ได้มีโอกาสเที่ยวภูกระดึงครั้งแรก ช่วงวันที่ 28-31 ธ.ค. 2562 เดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังครับ
ผมเคยได้ยินแต่ภรรยาของผม ชอบเล่าให้ผมและลูกชาย ฟังว่า เขาเคยไปภูกระดึง ตอนสมัยเรียนอยู่มหาวิทยาลัยขอนแก่น ประมาณว่าภรรยาผมอยู่ปี 2 ได้มั้ง (ประมาณ 30 ปีที่แล้วโน่น) เขาเล่าว่า ขึ้นแสนเหนื่อย ตอนลงถึงขนาด วางกระเป๋าแล้วเตะให้กลิ้ง ๆ ลง สมัยนั้นไม่มีร้านค้า ต้องแบกหม้อ มาม่า ข้าวไปหุงกินกันเองข้างบนภูกระดึง ในอดีตบนภูกระดึง เชายอมให้จุดไฟหุงต้มอาหารได้ ภรรยาผมเล่าให้ฟังถึงตอนกินข้าวว่า พอหุงข้าวเสร็จก็ เอาข้าวเทใส่การะมัง แกะปลากระป๋องใส่ คลุก ๆ ๆ แล้วก็ล้อมวงกินข้าวในกาละมังเดียวกันนั่นแหละ ภรรยาผมเขาพูดเองว่า เหมือนหมาแย่งข้าวกินกันก็ว่าได้ 555 ..เราฟังก็คิดตามไปว่า อะไรจะปานนั้นเนอะ..
มาวันนี้ ผ่านมา 30 ปี ภรรยาของผม เกิดอยากจะขึ้นภูกระดึงขึ้นมาอีกซะอย่างนั้น เธอได้ทำการตรวจสอบข้อมูลใน web site ที่พูดถึงบรรยากาศ บนภูกระดึง อ่านข้อมูลของคนที่เขาไปเที่ยวมา แล้วเขียนไว้ใน web เธอเก็บข้อมูลทุกเม็ด วิธีเดินทาง บรรยากาศปัจจุบันบนภูกระดึง การจองที่พัก จองเครื่องนอน จองรถทัวร์ที่จะไปภูกระดึง (คือว่าผมไม่สามารถจะขับรถเองไปถึงภูกระดึงได้ และภรรยาผมคิดว่าถ้าขับไปได้ อาจจะขับกลับไม่ได้เพราะขาหมดแรง เลยนั่งรถทัวร์ทั้งไปและกลับน่าจะปลอดภัยที่สุดแล้ว) รองเท้าที่จะต้องใส่แบบไหนจะไม่ทำให้เท้าเล็บเท้าเปิด ยาที่ต้องนำขึ้น คือเธอเก็บข้อมูลได้ละเอียดจริง ๆ ที่สำคัญ ลากผมไปขึ้นภูกระดึงด้วย ซึ่งตอนแรกผมก็ไม่ยอม โดยนิสัยผมแล้วถ้ามีวันหยุดยาว ๆ จะขอ อยู่บ้านทำตัวเป็นตุ๊กแกแปะฝาบ้าน อยู่นิ่ง ๆ ไม่ไปไหน นาน ๆ ทีจะได้หยุดพักที หาโอกาสแบบนี้ยาก และที่สำคัญการไปเที่ยวช่วงเทศกาลมีแต่เจอคน และคน กับคน แย่งกินแย่งซื้อแย่งใช้ ผมไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้ อยู่บ้านดีที่ซู๊ด..... แต่ทำไงได้ เพราะลูกชายยอมไปกับแม่ งานนี้ ไป 2 เสียง ไม่ไป 1 เสียง แพ้คะแนนโหวตอยู่แล้ว และที่สำคัญผมจะปล่อยให้เขาไปกันสองคน แม่ลูกหรือ?? มันคงเป็นไปไม่ได้ ก็เลยต้องยอมไปภูกระดึงในครั้งนี้ .. ในใจผมเรียกว่า ทริปทรมาณสังขาร หรือไม่ก็เรียกว่าทริปทดสอบสังขาร สำหรับภรรยาผมครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ส่วนผมและลูกชาย ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ขึ้นภูกระดึง โดยขั้นตอนต่าง ๆ ภรรยาผมจัดการหมด...
เริ่มต้น ภรรยากำหนดวันก่อนเลย กำหนดไว้ตั้งแต่กลางปี 2562 ดูเธอจะมีความกระตือรือร้นมาก มาบอกว่าจะไปภูกระดึงกันประมาณปลายปี ฟังแล้วก็นึกว่าเล่น ๆ ซะอีก และเธอเอาจริง แลผมก็บ่ายเบี่ยงมาตลอด จนผมตกลงที่จะไปและสรุปได้ว่าจะไปภูกระดึงวันที่ 28-31 ธ.ค. 2563 กว่าจะมาลงวันนี้ได้ ก็ผ่านขั้นตอนหลายขั้นตอนเลย
เมื่อตกลงว่าจะไปกันทั้ง สามคนพ่อแม่ลูก ก็เลือกวัน ซึ่งวันนั้นตอนแรก ๆ ก็ไม่ใช่วันนี้ เพราะเมื่อเลือกวันก็ต้องโทรไปจองรถ และดูวันว่างของทั้ง 3 คน ที่สำคัญเราไปกันช่วงเทศกาลปีใหม่ตัวที่ทำให้วันที่เปลี่ยนคือรถทั่วร์ จนมาสรุปได้ว่า จะไป 28-31 ธ.ค. 2562 และพอดีว่า วันที่ 28 เราจองรถทัวร์ไปผานกเค้า ได้ตอนบ่าย 15.30 น. เป็นรถทัวร์ธรรมดา และ 31 เราจองรถทัวร์เข้ากรุงเทพฯ ได้ตอน 21.30 น. VIP ของบริษัทแอร์เมืองเลย เหตุที่ต้องกลับ 31 ธ.ค. ไม่ได้อยู่ Countdown บนภูกระดึงเพราะ เราจะหนึผู้คนตอนกลับ คิดว่าเขาคง Countdown บนภูกระดึงกัน เลยหนึกลับก่อน และผมต้องทำงานวันที่ 2 ม.ค. 2563 ดังนั้นขอกลับมาถึงบ้านวันที่ 1 ม.ค. 2563 เพื่อพักผ่อน 1 วันน่าจะดีที่สุด
หลังจากนั้น ภรรยาผมก็จัดการโทรเข้าอุทยาน ติดต่อจองเต๊นท์ จองแผ่นรองปูพื้น จองถุงนอน จองหมอน เสร็จเรียบร้อย ผ้าห่มต้องไปติดต่อเองเมื่อถึงภูกระดึง
จัดเตรียมของที่ต้องเอาไป กว่าจะถึงวันที่ 28 ธ.ค. 2562 ก็ต้องมีการเตรียมของที่ต้องเอาไป โดยข้อมูลทั้งหมดส่วนใหญ่ภรรยาเอามาจากโลก Social บน internet เริ่มกันตั้งแต่ รองเท้าต้องเป็นรองเท้าแบบสานรัดส้นจะดี เพราะถ้ารองเท้าใส่ผ้าใบขึ้นภูกระดึงขาขึ้นอาจจะไม่เป็นปัญหา แต่ว่าตอนลง เห็นว่าคนส่วนใหญ่ เล็บเปิด เล็บฉีกกัน เนื่องจากขาลงช่วงปลายเท้าจะจิก และหัวแม่โป้งเท้าจะโดนกับรองเท้าตลอดเวลาทำให้เล็บฉีกได้ แต่ถ้าเป็นรองเท้าสาน นิ้วเท้าของเราจะไม่ชนกับอะไร ดังนั้นจึงไม่เป็นอันตรายสำหรับเท้า สรุปคือ 3 คนพ่อแม่ลูก ซื้อรองเท้าใหม่แบบสานรัดส้นกันคนละ 1 คู่
ต่อไปก็จัดเตรียมยา ใครเป็นอะไรก็เตรียมยา อย่างภรรยาผมเป็นโรคหอบประจำตัวมาตลอด ยาพ่น Ventolin นี่จะขาดจากกระเป๋าไม่ได้ และข้อมูลในโลกออนไลน์บอกว่าเมื่อขึ้นถึงที่พักจะเมื่อยกล้ามเนื้อมาก ก็เลยต้องจัด ยาเม็ดคลายกล้ามเนื้อ แผ่นยาแปะกล้ามเนื้อ ยาฉีดพ่นคลายกล้ามเนื้อ ยานวด พลาสเต้อยา
ต่อไปก็เสื้อผ้า โดยภรรยาผมวางแผนว่า ..
28 ธ.ค. 2562 นั่งรถทัวร์ออกตอน 15.30 น. ตามกำหนดการจะต้องไปถึงประมาณ เที่ยงคืน แต่ช่วงนั้นเป็นช่วงเทศกาลดังนั้นคาดว่าน่าจะไปถึงช้าแน่นอน ก็กะว่าตี 2 ถึง ตี 3 โดยรถจะไปจอดผานกเค้า หน้าร้านเจ๊กิม ซึ่งชาวเน็ตบอกว่าร้านนี้เขาเปิดต้อนรับนักท่องเที่ยว อัทยาศัยดี มีห้องน้ำให้ แต่ว่า .. จะมีรถสองแถวออกจากหน้าร้านเจ๊กิม ไป อุทยานเริ่มตอน ตี 5 ก่อนหน้านั้นจะไม่มีรถขึ้นอุทยาน สรุปว่าเมื่อมาถึงก็จะมีทางเลือกดังนี้
ทางที่ 1 : ถ้านักท่องเที่ยวมาถึงก่อนตี 5 สามารถมาพักรับประทานอาหาร เข้าห้องน้ำที่นี่ได้ แล้วนั่งรอยาวไปจนถึง ตี 5
ทางที่ 2 : ถ้าไม่ใช่ช่วงเทศกาล นักท่องเที่ยว มาถึงตามที่กำหนด คือถึงในช่วง 5 ทุ่ม ถึงเที่ยงคืน ตอนนั้นรถเข้าอุทยานก็คงไม่มีแล้ว ก็มาขอกางเต๊นท์ นอนในบริเวณร้านเจ๊กิมได้เช่นกัน พอถึงตี 5 ก็เริ่มดินทางใหม่
ทางที่ 3 : ถ้าเป็นช่วงเทศกาล ก็คงถึงช้ากว่าปกติ และไม่มีเต๊นท์ อาจจะมองว่าเมื่อมาถึงเร็ว ตัวอย่างเช่นมาถึงตอนตี 2 ตอนนั้นร้านเจ๊กิมปิดแล้ว ก็อาจจะนั่งรอด้านหน้าร้านเจ๊กิมไปจนถึงตี 5 ที่หน้าร้านเจ๊กิมเขามีบริการที่นั่งรอ ไว้สำหรับนักท่องเที่ยว
ทางที่ 4 : ถ้าเป็นช่วงเทศกาล ก็คงถึงช้ากว่าปกติ และไม่มีเต๊นท์ อาจจะมองว่าเมื่อมาถึงเร็ว ตัวอย่างเช่นมาถึงตอนตี 2 ตอนนั้นร้านเจ๊กิมปิดแล้ว เหมือนว่าจะเปิดอีกทีก็ตี 4 มั้งครั้ง และไม่อยากนั่งรอที่หน้าร้านเจ๊กิมถึงตี 5 ก็อาจจะจองทีพักใกล็ ๆ แถวนั้นเพื่อพักผ่อนซัก 2-3 ชม. รอสองแถวก็ได้ ยอมเสียเงิน เพื่อได้ อาบน้ำ นอนพักผ่อน เข้าห้องน้ำแบบเป็นส่วนตัว (แต่คุณต้องจองที่พัก ชำระเงินไว้ก่อนแล้วนะครับ จะมาหาจองตอนมาถึงเลยคงเป็นไปไม่ได้)
อย่างครอบครัวผมเลือก ทางที่ 4 แต่บอกเลยว่าวันที่ผมเดินทางเป็นช่วงเทศกาลรถติดมาก ออกจากหมอชิดตอน 15.30 มาถึง ผานกเค้าร้านเจ๊กิม ตอนเวลาตี 4.15 น. ตอนนั้นร้านเจ๊กิมเปิดแล้ว ห้องพักที่จองไว้เลยไม่ได้ใช้บริการ จ่ายเงินเรียบร้อยแล้วด้วย แต่.. ภรรยาผมได้ลองโทรไปคุยกับเจ้าของห้องพัก ขอเลื่อนไปเป็นว่าจะมาพักตอนขากลับ เพราะขากลับเรากลับตอน 21.30 น. ดังนั้นเราลงจากภูกระดึงมา ที่ร้านเจ๊กิมก็คงประมาณ บ่าย 3 บ่าย 4 น่าจะได้(คาดการเอานะครับ) กว่าจะถึง 21.30 อีกยาว ก็เลยขอเลื่อนพักเป็นตอนกลับแทน ในความคิดผมคิดว่าเขาไม่น่าจะเลื่อนให้ เพราะเราผิดเองที่มาช้า แต่ด้วยความใจดี มีอัธยาศัยดีของเจ้าของที่พัก บวกกับ ณ วันนั้นยังไม่มีใครมาจองห้องพัก เขายอมให้เลื่อนมาพักเป็นวันกลับได้ ถือว่าทริปนี้โชคดีมาก ๆ ที่เจอกับคนอัธยาศัยดีมาโดยตลอด เดี๋ยวจะมา บอกให้ฟังว่าที่พักชื่ออะไร ในบริเวณใกล้ๆ