ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด
น้ำยาซักผ้า ผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน สบู่ ซักผ้าขาว ล้างสุขภัณฑ์ เป็นต้น
ส่วนใหญ่เป็นพิษน้อยไม่ต้องล้างท้อง ให้ดูแลเรื่อง GI irritation
ให้รักษาตามอาการประคับประคอง
ส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด มี 3 ส่วนหลัก
1.Detergent แปลว่า ผงซักฟอก สารทำความสะอาด สารลดแรงตึงผิว สารละลายสิ่งสกปรก
2.สารเพิ่มประสิทธิภาพ ช่วยให้detergent ทำงานได้ดีขึ้น
3.สารเติมแต่ง ได้แก่ สารฟอกขาว สารเพิ่มหรือลดฟอง สารเพิ่มความสดใส น้ำหอม สารกำจัดแบคทีเรีย สารขจัดคราบ สารกันเสีย เป็นต้น
Detergent แบ่งได้ 3 กลุ่ม
1.Nonionic detergents สารกลุ่มนี้มีพิษน้อย และมีอันตรายน้อย ใช้ในน้ำยาซักผ้าบางชนิด
ได้แก่
- Alkyl aryl olyethersulfates
- alcohol หรือ sulfonate
- Polyethylene glycol alkyl
- Alkyl phenol polyglycol
2.Anionic detergents ใช้ทำน้ำยาล้างจาน แชมพู
ได้แก่
- พวกเกลือโซเดียม โปแตสเซียม และแอมโมเนียมของกรดไขมัน
- ซัลโฟเนทเตดไฮโดรคาร์บอน (Sulfonated hydrocarbon)
- ฟอสโฟรีเลทเตดไฮโดรคาร์บอน (Phosphorylated hydrocarbon)
3.Cationic detergent เป็นกลุ่มมีพิษมากที่สุด ใช้เป็น antiseptic, disinfectant ในบ้านเรือน โรงงาน โรงพยาบาล
เป็นสารประกอบพวก quaternary ammonium compound ที่พบมาก ได้แก่
- benzalkonium chloride
- cetrimide
- cetylpyridinium
- dequalinium
สารเพิ่มประสิทธิภาพ
1.สารลดความกระด้างของนํ้า ได้แก่ สารประกอบฟอสเฟต ซีโอไลท์
2.สารรักษาระดับความเป็นด่างให้คงที่ ตลอดช่วงการซักฟอก เพราะสารลดแรงตึงผิวจะทำงานได้ดี ในน้ำที่มีความเป็นด่างเหมาะสม เช่น โซเดียมซิลิเกต โซเดียมคาร์บอเนต สำหรับโซเดียมซิลิเกตยังช่วยป้องกันการกัดกร่อนของโลหะที่ใช้เป็นภาชนะในการซักได้ด้วย
3. สารกันคราบคืน เป็นสารที่ช่วยไม่ให้คราบหรือสิ่งสกปรกที่หลุดออกไปแล้วกลับมาจับผ้าอีกขณะซักได้แก่ โซเดียมคาร์บอกซีเมทิลเซลลูโลส หรือที่เรารู้จักในชื่อ สาร ซี เอ็ม ซี
สารเติมแต่ง
1. สารเพิ่มฟอง ในผงซักฟอกชนิดซักด้วยมือ ทำ ให้เกิดฟองมาก ผู้ใช้จะมีความรู้สึกว่าซักได้สะอาดยิ่งขึ้น ได้แก่ sodium linear alkylate sulfonate (LAS), sodium alkyl sulfate, sodium tripolyphosphate
2. สารลดฟอง ในผงซักฟอกชนิดซักด้วยเครื่องซักผ้า เพื่อมิให้ฟองล้นออกมาเปรอะเปื้อนนอกเครื่อง ได้แก่ ซิลิโคน กรดไขมันที่มีโซ่ยาว
3. สารเพิ่มความสดใส ช่วยทำให้ผ้าดูขาวสว่างขึ้น ได้แก่ สารไดโนฟิล ดี เอ็ม เอส
ผลิตภัณฑ์ ต่างๆ
1. ผงซักฟอกและน้ำยาซักผ้า
-มีความเป็นด่างสูง บางคนอาจมีอาการแพ้ผงซักฟอก คือผิวหนังจะแห้ง แตก และอักเสบ ถ้าเกิดอาการดังกล่าวก็ควรจะเปลี่ยนไปใช้ผงซักฟอกยี่ห้ออื่น หรือใช้น้ำยาซักผ้าซึ่งมีความเป็นด่างน้อยกว่า ซึ่งมีองค์ประกอบหลักเหมือนผงซักฟอกชนิดซักด้วยมือแต่อยู่ในสภาพของเหลวหรือครีมข้น
-น้ำยาซักผ้าอีกชนิดหนึ่งคือน้ำยาซักแห้ง ซึ่งละลายในตัวทำละลายอินทรีย์ประเภทไฮโดรคาร์บอน น้ำยาประเภทนี้ใช้กับเสื้อผ้าที่ยืดหรือหดตัว และเสียทรงได้ง่ายเมื่อเปียกน้ำเช่น ผ้าขนสัตว์ ส่วนประเภทที่ละลายในน้ำใช้กับเสื้อผ้าที่ทำจากขนสัตว์เทียม ผ้าแพร ผ้าไหม ซึ่งไม่อาจซักในสารละลายที่มีความเป็นด่างสูงเช่นผงซักฟอกได้
2. ผลิตภัณฑ์ล้างจาน
แบ่งได้เป็น 2 ชนิดคือ
-น้ำยาล้างจานสำหรับเครื่องล้างจาน
น้ำยาล้างจานแบบที่ใช้กับเครื่องล้างจานจะมีความเป็นอันตรายมากกว่า เนื่องจากอาจจะทำให้เกิดอาการระคายเคืองที่ผิวหนัง และเป็นพิษเมื่อกลืนกินโดยทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ แต่ไม่ถึงขั้นเสียชีวิต
-น้ำยาล้างจานสำหรับล้างด้วยมือ
อย่างไรก็ตามควรอ่านฉลากก่อนทุกครั้ง เพื่อจะได้ทราบถึงวิธีการใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้อย่างเหมาะสมและปลอดภัย สำหรับการเก็บรักษาควรเก็บให้ห่างจากมือเด็กเล็กเพื่อลดความเสี่ยงที่เด็กอาจรับประทานเข้าไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
3. สบู่
-สบู่จะต้องมีคุณลักษณะเฉพาะเป็นไปตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เช่น ต้องไม่มีสารหรือวัตถุที่ห้ามใช้ สารที่กำหนดปริมาณการใช้ต้องไม่เกินเกณฑ์กำหนด สีที่ใช้ต้องเป็นไปตามที่ระบุ ต้องไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองผิวหนัง มีความคงสภาพ มีคุณลักษณะทางจุลชีววิทยาตามที่กำหนด
-สบู่ถูตัวประกอบด้วยเกลือโพแทสเซียมหรือโซเดียมของกรดไขมัน ได้จากปฏิกิริยาระหว่างด่างกับไขมันหรือกรดไขมันของสัตว์หรือพืช ใช้สำหรับขจัดสิ่งสกปรกออกจากผิวหนัง มีลักษณะเป็นก้อน บางชนิดจะมีสมบัติเฉพาะ กล่าวคือมีกรดไขมันอิสระสูง ไม่มีไฮดรอกไซด์อิสระเหมาะสำหรับผิวหนังที่แพ้ด่าง ส่วนสบู่เหลวเป็นเกลือโพแทสเซียมของกรดไขมันที่เตรียมขึ้นมาในสภาพของเหลว และรวมถึงผลิตภัณฑ์ของเหลวที่มีสารลดแรงตึงผิวเป็นองค์ประกอบสำคัญ เพื่อใช้ขจัดสิ่งสกปรกออกจากผิวหนังเช่นกัน
การเกิดพิษ :
1.ผงซักฟอกและสบู่ รวมทั้งผลิตภัณฑ์สำหรับล้างจานที่ใช้ในบ้านเรือน
หากได้รับในปริมาณไม่มากมักไม่ก่อให้เกิดอาการพิษ
2.สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในโรงพยาบาล ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในทางอุตสาหกรรม หรือผงซักฟอกที่ใช้กับเครื่อง มักมีฤทธิ์กัดกร่อน (corrosive)
3.ผลิตภัณฑ์ที่เป็น anionic หรือ nonionic มักจะไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองมากนักหรืออาจเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย
ในเด็กที่รับประทาน
-anionic detergents ปริมาณมากสุดที่ยังปลอดภัยคือประมาณ 0.1-1 กรัม/กิโลกรัม
-nonionic แม้รับประทานถึง 20 กรัมก็ยังไม่ปรากฏอาการ
-หากกลืนกิน cationic detergent เข้าไป อาจทำให้ปากและคอไหม้พอง ทั้งยังมีผลต่อกล้ามเนื้อบริเวณนั้น โดยขนาดที่ทำให้ตายอยู่ที่ประมาณ 1-3 กรัม
อาการและวิธีการแก้พิษ
กรณีได้รับโดยการรับประทาน
- Nonionic และ anionic detergents ถ้ารับประทานไม่มากมักไม่พบอาการผิดปกติ แต่ถ้ารับประทานในปริมาณมากจะมีอาการเจ็บปาก ปากและลิ้นพอง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย
- Cationic detergents อาจทำให้ปาก ลำคอ รวมทั้งทางเดินอาหารไหม้พอง คลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย กล้ามเนื้ออ่อนแรง หายใจลำบาก หมดสติ ชัก ความดันโลหิตลดต่ำลง ปอดบวมน้ำ
- ถ้ารับประทานผงซักฟอกที่มีโซเดียมไตรโพลีฟอสเฟตและเฮ็กซะเมตาฟอสเฟตเป็นส่วนผสมเข้าไป จะทำให้กระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบอย่างรุนแรง ทำให้มีอาการอาเจียนและท้องเดิน และพบในผู้ป่วยเด็กหนึ่งรายหนึ่งที่มีภาวะกระเพาะอาหารตีบ
- ถ้ารับประทานผงซักฟอกที่มีสารพวกโพลีเมอริกโพลิฟอสเฟตเป็นส่วนผสมเข้าไป จะทำให้ระดับแคลเซียมในเลือดต่ำลง เนื่องจากโพลีฟอสเฟตไอออนไปรวมตัวกับแคลเซียมไอออนในซีรัม การรักษาจึงต้องให้แคลเซียมฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำ
การปฐมพยาบาล ให้ดื่มน้ำหรือนมมากๆ เพื่อลดการดูดซึม ไม่ควรทำให้อาเจียนเพราะจะทำให้สารพิษย้อนกลับขึ้นมาทำลายทางเดินอาหารได้อีก
กรณีได้รับทางผิวหนัง
- หากถูกผิวหนังซ้ำๆ หลายๆครั้ง อาจทำให้ผิวหนังแห้ง แตก ระคายเคือง
การปฐมพยาบาล ให้ถอดเสื้อผ้าออก และชำระล้างร่างกายให้สะอาด
กรณีได้รับทางตา หากเข้าตา cationic detergents อาจระคายเคืองและแสบตามาก
การปฐมพยาบาล ให้ล้างตาด้วยน้ำสะอาดอย่างน้อย 15-20 นาที หากยังปวดหรือเคืองตาอยู่ให้รีบนำส่งแพทย์ทันที
กรณีที่ต้องรีบนำส่งแพทย์ทันที
- กลืนผลิตภัณฑ์ที่มี Cationic detergent
- อาเจียนติดต่อกันนาน หรือมีอาการปากไหม้พอง
การรักษาฉุกเฉินและการรักษาแบบประคับประคอง
- ควรเฝ้าติดตามการหายใจ ชีพจร ความดันโลหิต สมดุลของของเหลวและอิเล็กโตรไลต์ในร่างกาย อาจให้ออกซิเจนและเครื่องช่วยหายใจถ้าจำเป็น
- ถ้าผู้ป่วยชัก รักษาอาการชักด้วยไดอะซีแพมด้วยขนาดยาดังต่อไปนี้
ผู้ใหญ่ : 10 mg/ dose อัตรา 0.5 มล. (2.5 มก.)/30 วินาที ซ้ำได้หลัง 30-60 นาที
เด็ก: 200-300 ไมโครกรัม/น้ำหนักตัว 1 กก./ dose
4. ผลิตภัณฑ์ฟอกผ้าขาว
ผลิตภัณฑ์ฟอกผ้าขาวหรือสารฟอกขาว (Bleaching agents) มีทั้งแบบที่เป็นน้ำและแบบที่เป็นเม็ด สารเคมีที่นิยมใช้มากคือ sodium hypochlorite มีหน้าที่ทำให้ผ้าขาว กำจัดสิ่งสกปรก และฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัส
Sodium hypochlorite เป็นของเหลว สีเขียวเหลือง มีกลิ่นฉุน นอกจากนี้ยังมีสารเคมีชนิดอื่นที่ทำหน้าที่เป็นสารฟอกขาว ได้แก่ sodium carbonate และ sodium percarbonate ป้องกันไม่ให้สารต่างๆ เกิดการสร้างพันธะกับผงซักฟอก
ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ฟอกผ้าขาว ร่วมกับผลิตภัณฑ์ภายในบ้านชนิดอื่นๆ เช่นผลิตภัณฑ์ที่เป็นกรด หรือผลิตภัณฑ์ที่มีแอมโมเนียเป็นส่วนผสม เพราะจะทำปฏิกิริยากันเกิดเป็นสารอื่นซึ่งเป็นพิษมาก
อาการและวิธีการแก้พิษ
กรณีได้รับโดยการรับประทาน
- การกินหรือกลืนเข้าไปจะทำให้เกิดระคายเคืองต่อเยื่อบุที่ปากและลำคอ เกิดอาการปวดท้อง และแผลเปื่อย
การปฐมพยาบาล ถ้ากลืนหรือกินเข้าไป ห้ามไม่ให้สิ่งใดเข้าปากผู้ป่วยที่หมดสติ หากผู้ป่วยยังมีสติอยู่ให้กลืนไข่ หรือ ถ้าไม่สามารถหาได้ก็ให้ดื่มน้ำปริมาณมากๆ อย่าให้ผู้ป่วยดื่มน้ำส้ม,เบคกิงโซดา,ยาที่มีฤทธิ์เป็นกรด รีบนำส่งแพทย์
กรณีได้รับทางผิวหนัง
- การสัมผัสถูกผิวหนัง จะทำให้เกิดการระคายเคืองปานกลาง และเกิดผื่นแดงบนผิวหนัง ถ้าใช้ในความเข้มข้นสูงจะมีฤทธิ์กัดกร่อน ทำให้ผิวหนังไหม้พอง
การปฐมพยาบาล ถ้าสัมผัสถูกผิวหนัง ให้ฉีดล้างผิวหนังด้วยน้ำปริมาณมากๆ
กรณีได้รับโดยการสูดดมหายใจเข้าไป
- การสูดดมหายเข้าไปจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อเมือกของทางเดินหายใจ
การปฐมพยาบาล ถ้าสูดดมหายใจเข้าไป ให้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกสู่บริเวณที่มีอากาศบริสุทธิ์ รีบนำส่งแพทย์
กรณีได้รับทางตา
- การสัมผัสถูกตาจะทำให้ระคายเคืองอย่างรุนแรง
การปฐมพยาบาล ถ้าสัมผัสถูกตา ให้ฉีดล้างตาทันทีด้วยน้ำปริมาณมากอย่างน้อย 15 นาที พร้อมกระพริบตาถี่ๆขณะทำการล้าง รีบนำส่งแพทย์
5. ผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสุขภัณฑ์
ผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสุขภัณฑ์จัดเป็นของใช้ที่จำเป็นอย่างหนึ่ง เพราะเครื่องใช้และการประดับตกแต่งห้องน้ำและห้องครัวในปัจจุบันนิยมใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องเคลือบ การทำความสะอาดด้วยผงซักฟอกอาจไม่สามารถกำจัดคราบสนิมเหล็กจากน้ำบาดาลได้ดีเท่าผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสุขภัณฑ์ นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวยังทำให้เกิดความลื่นด้วย อย่างไรก็ตามผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสุขภัณฑ์มีองค์ประกอบทางเคมีที่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้มากกว่าผงซักฟอก ผู้ใช้จึงควรมีความรู้เกี่ยวกับองค์ประกอบของสารเคมีที่เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสุขภัณฑ์ เพื่อป้องกันอันตรายจากจากการใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว
5.1ผลิตภัณฑ์ล้างห้องน้ำชนิดที่มีกรดเป็นสารเคมีหลัก
กรดที่เป็นที่นิยมคือ กรดเกลือหรือกรดไฮโดรคลอริก มีความเข้มข้นแตกต่างกันไปในแต่ละยี่ห้อ บางชนิดจะมี กรดฟอสฟอริกหรือกรดซิตริกผสมอยู่ด้วย ซึ่งกรดไฮโดรคลอริกเป็นสารที่เป็นอันตรายต่อร่างกายและสิ่งแวดล้อมมากที่สุด รองลงมาคือกรดฟอสฟอริก ส่วนกรดซิตริกมีผลน้อยที่สุด นอกจากนี้ยังมีสารเคมีอื่นๆที่ทำหน้าที่ให้เกิดฟอง สารเคมีเหล่านี้เมื่อเปรียบเทียบความเป็นอันตรายกับกรดแล้วถือว่าน้อยมาก
เนื่องจากผลิตภัณฑ์ล้างห้องน้ำส่วนใหญ่ใช้สารเคมีที่มีฤทธิ์เป็นกรด มีการกัดกร่อนสูง จึงควรใช้ถุงมือและหน้ากากป้องกันทุกครั้ง และเก็บให้ห่างจากเด็กและสัตว์เลี้ยง
ดังนั้นในการใช้งานจึงควรอ่านวิธีใช้ วิธีเก็บรักษา ข้อควรระวังและวิธีแก้ไขเมื่อเกิดอุบัติเหตุที่ฉลากให้ละเอียดก่อนใช้ บางยี่ห้ออาจจะต้องนำมาเจือจางก่อนใช้เนื่องจากมีปริมาณกรดสูง
5.2 ผลิตภัณฑ์ล้างห้องน้ำชนิดฆ่าเชื้อโรค
ผลิตภัณฑ์ล้างห้องน้ำชนิดนี้มีส่วนประกอบหลักเป็นสารเคมีที่สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสได้ ได้แก่ sodium hypochlorite สารนี้เมื่อละลายในน้ำจะเป็นสารละลายสีเขียวเหลือง มีกลิ่นฉุนและมีฤทธิ์กัดกร่อนสูง และทำให้เกิดการระคายเคืองโดยเฉพาะหากเข้าตาจะระคายเคืองอย่างรุนแรง
การใช้ผลิตภัณฑ์ล้างห้องน้ำชนิดนี้ในความเข้มข้นสูงจะมีฤทธิ์กัดกร่อน ทำให้ผิวหนังไหม้พอง และระคายเคืองต่อตาได้ นอกจากนี้ยังไม่ควรใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์ภายในบ้านชนิดอื่นๆ เช่นผลิตภัณฑ์ล้างห้องน้ำที่เป็นกรด ผลิตภัณฑ์ที่มีแอมโมเนียเช่นน้ำยาล้างกระจก ยาล้างแผล และผลิตภัณฑ์ย้อมผม เนื่องจากจะทำให้เกิดสารพิษอันตราย
นอกจาก sodium hypochlorite แล้วก็ยังมีสารอื่นที่ผสมอยู่ด้วย เช่นสารที่ทำให้เกิดฟองซึ่งมีอันตรายเช่นเดียวกัน แต่มีความเป็นพิษน้อยกว่า
อาการและวิธีการแก้พิษ
กรณีได้รับโดยการรับประทาน
- กรดไฮโดรคลอริก จะเกิดการระคายเคือง มีอาการปวด และเกิดแผลแสบไหม้ในปาก คอ หลอดอาหาร และกระเพาะอาหาร
- กรดซิตริก ทำให้เกิดอาการอาเจียน ท้องร่วง
การปฐมพยาบาล ถ้ากลืนหรือกินเข้าไปห้ามกระตุ้นให้เกิดการอาเจียน ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำหรือนมปริมาณมากๆ ห้ามไม่ให้สิ่งใดเข้าปากผู้ป่วยที่หมดสติ แล้วรีบนำส่งแพทย์ทันที
กรณีได้รับทางผิวหนัง
- กรดไฮโดรคลอริก หากสัมผัสกับผิวหนังอาจทำให้ผิวหนังอักเสบ บวม แดง ปวดแสบปวดร้อน และเกิดแผลไหม้
- กรดซิตริก เมื่อสัมผัสผิวหนังอาจก่อให้เกิดการระคายเคือง มีผื่นแดง ผิวหนังอักเสบ ถ้าต้องสัมผัสกับกรดชนิดนี้เป็นเวลานานหรือหลายๆ ครั้ง อาจทำให้ผู้ที่แพ้ง่ายเกิดการแพ้ได้
การปฐมพยาบาล ถ้าสัมผัสถูกผิวหนัง ให้ฉีดล้างผิวหนังทันทีด้วยน้ำปริมาณมากอย่างน้อย 15 นาที พร้อมถอดเสื้อผ้าและรองเท้าที่ปนเปื้อนสารเคมีออก แล้วนำส่งไปพบแพทย์ ส่วนเสื้อผ้าและรองเท้าที่เปื้อนสารเคมีให้ซักทำความสะอาด ก่อนนำกลับมาใช้ใหม่
กรณีได้รับโดยการหายใจเข้าไป
- กรดไฮโดรคลอริก หากหายใจเอาไอของสารปริมาณเล็กน้อยเข้าไปอาจทำให้เกิดอาการระคายคอ แต่ถ้าปริมาณมากหรือเป็นระยะเวลานานๆ อาจทำให้ไอ หรือหายใจลำบาก
- กรดฟอสฟอริก สารนี้ก่อให้เกิดอันตรายอย่างร้ายแรงต่อเยื่อเมือกและระบบทางเดินหายใจส่วนบน การสูดดมอาจทำให้เกิดอาการหดเกร็งและอักเสบของกล้ามเนื้อในทางเดินหายใจและปอดบวมน้ำ อาการที่เกิดจากการได้รับสารนี้อาจได้แก่ รู้สึกแสบร้อน ไอ หายใจมีเสียงวี๊ด หลอดลมตอนบนอักเสบ หายใจถี่ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ และอาเจียน อาจเกิดอาการตัวเขียว ผิวหนังและริมฝีปากเป็นสีเทาอมน้ำเงินได้เนื่องจากขาดออกซิเจน สารนี้มีผลกดประสาททั่วไปทำให้เกิดอาการง่วงซึม ทำลายไต ท่อไต และกระเพาะปัสสาวะ ทำให้มีเลือดปนมากับปัสสาวะได้
การปฐมพยาบาล ถ้าหายใจเข้าไปให้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกสู่บริเวณที่มีอากาศบริสุทธิ์ ถ้าผู้ป่วยหยุดหายใจให้ช่วยผายปอด ถ้าหายใจติดขัดให้ออกซิเจนช่วย แล้วนำส่งไปพบแพทย์
กรณีได้รับทางตา
- กรดไฮโดรคลอริก เมื่อกระเด็นเข้าตาจะระคายเคืองอย่างรุนแรง อาจทำให้เกิดแผลไหม้อย่างรุนแรงหรือทำให้ตาบอดได้
- กรดซิตริก เมื่อสัมผัสอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองดวงตา
การปฐมพยาบาล ถ้าสัมผัสถูกตาให้ฉีดล้างตาทันทีด้วยน้ำปริมาณมากอย่างน้อย 15 นาที แล้วนำส่งไปพบแพทย์ทันที
ความผิดปกติอื่น ๆ
- การสัมผัสกับไอระเหยของสารเป็นระยะนานจะก่อให้เกิดการกัดกร่อน เช่นเดียวกับฤทธิ์ของการสัมผัสกรด
- ในบุคคลที่มีอาการผิดปกติทางผิวหนัง หรือเป็นโรคทางตา จะมีความไวต่อการเกิดผลกระทบจากสารเหล่านี้
ข้อมูลจาก
คู่มือ สารเคมีที่มีสำรอง ณ ฝ่ายพัสดุและบำรุงรักษา โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช โดยกลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช ธ.ค. 2552