เป็นการจดบันทึกเหตุการณ์เกี่ยวกับการเงินไว้เพื่อใช้เป็นหลักฐานต่างๆเรียงตามลำดับอย่างมีหลักเกณฑ์ เพื่อสามารถแสดงผลการดำเนินงานและฐานะทางการเงินได้ การบัญชีจะมีการวิเคราะห์รายการค้าต่างๆ ที่เกิดขึ้น รวมทั้งจดบันทึกลงในสมุดบัญชี โดยจำแนกเป็นหลายประเภท จากนั้นนำไปตรวจสอบความถูกต้อง จัดทำรายงานผลการดำเนินงาน และจัดทำรายงานแสดงฐานะทางการเงินของธุรกิจ ณ วันใดวันหนึ่ง ซึ่งข้อมูลที่ได้จากการทำบัญชีมีความสำคัญต่อเจ้าของธุรกิจดังนี้
1.1 ด้านการวางแผน
เจ้าของธุรกิจสามารถนำข้อมูลบัญชีจากปีก่อนมาใช้ในการวางแผนการดำเนินธุรกิจในอนาคตได้
1.2 ด้านการควบคุม
เจ้าของธุรกิจสามารถตรวจสอบการดำเนินงานของธุรกิจว่า งานที่ได้วางแผนไว้มีการดำเนินงานตามแผนหรือไม่ โดยใช้วิธีการทางบัญชีมาควบคุมการดำเนินงาน เพื่อให้การดำเนินงานบรรลุเป้าหมายตามแผนที่วางไว้
1.3 ด้านการตัดสินใจ
เจ้าของธุรกิจสามารถเลือก หรือตัดสินใจในการดำเนินงานของธุรกิจได้ โดยดูข้อมูลทางการเงินจากที่ได้ทำบัญชีที่ผ่่านมา เช่น หากพบว่าอยู่ในภาวะขาดทุนจะสามารถแก้ไขได้หรือไม่ จะแก้ไขด้วยวิธีใด เป็นต้น
1.4 ด้านข้อมูล
เจ้าของธุรกิจที่มีข้อมูลทางการเงิน หรือข้อมูลทางบัญ๙ี จะทำให้ทราบว่าผลการดำเนินงานในรอบระยะเวลาที่กำหนดมีกำไร หรือขาดทุนเท่าใด มีสินทรัพย์ หนี้สิน ส่วนของเจ้าของ (ทุน) เป็นจำนวนเท่าใด
เป็นการบันทึกบัญชีของธุรกิจเพื่อใช้บันทึกการเพิ่มขึ้นและลดลงของสินทรัพย์ หนี้สิน ส่วนของเจ้าของ (ทุน) รายได้ และค่าใช้จ่าย ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 หมวด ได้แก่
เป็นรายการที่แสดงถึงสิ่งของทั้งที่มูลค่าและธุรกิจเป็นเจ้าของ เช่น ที่ดิน เครื่องจักร เงินสด สินค้า ลูกหนี้ เป็นต้น โดยแบ่งเป็น 2 ประเภท
เป็นจำนวนเงินที่ธุรกิจเป็นหนี้ผู้อื่นและต้องชำระด้วยสินทรัพย์ของธุรกิจ โดยหนี้สินแบ่งออกเป็น 2 ประเภท
เป็นจำนวนเงินที่เจ้าของธุรกิจนำมาลงทุนเมื่อจะเริ่มต้นประกอบธุรกิจ รวมถึงการเพิ่มเงินลงทุน การเบิกใช้ส่วนตัว และผลกำไรหรือขาดทุนของธุรกิจในงวดก่อน รวมกับผลกำไร หรือขาดทุนของธุรกิจในงวดปัจจุบัน
เป็นจำนวนเงินหรือมูลค่าที่ธุรกิจได้รับจากการขายสินค้าหรือบริการ เช่น รายได้จากการขายสินค้า รายได้จาการบริหารซักรีด เป็นต้น
เป็นจำนวนเงินที่จ่ายไป เพื่อการดำเนินงานของธุรกิจ เช่น ค่าเช่าร้าน ค่าวัตถุดิบ ค่าอุปกรณ์ ค่าพาหนะ ค่าขนส่ง ค่าแรงงาน เป็นต้น
รายการค้า หรือรายการทางการบัญชี คือ เหตุการณ์ทางการค้า หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจาการดำเนินงานที่มีผลต่อฐานะทางการเงินของธุรกิจ ซึ่งเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้มีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสินทรัพย์ หนี้สิน หรือส่วนของเจ้าของ (ทุน)
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.youtube.com/channel/UC_F6s_q_VmW83xbEIosUamw
เป็นการบันทึกรายได้และค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน เพื่อให้ทราบรายการและจำนวนเงินที่ได้รับมาจากการขายสินค้าหรือบริการ รวมถึงรายการและจำนวนเงินที่ใช้จ่ายไปเพื่อการดำเนินธุรกิจ เช่น ค่าวัตถุดิบ ค่าวัสดุอุปกรณ์ ค่าเช่าสถานที่ ค่าพาหนะ ค่าแรงงงาน เป็นต้น
การทำบันทึกรายได้และค่าใช้จ่าย ทำให้ทราบสถานะทางการเงินของธุรกิจ โดยการนำผลรวมรายได้ และค่าใช้จ่ายของธุรกิจมาดำเนินการ ดังแผนภาพ
เป็นคำศัพท์ที่ใช้เฉพาะทางบัญชี หมายถึง ด้านซ้ายและด้านขวาของบัญชีรูปตัวที การบันทึกรายการด้านซ้ายมือของบัญชี เรียกว่า "เดบิต" ส่วนการบันทึกรายการด้านขวามือของบัญชี เรียกว่า "เครดิต" เมื่อรวมตัวเลขที่บันทึกทางด้านซ้ายมือและด้านขวามือของบัญชีและนำมาเปรียบเทียบแล้ว ถ้าตัวเลขทางด้านซ้ายมือมากกว่าและตัวเลขด้านขวามือ บัญชีนั้นจะมียอดคงเหลือด้านเดบิต แต่ถ้าตัวเลขทางด้านขวามือมากว่าตัวเลขทางด้านซ้ายมือ บัญชีนั้นจะมียอดคงเหลือทางด้าน เครดิต
ขอขอบคุณข้อมูล : https://www.facebook.com/smilingacc/?__tn__=-UC*F
เป็นงบที่จัดทำขึ้นเพื่อแสดงฐานะทางการเงินของธุรกิจ ณ วันใดวันหนึ่ง โดยจะแสดงรายงานตามข้อเท็จจริงที่เป็นอยู่ของธุรกิจ ซึ่งมีข้อมูลสำคัญที่ต้องใช้ คือ สินทรัพย์ หนี้สิน ส่วนของเจ้าของ (ทุน)
เป็นรายงานทางการเงิน ที่แสดงผลการดำเนินงานของธุรกิจในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เช่น 1 สัปดาห์ 1 เดือน 6 เดือน 1 ปี เป็นต้น งบกำไรขาดทุนแสดงรายได้ทุกประเภทภายใต้หัวข้อรายได้ และแสดงค่าใช้จ่ายทุกประเภทภายใต้หัวข้อค่าใช้จ่าย เพื่อให้ทราบว่าธุรกิจมีรายได้รวมและค่าใช้จ่ายรวมเป็นจำนวนเงินเท่าใด
เป็นการคำนวณจุดที่จะเกิดความสมดุลระหว่างรายได้กับค่าใช้จ่าย ซึ่งจะช่วยให้เจ้าของธุรกิจทราบว่าธุรกิจจะได้ต้นทุนคืนเมื่อใด จุดคุ้มทุนจะช่วยในการตัดสินใจลงทุนของเจ้าของธุรกิจได้เป็นอย่างดี
เป็นการคำนวณเปอร์เซ็นต์ของกำไร เมื่อเทียบกับเงินลงทุนทั้งหมด
ในระยะเวลา 5 ปีแรกของการลงทุน ธุรกิจต้องใช้เงินลงทุนทั้งสิ้น 2,000,000 บาท และคาดว่าจะได้รับผลกำไรกลับคืนมาเฉลี่ย 300,000 บาทต่อปี
จากโจทย์ จำนวนผลกำไรเฉลี่ยต่อปี = 300,000 บาท
จำนวนเงินลงทุน = 2,000,000 บาท
สูตร อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน = จำนวนผลกำไรเฉลี่ยต่อปี /จำนวนเงินลงทุน*100
= 300,000/2,000,000 * 100
= 15 %
อธิบายได้ว่า ได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน เฉลี่ย 15% ต่อปี