ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงการทำธุรกิจอย่างมาก โดยเปลี่ยนในระบบการผลิต ทำให้ผลิตจำนวนนามในเวลาที่รวดเร็ว ต้นทุนต่ำ เปลี่ยนแปลงวิธีการขาย ทำให้ธุรกิจสามารถแสวงหาลูกค้า เสนอขายสินค้าบริการโดยไม่ต้องพบหน้าลูกค้า ด้วยความเจริญทางเทคโนโลยีการสื่อสาร มีโทรศัพท์ที่ใช้แพร่หลาย มีคอมพิวเตอร์ใช้งาน ทำให้ใช้ระบบอินเทอร์เน็ตในการติดต่อซื้อขายได้ ตลอดจนมีการชำระเงินค่าสินค้าผ่านระบบธนาคาร ด้วยการรับชำระค่าสินค้าด้วยบัตรเครดิต หรือการสั่งโอนเงินทางโทรศัพท์ หรือระบบคอมพิวเตอร์ออนไลน์ (Online Computer) เช่น ระบบ ATM e-banking ฯลฯ ผู้ประกอบการค้าจึงต้องมีความรู้ในเทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อจะได้นำมาใช้ประโยชน์ในกิจการให้ทันกับสภาพการแข่งขัน
ขอขอบคุณช่อง : https://www.youtube.com/watch?v=4AeRA3LCHUI
ขอขอบคุณช่อง : https://www.youtube.com/channel/UCfe3jSSR3tpiA-OnlHCiPZw
พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ Electronic Commence หรือเรียกสั้นๆ ว่า e-mommence หรือ e-business เป็นการทำการค้าขายบนอินเทอร์เน็ต ที่เป็นระบบการสื่อสารทางโทรคมนาคม ซึ่งทำให้คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งสามารถติดต่อกับคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่งโดยไม่ต้องมีสายเชื่อมต่อกัน ผู้ขายจะเสนอรายละเอียด รูปภาพของผลิตภัณฑ์ที่จำหน่าย ในลักษณะของเว็บไซต์ของตนเอง หรือไปฝากข้อความในเว็บไซต์ของงานอื่นที่ยินยอมให้ใช้พื้นที่ การค้าขายบนอินเทอร์เน็ตเหมือนการไปเปิดหน้าร้านในศูนย์การค้า แล้วผู้ขายจะติดต่อซื้อขายก้บลูกค้าผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ต ส่วนการส่งมอบสินค้าอาจส่งมอบทางอินเทอร็เน็ตได้เลย หากเป็นประเภทเพลง ภาพยนตร์ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ โปรแกรมการเล่นเกมคอมพิวเตอร์ การให้คำปรึกษา แม้แต่จะสั่งซื้อหนงสือแล้วดาวน์โหลดหนังสือมาทั้งเล่มทางอินเทอร์เน็ต ลูกค้าสั่งพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ออกมาเอง ฯลฯ ถ้าเป็นสินค้ามีตัวตนที่ต้องส่งมอบ จะจัดส่งทางไปรษณีย์โดยวิธีการขนส่งต่างๆ การชำระเงินค่าสินค้าและบริการจะทำโดยการโอนเงินผ่านธนาคาร ชำระด้วยบัตรเครดิต ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในการซื้อขายทางอินเทอร์เน็ต ได้แก่ ร้านหนังสือชื่อ Amazon.com ร้านขายเครื่องคอมพิวเตอร์ DELL.COM ร้านขายดอกไม้ซึ่งเปิดเป็นเครือข่ายทั่วโลก สำหรับในประเทศไทยมีร้านหนังสือของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร้านขายดอกไม้ชื่อ MISS LILLY
รัฐบาลได้พยายามส่งเสริมให้ผู้ประกอบการรายเล็กๆ รวมถึงกิจการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ เสนอขายสินค้าทางอินเทอร์เน็ต เพื่อเผยแพร่สินค้าให้เป็ฯที่รู้จักแพร่หลาย หาลูกค้าจากแหล่งไกลๆได้มากขึ้น โดยการเปิดเว็บไซด์ของหน่วยงานราชการ แล้วให้ผู้ผลิตที่ต้องการเสนอขายทางอินเทอร์เน็ตสร้างเว็บเพจไปไว้ในเว็บไซต์ของหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องได้ เช่น เว็บไซต์ของกระทรวงพาณิชย์ ของกรมส่งเสริมการส่งออก ของกระทรวงอุตสาหกรรม ฯลฯ แต่ยังมีปัญหาที่สำคัญ คือ การใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร และความรู้ในการใช้อินเทอร์เน็ต
ขอขอบคุณช่อง : https://www.youtube.com/channel/UCBckkocsJ8fp8Xaca8u5khw
การทำธุรกิจ e-commerce มี 3 รูปแบบคือ
1.Consumer to Consumer (C-to-C) เป็นการค้าปลีกระหว่างผู้ใช้อินเทอร์เน็ต เช่น การเสนอขายดอกไม้หรือตุ๊กตาประดิษฐ์ การขายขนมหรืออาหาร การขายของใช้อุปกรณ์ที่ใช้งานแล้ว เป็นต้น
2.Business to Consumer (B-to-C) เป็นการค้าปลีกเหมือนกับการเปิดร้านค้าปลีกที่มุ่งขายสินค้าให้ผู้บริโภค โดยรับชำระเงินผ่านบัตรเครดิตหรือการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร เช่น ธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจร้านหนังสือ ธุรกิจขายอุปกรณ์ออกกำลังกาย เป็นต้น ในต่างประเทศบริษัท DELL จัดจำหน่ายคอมพิวเตอร์ผ่านอินเทอร์เน็ตกระจายตลาดไปทั่วโลกซึ่งได้ผลสำเร็จอย่างยิ่ง ร้านขายหนังสือที่ใหญ่ที่สุดในโลก คือ Amazon.Com เป็นร้านหนังสือที่จำหน่ายผ่านอินเทอร์เน็ตเท่านั้น ทำรายได้มหาศาลด้วยการขายทั่วโลก
3.Business to Business (B-to-B) เป็นการค้าส่งระหว่างกิจการธุรกิจกับธุรกิจ เช่น การส่งออกหรือการนำเข้าสินค้าจำนวนมาก การชำระเงินผ่านระบบธนาคาร เช่น L/C เป็นต้น ซึ่งในประเทศไทยขณะนี้ได้มีธุรกิจเริ่มเปิดเว็บไซต์ในอินเทอร์เน็ต แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จในการขาย จะมีเพียงการสั่งซื้อตัวอย่างไปดูเท่านั้น แต่กิจการที่เข้าไปเปิดเว็บไซต์ก็จะได้ประโยชน์ในด้านการส่งเสริมการตลาด ทำให้ลูกค้าในต่างประเทศรู้จักเพิ่มมากขึ้น และอาจมีการสั่งซื้อต่อไป
ธุรกิจ e-commerce มีลักษณะพิเศษแตกต่างจากธุรกิจการค้าทั่วไป ดังนี้
1) เป็นธุรกิจที่ไม่มีพรมแดน ผู้ทำการซื้อขายบนอินเทอร์เน็ตไม่มีเขตแดนภูมิประเทศ ไม่มีข้อจำกัดในเรื่องระยะทาง ผู้ซื้อสามารถเข้าเยี่ยมชมร้านค้าต่างๆ ที่เปิดบนอินเทอร์เน็ตแม้จะอยู่คนละประเทศ คนละทวีป คนละมุมโลก และใช้เวลาสั้นๆ แวะเวียนจากร้านค้าหนึ่งไปร้านค้าอื่นๆ ที่อยู่คนละแห่งในโลกนี้ ด้วยเวลาเพียงไม่ถึงนาที ดังนั้น ร้านเว็บไซต์จะต้องมีสิ่งดึงดูดใจมากพอที่จะตรึงให้ผู้เข้าเยี่ยมชมอยู่ดูรายละเอียดต่างๆ ในร้านได้นานๆ
2) เป็นธุรกิจที่เปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมง ระบบอินเทอร์เน็ตเป็นเครือข่ายที่ทำงานด้วยตัวเองตลอดเวลา ร้านค้าที่เปิดทำการบนอินเทอร์เน็ตจะมีเวลาทำการค้ามากกว่าร้านค้าปกติทั่วไป จึงจำหน่ายสินค้าและบริการให้ผู้คนทั่วโลกในเวลาต่างๆ กันได้ การติดต่อซื้อขายโดยวิธีเดิมทางโทรศัพท์ หรือการไปพบลูกค้า จะต้องมีการนัดหมายและติดต่อได้เฉพาะเวลากลาววันของลูกค้าเท่านั้น แต่การซท้อสินค้าผ่านอินเทอร์เน็ต ลูกค้าแต่ละซีกโลกมีเลากลาววันแตกต่างกันจึงเลือกเวลาที่จะสั่งซื้อสินค้าจากร้านค้าบนอินเทอร์เน็ตได้ตามที่ตนเองพอใจและสะดวกที่สุดได้ตลอด 24 ชั่วโมง
3) สามารถโต้ตอบได้ทันที อินเทอร์เน็ตเป็นสื่อประเภทปฏิสัมพันธ์ซึ่งติดต่อกันได้ ไม่ใช่เป็นสื่อทางเดียวเหมือนสื่อมวลชลอื่นๆ ผู้ขายสามารถตอบข้อสังสัยให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับลูกค้าได้ทันที หรือให้บริการข้อมูลภายหลังการขายแก่ลูกค้าได้รวดเร็ว เช่น การยืนยันการสั่งซื้อ การแจ้งการรับชำระเงิน เป็นต้น ผู้ขายสินค้าบนอินเทอร์เน็ตจะต้องแข่งขันกันด้วยความเร็วของระบบ การทำงานของคอมพิวเตอร์ สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ทันที่ที่เขาพร้อมจะซื้อ เพียงแต่ลูกค้าสัมผัสกับคีย์บอร์ดสั่งซื้อสินค้า ผู้ขายจะสามารถรับทราบและตอบสนองได้ทันที
4) เป็นการใช้สื่อผสม (Multi-media) ทั้งเสียง ภาพ ข้อความ ข้อมูลข่าวสาร Video เพื่อสร้างความสนใจแก่ลูกค้า สร้างความสัมพันธ์ต่างๆ กับลูกค้า ใช้เว็บไซต์ทำหน้าที่โฆษณา ประชาสัมพันธ์ เป็น Showroom เป็นบูธแสดงสินค้า เป็นแค็ตตาล็อกที่ให้ข้อมูลข่าวสาร เป็นพนักงานขายด้วย รวมทั้งเป็นสื่อในการส่งมอบสินค้าได้ โดยการดาวน์โหลดข้อมูลผ่านคอมพิวเตอร์ การให้คำปรึกษา ดนตรี เป็นต้น
5) มีต้นทุนการดำเนินงานต่ำ เนื่องจากการประหยัดค่าเช่าสถานที่ ประหยัดค่าจ้าง บุคลากร ประหยัดเงินลงทุนในสินค้าคงคลัง ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในการดำเนินงานได้มาก ค่าไฟฟ้า น้ำประปา โทรศัพท์ ค่าโฆษณาประชาสัมพันธ์ ซึ่งค่าใช้จ่ายในการเช่าพื้นที่เปิดร้านค้าบนอินเทอร์เน็ตอาจไม่ต้องเสีย มีเว็บไซต์บางแห่งให้บริการฟรีในการเปิดบริการร้านค้าหรือติดป้ายชื่อร้านค้าโฆษณาอยู่ในขณะนี้ หรือเสียค่าบริการต่ำมาก แม้แต่การไปขอติดป้ายชื่อโฆษณาในเว็บไซต์ของต่างประเทศที่ดังๆ ก็อาจเสียค่าบริการเพียงเดือนละเป็นหลักพันบาทเท่านั้น ค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าจะเป็นภาระของผู้ซื้อ ผู้ซื้อต้องจ่ายค่าเวลาในการใช้บริการอินเทอร็เน็ต ผู้ซื้อเป็นผู้จ่ายค่าขนส่งในการส่งมอบสินค้า ผู้ขายจะมีต้นทุนสินค้า ส่วนค่าเช่าเปิดร้านอาจจะมีหรือไม่มี ค่าบรรจุหีบห่อเพื่อจัดส่งสินค้า และค่าธรรมเนียมการใช้บริการธนาคารในการเก็บเงินค่าสินค้าผ่านบัตรเครดิต และค่าใช้จ่ายทำโฮมเพจ ซึ่งจะประหยัดกว่าการทำโฆษณาที่เคยทำอยู่เดิม อีกทั้งยืดหยุ่นเปลี่ยนแปลงได้ง่ายกว่า ประหยัดกว่า ทำให้ผู้ขายสามารถเสนอขายสินค้าราคารถูกกว่าร้านค้าปกติ อีกทั้งในกรณีการค้าระหว่างประเทศ ในหลายประเทศยังไม่มีกฎหมายเข้ามาควบคุมติดตาม ทำให้ผู้ขายสินค้าผ่าน e-commerce ปลอดจกการเสียภาษี ทั้งภาษีศุลกากรและภาษีเงินได้ จึงสามารถเสนอขายสินค้าได้ต่ำกว่าราคาขายของตลาดร้านค้าทั่วไปบนศูนย์การค้าเดิม
ในประเทศไทย ยังมีข้อจำกัดที่สำคัญ คือ ความคุ้นเคยของลูกค้าผู้บริโภคในการซื้อสินค้า โดยต้องได้เลือกหยิบจับชมตัวสินค้าให้พอใจก่อนจึงตัดสินใจซื้อ ดังนั้น การสั่งซื้อผ่านอินเทอร์เน็ต จึงยังไม่เป็นที่วางใจว่าจะมีหลักประกันให้เชื่อมั่นว่าจะได้รับสินค้าตามที่สั่ง หน้าตาสินค้าที่เห็นผ่านในจอคอมพิวเตอร์จะเหมือนของจริงหรือไม่ จ่ายเงินแล้วจะได้รับสินค้าแน่หรือ ถ้าสินค้าเสียหายหรือเกิดการผิดพลาดขึ้นมาจะไปติดต่อที่ไหน ความไว้วางใจ เชื่อมั่นในการตัดสินใจยังไม่เพียงพอ ผู้บริโภคจึงมักจะขอไปเดินดูตามร้านค้าปกติจะดีกว่าที่มีการสั่งซื้อสินค้าผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งยังคงเป็นการทดลองและเลือกใช้กับสินค้าราคาไม่สูงนัก
1.การเปิดร้านค้าบนอินเทอร์เน็ต (Store Front) โฮมเพจที่ให้รายละเอียดรูปภาพสินค้าที่ปรากฎในเว็บไซต์จะมีลักษณะเหมือนหน้าร้านในศูนย์การค้าที่ผู้ขายจะสามารถจัดโชว์สินค้าต่างๆ พร้อมกับการอธิบาย แนะนำ เชิญชวนให้ลูกค้าเข้ามาในร้าน และถูกดึงดูดให้ตัดสินใจซื้อสินค้าในที่สุด
2.ใช้เป็นช่องทางการจำหน่ายสินค้าโดยตรง (Direct Channel of Distribution) สำหรับธุรกิจที่ไม่มีหน้าร้านหรือมีหน้าร้านอยู่แล้ว และต้องการขยายช่องทางการจำหน่ายเพิ่มขึ้น ที่สามารถเข้าถึงผู้ซื้อในตลาดพื้นที่อื่นๆ ได้กว้างขวางมากขึ้น ใช้สำหรับผู้ผลิตที่ต้องการเสนอขายสู่ลูกค้าผู้บริโภคหรือลูกค้าธุรกิจโดยไม่ต้องการผ่านคนกลาง
3.ใช้เป็นสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ ซึ่งเข้าถึงตัวลูกค้าเป้าหมายด้วยต้นทุนที่ถูกกว่าการชื้อพื้นที่และเวลาในสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์อื่นๆ อาจโดยการนำชื่อร้านหรือโลโก้ไปฝากติดตั้งบนเว็บไซต์ จะทำให้มีผู้พบเห็นและติดตามเข้ามาดูสินค้าบริการทีหลังได้ ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งป้ายโฆษณาเหล่านั้น ซึ่งเรียกว่า เบนเนอร์ อาจจะฟรีหรือเสียค่าใช้จ่ายเพียงเล็กน้อย และที่สำคัญมีความยืดหยุ่นเปลี่ยนแปลงรายละเอียดการโฆษณาประชาสัมพันธ์ได้มากกว่าสื่อสิ่งพิมพ์ทั่วไปหรือสื่อโฆษณาทางโทรทัศน์ตามปกติ
4.ใช้เป็นเครื่องมือในการให้ข่าวสารข้อมูลต่างๆ เว็บไซต์ที่เปิดขึ้นในอินเทอร์เน็ตอาจให้บริการข่าวสารต่างๆ เพื่อการประชาสัมพันธ์ หรือเพื่อการเผยแพร่ข้อมูล หรือเพื่อการศึกษา เช่น เว็บไซต์ของหน่วยงานราชการต่างๆ ในแค็ตตาล็อกเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัย สถานศึกษา ห้องสมุด ฯลฯ ธุรกิจอาจใช้เว็บไซต์จัดทำแค็ตตาล็อกสินค้า ทำให้ลูกค้าสามารถเข้ามาค้นหาข้อมูลสินค้าต่างๆ ที่ต้องการได้ทุกเวลา นอกจากนั้นธุรกิจอาจใช้เว็บไซต์ สำหรับลงประกาศรับสมัครงาน จัดหาบุคลากรระดับที่มีความรู้ความสามารถ
5.ใช้เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารระหว่างธุรกิจหรือธุรกิจกับลูกค้า เพราะการสื่อสารผ่านอินเทอร์เน็ตหรืออีเมล มีราคาถูกกว่าการใช้โทรศัพท์ปกติมาก และสามารถแสดงภาพประกอบได้ อาจใช้เป็นเครือข่ายการติดต่อจากภายในกิจการกับเครือข่ายของกิจการภายนอก เช่น ติดต่อกับตัวแทนจำหน่ายต่างๆ ที่กระจายอยู่ในหลายพื้นที่ทั่วทวีป หรือทั่วโลก หรือสาขา สำนักงานต่างๆ ดังเช่น ระบบธนาคารสาขาต่างๆ ที่มีระบบ Online การจัดจำหน่ายตั๋วโดยสารรถไฟ เครื่องบิน ที่ปฏิบัติอยู่ในขณะนี้ ทำให้สะดวก ประหยัดค่าใช้จ่าย และการขายบัตรที่นั่งมีประสิทธิภาพ ทำให้ไม่เหลืออยู่ในบางแห่งและไม่พอจำหน่ายในบางแห่งดังที่เป็นในยุคก่อน เป็นต้น
6.ใช้เป็นเครื่องมือในการทำวิจัยตลาด สามารถที่จะเข้าไปค้นหาข้อมูลต่างๆ จากเว็บไซต์ของห้องสมุด ของหน่วยงานราชการ หรือของธุรกิจต่างๆ ทำให้การจัดหาข้อมูลมีประสิทธิภาพทันสมัยเพียงพอและประหยัดทั้งค่าใช้จ่ายและเวลา ซึ่งสามารถใช้อินเทอร์เน็ตในการสำรวจความคิดเห็นหรือข้อมูลจากลูกค้าได้ ดังที่มีสถานศึกษาบางแห่งนำไปใช้จัดทำโพลหรือสำรวจความคิดเห็นในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ได้
แต่ดั้งเดิมเมื่อมีการซื้อขายเกิดขึ้น จะมีการชำระเงินซึ่งผู้ซื้อจะต้องพกพาเงินจำนวนมากไปจ่ายให้ผู้ขาย หลังขากนั้นผู้ขายสินค้าหรือบริการจะต้องรวบรวมเก็บในที่ที่ปลอดภัย หากเป็นการซื้อขายกันด้วยวงเงินสูงและอยู่ห่างไกล จะเกิดความไม่สะดวกและปลอดภัยทั้ง 2 ฝ่าย เมื่อมีธนาคารเกิดขึ้น ผู้ซื้อผู้ขายในตลาดธุรกิจจึงเปลี่ยนไปใช้บริการของธนาคารให้เป็นสื่อกลางในการรับชำระเงินค่าสินค้าหรือบริการ โดยมีพัฒนาการดังนี้
เช็ค เป็นตราสารที่กฎหมายรับรองให้ใช้ชำระหนี้ได้ ใช้แทนเงินได้ ผู้จ่ายเงินต้องไปเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันกับธนาคาร ซื้อเช็คเปล่าจากธนาคาร เช็คต้องติดอากรแสตมป์ในราคาฉบับละ 10 บาท แต่ธนาคารจะทำหน้าที่เก็บเป็นตัวเงินแล้วนำส่งกรมสรรพากร ผู้จ่ายเงินต้องนำเงินเข้าบัญชีรอไว้ เขียนเช็คสั่งจ่ายชื่อผู้รับชำระเงิน อาจเป็นบุคคล นิติบุคคล หรือใส่คำว่า "เงินสด" ใส่จำนวนเงินที่จ่าย ทั้งตัวเลขและตัวอักษร ลงวันที่ที่จะชำระเงิน ผู้รับเช็คจะนำเช็คไปขึ้นเงินสดที่ธนาคารเจ้าของเช็ค หรือนำไปเข้าบัญชีของตนเองที่ธนาคารใดก็ได้ หากจะไปขึ้นเงินสดได้เช็คฉบับนั้นต้องไม่ขีดคล่อมที่มุมซ้ายด้านบน หรือพิมพ์คำว่า "Account Payee Only" แปลว่า ต้องเข้าบัญชีของผู้ที่ระบุชื่อไว้เท่านั้น ธนาคารจะหักเงินจากบัญชีของผู้จ่ายเช็คให้ผู้รับชำระเงินตามเช็ค หรือโอนเงินมาจากบัญชีผู้จ่ายเช็คมาเข้าบัญชีของผู้รับเช็ค ดังนั้น ผู้จ่ายเช็คจึงต้องมีเงินรอจ่ายอยู่ในบัญชี ถ้าไม่มีเงินจ่ายธนาคารจะปฏิเสธการจ่ายเช็ค เรียกว่า เช็คเด้ง ซึ่งธนาคารจะเก็บค่าบริการ การติดต่อทำรายการเกี่ยวกับเช็คเด้งฉบับละ 200 บาท จากผู้จ่ายเช็ค อีกทั้งการจ่ายเช็คที่มีเจตนาไม่ชำระหนี้จะเป็นคดีอาญา การใช้เช็คชำระเงินแทนเงินสดจะมีความสะดวกและปลอดภัยมากกว่าการใช้เงินสด แต่ผู้จ่ายยังต้องหอบเงินไปธนาคารเพื่อเข้าบัญชี หรือผู้ที่ไม่มีบัญชีกระแสรายวันก็ไม่สามารถจะใช้เช็คได้ เช็คยังอำนวยความสะดวกอีกลักษณะหนึ่งคือ เช็คสามารถโอนเปลี่ยนมือได้ในบางกรณี จึงสามารถเซ็นชื่อหลังเช็คแล้วชำระหนี้ต่อให้คนอื่นได้
ผู้มีเงินฝากอยู่ในธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นบัญชีออมทรัพย์ หรือฝากประจำ หรือบัญชีกระแสรายวัน สามารถสั่งให้ธนาคารโอนเงินจากบัญชีของตนไปเข้าบัญชีบุคคลอื่นๆ ตามที่ต้องการได้ โดยไปเขียนแบบฟอร์มถอนเงิน ฝากเงิน เดิมจัดทำได้เฉพาะบัญชีทั้ง 2 ฝ่ายอยู่ในธนาคารเดียวกันเท่านั้น แต่ปัจจุบัน สามารถทำรายการข้ามธนาคารได้ โดยเสียค่าธรรมเนียมการให้บริการแก่ธนาคาร ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีการสื่อสารทำให้สามารถสั่งโอนผ่านตู้ ATM สั่งโอนเงินผ่านโทรศัพท์ หรือใช้บริการอินเทอร์เน็ตที่เรียกว่า e-banking ธนาคารจะเก็บค่าบริการการโอนเงินผ่านบัญชีแตกต่างกันแล้วแต่ประเภทรายงานและวิธีการโอน การโอนเงินผ่านบัญชีทำให้เกิดความปลอดสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยมากกว่าการใช้เช็ค ปัจจุบันการจ่ายเงินเดือนให้พนักงาน หน่วยงานจำนวนมากจะใช้ระบบโอนเงินผ่านธนาคาร โดยที่บริษัทหรือหน่วยงานจะจัดส่งบัญชีรายชื่อพร้อมจำนวนเงินที่จะโอนเข้าบัญชีแต่ละคน อาจจะส่งเป็นแผ่นดิสก์ แฟชไดร์ ให้กับธนาคารสาขาที่มีบัญชีเงินฝากอยู่ ธนาคารจะดำเนินการโอนเงินเดือนไปยังบัญชีพนักงานแต่ละคน แม้แต่การจ่ายชำระเงินระหว่างธุรกิจ บริษัทหลายแห่งได้ใช้ระบบนี้เช่นกันในการชำระเงินให้กับเจ้าหนี้ต่างๆ ของกิจการ เช่น กิจการไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ ฯลฯ ซึ่งใช้ระบบนี้ในการรับชำระค่าบริการประจำเดือนจากผู้ใช้บริการทั้งผู้บริโภคและหน่วยงานธุรกิจ ธุริกจจะประหยัดค่าจ้างพนักงานเก็บเงิน และปลอดภัยจากการโจรกรรม เกิดความสะดวกในระบบบัญชีและการเงินของกิจการ ส่วนค่าใช้จ่ายที่ธนาคารเรียกเก็บแล้วแต่ข้อตกลง ส่วนใหญ่ผู้จ่ายเงินเป็นผู้รับภาระ
ได้มีหน่วยงานเอกชนมองเห็นโอกาสในการสร้างรายได้จากความไม่สะดวกในการนำใบเสร็จค่าสาธารณูปโภคต่างๆ ของประชาชนไประที่ธนาคา จึงเปิดบริการรับชำระค่าสาธารณูปโภคเหล่านี้ เรียกว่า Pay Point เช่น ร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ซึ่งมีร้านกระจายอยู่ทั่วไป รับชำระค่าไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ โดยเก็บค่าบริการในเสร็จละ 10 บาท ที่ทำการไปรษณีย์ต่างๆ ก็เปิดบริการ Pay Point และมีการขยายไปสู่การรับชำระเงินค่าภาษีรถยนต์ ที่เรียกเก็บตามพระราชบัญญัติการประกันภัยที่เกิดจากยานพาหนะ เป็นต้น
สำหรับประชาชนทั่วไป การไปซื้อสินค้าหรือบริการที่เป็นจำนวนเงินสูงๆ ต่อครั้งสามารถใช้วิธีชำระเงินด้วยเช็ค หรือการโอนเงินผ่านบัญชีทางธนาคารได้เช่นกัน แต่ยังไม่สะดวกในการไปซื้อสินค้าและบริการในชีวิตประจำวันจากแหล่งที่ไม่รู้จักคุ้นเคยกันมาก่อน ร้านค้าไม่ยินดีรับเช็คส่วนบุคคล หรือให้สินเชื่อแล้วต้องคอยโอนเงินไปชำระ เช่น ร้านอาหาร กิจการบันเทิง ซึ่งต้องจ่ายค่าอาหาร เครื่องดื่ม หรือบริการเป็นหลักพันหรือหมื่น ร้านขายสินค้าให้นักท่องเที่ยวหรือเวลาที่ไปซื้อของตามห้างสรรพสินค้า ไปท่องเที่ยวต่างประเทศ จะต้องพกเงินสดติดตัวจำนวนมาก ไม่สะดวกและไม่ปลอดภัย ฯลฯ ปัจจุบันธนาคารและสถานบันการเงินหลายแห่งได้ออกบัตรสินเชื่อ (Credit Card) ให้ผู้ยื่นขอใช้บัตรเครดิต โดยมีหลักฐานแสดงความสามารถในการชำระเงินจากการใช้บัตรเครดิตพิสูจน์ให้ธนาคารเชื่อถือได้ ธนาคารจะออกบัตรให้ใช้โดยมีวงเงินกำกับให้ตามสภาพความมั่นคงด้านฐานะการเงินของแต่ละบุคคล เช่น ตั้งแต่ 20,000 บาท จนถึงหลายแสนบาท ฯลฯ เมื่อไปซื้อสินค้าและบริการที่ใดที่ยอมรับบัตรเครดิต ก็ไม่ต้องชำระเป็นเงินสด แค่ส่งบัตรเครดิตให้ร้านค้า และนำไปรูดบัตรกับเครื่องมือที่ธนาคารขายให้กับกิจการนั้น ทำการจัดทำใบเสร็จรับเงินขึ้น แล้วให้เจ้าของบัตรเซ็นชื่อในใบเสร็จรับเงินนั้น ร้านค้าจะรวบรวมสำเนาไปเรียกเก็บเงินธนาคารผู้ออกบัตร โดยต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้ธนาคารในอัตรร้อยละ 3-5 แต่ ปัจจุบันธนาคารผู้ออกบัตรมีการแข่งขันกันสูงมากในการหาสมาชิกใช้บัตร เพราะมีเปิดทุกธนาคารและยังมีบัตรเครดิตของสถาบันการเงินต่างประเทศเข้ามาแข่งขันด้วย โดยเฉพาะ 3 รายใหญ่ คือ VISA, AMEX, DINERS ซึ่งเป็นบัตรที่สามารถนำไปใช้ได้ทั่วโลก การเก็บค่าธรรมเนียมต่างๆ กับผู้ใช้บัตรจึงถูกยกเลิกไป
การใช้บัตรเครดิต หากใช้ด้วยวัตถประสงค์ให้เกิดความสะดวกในการชำระเงินค่าสินค้าและบริการ และมีเงินจ่ายชำระการใช้เงินตามบัตรได้ครบถ้วนก็นับว่าเป็นสิ่งที่ดี มีประโยชน์ต่อทั้ง 3 ฝ่าย คือ
1.ผู้บริโภคที่เป็นผู้ถือบัตร ได้รับความสะดวกและปลอดภัย ที่ไม่ต้องพกพาเงินสดจำนวนมากติดตัว ทำให้ตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการได้ง่ายขึ้น ซื้อมากขึ้น
2.ร้านค้าที่รับชำระเงินด้วยบัตรเครดิตแทนเงินสด มีโอกาสในการขายเพิ่มขึ้น และมีธนาคารผู้ออกบัตรรับประกันที่จะเก็บหนี้ค่าสินค้าได้แน่นอน เกิดความสะดวกและปลอดภัยที่ไม่ต้องนำเช็คไปเข้าบัญชี ไม่ต้องรวบรวมเงินจำนวนมากไปฝากธนาคารในวันรุ่งขึ้น และสามารถ Online ได้รับเงินค่าสินค้าและบริการเข้าบัญชีได้เลย ดังนั้น ร้านค้าต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้ธนาคารผู้ออกบัตรร้อยละ 3-5 จึงเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้เงินมาหมุนเวียน หรือเกิดหนี้สูญจากการให้ลูกค้าติดค้างชำระ
3.ธนาคารผู้ออกบัตร ได้รับค่าบริการเป็นรายได้จากการทำหน้าที่รับรองและประกันการจ่ายเงินตามบัตรเครดิตจากร้านค้าที่ยอมรับการชำระค่าสินค้าและบริการด้วยบัตรเครดิต
แต่มีผู้บริโภคจำนวนมากที่ไม่ระมัดระวังการใช้จ่ายเงิน และไม่วางแผนการใช้เงิน นำบัตรเครดิตไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ คือ นำบัตรเครดิตไปหมุนเงิน สร้างหนี้เกินกว่าความจำเป็นและเกินรายได้ ทำให้ไม่สามารถชำระหนี้บัตรเครดิตได้ ต้องจ่ายดอกเบี้ยให้ธนาคารในอัตราร้อยละ 18 เนื่องจากเงื่อนไขการชำระเงินตามบัตรเครดิตได้เปิดโอกาสให้ เช่น ธนาคารจะเรียกเก็บเงินที่ใช้จ่ายตามบัตรเดือนละ 1 ครั้ง จะมีระยะเวลาโดยเฉลี่ยในการที่จะยังไม่ต้องชำระเงินนาน 45 วัน ผู้ใช้บัตรจึงมองว่าได้ประโยชน์ มีสิทธิติดค้างหนี้ค่าสินค้าและบริการได้ 45 วัน จึงใช้บัตรจนเพลิน พอใบแจ้งยอดจำนวนเงินใช้จ่ายในแต่ละรอบมาถึง ไม่สามารถชำระหนี้ได้หมด ธนาคารยังเปิดโอกาสให้ค้างต่อได้ โดยให้ชำระขั้นต่ำ 10 % ของวงเงินที่ต้องชำระ ส่วนที่เหลือติดค้างต่อไปได้อีก แต่ธนาคารจะเปลี่ยนสภาพเงินจำนวนที่ค้างชำระเป็นการกู้เงินจากธนาคารมาใช้แทนตั้งแต่วันที่ใช้บัตร และเริ่มคิดดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของการให้กู้เงินในขณะนี้ (ประมาณ 18 % เคยเก็บสูงสุดถึง 26%) เป็นต้น และนี่เป็นวิธีหารายได้ของธนาคารอีกทางหนึ่ง บางธนาคารยังมีเบี้ยปรับในการที่ไม่สามารถชำระหนี้ตามกำหนดเวลาด้วย นอกจากนั้นธนาคารยังยินยอมให้ใช้บัตรเครดิตเบิกเงินสดจากตู้ ATM มาใช้ได้ แต่ต้องเสียค่าบริการในแต่ละครั้ง ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงสำหรับเศรษฐกิจของประเทศ ธนาคารประสบปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ ไม่สามารถปล่อยเงินกู้ให้กับธุรกิจได้ เพราะมีหนี้ NPL มาก จึงหันมาปล่อยเงินกู้ให้กับประชาชนด้วยบัตรเครดิตจนกลายเป็นหนี้ที่ไม่สามารถชำระได้เช่นกัน สำหรับผู้ที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้หมด ในที่สุดจะใช้เงินจนเต็มวงเงินและไม่สามารถจะใช้ต่อไปได้เกิน 10 % ในส่วนที่ชำระแต่ละเดือนได้ และแต่ละคนอาจมีบัตรเครดิตหลายใบจากหลายธนาคาร ดังนั้น ประชาชนจะเป็นหนี้กันมากมาย
นอกจากธนาคารแล้ว ยังมีสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารได้ออกบัตรเครดิตไว้ในวงเงินน้อยๆ ให้กับผู้มีรายได้น้อยกู้เงินไปซื้อสินค้าผ่อนชำระ เช่น Easy Buy, Quick Cash, Aeon และห้างสรรพสินค้าต่างพยายามออกบัตรสมาชิกของตนเองที่ยินยอมให้ลูกค้าสมาชิกใช้บัตรได้เหมือนบัตรเครดิตเช่นกัน ฯลฯ ห้างสรรพสินค้าทำเช่นนี้เพื่อเก็บข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมการซื้อของลูกค้าที่จะมีประโยชน์ต่อไปในการจัดสินค้าและบริการให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้ยิ่งขึ้น
นอกจากเทคโนโลยีการสื่อสารที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจตามตัวอย่างที่กล่าวถึงข้างต้น ยังมีกิจกรรมอื่นๆ ที่ผู้เรียน ผู้ประกอบการ และพนักงานขาย ควรให้ความสนใจติดตามศึกษา เพื่อจะได้นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการขายได้