อาชีพ หมายถึง การทำกิจกรรมใดๆ ที่ไม่เป็นโทษแก่สังคม และมีผลตอบแทนออกมาในรูปแบบของรายได้ โดยอาศัยความรู้ ทักษะ แรงงาน อุปกรณ์ เครื่องมือ และวิธีการต่างๆ ที่แตกต่างกันออกไปตามลักษณะของอาชีพ
อาชีพเป็นรูปแบบของการดำเนินชีวิตที่บุคคลในสังคมต้องพึงกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าตอบแทนหรือรายได้ เพื่อใช้จ่ายในการดำรงชีวิต ในปัจจุบันมีอาชีพเกิดขึ้นมากมายหลายอาชีพ ซึ่งในแต่ละอาชีพมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป ผู้ที่มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับอาชีพต่างๆ อย่างลึกซึ้ง จะรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของโลกอาชีพจนสามารถนำความรู้เกี่ยวกับอาชีพมาใช้ประโยชน์ในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างสรรค์ และสามารถแข่งขันได้ทั้งในสังคมไทยและสากล ดังนั้น การประกอบอาชีพจึงมีความสำคัญต่อตนเอง ครอบครัว ชุมชน และประเทศชาติ ดังนี้
เป็นการประกอบอาชีพเพื่อให้มีรายได้มาจับจ่ายใช้สอยภายในครอบครัว เช่น ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น หรือบางครั้งซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยเพื่อตอบสนองความต้องการของตนเอง ทำให้เกิดการยอมรับนับถือจากผู้คนในสังคม
สมาชิกของครอบครัวประกอบไปด้วย พ่อ แม่ และลูก เมื่อพ่อแม่เข้าสู่วัยชรา ไม่สามารถทำมาหากินได้ ลูกซึ่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่มีอาชีพการงาน มีหน้าที่ต้องส่งเสียเลี้ยงดูเพื่อตอบแทนพระคุณ ตลอดจนจุนเจือช่วยเหลือทุกคนภายในครอบครัวให้มีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
ครอบครัวเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนและสังคม หากสมาชิกแต่ละครอบครัวในชุมชนประกอบสัมมาอาชีพที่สุจริตตามกฎหมาย มีความมั่นคง มีรายได้ที่แน่นอน และมีโอกาสเจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน จะส่งผลให้ชุมชนนั้นมีความเข้มแข็งไปด้วย
เมื่อประชาชนในชาติมีการประกอบอาชีพ มีรายได้เลี้ยงตนเองและครอบครัว อัตราการว่างงานของคนในประเทศลดลง ทำให้สภาพสังคมและชุมชนมีความเป็นอยู่ที่ดี คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้น มีความสามารถในการชำระภาษี ซึ่งรัฐบาลจะนำเงินภาษีเหล่านี้ไปพัฒนาประเทศเพื่อให้มีความเจริญก้าวหน้าขึ้น จึงถือได้ว่าการประกอบอาชีพของประชาชนมีส่วนช่วยในการพัฒนาประเทศชาติอีกทางหนึ่งด้วยเช่นกัน
สามารถจัดกลุ่มอาชีพได้เป็น 6 ประเภท
เป็นอาชีพที่สำคัญของประเทศไทย ปัจจุบันประชากรของไทยจำนวนไม่น้อยยังประกอบอาชีพนี้อยู่ อาชีพเกษตรกรรม เช่น การทำนา ทำสวน ทำไร่ การทำป่าไม้ การทำประมง ปศุสัตว์ เป็นตัน อาชีพเกษตรกรรมเป็นอาชีพที่เกี่ยวข้องกาับการผลิต การจัดจำหน่ายและการให้บริการทางด้านการเกษตร ซึ่งผลผลิตทางการเกษตรนอกจากจะถูกนำมาใช้ในการบริโภคแล้ว ยังนำมาใข้เป็นวัตถุดิบในการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมอีกด้วย
เป็นอาชีพที่ดำเนินการผลิตสินค้าและบริการ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ในการผลิตมีทั้งการผลิตสินค้าสำเร็จรูปที่ผู้บริโภคสามารถซื้อไปใช้ในการอุปโภึบริโภคได้ทันที แลการผลิตสินค้ากึ่งสำเร็จรูป ซึ่งหมายถึง การนำวัตถุดิบที่ใช้ในงานขั้นสุดท้ายอีกขั้นตอนหนึ่ง เช่น เหล็กเส้น ไม้แปรรูป ยางแผ่น ไอซี เป็นต้น
อาชีพอุตสาหกรรม สามารถแบ่งตามลักษณะงานได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้
1) อุตสาหกรรมการผลิต ได้แก่ อุตสาหกรรมที่ผลิตสินค้าในลักษณะที่เป็นสินค้าสำเร็จรูป เช่น อาหาร เสื้อผ้า เฟอร์นิเจอร์ โทรทัศน์ เป็นต้น หรือผลิตในลักษณะที่เป็นชิ้นส่วนประกอบ
2) อุตสาหกรรมการก่อสร้าง ได้แก่ อุตสาหกรรมที่ผลิตเกี่่ยวกับงานที่ต้องใช้เทคโนโลยีเพื่อการผลิต เช่น อาคาร ที่พักอาศัย ถนน เขื่อน สะพาน เป็นต้น
3) อุตสาหกรรมการบริการ ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตที่อยู่ในรูปของการบำรุงรักษา การอำนวยความสะดวก หรือให้ความบันเทิง เช่น บริการธนาคาร บริการซ่อมแซมเครื่องจักร บริการโรงแรมและการท่องเที่ยว เป็นต้น
อาชีพพาณิชยกรรม เป็นอาชีพที่ดำเนินธุรกิจด้านการซื้อขายแลกเปลี่ยน โดยมีคนกลางทำหน้าที่กระจายสินค้าจากแหล่งผลิตไปยังผู้บริโภคคนสุดท้าย ซึ่งคนกลางเหล่านี้ ได้แก่ พ่อค้าส่ง พ่อค้าปลีก ตัวแทนจำหน่าย และนายหน้า
อาชีพบริการ เป็นอาชีพที่ผู้ประกอบการได้อำนวยความสะดวกในด้านใดด้านหนึ่งให้แก่ผู้บริโภค หรืออาจกล่าวได้ว่า บริการ คือสิ่งที่คนอื่นทำให้กับเรา และทำให้เราสะดวกสบายขึ้น ซึ่งธุรกิจบริการมีลักษณะเป็นสินค้าที่ไม่มีตัวตน จับต้องไม่ได้ แต่สามารถสร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้บริโภคได้ เช่น การโรงแรม การท่องเที่ยว ร้าอาหาร ร้านซักรีด ร้านเสริมสวย ร้านซ่อมรถ ร้านล้างรถ เป็นต้น
เป็นการประกอบอาชีพที่เกี่ยวกับการทำอาหารการทำขนม
การตัดเย็บเสื้อผ้า ร้านเสริมสวย เป็นต้น
เป็นอาชีพที่เกี่ยวกับงานช่าง ซึ่งจะใช้มือเป็นหลักในการผลิตชิ้นงานเป็นส่วนใหญ่ เช่น อาชีพจักสาน แกะสลัก ทอผ้าด้วยมือ เป็นต้น
เป็นอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการแสดงออกในลักษณะต่าง ๆ เช่นการวาดภาพ การปั้น การเล่นละคร การเล่นดนตรี การถ่ายภาพ การโฆษณา การออกแบบผลิตภัณฑ์ เป็นต้น
สามารถจัดกลุ่มอาชีพได้เป็น 3 ประเภท
หมายถึง อาชีพทุกประเภทที่ผู้ประกอบการดำเนินกิจการด้วยตนเองแต่เพียงผู้เดียว หรือที่เรียกว่า กิจการเจ้าของคนเดียว หรืออาจทำเป็นกลุ่มในรูปแบบที่เรียกว่า ห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท เจ้าของกิจการเป็นผู้ลงทุน จำหน่ายสินค้าเอง วางแผนและตัดสินใจในการดำเนินกิจกรรมด้วยตนเองทุกเรื่อง ส่งผลให้สามารถพัฒนางานได้อย่างรวดเร็ว และทันต่อเหตุการณ์
การประกอบอาชีพอิสระโดยทั่วๆไป มี 3 ประเภท คือ
1) ประเภทการผลิต คือ อาชีพที่ดำเนินกิจกรรมผลิตเพื่อจำหน่าย เช่น ผลิตผลทางการเกษตร งานประดิษฐ์ผลิตเครื่องใช้ เครื่องปั้นดินเผา การขายอาหารตามสั่ง เป็นต้น
2) ประเภทการบริการ คือ อาชีพที่อำนวยความสะดวกหรือให้บริการแก่ผู้บริโภค เช่น ช่างตัดผม ช่างเสริมสวย ช่างตัดเสื้อผ้า ช่างซ่อมรถยนต์ ช่างซ่อมรถจักรยานยนต์ เป็นต้น
3) ประเภทการขายสินค้า เป็นอาชีพที่ผู้ประกอบการทำหน้าที่ซื้อสินค้าจากผู้ผลิตแล้วนำไปขายต่อให้กับผู้บริโภค หรือเรียกง่ายๆ ว่า อาชีพซื้อมา-ขายไป เช่น ซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูปจากโรงงานตัดเย็บแล้วนำไปขายที่ตลาดนัด เป็นต้น
เป็นปัจจัยพื้นฐานที่มีความสำคัญในการประกอบอาชีพ ผู้ประกอบการจะต้องมีการวางแผน แนวทางการดำเนินธุรกิจไว้ล่วงหน้า เพื่อที่จะได้ทราบว่าจะต้องใข้เงินทุนประมาณเท่าไร บางอาชีพใข้เงินลงทุนน้อย บางอาชีพต้องใช้เงินลงทุนมาก หากเงินออมหรือเงินสะสมไม่เพียงพอ จะได้วางแผนกู้ยืมจากสถาบันการเงิน เช่น กู้ยืมจากธนาคารหรือจากแหล่งทุนอื่น เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตาม ในระยะแรกผู้ประกอบการไม่ควรลงทุนมากเกินไป
เป็นปัจจัยที่สำคัญมากที่สุดปัจจัยหนึ่ง เพราะหากสินค้าและบริการไม่เป็นที่พึงพอใจของผู้บริโภค การซื้อจะไม่เกิดขึ้น ทำให้โอกาสที่จะประสบความสำเร็จเป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะในปัจจุบัน ธุรกิจมีการแข่งขันสูง ผู้ประกอบการจึงต้องมีความรู้เกี่ยวกับกระบวนการผลิต การบรรจุหีบห่อ การโฆษณา ประชาสัมพันธ์ เพื่อให้สินค้าและบริการเป็นที่น่าพอใจของกลุ่มลูกค้า
เป็นเรื่องของเทคนิคและวิธีการในการทำงาน ซึ่งผู้ประกอบการต้องรู้จักการวางแผนงาน การจัดคนเข้าทำงาน การจัดองค์กร การสั่งการ และการควบคุมงาน ตลาดจนเรื่องของบุคคลที่จะเข้าร่วมในการลงทุน และการจัดหาเครื่องมือ อุปกณ์ในการทำงาน
หากผู้ประกอบการมีความรู้ไม่เพียงพอ ต้องศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม โดยการเข้ารับการฝึกอบรมจากสถาบันที่ให้ความรู้ด้านอาชีพ การทำงาน เป็นลูกจ้างในสถานประกอบการอื่่นหรือทดลองปฏิบัติงานด้วยตนเอง เพื่อให้มีความรู้ ความขำนาญ และมีประสบการณ์ในการประกอบอาชีพนั้นๆ
ขอขอบคุณ : ช่อง https://www.youtube.com/channel/UCfdCpQ5bqGaroqrp3xHSWzA
1) มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในการผลิตสินค้าหรือบริการใหม่ๆ
ผู้ประกอบการที่จะประสบความสำเร็จได้จะต้องเป็นผู้ที่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ กล่าวคือ เป็นผู้ที่นำเอาประสบการณ์ที่ผ่านมา มาประยุกต์ใช้สร้างสรรค์ หาวิธีการใหม่ที่ดีกว่าเดิมนำมาใช้ในการบริหารธุรกิจ หาแนวทางพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการ ปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานอยู่ตลอดเวลา ผลิตสินค้าที่แตกต่างจากตลาดที่มีอยู่เดิม ใช้วิธีการขายที่ไม่เหมือนใคร ประดิษฐ์คิดค้นสิ่งแปลกใหม่เข้าสู่ตลาด มีจินตนาการ และมีความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง หรือพัฒนางานอยู่ตลอดเวลา
2) ความสามารถในการบริหารจัดการ
ผู้ประกอบการจะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ในหลักการบริหารจัดการเป็นอย่างดี เพราะจะต้องเป็นผู้นำและทำหน้าที่วางแผน ในการปฏิบัติงานและมอบหมายงานให้แก่พนักงาน พร้อมให้คำแนะนำ เป็นผู้ควบคุมดูแลการทำงานอย่างใกล้ชิดและเป็นกันเอง ทำให้ผู้ร่วมงานปฏิบัติงานด้วยความเต็มใจจนเป็นผลให้งานบรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ
3) มีความกระตือรือร้นสูง
สุขภาพแข็งแรงพร้อมที่จะทำงานหนัก ผู้ประกอบการจะต้องตระหนักและเข้าใจอยู่เสมอว่า การเป็นผู้ประกอบการที่จะประสบความสำเร็จได้นั้นจะต้องใช้ความมานะ พยายามในการทำงานอย่างหนัก ลงทั้งแรงลงทั้งเงินและเวลา ดังนั้น ความกระตือรือร้นความไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค การมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่แข็งแรงจะทำให้สามารถดำเนินกิจกรรมได้อย่างราบรื่น
4) มีความต้องการที่จะประสบความสำเร็จสูง
ผู้ประกอบการจะต้องเป็นผู้ที่มีความอุตสาหะ มุ่งมั่นไปสู่จุดหมายของธุรกิจด้วยความอดทนและจิตใจที่เข้มแข็ง ไม่มีคำว่าแพ้และท้อแท้แม้ในภาวะวิกฤติเศรษฐกิจหรือในสภาพการแข่งขันที่รุนแรง จะพยายามเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสเสมอ
5) เป็นผู้ที่มีมนุษยสัมพันธ์ดี
ผู้ประกอบการจะต้องเป็นผู้ที่มีความสามารถในการติดต่อสื่อสาร และประสานงานกับบุคคลทุกระดับเพื่อสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดี ซึ่งจะต้องอาศัยมนุษยสัมพันธ์ที่จะช่วยทำให้การติดต่อสื่อสาร การประสาน ดังกล่าวเป็นไปด้วยความราบรื่นมีไมตรีจิตและมิตรภาพที่ดีต่อกัน
6) มีวิสัยทัศน์กว้างไกล ใฝ่หาความรู้อยู่เสมอ
ผู้ประกอบการจะเป็นผู้ที่มีประสบการณ์สามารถที่จะวิเคราะห์เหตุการณ์ในอนาคตข้างหน้าได้อย่างแม่นยำ และเตรียมพร้อมรับเหตุการณ์ที่จะเปลี่ยนแปลง ทำให้ธุรกิจมีทิศทางการทำงานที่ชัดเจนสามารถมุ่งไปสู่อนาคตด้วยเป้าหมายที่วางไว้อย่างแน่นอน รวมถึงการเป็นผู้ที่ใฝ่หาความรู้อยู่เสมอ โดยเฉพาะความรู้เกี่ยวกับข้อมูลทางการตลาด เศรษฐกิจ การเมือง กฎหมาย ทั้งในประเทศและต่างประเทศ จะช่วยทำให้การวิเคราะห์เหตุการณ์ในอนาคตมีความแม่นยำมากขึ้น
7) มีความสามารถในการคิดและแก้ปัญหา กล้าเสี่ยงในสิ่งที่ควรเสี่ยง
ผู้ประกอบการเป็นบุคคลหนึ่งที่มีความสามารถในการตัดสินใจที่แตกต่างและโดดเด่นไปจากบุคคลอื่น ผู้ประกอบการที่ดีเชื่อว่าธุรกิจจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวล้วนมาจากการตัดสินใจทั้งสิ้น ดังนั้น ในการทำธุรกิจผู้ประกอบการจึงต้องมีความกล้าที่จะเสี่ยงในสิ่งที่ควรเสี่ยง โดยพยายามที่จะขจัดความเสี่ยงในการประกอบการให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แล้วจึงตัดสินใจดำเนินการควบคู่ไปกับความไม่ประมาท
8) มองเห็นโอกาสหรือช่องทางในการทำธุรกิจอยู่เสมอ
ผู้ประกอบการต้องเป็นนักแสวงหาโอกาสอยู่ตลอดเวลา แม้จะอยู่ในช่วงภาวะเศรษฐกิจที่ดีหรือภาวะวิกฤติเศรษฐกิจก็ตาม เช่น มองเห็นโอกาสที่จะเข้าไปทำธุรกิจกับกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือผลิตสินค้าและบริการที่มีความแตกต่างจากคู่แข่งขันทั้งทางด้านคุณภาพและราคา ซึ่งการมองเห็นโอกาสหรือช่องทางในการทำธรกิจดังกล่าวจะส่งผลให้ธุรกิจบรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เป็นต้น
1.ความถนัดส่วนตัว
หมายถึง ความสามารถในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ดีเป็นพิเศษ เช่น ความถนัดในการพูด การใช้ภาษา ความถนัดทางงานช่าง เป็นต้น ถึงแม้ว่าการทำงานใดๆ ย่อมต้องอาศัยการฝึกฝนแต่ความถนัดก็ยังคงเป็นสิ่งสำคัญในการทำงานอยู่ดี ซึ่งคนแต่ละคนจะมีความถนัดแตกต่างกันและการได้ประกอบอาชีพที่ตนเองมีความถนัด จึงมีโอกาสประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานสูง
2.ความชอบ ความสนใจ
การประกอบอาชีพใดๆ ก็ตามหากมีความรัก ความชอบ ความสนใจเป็นพื้นฐานนับว่าเป็นเรื่องดี แต่อย่างไรก็ตาม แค่ความรัก ความชอบอย่างเดียวยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ต้องมีความถนัดด้วย เช่น มีความชอบเกี่ยวกับเครื่องยนต์ แต่มีความถนัดทางด้านคอมพิวเตอร์ ไม่ถนัดเกี่ยวกับการซ่อมหรือการใช้เครื่องมือต่างๆ ก็ไม่ควรเลือกอาชีพนี้ เพราะการทำในสิ่งที่ไม่ถนัดจะทำให้ประสบความสำเร็จได้ยาก
3.โอกาสที่จะเข้าทำงาน
ในการเลือกเรียนอะไรก็ตาม ควรคำนึงถึงโอกาสที่จะทำงานด้วย เช่น เลือกเรียนสายอาชีพ เพราะมองเห็นโอกาสว่าตลาดแรงงานของไทยยังขาดแคลน ช่างฝึมือทางด้านอุตสาหกรรมเป็นจำนวนมาก โอกาสที่จะได้งานทำก็จะมีมากขึ้น แต่ถ้าเลือกเรียนในสายวิชาที่มีการแข่งขันเพื่อสอบคัดเลือกเข้าทำงาน โดยผู้สม้ครมีจำนวนมาก ตำแหน่งงานมีน้อย เราก็ต้องมั่นใจว่าตนเองมีความรู้ และความสามารถสูงกว่าผู้อื่น จึงจะมีโอกาสได้งานทำ เป็นต้น
4.รายได้หรือผลตอบแทน
รายได้หรือผลตอบแทนของข้าราชการจะเป็นไปตามวุฒิที่ทางราชการกำหนด แต่ถ้าเป็นบริษัทเอกชนหรือรัฐวิสาหกิจอาจมีอัตราการจ่ายเงินที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความมั่นคงและระบบการบริหารของบริษัทนั้นๆ
5.มองหาแหล่งงาน
ผู้ที่ต้องการจะประกอบอาชีพต้องมีความกระตือรือร้นและขวนขวายในการติดตามข้อมูลข่าวสารในการรับสมัครงาน โดยอาจหาข้อมูลข่าวสารได้จากแหล่งต่างๆ ดังนี้
1) การประกาศรับสมัครงาน
หน่วยงานต่างๆ มักเลือกใช้สื่อสิ่งพิมพ์ในการประชาสัมพันธ์ ตำแหน่งงานว่าง เช่น หนังสือพิมพ์รายวัน นิตยสารหางาน หนังสือหางาน และแผ่นป้ายประกาศรับสมัครงาน เป็นต้น
2) สื่ออิเล็กทรอนิกส์
ปัจจุบันระบบอินเทอร์เน็ตเป็นช่องทางการหางานและสมัตรงานที่สะดวกรวดเร็ว ผู้ที่กำลังมองหางานสามารถเข้าถึงเว็บไซต์หางานต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย เว็บไซต์หางานที่ได้รับความนิยม เช่น www.jobbkk.com, www.ejobeasy.com เป็นต้น
3)หน่วยงานราชการ
เป็นสื่อที่ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ที่ต้องการรับสมัตรงานแล้วนำตำแหน่งงานว่างมาประชาสัมพันธ์ให้คนทั่วไปทราบ เช่น สำนักจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานตามเขตท้องที่ต่างๆ เป็นต้น
4) หน่วยจัดหางานและตำแหน่งว่างของสถาบันการศึกษา
ตั้งขึ้นเพื่อเป็นตัวกลางหาแหล่งงานให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา โดยให้ข้อมูลเกี่ยวกับงานอาชีพที่น่าเชื่อถือ เพราะได้ผ่านการตรวจพิจารณาจากสถาบันการศึกษาแล้ว
5) สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (สำนักงาน ก.พ.)
เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการหางานหรือตำแหน่งงานทางราชการ ซึ่งสามารถติดต่อข้อมูลการรับสมัครได้โดยตรงจากสำนักงาน หรือสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมจากเว็บไซต์ของ ก.พ. คือ www.ocsc.go.th
6) สอบถามจากญาติพี่น้องและเพื่อนๆ
ผู้ที่ต้องการหางานหรือตำแหน่งว่างงานควรแจ้งความต้องการให้ญาติพี่น้องและเพื่อนได้รับทราบ พร้อมบอกรายละเอียดเกี่ยวกับคุณสมบัติของตนเอง เพราะคนใกล้ชิดจะได้ช่วยแนะนำงานที่เหมาะสมได้
7) การเข้าไปติดต่อหางานหรือตำแหน่งว่างในองค์กรที่สนใจด้วยตนเอง
การเข้าไปสอบถามข้อมูลและฝากประวัติผู้สมัครงานไว้กับหน่วยงานที่สนใจ ซึ่งอาจจะเป็นโอกาสที่ดีในอนาคตเมื่อหน่วยงานดังกล่าวต้องการับสมัครคนทำงาน
คุณธรรมในการทำงาน
1.มีความซื่อสัตย์สุจริต
เป็นคุณธรรมเบื้องต้นที่จะทำให้องค์กรหรือหน่วยงานไม่เกิดความเสียหาย เนื่องจากมีความซื่อสัตย์ ซื่อตรง ไม่คดโกง คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก ตรงต่อเวลา และทำงานเสมอต้นเสมอปลาย ย่อมทำให้การทำงานเกิดประสิทธิภาพและเป็นที่รักของ ผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงาน
2.มีความขยันอดทน
มีความเพียรพยายามในการปฏิบัติหน้าที่หรือทำงานอย่างจริงจัง มีความอดทนอดกลั้น ไม่ย่อท้อ หรือยอมแพ้ต่ออุปสรรค มีความขยันขันแข็งในการหมั่นศึกษาหาความรู้ใหม่ๆ เพื่อนำมาพัฒนาตนเอง และฝึกฝนทักษะวิชาชีพของตนเองให้เกิดความชำนาญ
3.มีความรับผิดชอบ
ตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ที่ตนเองมีต่อหน่วยงาน และรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มความสามารถ เพื่อให้งานสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ยอมรับข้อผิดพลาดในการทำงานของตนเอง และพร้อมที่จะรับฟังคำแนะนำหรือคำตักเตือนเพื่อนำไปปรับปรุงตนเอง
4.มีระเบียบวินัย
ควบคุมตนเองให้ประพฤติและปฏิบัติหน้าที่ในขอบเขต กฎระเบียบ ข้อกำหนดหรือข้อตกลงขององค์กรหรือหน่วยงาน ผู้ประกอบอาชีพที่มีระเบียบวินัยในตนเองจะมีความตั้งมั่นอยู่ในความดี ส่งผลให้การทำงานทุกอย่างประสบความสำเร็จ และทำให้องค์กรหรือหน่วยงานมีความเจริญก้าวหน้า
5.มีสติสัมปชัญญะ ไม่ประมาท
ปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ ด้วยความรู้และทักษะความสามารถด้วยจิตสำนึกที่ดี และมีความรับผิดชอบใช้ปัญญาและหตุผลในการ ตัดสินใจ ผู้ประกอบอาชีพที่มีสติสัมปชัญญะในการทำงาน จะมีการวางแผนการทำงานอย่างเป็นระบบ เป็นขั้นตอน มีความละเอียดรอบคอบ ทำให้งานสำเร็จตามเป้าหมาย
6.มีความสามัคคี
มุ่งมั่นในการรวมพลัง ช่วยเหลือเกื้อกูลเพื่อนร่วมงาน เพื่อให้งานที่ทำสำเร็จลุล่วง สามารถแก้ปัญหา และขจัดความขัดแย้งได้ เป็นผู้มีเหตุผล ยอมรับความแตกต่าง หรือความหลากหลายทางวัฒนธรรม ความคิด ความเชื่อ และพร้อมที่จะปรับตัวเพื่อให้อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ
7.มีน้ำใจ
รู้จักช่วยเหลือเพื่อนร่วมงาน รู้จักแบ่งปัน เห็นอกเห็นใจผู้มีที่มีความเดือดร้อน มีความเอื้ออาทร เอาใจใส่คนรอบข้าง ยอมเสียสละประโยชน์ส่วนตัวหรือเสียสละกำลัง แรงงาน อุทิศเวลาด้วยความเต็มใจเพื่อให้งานสำเร็จ และคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมของหน่วยงาน สังคม และประเทศชาติ
8.มีความประหยัด
การรู้จักใช้ รู้จักอดออม ไม่ฟุ่มเฟือย คำนึงถึงความคุ้มค่าของการใช้ทรัพยากรเพื่อให้ได้ประโยชน์อย่างคุ้มค่าที่สุด รู้จักนำสิ่งของเหลือใช้หรือสิ่งของที่ไม่มีประโยชน์แล้วนำมาดัดแปลงซ่อมแซม แก้ไข เพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ ทำให้สิ่งไม่มีคุณค่ามีคุณค่ามากขึ้น
จริยธรรมในการทำงานทั่วไปเป็นจริยธรรมที่นำมาซึ่งความสุข ความเจริญในการทำงานและการดำรงชีวิต เรียกว่า มงคล 38 ประการ ซึ่งมงคลชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการทำงานมีมากมาย ดังตัวอย่างต่อไปนี้
มีศิลปะ (มงคลที่ 8)
มีศิลปะในการทำงาน หมายถึงการมีความชำนาญในวิชาชีพของตนเอง สามารถนำความรู้ที่ได้จากการศึกษาเล่าเรียน ฝึกฝน หรืออบรมมาปฏิบัติจนก่อให้เกิดความชำนาญและสามารถยึดเป็นอาชีพได้
คุณสมบัติของผู้ประกอบอาชีพที่มีศิลปะในการทำงาน
1. มีความเชื่อมั่นในสิ่งที่ทำว่าเป็นสิ่งที่ดี และมีประโยชน์ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น มีใจรักที่จะทำงานตามบทบาทหน้าที่ของตนเอง และมั่นใจว่าตนเองจะทำงานนั้นได้สำเร็จ
2. ต้องไม่เป็นคนขี้เกียจ มีความมานะ พากเพียร อดทน หมั่นหาประสบการณ์ความรู้ใหม่ๆ
3. ต้องเป็นคนมีสติปัญญา รู้จักพิจารณาสิ่งต่างๆ และช่างสังเกต
มีวินัย (มงคลที่ 9)
มีวินัยในการทำงาน หมายถึง การฝึกควบคุมพฤติกรรมทางกาย วาจา และใจ ให้อยู่ในระเบียบวินัย กฎเกณฑ์ หรือข้อบังคับที่หน่วยงานหรือองค์กรกำหนดขึ้น เพราะการทำงานร่วมกันเป็นองค์กรหนือหน่วยงาน ถ้าขาดระเบียบวินัย ต่างคนต่างทำตามอำเภอใจอาจทำให้เกิดความขัดแย้ง ไม่มีความสุข ส่งผลทำให้ไม่ประสบความสำเร็จในการทำงาน ดังนั้น วินัยจึงเป็นสิ่งควบคุมคนให้ใช้ความรู้ความสามารถไปในทางที่ถูกที่ควร
มีวาจาสุภาษิต (มงคลที่ 10)
วาจาดีในการทำงาน มี 4 ประการ คือ
1.พูดแต่ความจริง
2. พูดแต่คำไพเราะที่กลั่นออกมาจากใจที่บริสุทธิ์
3. พูดแล้วก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น
4. พูดถูกกาละเทศะ ถูกทั้งเวลาและถูกสถานที่
ทำงานไม่คั่งค้าง (มงคลที่ 14)
อิทธิบาท 4 เป็นหลักธรรมที่สามารถนำมาปรับใช้ในการทำงาน เพื่อให้งานสำเร็จไม่คั่งค้าง ดังนี้
ฉันทะ คือ ความพอใจ มีใจรักที่จะปฏิบัติงานนั้นด้วยความตั้งใจให้เกิดความสำเร็จและมีประสิทธิภาพ
วิริยะ คือความขยันหมั่นเพียร มุ่งมั่น ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคหรือความยากลำบากในการทำงาน และทำงานนั้นอย่างเต็มกำลังความสามารถ
จิตตะ คือ ความมีจิตสำนึกในการทำงานอย่างถูกต้อง รู้จักไตรีตรองงานอย่างรอบคอบจนทำให้งานสำเร็จและถูกต้อง
วิมังสา คือ ความเข้าใจทำ ทำงานด้วยสติปัญญา และหาข้อบกพร่องของงานนั้น เพื่อนำมาปรับปรุ่งแก้ไข และพัฒนาให้งานมีคุณภาพมากขึ้น
ช่วยส่งเสริมให้ผู้ประกอบอาชีพแต่ละสาขาวิชาใช้วิชาชีพอย่างถูกต้อง เหมาะสม โดยคำนึงถึงประโยชน์ของสังคมและประเทศชาติ
ช่วยส่งเสริมและควบคุมให้ผู้ประอบอาชีพทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีความสำนึกในหน้าที่และความรับผิดชอบในงานของตน
ช่วยส่งเสริมและควบคุมการผลิตและการปฏิบัติงานให้สินค้าและบริการมีคุณภาพ มีความปลอดภัย
ช่วยส่งเสริมให้ผู้ประกอบอาชีพไม่เอารัดเอาเปรียบผู้บริโภค ประกอบอาชีพด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่เห็นแก่ตัวและมีความเอื้อเฟื้อต่อสังคมโดยธรรม
จรรยาบรรณ หมายถึง ประมวลความประพฤติที่ผู้ประกอบธุรกิจการงานแต่ละอย่างได้กำหนดขึ้นเพื่อรักษาและส่งเสริมเกียรติคุณ ชื่อเสียง และฐานะของสมาชิก โดยกำหนดเป็นลายลักษณ์อักษร
จรรยาบรรณของผู้ประกอบธุรกิจ
การประกอบอาชีพทางธุรกิจทุกประเภท ผู้ประกอบธุรกิจจะต้องมีจรรยาบรรณต่อวิชาชีพของตนเอง เพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม ต่อประเทศชาติ และเป็นการคืนกำไรให้กับสังคม ดังนั้น ผู้ประกอบธุรกิจ จึงต้องมีหน้าที่รับผิดชอบต่อบุคคลต่างๆ ดังนี้
1.จรรยาบรรณต่อลูกค้า
1.1 มีความซื่อสัตย์และจริงใจต่อลูกค้า
1.2 รักษาความลับของลูกค้า
1.3 ขายสินค้าที่มีคุณภาพและราคายุติธรรม
1.4 ให้บริการหลังการขายที่ดีต่อลูกค้า
2.จรรยาบรรณต่อพนักงาน
2.1 จ่ายค่าตอบแทนอย่างเป็นธรรม
2.2 จัดสวัสดิการให้อย่างเหมาะสม
2.3 จัดให้มีการพัฒนาพนักงานในด้านต่างๆ
3.จรรยาบรรณต่อผู้ร่วมลงทุน
3.1 ดำเนินกิจการด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
3.2 รักษาผลประโยชน์ของผู้ร่วมลงทุน
3.3 รายงานผลการดำเนินงานให้ผู้ร่วมลงทราบเป็นระยะ
3.4 จัดให้มีการประชุมระหว่างผู้ร่วมลงทุนแลผฝ่ายบริหาร
4.จรรยาบรรณต่อสังคม
4.1 รักษาสิ่งแวดล้อม ไม่สร้างปัญหามลพิษให้กับสังคม
4.2 ดำเนินกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในสังคม
5.จรรยาบรรณต่อรัฐบาล
5.1 เสียภาษีถูกต้องตามกฎหมาย ไม่หลีกเลี่ยงการเสียภาษี
5.2 ดำเนินธุรกิจถูกต้องตามกฎหมาย จารีตประเพณี และวัฒนธรรมอันดีงาม
5.3 ให้การสนับสนุนและร่วมมือในนโยบายและกิจกรรมต่างๆ ของรัฐบาล
การพัฒนาตนเองในงานอาชีพ หมายถึง การเสริมสร้างความรู้และการปรับปรุงตนเองให้มีความรู้ ความเข้าใจ ทักษะความชำนาญและความสามารถในการปฏิบัติงานที่ตนรับผิดชอบอย่างมีประสิทธิภาพ
ประโยชน์ของการพัฒนาตนเองในงานอาชีพ
1.ช่วยเพิ่มพูนความรู้ความสามารถในการทำงาน
2.ช่วยให้เกิดความเชื่อมั่นในตนเอง
3.ช่วยให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงาน
4.ช่วยให้เกิดการยอมรับนับถือในสังคมวิชาชีพ
5.ช่วยให้เกิดความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่การงาน
6.ช่วยให้เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในการทำงาน
วิธีการพัฒนาตนเองในงานอาชีพ
1.วิเคราะห์ตนเอง
สำรวจความสามารถหรือความชำนาญของตนเอง แล้วเลือกทำงานหรือเสริมทักษะในด้านนั้นก่อน เพื่อพัฒนาตนเองให้มีศักยภาพมากขึ้นในอนาคต
2.มุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลง
กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองให้เป็นคนใหม่ที่มีศักยภาพเพิ่มมากขึ้น และต้องเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นจะนำมาซึ่งสิ่งดีๆในชีวิต
3.มองโลกในแง่ดี (คิดบวก)
พัฒนาทางด้านความคิด และทัศนคติในการทำงาน เพื่อเสริมกำลังใจและลดปัญหาเรื่องความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นกับบุคคลอื่น
4.ใฝ่หาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ
หาความรู้เกี่ยวกับงานที่ทำและเรื่องอื่นๆ ที่สนใจ เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติม โดยสามารถหาความรู้เหล่านี้ได้จากการสัมมนา ฝึกอบรม หรือปรึกษาผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ
5.ตั้งเป้าหมายในการทำงาน
กำหนดแผนการปฏิบัติงานหรือรูปแบบในการทำงาน และดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งการกำหนดเป็าหมายถือเป็นหัวใจสำคัญในการทำงานให้ประสบผลสำเร็จ
6.วางแผนก่อนลงมือทำงาน
สร้างข้อเสนอของการดำเนินงานหรือสร้างข้อเสนอหลายๆ ทางเลือก โดยเปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียเพื่อประเมินสถานการณ์ความเป็นไปได้และลดความเสี่ยงในการทำงาน
7.การสื่อสารที่ดี
ใช้ทักษะการสื่อสารทั้งการพูด การฟัง การอ่าน การเขียน หรือการแสดงท่าทางที่เหมาะสมและถูกกาลเทศะ จะช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น
8.บุคลิกภาพที่ดี
การแต่งกายที่เหมาะสมกับรูปร่างและบุคลิกภาพของตนเอง เป็นองค์ประกอบอย่างหนึ่งที่จะช่วยเสริมความสำเร็จในการทำงาน
9.มีสมาธิ
การฝึกสมาธิบ่อยๆ ทำจิตใจให้สงบ จะช่วยทำให้เกิดปัญญา เพิ่มพลังในการคิด ช่วยคลายเครียด และช่วยพัฒนาบุคลิกภาพ
10.มีสุขภาพดี
การมีทั้งสุขภาพร่างกายและสุขภาพใจที่ดี จะช่วยให้สามารถทำงานทุกอย่างได้ลุล่วงตามเป้าหมายและมีประสิทธิภาพ
1) ทักษะกระบวนการทำงาน
ขั้นตอนที่ 1 การวิเคราะห์งาน สามารถแจกแจงงานที่จะทำว่าเป็นงานประเภทใด ต้องใช้เครื่องมือและอุปกรณ์อะไรบ้าง มีขั้นตอนการปฏิบัติอย่างไร กล่าวคือ เป็นการฝึกมองภาพรวมของงานให้ออก
ขั้นตอนที่ 2 การวางแผนในการทำงาน สามารถวางแผนว่าจะใช้กำลังคนในการทำงานเท่าใด จะแบ่งหน้าที่กันอย่างไร ต้องใช้วัสดุอุปกรณ์อะไรบ้าง หรือต้องใช้เงินในการลงทุนมากน้อยอย่างไร ตลอดขนสามารถกำหนดวิธีการทำงานให้เป็นขั้นตอนจนงานสำเร็จ
ขั้นตอนที่ 3 การปฏิบัติงาน สามารถทำงานตามลำดับขั้นตอนที่วางแผนไว้ ฝึกให้มีลักษณะนิสัยที่ดีในการทำงาน เช่น พูดจาสุภาพ เหมาะสม มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ขยัน อดทน ซื่อสัตย์ เป็นต้น
ขั้นตอนที่ 4 การประเมินผลการทำงาน สามารถประเมินผลการทำงานทั้งก่อนและหลังปฏิบัติงาน โโยประเมินจากผลที่ออกมาว่าเป็นไปตามจุดหมายหรือไม่ รวมทั้งข้อดี ข้อเสีย เพื่อแก้ไขและปรับปรุงผลงานให้ดียิ่งขึ้น
2)ทักษะการแสวงหาความรู้
ขั้นตอนที่ 1 การวางแผน โดยวิเคราะห์สถานการณ์ 5W1H ไว้ล่วงหน้า ได้แก่
W-Who ใครเป็นผู้สืบค้นหาความรู้
W-What จะสืบค้นเรื่องอะไร
W-Where จะสืบค้นที่ไหน
W-When จะสืบค้นเมื่อไร
W-Why จะสืบค้นเพราะเหตุใด
H-How มีวิธีการอย่างไร
ขั้นตอนที่ 2 การดำเนินการสืบค้น
ดำเนินการสืบค้นตามแผนที่กำหนดไว้ โดยเลือสืบค้นจากแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ ที่มีข้อมูลถูกต้องและน่าเชื่อถือ เช่นหนังสือที่เขียนโดยผู้เชี่ยวชาญ เว็บไซต์ขององค์กรที่น่าเชื่อถือ เป็นต้น
ขั้นตอนที่ 3 การรวบรวมข้อมูล
รวบรวมข้อมูลทั้งหมดที่ได้จากแหล่งการเรียนรู้หลายๆ แห่งและนำมาจัดเก็บให้เป็นระบบ เพื่อสะดวกในการสืบค้นและสามารถเลือกใช้ข้อมูลให้เหมาะสมกับงานได้สะดวกและรวดเร็ว
ขั้นตอนที่ 4 การตรวจสอบข้อมูล
ตรวจสอบข้อมูลกับแหล่งข้อมูลที่สามารถอ้างอิงได้ พร้อมทั้งตรวจสอบความทันสมัยของข้อมูลต่างๆให้น่าเชื่อถือมากที่สุด
ขั้นตอนที่ 5 การบันทึกจัดเก็บข้อมูล
บันทึกจัดเก็บข้อมูลที่ถูกต้องให้เป็นระบบ โดยอาจจัดเก็บในรูปแบบของสมึุดบันทึก แฟ้มเอกสาร แผ่นซีดี แผ่นดีวีดี เป็นต้น เพื่อป้องกันการสูญหายของข้อมูล อีกทั้งจะสามารถปรับปรุงข้อมูลและนำไปใช้งานได้อย่างสะดวก
3) ทักษะกระบวนการแก้ปัญหา
ขั้นตอนที่ 1 ทำความเข้าใจสถานการณ์
โดยอาศัยข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวบรวม จัดระเบียบ หาความสัมพันธ์ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการดำเนินงานแก้ปัญหาขั้นตอนต่อไป
ขั้นตอนที่ 2 กำหนดปัญหาให้ถูกต้องและชัดเจน
โดยใช้วิธีการเล่าเรื่องหรือเขียนบรรยายสภาพปัญหาด้วยถ้อยคำสั้นๆ ที่ตรงประเด็น ได้ใจความแล้วจึงระบเป้าหมายของสภาพการณ์ที่อยากให้เกิดขึ้นภายหลังจากการแก้ปัญหา
ขั้นตอนที่ 3 วิเคราะห์สาเหตุสำคัญ
โดยใช้วิธีการต่างๆ ประกอบไปด้วย การตรวจหาสาเหตุ การวิเคราะห์ปัญหา การเลือกสาเหตุสำคัญทีนำไปสู่ปัญหานั้น และการระบุสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา
ขั้นตอนที่ 4 หาวิธีการแก้ไขปัญหาที่เป็นไปได้
โดยใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการแก้ไขปัญหาให้ได้มากที่สุด จากนั้นจึงวิเคราะห์ความเป็นไปได้และลดจำนวนวิธีการแก้ไขปัญหาจนคาดว่าจะเหลือวิธีที่เกิดประสิทธิผลมากที่สุด
ขั้นตอนที่ 5 เลือกวิธีการแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุด
โดยทำการเปรียบเทียบทางเลือกของการแก้ไขปัญหาทั้งหมด หาข้อดีและข้อเสียของแนวทางหรือวิธีการแต่ละรูปแบบ เพื่อให้กิดผลกระทบต่อกระบวนการทำงานน้อยที่สุด
ขั้นตอนที่ 6 วางแผนการปฏิบัติ
โดยกำหนดไว้ก่อนว่าจะต้องทำอะไรบ้างเป็นขั้นตอน แต่ละขั้นตอนมีกระบวนการในการทำงานอย่างไร รวมทั้งผลที่คาดว่าจะได้รับหลังจากใช้กระบวนการแก้ปัญหา
ขั้นตอนที่ 7 ติดตามประเมินผล
โดยตรวจสอบความคืบหน้าของการทำงานที่ได้วางแผน รวมทั้งทบทวนว่าปัญหานั้นแก้ไขไปได้โดยสิ้นเชิงแล้วหรือยัง อาจจะย้อนกลับมาอีกหรือไม่
4) ทักษะการทำงานร่วมกัน
1.บรรยากาศของการทำงาน
ควรมีความเป็นกันเอง ทักคนช่วยกันทำงานอย่างจริงจังและจริงใจ ไม่มีการแสดงถึงความเบื่อหน่าย
2.ความไว้วางใจ
สมาชิกทุกคนในกลุ่มควรไว้วางใจซึ่งกันแลกัน ซื่อสัตย์ต่อกัน
3.การมอบหมายงานอย่างชัดเจน
สมาชิกภายในกลุ่มต้องเข้าใจวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และยอมรับภารกิจหลักของกลุ่ม
4.บทบาทของสมาชิกในกลุ่ม
สมาชิกแต่ละคนต้องเข้าใจและปฏิบัติตามบทบาทของคน รวมทั้งช่วยรักษาความเป็นกลุ่มงานให้มั่นคง
5.วิธีการทำงาน
1) การสื่อความ การสื่อความที่ขัดเจนและเหมาะสม หรือการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเรียนรู้ซึ่งกันและกัน จนเกิดความเข้าใจและนำไปสู่การทำงานที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
2) การมีภาวะผู้นำ ควรส่งเสริมให้สมาขิกทุกคนมีโอกาสแสดงความเป็นผู้นำ เพื่อให้ทุกคนเกิดความรู้สึกว่าได้รับการยอมรับ และปรารถนาที่จะทำงานร่วมกันอีก
3) การตัดสินใจ การเปิดโอกาสให้สมาชิกในกลุ่มแสดงความคิดเห็นและร่วมกันตัดสินใจ สมาชิกย่อมเกิดความผูกพันที่จะทำในสิ่งที่ตนเองได้มีส่วนร่วมตั้งแต่ต้น
4) การกำหนดกติกาหรือกฎเกณฑ์ต่างๆ การทำงานร่วมกันให้บรรลุเป้าหมายนั้น ควรเปิดโอกาสให้สมาชิกได้มีส่วนร่วมในการกำหนดกติกา หรือกฎเกณฑ์ที่จะนำมาใช้ร่วมกัน
5) การมีส่วนร่วมในการประเมินผลการทำงานของกลุ่ม ควรมีการประเมินผลการทำงานเป็นระยะเพื่อให้ทราบความก้าวหน้าของงาน ปัญหาหรืออุปสรรคที่เกิดขึ้น รวมทั้งพัฒนากระบสรการทำงานหรือการปรับปรุงแก้ไขร่วมกัน