ขอขอบคุณข้อมูล : ช่อง ThaiFranchise Center
ขอขอบคุณ : ช่อง Biz learning
การดำเนินธุรกิจในปัจจุบันต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตลอดเวลา การปรับตัวของธุรกิจให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมจึงมีความสำคัญ เจ้าของธุรกิจจะต้องติดตามและทำความเข้าใจ เพื่อจะได้กำหนดแนวทางการดำเนินงานให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมดังกล่าว โดยสภาพแวดล้อมทางธุรกิจสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ สภาพแวดล้อมภายนอกและสภาพแวดล้อมภายใน
สภาพแวดล้อมภายนอกทางธุรกิจเป็นสิ่งที่มีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ เนื่องจากเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมให้เป็นไปในทิศทางที่ต้องการได้ ซึ่งการศึกษาสภาพแวดล้อมภายนอกทางธุรกิจ จะมีการศึกษาทั้งระดับจุลภาค และระดับมหภาค ดังนี้
1) สภาพแวดล้อมภายนอกระดับจุลภาค คือ สิ่งแวดล้อมจุลภาค (Microenvironment) ประกอบด้วยกลุ่มต่างๆ ที่มีอิทธิพลอย่างใกล้ชิดต่อความสามารถในการให้บริการและระบบงานการตลาด ซึ่งประกอบด้วย ผู้ขายวัตถุดิบและปัจจัยการผลิต คนกลางทางการตลาด ลูกค้า คู่แข่งขันและกลุ่มสาธารณะในท้องที่ โดยมีรายละเอียดดังนี้
ผู้ขายวัตถุดิบ (Suppliers) งานของบริษัทจะต้องพิจารณาถึงวัตถุดิบและปัจจัยการผลิตที่เหมาะสมสำหรับผลิตภัณฑ์ที่เราต้องการผลิต ปัจจัยการผลิตที่เหมาะสมจะต้องคำนึงถึง ราคา คุณภาพของปัจจัยการผลิต และความสามารถในการจัดหาปัจจัยการผลิตที่เกี่ยวข้อง
ตัวกลางทางการตลาด (Marketing intermediaries) เป็นสถาบันที่ช่วยขาย ส่งเสริม และจำแนกแจกจ่ายผลิตภัณฑ์ของบริษัทไปยังผู้บริโภคหรือผู้ใช้ ตัวกลางประกอบด้วย คนกลาง ธุรกิจช่วยกระจายตัวสินค้า ธุรกิจอำนวยความสะดวกทางการตลาด และตัวแทนคนกลาง และธุรกิจการเงินโดยมีรายละเอียด ดังนี้
คนกลาง (Middleman) หมายถึง ธุรกิจที่ช่วยหาลูกค้าและช่วยขายสินค้า แทนผู้ผลิต คนกลางประกอบด้วย 2 กลุ่ม คือ พ่อค้าคนกลาง และตัวแทน คนกลาง
พ่อค้าคนกลาง (Merchant middleman) เป็นคนกลางที่มีกรรมสิทธิ์ในสินค้าที่ตนจำหน่ายอยู่โดยทำหน้าที่ซื้อสินค้าไว้เป็นกรรมสิทธิ์แล้วนำไปขายต่อ คนกลางประเภทนี้ ได้แก่ พ่อค้าส่งและพ่อค้าปลีก
ตัวแทนคนกลาง (Agent middleman) เป็นคนกลางที่ไม่มีกรรมสิทธิ์ในสินค้า ทำหน้าที่แต่เพียงเป็นตัวแทนในการขายสินค้า โดยได้รับผลตอบแทนในรูปค่าธรรมเนียมในการขายสินค้า เช่น นายหน้า (Broker) ตัวแทนจำหน่าย (Selling agent) เป็นต้น
คนกลางจะทำหน้าที่หลายอย่าง เช่น วิจัย ส่งเสริมการจำหน่าย ติดต่อ เอาชนะคู่แข่งขัน ซื้อขาย จัดจำหน่าย การเงิน และรับภาระเสี่ยงภัย บริษัทที่ตัดสินใจขายโดยผ่านคนกลางจะต้องมองหาสถาบันคนกลางที่มีประสิทธิภาพที่จะปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ เหล่านี้ได้
ธุรกิจที่ทำหน้าที่กระจายตัวสินค้า (Physical distribution firm) เป็นธุรกิจที่ทำหน้าที่เก็บรักษาและเคลื่อนย้ายตัวสินค้าจากแหล่งผลิตไปยังจุดหมายปลายทาง กล่าวคือ
ธุรกิจที่เก็บรักษาสินค้าหรือธุรกิจคลังสินค้า (Warehousing firms) ทำหน้าที่เก็บ รักษาและเคลื่อนย้ายตัวสินค้าจากแหล่งผลิตไปยังจุดหมายปลายทาง ได้แก่ คลังสินค้าให้เช่าคลังสินค้าส่วนตัว
ธุรกิจที่ทำการขนย้ายสินค้า (Transportation firms) ทำหน้าที่ขนย้ายสินค้า ได้แก่ รถไฟ รถบรรทุก เครื่องบิน เรือ เป็นต้น
ธุรกิจที่ให้บริการทางการตลาด (Marketing service agencies) ประกอบด้วยธุรกิจที่ทำวิจัยตลาดตัวแทนโฆษณาและธุรกิจที่ให้คำแนะนำทางการตลาด
ลูกค้า (Customer) หรือ ตลาด (Market) ตลาดในที่นี้จะหมายถึงตลาดเป้าหมาย (Target market) ซึ่งหมายถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีความจำเป็นและความต้องการผลิตภัณฑ์ของบริษัท มีอำนาจซื้อและมีความตั้งใจที่จะซื้อด้วย ตลาดเป้าหมายอาจจะเป็นหนึ่งตลาด หรือหลายตลาดในตลาด 5 ประเภทต่อไปนี้
ตลาดผู้บริโภค (Consumer market)
ตลาดอุตสาหกรรม (Industrial market)
ตลาดผู้ขายต่อหรือตลาดคนกลาง (Reseller market)
ตลาดรัฐบาล (Government market)
ตลาดต่างประเทศ (International market)
คู่แข่งขัน (Competitors) บริษัทต้องวิเคราะห์ว่าใครคือคู่แข่งขัน จุดแข็งและจุดอ่อน
ของคู่แข่งขันเป็นอย่างไร รวมทั้งหาวิธีการที่จะเอาชนะคู่แข่งขันให้ได้
กลุ่มชุมชน (Public) หมายถึง กลุ่มชนหรือหน่วยงานในท้องที่ ที่มีอิทธิพลต่อการทำงานของธุรกิจตัวอย่าง เช่น หน่วยงานรัฐบาลสามารถให้ความสะดวกแก่องค์กร หน่วยงานที่ทำหน้าที่ควบคุม ได้แก่ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงานและกระทรวงอุตสาหกรรม หน่วยงานเหล่านี้จะสนใจในการตั้งราคา การโฆษณา การกำหนดแบบผลิตภัณฑ์และวิธีการขายต่างๆ รวมทั้งทำหน้าที่ในการกำหนดกฎ ระเบียบ หรือข้อห้ามต่างๆ เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคและทำให้คุณภาพของสินค้าดีขึ้น สื่อมวลชนต่างๆ เช่น หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ ทำให้เกิดความเป็นธรรมแก่ประชาชน โดยกลุ่มชุมชนจะประกอบด้วย
กลุ่มสถาบันการเงิน (Financial publics)
สื่อมวลชน (Mass media)
หน่วยงานของรัฐบาล (Government unit)
ปฏิกิริยาของชุมชน (Citizen-Action publics)
ชุมชนในท้องที่ (Local public)
สาธารณชนทั่วไป (General public)
2) สภาพแวดล้อมภายนอกระดับมหภาค คือ สิ่งแวดล้อมมหภาค (Macroenvironment) ประกอบด้วย ปัจจัยในวงกว้างในสังคมส่วนรวมของประเทศ หรือระหว่างประเทศ ได้แก่ ประชากรศาสตร์ เศรษฐกิจ การเมืองและกฎหมาย สังคมและวัฒนธรรม เทคโนโลยี ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ โดยมีรายละเอียดดังนี้
สิ่งแวดล้อมทางประชากรศาสตร์ (Demographic environment)
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม โครงสร้างอายุ การศึกษา และปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับประชากรส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานการตลาดของบริษัทอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งอาจประกอบด้วย
การเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากร (Population Growth)
โครงสร้างอายุประชากรจะกำหนดความต้องการผลิตภัณฑ์ (Population age mix determines needs)
ตลาดชาติพันธ์วรรณนา (Ethnic markets) และการเปลี่ยนแปลงด้านเชื้อชาติ (Nationality) และสีผิว (Race)
การเปลี่ยนแปลงรูปแบบครอบครัว (Household patterns)
การเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์ของประชากร (Geographical shifts in population)
กลุ่มที่ได้รับการศึกษา (Educational groups)
การเปลี่ยนแปลงจากตลาดใหญ่เป็นตลาดย่อย (Shift from a mass market to micromarkets)
สิ่งแวดล้อมทางเศรษฐกิจ (Economic environment)
สภาวะเศรษฐกิจจะกำหนดอำนาจการซื้อของบุคคล ปัจจัยสิ่งแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่นักการตลาดต้องคำนึงถึงมีดังนี้ (1) การเปลี่ยนแปลงของรายได้ที่แท้จริง (2) การออมน้อยลงและภาวะหนี้สินมากขึ้น (3) การเปลี่ยนแปลงรูปแบบค่าใช้จ่ายของผู้บริโภค เมื่อรายได้ของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลง นักการตลาดจะคาดคะเนการเปลี่ยนแปลงของดีมานด์ในสินค้าที่เกี่ยวข้อง โดยทั่วไปเมื่อครอบครัวมีรายได้เพิ่มขึ้นจะมีแนวโน้มในการเพิ่มค่าใช้จ่ายในสินค้าในภาพรวม บริษัทต้องพิจารณาว่าผลิตภัณฑ์ของบริษัทชนิดใดบ้างที่เปลี่ยนแปลงตามรายได้ของผู้บริโภคและเปลี่ยนแปลงอย่างไร ตัวอย่าง ผลิตภัณฑ์อาหาร สำหรับรายได้ที่เพิ่มขึ้นไม่แน่เสมอไปว่าจะทำให้ปริมาณการซื้ออาหารเพิ่มขึ้น แต่โดยทั่วไปแล้วเมื่อรายได้เพิ่มขึ้นประชาชนจะใช้จ่ายเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นในสินค้าคงทนถาวร สินค้าฟุ่มเฟือยและสินค้าบริการ
สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ (Physical environment)
สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ ประกอบด้วยดิน น้ำ อากาศ วัตถุดิบรวมทั้งทรัพยากรทางธรรมชาติ นักการตลาดจะเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ 4 ประการ คือ
การเพิ่มขึ้นของสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ (Increased levels of pollution)
การขาดแคลนวัตถุดิบบางอย่าง (Shortage of raw materials)
การเพิ่มขึ้นของต้นทุนพลังงาน (Increased cost of energy)
บทบาทของรัฐบาลในการควบคุมและป้องกันสิ่งแวดล้อมเป็นพิษทางการตลาด (Changing role of governments in environment protection)
สิ่งแวดล้อมทางเทคโนโลยี (Technology environment)
นักการตลาดต้องเข้าใจสิ่งแวดล้อมทางเทคโนโลยี และความแตกต่างของเทคโนโลยี ต้องทราบว่าสามารถสนองความต้องการของมนุษย์ได้อย่างไร ต้องกระตุ้นให้ฝ่ายวิจัยและพัฒนาของบริษัทเห็นความสำคัญของการวิจัยตลาดเพิ่มขึ้น ต้องสนใจผลกระทบของเทคโนโลยีซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้ และทำให้ผลิตภัณฑ์ประสบความล้มเหลว ต่อไปนี้เป็นแนวโน้มทางเทคโนโลยีสำคัญที่นักการตลาดต้องสังเกตและนำมาพิจารณาในการดำเนินงาน
มีการเพิ่มขึ้นของเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ไม่มีที่สิ้นสุด (Accelerating pace of technological change)
โอกาสจากการค้นพบนวัตกรรมใหม่ๆ มีอย่างไม่จำกัด (Unlimited innovational opportunities)
การเพิ่มขึ้นของงบประมาณที่ใช้ในการวิจัยและพัฒนา (Increased R&D budgets)
ข้อบังคับทางกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีมีมากขึ้น (Increased regulation of technological change)
สิ่งแวดล้อมทางการเมืองและกฎหมาย (Political and legal environment)
การเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมทางการเมืองและกฎหมายจะมีผลกระทบต่อการตัดสินใจทางการตลาด ต่อไปนี้เป็นสิ่งแวดล้อมทางการเมืองที่สำคัญ ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องในการบริหารการตลาด
การเพิ่มขึ้นของกฎหมายธุรกิจและกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคของรัฐบาล (Substantial amount of legislation regulating business)
การเพิ่มขึ้นของกลุ่มสนใจผู้บริโภค (Growth of public interest groups)
สิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรมและสังคม (Cultural and social environment)
ระบบวัฒนธรรมจะกำหนดความเชื่อถือ ค่านิยม และบรรทัดฐาน บุคคลในสังคมจะรับสิ่งต่างๆ โดยไม่รู้ตัว และจะกำหนดความสัมพันธ์ของตนเองต่อสถาบันทางสังคม และบทบาทของตนในสังคม สิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรมต่อไปนี้มีผลกระทบต่อการตัดสินใจทางการตลาด
ค่านิยมในวัฒนธรรมหลักของบุคคลมีการยึดถือมานาน
ในแต่ละวัฒนธรรมประกอบด้วยวัฒนธรรมย่อยหรือขนบธรรมเนียมประเพณี
การเปลี่ยนแปลงค่านิยมในวัฒนธรรม (Cultural values undergo shifts through time)
การเปลี่ยนแปลงค่านิยมในวัฒนธรรมย่อมส่งผลต่อวิถีชีวิต ความเชื่อและการบริโภคของประชาชน
สภาพแวดล้อมภายในของธุรกิจ มีผลต่อการประเมินการกำหนดกลยุทธ์และวัตถุประสงค์ของธุรกิจ การกำหนดกิจกรรมทางธุรกิจและการระบุความเสี่ยง รวมไปถึงมีอิทธิพลต่อการออกแบบ และการกำหนดหน้าที่ของกิจกรรมในการควบคุมระบบข้อมูลข่าวสาร การสื่อสาร และกิจกรรมการติดตามดูแล
สิ่งแวดล้อมภายในที่เป็นปัจจัยการตลาด
สิ่งแวดล้อมประเภทนี้ก็ คือ ส่วนประสมทางการตลาด หรือ Marketing Mix นั่นเอง ซึ่งประกอบด้วย
ผลิตภัณฑ์ (Product)
ราคา (Price)
ช่องทางการจัดจำหน่าย (Place)
การส่งเสริมการตลาด (Promotion)
สิ่งแวดล้อมภายในประเภทนี้กิจการสามารถเปลี่ยนแปลง ควบคุม หรือกำหนดนโยบายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้อย่างอิสระ เช่น การออกแบบผลิตภัณฑ์ การตั้งราคา การเลือกช่องทางการจัดจำหน่าย หรือนโยบายการส่งเสริมการตลาดเป็นต้น จึงถือว่าเป็นปัจจัยที่กิจการสามารถควบคุมได้ (Controllable Factors)
สิ่งแวดภายในที่เป็นปัจจัยอื่น
สิ่งแวดล้อมประเภทนี้ คือ ปัจจัยภายในของบริษัทตัวอื่นๆ ที่กิจการสามารถคบคุมเปลี่ยนเแปลง ให้เป็นไปตามความต้องการได้เพื่อความคล่องตัวในการบริหารงานและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันแก่กิจการ ถือเป็นปัจจัยที่สามารถควบคุม (Controllable Factors) ได้อีกประเภทหนึ่ง ซึ่งประกอบด้วย
สถานะทางการเงิน หรือ เงินทุน (Financial Status)
ความสามารถในการค้นคว้าวิจัย (R&D Capability)
ทำเลที่ตั้ง (Company Location)
คุณภาพของบุคลากร (Human Resources)
ภาพลักษณ์ ชื่อเสียงขององค์กร (Company Image)
ความสามารถและประสบการณ์ในการผลิต (Production Skill and Experience)
ขอขอบคุณข้อมูล : http://elearning.bu.ac.th/mua/course/mk212/ch2.htm#externalmacro
ขอขอบคุณ : ช่อง 77experience
ขอขอบคุณ : ช่อง Biz learning
SWOT คือกระบวนการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอกและภายในขององค์กร ณ เวลาปัจจุบัน ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้บริหารระดับสูงหรือนักบริหารการตลาด สามารถกำหนดจุดแข็งและจุดอ่อนจากสภาพแวดล้อมภายใน โอกาสและอุปสรรค์จากสภาพแวดล้อมภายนอก ที่มีผลต่อการดำเนินธุรกิจขององค์กร เพื่อมากำหนดเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่เหมาะสมต่อไปได้
SWOT analysis คือวิเคราะห์สถานะหา ข้อดี ข้อเสียของ องค์กร ธุรกิจหรือแม้กระทั่งตัวของคุณเอง จากมุมมองปัจจัยภายในและภายนอก โดยหาจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และ อุปสรรค์ เข้ามาใช้พิจารณา และวิเคราะห์สถานะภาพของกิจการ เพื่อประโยชน์ในการใช้วางแผนงาน ตลอดจนการสร้างกลยุทธ์ต่างๆ ในการดำเนินธุรกิจ หรือดำเนินกิจการองค์กรให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเหมาะสมกับสภาพความเป็นจริงขององค์กรอย่างที่สุด
SWOT Analysis จะต้องสามารถพิจารณาองค์ประกอบต่างๆ ที่แวดล้อมธุรกิจที่กำลังวิเคราะห์อยู่ ซึ่งประกอบไปด้วย 4 ปัจจัยสำคัญ โดย ทฤษฎี SWOT แบ่งออกเป็น ปัจจัยภายใน (Internal factors) และปัจจัยภายนอก (External factors) ดังนี้
คือจุดแข็งหรือข้อได้เปรียบที่เกิดจากสภาพแวดล้อมภายในองค์กรหรือธุรกิจ ลักษณะพิเศษหรือลักษณะเด่นขององค์กรที่เอื้อต่อการประสบความสำเร็จ ซึ่งต้องเป็นสิ่งที่คู่แข่งในตลาดสามารถเลียนแบบได้ยากและส่งผลดีต่อการดำเนินธุรกิจขององค์กร สามารถนำมาใช้ประโยชน์และใช้แข่งขันกับคู่แข่งได้ ตัวอย่างเช่น
S1 ความสามัคคีในองค์กร
S2 สินค้าที่เราทำจดสิทธิบัตรหรือลิขสิทธิ์ คนอื่นลอกเลียนแบบไม่ได้
คือจุดอ่อน ข้อเสียเปรียบ หรือปัญหาข้อบกพร่องที่เกิดมาจากสภาพแวดล้อมภายในองค์กร ที่ส่งผลกระทบด้านลบต่อการดำเนินธุรกิจขององค์กร ซึ่งเป็นสิ่งที่องค์กรจะต้องหาวิธีแนวทางการแก้ไขปัญหา ตัวอย่างเช่น
W1 การใช้โปรแกรมละเมิดลิขสิทธิ์ เสี่ยงต่อการถูกดำเนินคดี
W2 มีหนี้ อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมสูง
W3 เครื่องจักรล้าสมัยทำให้ต้นทุนสูง หรือ ใช้แรงงานคนเยอะเมื่อเทียบกับคู่แข่งเริ่มใช้หุ่นยนต์
คือโอกาสความเป็นไปได้ทางธุรกิจขององค์กร ซึ่งก็คือสภาพแวดล้อมภายนอกองค์กรที่เอื้อประโยชน์ต่อการดำเนินธุรกิจขององค์กร โดยโอกาสต่างจากจุดแข็งตรงที่ เป็นปัจจัยที่เกิดจากภายนอกองค์กรแต่ส่งผลในทางที่ดีกับองค์กร ตัวอย่างเช่น
O1 การลดภาษีของภาครัฐ หรือ การขึ้นภาษีของสินค้าทดแทน เช่น รัฐส่งเสริมการผลิตยาง ลดภาษียางธรรมชาติ และ ขึ้นภาษียางสังเคราะห์
O2 Trend โลกเปลี่ยนคนรักสุขภาพมากขึ้น ธุรกิจอาหารที่เน้นสุขภาพเติบโต
คือความเสี่ยง ภัยคุกคาม ข้อจำกัด หรืออุปสรรคต่างๆ ขององค์กร ซึ่งก็คือสภาพแวดล้อมภายนอกองค์กรที่ส่งผลผลเสียต่อการดำเนินธุรกิจขององค์กร ซึ่งเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขได้ ตัวอย่างเช่น
T1 การขึ้นภาษีของภาครัฐในธุรกิจที่เราทำ หรือ การตัดสิทธิ์ GSP ของสหรัฐอเมริกา
T2 สภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มแย่ลง
จุดแข็งและจุดอ่อน ถ้าในแง่ของบริษัท คุณสามารถควบคุมได้แม้ว่าจะยาก แต่คุณเปลี่ยนได้ตลอดเวลา เช่น
วัฒนะธรรมองค์กร
ชื่อเสียง
ที่ตั้ง ที่อยู่ ชื่อเว็บไซต์
พนักงาน
หุ้นส่วน
ทรัพย์ทางปัญญา
สินทรัพย์อื่นๆ
ซึ่งตรงข้ามกับ โอกาสและอุปสรรค์ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของคุณ เช่น
กฎระเบียบ ข้อกฏหมาย
ซัพพลายเออร์ ผู้ผลิตสินค้าให้
คู่แข่ง
สภาวะเศรษฐกิจ
ขนาดของตลาด
แนวโน้มธุรกิจ
การเงิน
สภาพอากาศ
ขอขอบคุณข้อมูล : https://www.thinkaboutwealth.com/swot-swot-analysis/
เมื่อตัดสินใจดำเนินธุรกิจแล้ว ยังต้องพิจารณาถึงปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้เกิดความมั่นใจว่า เมื่อทำแล้งให้ผลกำไรมากน้อยเพียงใด ถ้าสามารถทำได้อย่างเหมาะสม และรอบคาอบแล้ว จะมั่นใจได้มากกว่าการดำเนินธุรกิจตามความคิดเห็นว่าดี โดยสามารถพิจารณาปัจจัยต่างๆ ดังนี้
1) การดำเนินธุรกิจต้องใช้สิ่งใด
เจ้าของธุรกิจต้องทราบว่า สิ่งใดบ้างที่ต้องใบ้ในการดำเนินธุรกิจ เช่น วัตถุดิบ แรงงาน ทักษะ อุปกรณ์ เครื่องมือ เวลา อาคาร ที่ดิน การขนส่ง ข้ออนุญาตทางกฎหมาย และการสนับสนุนของรัฐบาล หรือหน่วยงานอื่นๆ
2) สิ่งที่ต้องใช้มาจากไหน
เมื่อได้รายการแล้ว ควรค้นหาว่ารายการเหล่านั้นจะได้มาจากที่ใด เช่น หาได้ในชุมชน หรือบริเวณใกล้เคียง หรือต้องซื้อจากภายนอก เป็นต้น รายการที่ต้องใช้นั้น มีเพียงพอต่อการใช้งานหรือไม่ มีคุณภาพเหมาะสมกับการใช้งานหรือไม่
3) ต้นทุนจะมีราคาเท่าใด
ธุรกิจต้องหาตันทุนของรายการ ที่ต้องการ โดยทดลองใส่ราคาประมาณการต้นทุน ซึ่งบางรายการอาจจะใช้ประสบการณ์ประมาณราคาต้นทุนได้ บางรายการต้องสอบถามจากแหล่งอื่นๆ ตัวเลขที่ได้ทำให้เห็นว่า ธุรกิจที่จะทำนั้นมีต้นทุนประมาณเท่าใด เช่น ถ้าต้องฝึกทักษะเพิ่มต้องเสียค่าใช้จ่ายหรือไม่ ถ้าต้องการแรงงานเพิ่มต้องใช้ค่าใข้จ่ายเท่าใด อาคาร สถานที่ เครื่องมือ และอุปกรณ์มีราคาเท่าใด เป็นต้น
ต้นทุนของการผลิตสินค้าแบ่งออกเป็นต้นทุนคงที่ และต้นทุนผันแปร โดยต้นทุนคงที่เป็นต้นทุนที่ต้องจ่ายในปริมาณเท่าเดิม แม้ว่าจะผลิตจำนวนมากหรือน้อย ส่วนต้นทุนผันแผร เป็นต้นทุนที่อาจมากขึ้น หรือน้อยลง โดยขึ้นอยู่กับปริมาณการผลิต
4) สินค้าควรมีราคาเท่าใด
สมาชิกที่ร่วมกันทำธุรกิจ ต้องช่วยกันตัดสินใจว่า สินค้าลักษณะเดียวดับธุารกิจที่อยู่ในพื้นที่มีราคาเท่าใด ถ้าเป็นตนเอง จะซื้อสินค้าในราคาเท่าใด การกำหนดราคาขายให้เหมาะสมมีความสำคัญ เพราะถ้าต้้งราคาสูงเกินไป จะขายสินค้าได้น้อย หรืออาจมีคู่แข่งที่ขายสินค้าถูกกว่า แต่ถ้าตั้งราคาต่ำไปอาจทำให้ขาดทุน หรือไม่คุ้มค่าต่อการลงทุนได้
5) เงินทุนจะหาได้อย่างไร
ช่วงการผลิตเริ่มต้น ธุรกิจจะมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นตลอดเวลา และยังไม่มีรายได้เข้ามา ดังนั้น จึงอาจหาเงินทุนสำรองจากเงินออมของธุรกิจ โดยต้องตรวจสอบว่าเพียงพอกับค่าใช้จ่ายหรือไม่ ถ้าไม่พอจะหาเงินมาจากแหล่งใด เจ้าของธุรกิจจะต้องเพิ่มเงิน หรือต้องกู้ยืมเงินจากแหล่วงเงินทึนอื่นหรือไม่ โดยทั่วไป แม้ธุรกิจจะวางแผนการเงินไว้อย่างรอบคอบแล้ว แต่อาจเกิดข้อผลิดพลาดได้ เพราะวัตถุดิบอาจขึ้นราคา วัสดุ อุปกรณ์อาจชำรุดต้องเสียค่าซ่อม ธุรกิจจึงต้องมีเงินทุนสำรองไว้ประมาณ 5-10 % ของทุนเริ่มต้น
6) ลูกค้าคือใคร
การผลิตสินค้าหรือบริการ จะต้องทำตามความต้องการของลูกค้า เพื่อให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ เจ้าของธุรกิจจึงต้องทราบว่า กลุ่มลูกค้าเป้าหมายคือใคร และกลุ่มลูกค้าเป้าหมายต้องการสินค้าหรือบริการอะไร แล้วผลิตสินค้าหรือบริการตามความต้องการนั้นๆ และสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งคือ ไม่ผลิตสินค้าที่ตนเองไม่มีทักษะ ไม่มีความรู้ และไม่มีทรัพยากร แม้ว่าสินค้าหรือบริการนั้น จะเป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในการประกอบธุรกิจ
7) คู่แข่งคือใคร
เมื่อเจ้าของธุรกิจผลิตสินค้าเข้าสู่ตลาด สิ่งที่ต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คือ การแข่งขัน การดำเนินธุรกิจจึงต้องพิจารณาให้ถ่องแท้ว่าธุรกิจใด หรือสินค้าใดที่เป็นคู่แข่งดังินั้นเมื่อคิดว่าจะทำธุรกิจ จึงต้องพิจารณาให้ถ่องแท้ว่าธุรกิจใด หรือสินค้าใดที่เป็นคู่แข่ง
8) สินค้าทดแทนมีสิ่งใดบ้าง
ในกรณีที่มีสินค้าทดแทนเกิดขึ้น จำเป็นต้องทราบว่าเป็นสินค้าทดแทนกันในบางโอกาส หรือสินค้าทดแทนกันอย่างสมบูรณ์ ซึ่งอาจทำให้ธุรกิจหยุดชะงัก จึงต้องเตรียมความพร้อมและพัฒนาสินค้าอยู่เสมอ
1) การกำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายของการดำเนินธุรกิจ
ให่พิจารณาถึงจุดประสงค์หรือจุดมุ่งหมายของการดำเนินธุรกิจว่าต้องการให้ธุรกิจของตนมีลักษณะอย่างไร
1.1 เขียนเป้าหมายที่คิดในกระดาษ แยกเป้าหมายออกเป็น 4 ด้าน ได้แก่ ด้านการจัดการ ด้านการผลิต ด้านการตลาด และด้านการเงิน
1.2 สรุปเป็นข้อสรุปร่วมกันของเป้าหมายแต่ละด้าน
1.3 เขียนเป้าหมายทั้ง 4 ด้านลงในกระดาษเพื่อให้เห็นชัดเจน
2) การวิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนที่เป็นปัจจัยสำคัญสู่ความสำเร็จ
2.1 นำเสนอผลการศึกษาวิเคราะห์สถานการณ์ภายในธุรกิจ
2.2 ให้สมาชิกร่วมกันวิเคราะห์ข้อมูล ในที่นี้จะขอยกตัวอย่างการวิเคราะห์ข้อมูลที่เป็นจุดแข็ง โดยเขียนจุดแข็งนั้นๆ ลงกระดาษสี โดยใช้กระดาษสีหนึ่งแผ่นต่อหนึ่งจุดแข็ง
2.3 ให้สมาชิกแต่ละคนเสนอความคิดเห็นตามข้อ 2.2 และอภิปรายข้อเสนอนั้นๆ โดยใช้ข้อมูลเป็นเหตุผลสนับสนุนข้อเสนอนั้น
2.4 นำเอาผลการอภิปรายจุดแข็งที่พิจารณาว่าเป็นจุดแข็งจริงมาสรุปรวม และจัดทำเป็นรายการชุดจุดแข็ง 4 ด้าน ได้แก่ ด้านการจัดการ ด้านการผลิต ด้านการตลาด และด้านการเงิน
2.5 นำชุดจุดแข็งในแต่ละด้านมาหาปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จ โดยให้สมาชิกให้น้ำหนักจุดแข็งแต่ละข้า พิจารณาได้จาก ศักยภาพของจุดแข็งที่สงผลกระทบต่อธุรกิจ และจุดแข็งที่มีความสำคัญเชิงเปรียบเทียบกับคู่แข่งขัน
2.6 กำหนดกลยุทธ์โดยพิจารณาจากปัจจัยที่ทมีคะแนนรวมตั้งแต่ 8 คะแนนขึ้นไป ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จ ส่วนปัจจัยที่ได้คะแนนน้อยกว่า 8 คะแนน สามารถนำมาคิดกลยุทธ์ได้แม้จะมีคะแนนต่ำ และถ้าสถานการณ์เปลี่ยนไป ให้นำกลับมาพิจารณาใหม่ ซึ่งอาจจะมีคะแนนสูงขึ้น
3) การวิเคราะห์โอกาสและอุปสรรค์ที่เป็นปัจจุยสำคัญสู่ความสำเร็จ
3.1 ให้สมาชิกแต่ละคนเสนอข้อมูลการเปลี่ยนแปลง ซึ่งได้จากการศึกษาและวิเคราะห์สถานการณ์ภายนอกองค์กร และให้พิจารณา อภิปรายการคาดการณ์ การเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นจากระดับรากหญ้าจนถึงระดับประเทศ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต
3.2 พิจารณาว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นจะกระทบต่อธุรกิจในเชิงโอกาส หรืออุปสรรค โดยให้สมาชิกแต่ละคนเขียนข้อพิจารณาของตนเองในกระดาษสีต่างกัน แล้วให้สมาชิกแต่ละคนนำเสนอข้อพิจารณาที่เขียนไว้และร่วมกันอภิปราย
3.3 ประมวลผลส่วนที่เป็นผลเชิงบวกเป็นข้อสรุปรวม บางข้ออาจไม่ต้องพิจารณาเมื่อผู้เข้าร่วมเห็นว่าไม่มีผลกระทบต่อธุรกิจ
3.4 ให้น้ำหนักโอกสารแต่ละข้อ เพื่อหาปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จ ซึ่งพิจารณาจาก ศักยภาพของโอกาสที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ และ โอกาสที่มีความเป็นไปได้ของความสำเร็จ
3.5 กำหนดกลุยทธ์โดยพิจารณาจากปัจจัยที่มีคะแนนรวมตั้งแต่ 8 คะแนนขึ้นไป ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จ ส่วนปัจจัยที่ได้คะแนนน้อยกว่า 8 คะแนน สามารถนำมาคิดกลยุทธ์ได้แม้จะมีคะแนนต่ำ และถ้าสถานการณ์เปลี่ยนไป ให้นำกลับมาพิจารณาใหม่ ซึ่งอาจจะมีคะแนนสูงขึ้น
3.6 ในการวิเคราะห์อุปสรรคให้ดำเนินการตามขั้นตอนตั้งแต่ ข้อง 3.1 และข้อ 3.2 โดยประมวลผลส่วนที่เป็นผลเชิงลบเป็นข้อสรุปรวม บางข้ออาจไม่ต้องพิจารณาเมื่อผู้เข้าร่วมเห็นว่าไม่มีผลกระทบต่อธุรกิจแต่อย่างใด
1) การทบทวนเป้าหมาย เป็นการทบทวนวัตถุประสงค์และเป้าหมาย 4 ด้าน ของธุรกิจ ได้แก่ ด้านการจัดการ ด้านการผลิต ด้านการตลาด และด้านการเงิน ให้มีความสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและในอนาคต
2) การสร้างกลยุทธ์ย่อย โดยใช้วิธีการที่เรียกว่า TOWS Matrix ดังนี้
2.1 เลือกจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรค ที่มีระดับคะแนน 8 คะแนนขึ้นไป
2.2 จัดเรียงปัจจัยตามลำดับ เรียงจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรคที่เป็นปัจจัยสำคัญ นำไปสู่ความสำเร็จตามลำดับคะแนนจากสูงไปต่ำ และจำแนกตามด้านการจัดการ ด้านการผลิต ด้านการตลาด และด้านการเงิน
2.3 สร้างตารางของแต่ละประเภท โดยจุดแข็งและจุดอ่อนที่เรียงคะแนนไว้แล้วอยู่ในแนวนอน ปัจจัยด้านโอกาสและอุปสรรคที่เรียงคะแนนไว้แล้วอยู่ในแนวตั้ง
2.4 สร้างกลยุทธ์ย่อยในการจัดการธุรกิจ โดยใช้จุดแข็งไปสร้างโอกาสที่คาดว่าจะเกิดขึ้น โดยใช้วิธีการจับคู่ระหว่างจุดแข็งและโอกาส หากคู่ใดเกิดความสอดคล้องที่เรียกแทนในที่นี้ว่า ปิ๊ง ให้บันทึกกลยุทธ์ย่อยนั้นไว้ เรียกว่า กลยุทธ์จุดแข็ง - โอกาส
ถ้าสร้างกลยุทธ์ย่อยในการจัดการธุรกิจ โดยใช้จุดแข็งของธุรกิจป้องกันอุปสรรคที่คาดว่าจะเกิดขี้น โดยใช้วิธีจับคู่ระหว่างจุดแข็งและอุปสรรค หากคู่ใดเกิดความสอดคล้องกันให้ทำการบันทึกกลยุทธ์ย่อยนั้นไว้ เรียกว่า กลยุทธ์จุดแข็ง - อุปสรรค
ถ้าสร้างกลยุทธ์ย่อยในการจัดการธุรกิจ โดยแก้ไขจุดอ่อนของธุรกิจไปสร้างโอกาสที่คาดว่าจะเกิดขึ้น โดยวิธีการจับคู่ระหว่างจุดอ่อนและโอกาส หากคู่ใดเกิดความสอดคล้องกันให้บันทึกกลยุทธ์ย่อยนั้นไว้ เรียกว่า กลยุทธ์จุดอ่อน - โอกาส
ถ้าสร้างกลยุทธ์ย่อยในการจัดการธุรกิจ โดยแก้ไขจุดอ่อนของธุรกิจเพื่อป้องกันอุปสรรคที่คาดว่าจะเกิดขึ้น โดยใช้วิธีการจับคู่ระหว่างจุดอ่อนและอุปสรรค หากคู่ใดเกิดความสอดคล้องกัน ให้บันทึกกลยุทธ์ย่อยนั้นไว้ เรียกว่า กลยุทธ์จุดอ่อน-อุปสรรค
2.5 บันทึกกลยุทธ์ย่อยที่ได้ใส่กระดาษ ได้แก่ กลยุทธ์จุดแข็ง - โอกาส กลยุทธ์จุดแข็ง - อุปสรรค กลยุทธ์จุดอ่อน - โอกาส และ กลยุทธ์จุดอ่อน-อุปสรรค จากนั้นใช้วิธีเดียวกันเพื่อสร้างกลยุทธ์ด้านการผลิต ด้านการตลาด และด้านการเงิน
การจัดกลุ่มกลยุทธ์
1.1 ให้ผู้ร่วมงานตรวจสอบกลยุทธ์ของการพัฒนาธุรกิจทั้ง 4 แบบ ได้แก่ กลยุทธ์จุดแข็ง - โอกาส กลยุทธ์จุดแข็ง - อุปสรรค กลยุทธ์จุดอ่อน - โอกาส และ กลยุทธ์จุดอ่อน-อุปสรรค โดยให้พิจารณาว่ามีกลยุทธ์ใดซ้ำ หรือใกล้เคียงกัน หากมีกลยุทธ์ซ้ำ หรือใกล้เคียงกันให้จัดไว้กลุ่มเดียวกัน
1.2 จัดกลุ่มกลยุทธ์ย่อย และตั้งชื่อกลุ่มกลยุทธ์ ให้สั้น กระชับ และสื่อความหมายเพื่อให้ง่ายแก่การจดจำ
1.3 ดำเนินการโดยใช้วิธีเดียวกัน ทั้งด้านการผลิต ด้านการตลาด และด้านการเงิน
2. การประเมินกลยุทธ์
2.1 นำกลยุทธ์ที่ได้มาจัดลำดับความสำคัญ ซึ่งมีความจำเป็น 2 ประการ คือ
1. ทำให้ผู้ร่วมงานทราบว่าควรจะทุ่มเทกำลังคน งบประมาณ และเวลา ไปใช้ในกลยุทธ์ใด
2. ทำให้ผู้ร่วมงานทราบว่าธุรกิจควรทำเรื่องใดก่อนและหลัง ในขั้นตอนการนำกลยุทธ์สู่แผนปฏิบัติการ
2.2 นำกลยุทธ์ในแต่ละด้านมาแปลงเป็นแผนปฏิบัติการ ซึ่งจะระบุเป็นกิจกรรม เพราะบางกลยุทธ์อาจต้องทำกิจกรรมหลายกิจกรรม แต่บางกลยุทธ์อาจทำเพียงกิจกรรมเดียว ดังนี้
1. นำกลยุทธ์มาจัดการธุรกิจมาวางแผนปฏิบัติการ โดยใช้การตอบคำถาม
2. ทำตารางแผนปฏิบัติการกลยุทธ์ด้านการจัดการ ด้านการผลิต ด้านการตลาด และด้านการเงิน
3. นำกลยุทธ์และแผนปฏิบัติการติดไว้ในสถานที่ที่เห็นชัดเจนของธุรกิจ เพื่อช่วยให้ผู้ร่วมงานมองเห็นได้ง่าย
การติดตามประเมินผล ให้สมาชิกร่วมกันแปลงเป้าหมายของธุรกิจทั้ง 4 ด้าน ให้เป็นตัวชี้วัดเพื่อใช้ในการประเมิน จากนั้นออกแบบเครื่องมือการเก็บข้อมูล