การบัญชี (Accounting) เป็นกระบวนการจัดการในส่วนของบันทึกรายการทางการค้า ได้แก่ การเขียนบันทึกรายการทางการค้า การจำแนกแยกประเภทหมวดหมู่ทางการค้า การสรุปผลการดำเนินงาน รวมไปถึงการวิเคราะห์และการแปลความหมายข้อมูลของนักบัญชี
1. เพื่อจดบันทึกรายการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเรียงตามลำดับก่อนหลัง และจำแนกประเภทของรายการค้าไว้อย่างสมบูรณ์
2. เพื่อให้จดบันทึกรายการค้าถูกต้องตามหลักการบัญชีและตามกฎหมายว่าด้วยการบัญชี
ช่วยให้เจ้าของกิจการสามารถควบคุมงานอย่างใกล้ชิด
ช่วยให้ทราบผลการดำเนินงานของกิจการ ในระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง
ช่วยให้ทราบฐานะการเงินของกิจการ ในระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง
ช่วยในการบริหารงาน และให้ข้อมูลอันเป็นประโยชน์ในการวางแผนการดำเนินงาน
ช่วยในการตรวจสอบหาข้อผิดพลาด
ช่วยในการกำหนดนโยบายและการตัดสินใจต่างๆ ของธุรกิจ
ผู้ลงทุนซื้อหุ้นจะอาศัยข้อมูลทางการบัญชีตัดสินใจในการลงทุน
นิยมเขียนเป็นตัว อารบิค
เขียนตัวเลข3 หลักขึ้นไป ให้ใส่เครื่องหมาย , (จุลภาค)
การเขียนตัวเลขลงในช่องจำนวนเงิน ให้เขียนหลักหน่วยของจำนวนบาทชิดเส้นแบ่งช่องบาทและสตางค์เสมอ
จำนวนสตางค์ให้เขียนลงในช่องสตางค์ ถ้าไม่มีเศษสตางค์ให้ใช้เครื่องแบบ " - " หรือเขียน 00 ก็ได้
ถ้าอยู่ในหน้าเดียวกันเขียน พ.ศ. ครั้งเดียวในช่องพ.ศ. ของทุกหน้า
เดือน นิยมเขียนย่อ ของแต่ละเดือน
วัน ให้เขียนวันที่เรียงตามลำดับเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นก่อนหลัง
หมายถึง สิ่งที่มีตัวตนและไม่มีตัวตน มีมูลค่าเป็นตัวเงิน มีบุคคลหรือกิจการค้าเป็นเจ้าของ เช่น เงินสด ลูกหนี้ ค่าความนิยม ลิขสิทธิ์ รถยนต์ เครื่องคอมพิวเตอร์ บ้าน และที่ดิน เป็นต้น
ประเภทของสินทรัพย์ (Assets) แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
1. สินทรัพย์หมุนเวียน (Current Assets)
2. ที่ดิน อาคาร และ อุปกรณ์ (Property Plant and Equipment)
3. สินทรัพย์อื่น (Other Assets Sundry Assets
หมายถึง จำนวนเงินที่กิจการเป็นหนี้บุคคลอื่น หรือพันธะอันเกิดจากรายการค้า การกู้ยืมหรือเกิดจากการอื่น ซึ่งจะต้องชำระคืนในภายหน้าด้วยสินทรัพย์ หรือบริการ
ประเภทของหนี้สิน (Liability) แบ่งเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1. หนี้สินหมุนเวียน (Current Liabilities)
2. หนี้สินระยะยาว หรือหนี้สินอื่นๆ (Long term or other Liabilities)
ส่วนของเจ้าของ (Owner’s Equity) ตามคำนิยาม หมายถึง ส่วยได้เสียคงเหลือในสินทรัพย์ของกิจการหลังจากหักหนี้สินออกแล้ว เป็นสินทรัพย์สุทธิ (Net Assets) ของกิจการ
หมายถึง การพิจารณาว่ารายการค้าที่เกิดขึ้น มีผลทำให้สินทรัพย์ หนี้สิน และส่วนของเจ้าของ เปลี่ยนแปลงไปในทางที่เพิ่มขึ้น หรือลดลงเป็นจำนวนเท่าใด แล้วบันทึกลงในสมุดบัญชีต่างๆ
ขอขอบคุณ : ช่อง Banchee A Little More
โครงการวีดีโอเพลงสื่อการสอนเกร็ดความรู้บัญชี (Banchee a little more) เนื้อเพลง : นางสาวณัฐณิชา พูลสุมล
ทำนองเพลง : TJ KARAOKE ( TJ 노래방 공식 유튜브채널 )
1.ระบบบัญชีเดี่ยว (Single - entry bookkeeping or single - entry system) เป็นวิธีการบันทึกบัญชีเพียงด้านเดียวเท่านั้นคือ ด้านเดบิตหรือด้านเครดิต ระบบบัญชีเดี่ยวนี้จะบันทึกเฉพาะรายการในบัญชีเงินสด หรือ บัญชีที่สำคัญบางบัญชี เช่น บัญชีลูกหนี้หรือบัญชีเจ้าหนี้เท่านั้น โดยไม่ได้ใช้การบันทึกรายการตามระบบบัญชีคู่ที่ต้องบันทึกรายการบัญชีทั้งด้านเดบิตและเครดิต การบันทึกบัญชีตามระบบบัญชีเดี่ยวนี้นิยมใช้ในกิจการขนาดเล็กที่เจ้าของเป็นผู้ควบคุมและจดบันทึกเอง สำหรับธุรกิจขนาดย่อมขึ้นไปไม่ควรนำระบบบัญชีเดี่ยวมาใช้ เนื่องจากจะมีปัญหาในการเก็บรวบรวมข้อมูล การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลทางการบัญชี และการจัดทำงบการเงิน
2.ระบบบัญชีคู่ (Double - entry bookkeeping or double - entry system) เป็นวิธีการที่ใช้ปฏิบัติในการบันทึกรายการบัญชีต่างๆ ประกอบด้วยรายการในสมุดรายวันทั่วไป รายการในสมุดบัญชีแยกประเภท ตลอดจนเอกสารหลักฐาน การบันทึกเหล่านี้มีระบบการและประเพณีปฏิบัติต่าง ๆ ซึ่งอาจใช้ได้กับทั้งกิจการขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ทั้งนี้เพื่อวัตถุประสงค์ที่จะทำให้สามารถเสนอรายงานทางการเงินได้ถูกต้องตามที่ควร และทันต่อเหตุการณ์การบันทึกบัญชีตามระบบบัญชีคู่แต่ละรายการจะเกี่ยวข้องกับบัญชีสองด้าน คือบันทึกด้านเดบิตบัญชีหนึ่งและบันทึกด้านเครดิตในอีกบัญชีหนึ่งด้วยจำนวนเงินที่เท่ากัน และจะมีผลทำให้เกิดดุลขึ้นในตัวเอง และในขณะเดียวกันก็จะทำให้ผลรวมของยอดบัญชีที่เกิดจากทุกรายการรวมกันแล้วได้ค่าเป็นศูนย์ นั่นก็คือ ผลรวมของยอดดุลเดบิตเท่ากับผลรวมยอดดุลเครดิต การจัดทำรายละเอียดของยอดบัญชีต่างๆ ประกอบกันเป็นยอดรวมทั้งสิ้น เรียกว่า "งบทดลอง (สมาคมนักบัญชีและผู้สอบบัญชีรับอนุญาตแห่งประเทศไทย.2538:d-4 ) การบันทึกบัญชีจะใช้หลักระบบบัญชีคู่ ดังนั้นรายการค้าทุกรายการต้องบันทึกโดยเดบิตบัญชีหนึ่ง และเครดิตอีกบัญชีหนึ่งด้วยจำนวนเงินที่เท่ากันเสมอ เรียกว่า บัญชีนั้นได้ดุลกัน แต่ในบางครั้งรายการค้าที่เกิดขึ้นในเวลาเดียวกันมีหลายบัญชี อาจบัญชี อาจบันทึกบัญชีโดยเดบิตหรือเครดิตบัญชีหลายบัญชีรวมกันได้ เรียกว่า การรวมรายการ (Compound entry) แต่จำนวนเงินรวมของเดบิตและเครดิตจะต้องเท่ากันเสมอ นอกจากนั้นเมื่อบันทึกรายการค้าเรียบร้อยแล้วยอดคงเหลือของแต่ละบัญชีที่มียอดดุลเดบิต เมื่อนำมารวมกันจะเท่ากับยอดคงเหลือของแต่ละบัญชีที่มียอดดุลเครดิต ซึ่งเป็นไปตามหลักสมการบัญชีที่ว่า สินทรัพย์ เท่ากับ หนี้สินและทุนรวมกัน
ขอขอบคุณ : ช่อง เรียนกะเรานะ
ขอขอบคุณ : ช่อง เรียนกะเรานะ
ขอขอบคุณ : ช่อง เรียนกะเรานะ