การซ่อมแผงวงจรเครื่องเชื่อมไฟฟ้าปัจจุบันมีวิธีการตรวจซ่อมอย่างไร อะไหล่หาได้จากที่ไหน อุปกรณ์อะไรที่เสียบ่อย
การซ่อมแผงวงจรเครื่องเชื่อมไฟฟ้า เป็นงานที่ต้องใช้ความรู้และประสบการณ์ในการตรวจสอบและแก้ไขปัญหา โดยวิธีการตรวจซ่อมที่พบบ่อย คือ
- ตรวจสอบสถานะของแผงวงจร โดยดูว่ามีส่วนใดเสียหาย หรือมีความผิดปกติ เช่น แผลไหม้ รอยช๊อต หรือสารเคมี
- ตรวจสอบค่าไฟฟ้าของแผงวงจร โดยใช้เครื่องมือวัด เช่น เทสเตอร์ โวลท์มิเตอร์ หรือโอสซิลโลสโคป เพื่อดูว่ามีกระแสไฟฟ้าผ่านหรือไม่ และค่าไฟฟ้าตรงกับข้อมูลที่กำหนดหรือไม่
- ตรวจสอบส่วนประกอบของแผงวงจร เช่น ตัวต้านทาน เครื่องขยายสัญญาณ เกตไดร์ เทียนปลั๊ก เพื่อดูว่ามีการทำงานปกติหรือไม่ หากพบว่ามีส่วนประกอบเสียหาย ให้ทำการเปลี่ยนใหม่
- ทดสอบการทำงานของแผงวงจร เมื่อทำการซ่อมแล้ว โดยใช้เครื่องเชื่อมไฟฟ้า เพื่อดูว่าแผงวงจรสามารถควบคุมการเชื่อมได้ถูกต้องหรือไม่
ในการซ่อมแผงวงจรเครื่องเชื่อมไฟฟ้า การหาอะไหล่ที่ใช้ในการซ่อม เป็นปัจจัยที่สำคัญ เพราะบางครั้งอะไหล่ที่เสียหาย เป็นของพิเศษที่ไม่พบในท้องตลาด หรือไม่ผลิตแล้ว ในกรณีเช่นนี้ ผู้ที่ต้องการซ่อม อาจต้องสั่งซื้ออะไหล่จากต่างประเทศ หรือหาอะไหล่ที่ใกล้เคียงกันมาใช้แทน ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายสูง หรือมีผลกระทบต่อการทำงานของแผงวงจร
อุปกรณ์ที่เสียบ่อยในแผงวงจรเครื่องเชื่อมไฟฟ้า มักจะเป็นส่วนที่มีการใช้งานหนัก หรือต้องทนทานต่อความร้อน ความดัน หรือความเสียหายได้ เช่น
- เทียนปลั๊ก เป็นส่วนที่เชื่อมต่อกับสายไฟฟ้า และส่งกระแสไฟฟ้าไปยังแผงวงจร ถ้าเทียนปลั๊กมีการหลวม หรือเสียหาย จะทำให้กระแสไฟฟ้าไม่สม่ำเสมอ หรือไม่ผ่านไปยังแผงวงจร
- เกตไดร์ เป็นส่วนที่ควบคุมการเปิดปิดของกระแสไฟฟ้า ถ้าเกตไดร์เสียหาย จะทำให้กระแสไฟฟ้าไม่สามารถเข้าหรือออกจากแผงวงจรได้
- เครื่องขยายสัญญาณ เป็นส่วนที่เพิ่มค่ากระแสไฟฟ้าให้มีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อใช้ในการเชื่อม ถ้าเครื่องขยายสัญญาณเสียหาย จะทำให้กระแสไฟฟ้าไม่พอใช้ในการเชื่อม
- ตัวต้านทาน เป็นส่วนที่ลดค่ากระแสไฟฟ้าให้มีขนาดเล็กลง เพื่อป้องกันการเกิดความร้อนหรือการช๊อต ถ้าตัวต้านทานเสียหาย จะทำให้กระแสไฟฟ้าไม่คงที่ หรือมีค่าสูงเกินไป
การซ่อมแผงวงจรเครื่องเชื่อมไฟฟ้า เป็นงานที่ต้องใช้ความชำนาญและความระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เกิดการช๊อตไฟ หรือการเกิดความเสียหายของแผงวงจร เพิ่มขึ้น ดังนั้น ผู้ที่ต้องการใช้บริการการซ่อมแผงวงจร เครื่องเชื่อมไฟฟ้า ควรเลือกบริษัทหรือผู้ให้บริการที่มีประสบการณ์ และมีการรับประกันการซ่อม