเป็นเลขคู่ หรือจำนวนเต็ม เช่นรถยนต์หรู คันละ 500,000 บาท กาแฟที่นิยม แก้วละ 100 บาท เป็นต้น
ขอขอบคุณข้อมูล : Coach Bank Supakit
ขอขอบคุณข้อมูล : ThaiFranchise Center