วันที่โพสต์: 8 ม.ค. 2015, 14:59:37
ปัจจุบันการสื่อสารของมนุษย์มีข้อความต่างๆ ที่ผิดเพี้ยนหรือคลาดเคลื่อนไปมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารทางด้านการพูด การสื่อสารด้านการใช้ภาษามือ การเขียนและการพิมพ์ โดยสาเหตุของการคลาดเคลื่อนนั้นมีที่มาจากกรณีต่างๆ ที่แตกต่างกันอยู่มากมาย โดยอาจแยกย่อยออกเป็นประเด็นต่างๆ ได้ดังนี้
การพูด
1. การออกเสียงไม่ชัด อาจทำให้ผู้ฟังเข้าใจความหมายเป็นอีกอย่างหนึ่งได้ โดยเฉพาะถ้าคำดังกล่าวเป็นคำที่มีคำพ้องเสียง
2. การพูดเร็ว หากผู้พูดพูดเร็วเกินไป อาจทำให้มีคำบางคำติดกันมากจนเกินไป ทำให้ผู้ฟังได้ยินเป็นอีกอย่างหนึ่งได้ ในกรณีนี้มีหลายตัวอย่างที่ผู้พูดพูดเร็วเกินไปแล้วเกิดเสียงที่ผิดเพี้ยน(ซึ่งเสียงที่ผิดเพี้ยนดังกล่าวส่วนใหญ่ผู้พูดจะไม่ได้ยินเสียเองและมักจะไม่ยอมรับในสิ่งที่ได้พูดออกไป) เช่น ผู้พูดสื่อสารว่า อยากกินส้มตำปลาร้าแต่เสียงที่ออกไปกลายเป็น อยากกินต้มยำปลาร้า เมื่อผู้ฟังได้ยินก็ถามกลับว่า ต้มยำปลาร้าขายที่ไหน? ผู้พูดจะยืนยันหนักแน่นว่า เมื่อกี้พูดว่า ส้มตำปลาร้า นอกจากนี้ยังมีอีกกรณีตัวอย่างของการพูดเร็วที่ทำให้เกิดการควบคำโดยไม่รู้ตัว เช่น ขอบคุณนะครับ > ขอบคุณนะฮับ > ขอบคุณฮ้าบ > ขอบคุณฮะ > ขอบคุณฮ่ะ ซึ่งบางครั้งการพูดในลักษณะนี้นอกจากผู้พูดจะไม่รู้ตัวในสิ่งที่ตัวเองพูดหรือบางครั้งผู้ฟังอาจฟังไม่ทันยังส่งผลให้ผู้พูดติดนิสัยการพูดในลักษณะผิดๆ ไปด้วย
3. การพูดโดยใช้ภาษาถิ่นที่แตกต่างกัน เช่น คนภาคเหนือมาอาศัยอยู่กับคนภาคกลางในจังหวัดปทุมธานีเป็นเวลาหลายเดือน จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่งคนภาคเหนือออกไปซื้อนมและมีบทสนทนาดังต่อไปนี้
คนภาคเหนือ : วันนี้นมมันลดราคานี่ได้กลับมาตั้ง 2 เต้า
คนภาคกลาง : เออ! อย่าลามกได้ป่ะ
แต่ในความเป็นจริงแล้ว คำว่า เต้าเป็นภาษาถิ่นภาคเหนือมีความหมายว่า เท่า ประโยคนี้จึงแปลได้ว่า วันนี้นมมันลดราคานี่ได้กลับมาตั้ง 2 เท่า(คนภาคเหนือออกไปซื้อนมไม่ได้ไปทำเรื่องลามกแบบที่คนภาคกลางเข้าใจ)
4. การให้คนอื่นแปลภาษาให้ ในที่นี้ขอยกตัวอย่างการ์ตูนเรื่องฮิคารุ เซียนโกะ ตาที่ 170 สมาคมโกะเกาหลี(คนที่เคยอ่านแล้วน่าจะมองภาพออก) ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ล่ามภาษาเกาหลีแปลภาษามั่วทำให้คนญี่ปุ่นเข้าใจว่า โคยงฮาเหยียดหยามคนญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นจึงเกลียดโคยงฮาไปพักใหญ่ซึ่งนอกจากในการ์ตูนแล้วเหตุการณ์แบบนี้ในโลกของความเป็นจริงก็เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ
5. การพูดที่ใช้เสียงดังเกินไปหรือเบาเกินไป จากการทดลองกับกลุ่มอาสาไม่สมัคร(หมายถึง ไม่ให้พวกเขาไม่รู้ตัวว่าเราต้องการทดลองอะไร) พบว่า เมื่อเราพูดเสียงดังเกินไปกลุ่มอาสาไม่สมัครส่วนใหญ่จะเกิดอาการตกใจมากกว่าสนใจฟังและบางคนจะถามกลับมาว่า เมื่อกี้คุณพูดอะไรนะ แต่ถ้าเราพูดเสียงเบาเกินไปไม่น่าเชื่อว่าจะได้คำตอบเหมือนกันว่า เมื่อกี้คุณพูดอะไรนะ
การใช้ภาษามือ
1. การใช้สัญลักษณ์จากภาษามือ จากการศึกษาพบว่า การใช้ภาษามือแต่ละท้องที่หรือแต่ละประเทศถึงแม้จะทำสัญลักษณ์เดียวกันแต่ความหมายอาจต่างกันโดยสิ้นเชิง เช่น การชู 3 นิ้ว ได้แก่ นิ้วหัวแม่มือ(นิ้วโป้ง) นิ้วชี้ นิ้วก้อย โดยหุบนิ้วกลางกับนิ้วนางไว้ หลายคนอาจเข้าใจว่า มันมีความหมายเดียวคือ ฉันรักเธอ แต่รู้ไหมว่า ถ้าไปใช้กับคนอิตาลีจะมีความหมายว่า ไปตายซะ
2. การสื่อสารกันด้วยภาษามือโดยที่มีฝ่ายหนึ่งมีมือผิดปกติ เช่น มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมีนิ้วมากกว่าหรือน้อยกว่า 5 นิ้ว อาจทำให้ไม่สามารถทำสัญลักษณ์บางอย่างได้จึงเกิดการสื่อสารที่ไม่เข้าใจกัน
3. การไม่รู้ภาษามือ เป็นเรื่องน่าขำเมื่อบางคนต้องถูกสั่งให้ดูแลคนที่หูหนวกตั้งแต่กำเนิดซึ่งคนหูหนวกได้เรียนภาษามือมาแล้วแต่ผู้ดูแลไม่รู้ภาษามือเลย ส่งผลให้เกิดการสื่อสารที่ผิดเพี้ยนจนผู้ดูแลต้องปวดหัวเมื่อต้องการอีกอย่างหนึ่งแต่คนหูหนวกดันไปทำอีกอย่างหนึ่ง
* ในที่นี้ขอแบ่งคนหูหนวกออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. คนที่หูหนวกตั้งแต่กำเนิด คนหูหนวกประเภทนี้จะไม่สามารถเข้าใจในคำที่เราเขียนบนกระดาษเลยและจะมีอาการเป็นใบ้(พูดไม่ได้)ด้วย สาเหตุที่เขาไม่เข้าใจในคำที่เขียนเพราะไม่เคยเรียนผสมคำ(ซึ่งอาจจะฝึกได้แต่คงใช้เวลาหน่อย) ส่วนสาเหตุที่เป็นใบ้เพราะไม่เคยได้ยินคำพูดหรือการแปล่งเสียงใดๆ เลย จึงไม่สามารถพูดได้ คนหูหนวกประเภทนี้จึงออกเสียงได้แค่ แบร่ แบร่ แบร่ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ไม่สามารถสื่อสารได้(เป็นเสียงเฉพาะตัวของคนใบ้นั้นๆ)
2. คนที่หูหนวกเมื่อประมาณอายุ 10 ปีขึ้นไป(อาจมีสาเหตุมาจากอุบัติเหตุหรืออะไรก็ตาม) คนหูหนวกประเภทนี้จะสามารถเข้าใจความหมายของคำที่เราเขียนบนกระดาษแต่บางคนอาจไม่เข้าใจหมดทุกคำและพวกเขาสามารถพูดสื่อสารให้เราเข้าใจได้ สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะพวกเขาต่างจากคนหูหนวกประเภทแรกตรงที่ได้ผ่านการเรียนรู้ทางด้านการเขียนและการพูดมาก่อน
การเขียน
1. การใช้คำที่เขียนเหมือนกันแต่ความหมายต่างกัน(คำพ้องรูป) มีตัวอย่างเหตุการณ์อยู่เหตุการณ์หนึ่งที่ค่อนข้างน่าขำแต่ก็ขำไม่ออก เนื่องจากมีชายชาวอังกฤษมาหลงรักชอบพอกับหญิงชาวญี่ปุ่น จนกระทั่งวันหนึ่งชายคนดังกล่าวได้ส่งช่อดอกไม้พร้อมกับการ์ดแนบในช่อดอกไม้นั้นเป็นคำๆ หนึ่งว่า shine ส่งให้แก่ฝ่ายหญิงแต่หลังจากนั้นไม่นานเมื่อฝ่ายชายเดินทางมาหาฝ่ายหญิงเพื่อจะขอแต่งงานเขากลับพบฝ่ายหญิงกลายเป็นศพถูกแขวนคอตาย ตอนแรกฝ่ายชายแทบไม่เชื่อการสันนิษฐานของตำรวจว่า เป็นการฆ่าตัวตาย จนกระทั่งเขาได้มาทราบทีหลังว่า shine ในภาษาญี่ปุ่นแปลว่า ไปตายซะ เขารู้สึกเสียใจมากเพราะความจริงแล้วเขาต้องการสื่อสารว่า เธอคือแสงสว่างในดวงใจของฉันซึ่งในช่อดอกไม้มีแหวนที่ฝ่ายหญิงมองไม่เห็นซ่อนอยู่ด้วย จากเหตุการณ์นี้แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า การไม่เข้าใจกันของภาษาสามารถทำให้เกิดการเข้าใจผิดกันได้ถึงเพียงนี้
2. ลายมือ บางคนมีลายมือที่เป็นเอกลักษณ์คือเขียนแล้วคนอื่นไม่สามารถอ่านได้ยกเว้นตัวเอง บางครั้งแม้แต่ตัวเองก็ไม่รู้ด้วยว่า ตัวเองได้เขียนอะไรลงไป
3. การไม่อ่านเนื้อหาที่ตัวเองเขียนซ้ำ เช่น สมุดบางเล่มมีการเขียนเนื้อหาผิดไม่มากก็น้อยซึ่งมีสาเหตุมาจากการขาดการอ่านเนื้อหาของตัวเองซ้ำหรืออ่านไม่ละเอียดก่อนที่จะส่งให้ผู้อื่นอ่าน ในบางกรณีอาจมีการเขียนแล้วเขียนอีกหรือเขียนเรื่องเดิมคำตอบเดิมแต่เขียนหลายบรรทัด
4. การเขียนโดยการจดจากผู้อื่นพูด บางกรณีผู้เขียนที่กำลังเป็นผู้ฟังไม่สามารถฟังสิ่งที่ผู้พูดพูดทั้งหมดได้ทันจึงเกิดการเขียน(จด)ที่ผิดพลาดขึ้น
* คนตาบอดบางคนเขียนได้ บางคนเขียนไม่ได้ ซึ่งผู้เขียนขอแบ่งคนตาบอดออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. คนที่ตาบอดตั้งแต่กำเนิด คนตาบอดประเภทนี้ไม่สามารถเขียนหนังสือได้เพราะเขาไม่เคยเห็นมาก่อนแต่ถ้าเขาไม่ได้หูหนวกเราก็สามารถสื่อสารกับเขาเข้าใจได้
2. คนที่ตาบอดหลังจากผ่านการฝึกเขียนมาจนชำนาญแล้ว(อาจมีสาเหตุมาจากอุบัติเหตุหรืออะไรก็ตาม) คนตาบอดประเภทนี้สามารถเขียนหนังสือให้เราเข้าใจได้
เครื่องมือช่วยเหลือคนตาบอดตั้งแต่กำเนิด(แต่หูไม่หนวก) ให้สื่อสารได้ง่ายขึ้น ได้แก่
1. อักษรเบรลล์ คือ อักษรที่หลุยส์ เบรลล์คิดค้นขึ้นเพื่อช่วยให้คนตาบอดสามารถสื่อสารและอ่านหนังสือได้ นอกจากนี้ยังสามารถใช้ธนบัตรในการจับจ่ายใช้สอยได้อีกด้วยถึงแม้ว่าจะไม่เคยมองเห็นมาก่อน โดยคนตาบอดใช้การสัมผัสปุ่มเล็กๆ ที่แทนสัญลักษณ์ของตัวอักษรหรือสัญลักษณ์ของสระต่างๆ ที่อยู่บนสิ่งของนั้นๆ(อักษรเบรลล์ของแต่ละภาษาตำแหน่งของปุ่มไม่เหมือนกัน เช่น อักษรเบรลล์ ร ในภาษาไทยอาจมีตำแหน่งแตกต่างจากอักษรเบรลล์ R ในภาษาอังกฤษ)
2. เครื่องพิมพ์ 3 มิติผ่านระบบค้นหาอัตโนมัติ ในอนาคตจะมีการออกแบบเครื่องพิมพ์ 3 มิติผ่านระบบค้นหาอัตโนมัติเพื่อพิมพ์ของต่างๆ มาให้คนตาบอดเรียนรู้โดยการสัมผัสแบบจำลองว่าหน้าตาสิ่งนั้นๆ เป็นอย่างไร เช่น พิมพ์แบบจำลองมังกรขนาดเล็กมาให้คนตาบอดสัมผัสแล้วค่อยเพิ่มขนาดให้ใหญ่ขึ้น เมื่อคนตาบอดเข้าใจคำว่าใหญ่ขึ้นแล้วก็ค่อยอธิบายว่า มังกรของจริงมีขนาดใหญ่กว่านี้มาก
การพิมพ์
1. ปุ่มคอมพิวเตอร์อยู่ใกล้กันแล้วรีบพิมพ์เกินไปโดยขาดการอ่านของตัวเองซ้ำหรืออ่านไม่ละเอียดก่อนที่จะกดส่งหรือบันทึกข้อมูลให้ผู้อื่นอ่าน มีตัวอย่างดังต่อไปนี้
- ปุ่ม ข อยู่ใกล้กับ ช เช่น จะพิมพ์ว่า ขอบคุณครับ กลายเป็น ชอบคุณครับ
- ปุ่ม น อยู่ใกล้กับ ร เช่น จะพิมพ์ว่า ขี้บ่นนักนะ กลายเป็น ขี้บ่นรักนะ
- ปุ่ม ท อยู่ใกล้กับ ม และ ปุ่ม จ อยู่ใกล้กับ ข เช่น จะพิมพ์ว่า เทพจริงๆ กลายเป็น เมพขิงๆ
ตัวอย่างภาพคำถามจากฐานข้อมูลเดิม(บัญชีกูรู) ซึ่งผู้เขียนกำลังจะลบฐานข้อมูลดังกล่าวทิ้งแล้วทำใหม่ทั้งหมด
ตัวอย่างภาพความคิดเห็นบางส่วน
นอกจากที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว สาเหตุที่ทำให้เกิดการสื่อสารที่คลาดเคลื่อนยังมีสิ่งอื่นๆ อีก ดังต่อไปนี้
1. เสียงอุปสรรค(เสียงรบกวนอื่นๆ) ในขณะที่บุคคลใดๆ ก็ตามกำลังสนทนากันอยู่นั้นแล้วมีเสียงรบกวนอื่นๆ แทรกเข้ามา เช่น เสียงรถ อาจทำให้มีข้อความบางอย่างจากการสื่อสารขาดหายไปหรือเกิดการสื่อสารที่คลาดเคลื่อนได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความดังของเสียงรบกวนนั้นๆ ด้วย(คนไม่ดีนำความรู้เรื่องนี้มาใช้ในการก่ออาชญากรรมหลายต่อหลายครั้งแล้ว เช่น กรณีฆ่าข่มขืนเด็กบนรถไฟโดยใช้เสียงรถไฟวิ่งเป็นเสียงรบกวนกลบเสียงขอความช่วยเหลือ)
2. ปรากฏการณ์ดอปเพลอร์ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงความถี่ของคลื่นและความยาวคลื่นในมุมมองของผู้สังเกต เช่น รถโฆษณาประกาศโฆษณาเมื่อมาถึงจุดใกล้ผู้สังเกตมากที่สุดผู้สังเกตจะได้ยินเสียงชัดเจนแต่เมื่อรถโฆษณาเคลื่อนที่ออกไปไกลผู้สังเกตจะทำให้ผู้สังเกตได้ยินเสียงเบาลงจนกระทั่งไม่ได้ยินเสียงเลย ส่วนของข้อความเสียงที่ผู้สังเกตไม่ได้ยินแล้วนั้นจะไปอยู่ที่ผู้สังเกตคนอื่นแทน ดังนั้นถ้าต้องการทราบว่า รถโฆษณาคันดังกล่าวประกาศอะไรไปบ้างก็จำเป็นต้องนำข้อความเสียงของผู้สังเกตทุกคนมาต่อกัน
3. ตัวกลางของเสียง สถานที่แต่ละแห่งจะได้ยินเสียงได้มากหรือน้อยไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น เสียงสะท้อน แรงลม ตัวกลางของเสียง(ตัวกลางของเสียง สามารถเรียงลำดับจากมากไปน้อยคือ ของแข็ง ของเหลวและแก๊ส)
4. สุขภาพหูของผู้ฟัง หากผู้ฟังมีสุขภาพหูไม่ดีอาจทำให้การได้ยินผิดเพี้ยนหรือคลาดเคลื่อนไปด้วย
5. ความสนใจของผู้ส่งสารและผู้รับสาร(ทั้ง 2 ฝ่าย) ประสิทธิภาพของการสื่อสารจะเกิดขึ้นสูงสุดได้นั้นทั้งผู้ส่งสารและผู้รับสารต่างก็ต้องสนใจในสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังนำเสนอด้วย หากมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดขาดการให้ความสนใจเพียงสักนิดเดียวก็อาจทำให้เกิดการสื่อสารที่คลาดเคลื่อนได้
6. ผู้รับสารป่วย เช่น ถูกวางยาหรืออุบัติเหตุใดๆ ก็ตามที่ทำให้ผู้รับสารไม่สามารถพูด ไม่สามารถใช้มือในการสื่อสารหรือทั้งสองอย่าง กรณีนี้จะยกตัวอย่างผู้ป่วยที่ไม่สามารถขยับตัวได้เลย(ยกเว้นดวงตา) เมื่อผู้ที่ต้องการจะสื่อสารสังเกตเห็นว่า ดวงตาของผู้รับสารสามารถขยับได้ก็จะให้ตอบแค่ใช่กับไม่ใช่โดยผู้ส่งสารอาจบอกผู้รับสารว่า ถ้าข้อมูลต่อไปนี้ถูกต้องหรือเป็นความจริงให้กะพริบตา 3 ครั้งแต่ถ้าไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นความจริงให้กะพริบตา 2 ครั้ง เป็นต้น
หากท่านผู้อ่านพอใจบทความนี้ กรุณา คลิก โฆษณาของ AdFly เพื่อให้เราทราบความนิยมและช่วยให้เราไม่ขาดทุนมากจนเกินไป
อ่านบทความอื่นต่อ