การทำข้อมูลให้เป็นภาพ และการสื่อสารด้วยข้อมูล
การทำข้อมูลให้เป็นภาพ และการสื่อสารด้วยข้อมูล
การสื่อสารและการทำผลลัพธ์ให้เป็นภาพ
คือ การสื่อสารผลลัพธ์ของข้อมูล โดยการถ่ายทอดเป็นเรื่องราวหรือภาพทำให้ผู้อื่นเข้าใจว่าเราได้เรียนรู้อะไรจากข้อมูล
การสื่อสารด้วยข้อมูล
การสื่อสารระหว่างบุคคล จำเป็นที่จะต้องจัดรูปแบบของข้อมูล และนำข้อมูลไปแสดงในบริบทที่เหมาะสม เพื่อให้ผู้รับสารเข้าใจ หรือมองเห็นประเด็นสำคัญที่ต้องการสื่อสารภายใต้ข้อมูลนั้น จึงต้องมีการทำข้อมูลให้เป็นภาพ เพื่อช่วยตอบคำถาม ช่วยในการตัดสินใจ ช่วยให้มองเห็นข้อมูลในบริบทที่เหมาะสม ช่วยค้นหารูปแบบ รวมทั้งช่วยสนับสนุนคำพูดหรือการเล่าเรื่องราวที่มีอยู่ในข้อมูลชุดนั้นๆ
การทำข้อมูลให้เป็นภาพ (data visualization)
เพื่อให้เข้าใจบริบทและเรื่องราวของข้อมูลมากขึ้น
แผนภูมิรูปวงกลม (pie chart)
สร้างโดยการเขียนวงกลมและแบ่งวงกลมออกเป็นสัดส่วนตามจำนวนข้อมูล ซึ่งควรเป็นข้อมูลที่มีจำนวนกลุ่มไม่มากนัก แผนภูมิรูปวงกลมสามารถแสดงความสัมพันธ์เชิงปริมาณแบบสัดส่วนร้อยละได้เป็นอย่างดี
แผนภูมิโดนัท
เกิดจากการนำแผนภูมิรูปวงกลมมาวางซ้อนกัน ช่วยให้เห็นความเปลี่ยนแปลงของสัดส่วนได้เป็นอย่างดี
แผนภูมิแท่ง (bar chart)
แสดงความแตกต่างในเชิงปริมาณได้ชัดเจน จึงใช้เพื่อแสดงปริมาณข้อมูลแต่ละส่วน จะเรียงข้อมูลจากซ้ายไปขวาทำให้เห็นการเรียงตัวในเชิงลำดับโดยปกตินิยมเรียงตามแนวนอน
กราฟเส้น (line graph)
แสดงมิติของการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ดี ใช้พื้นที่ในการแสดงข้อมูลแต่ละรายการน้อยกว่าแผนภูมิแท่งมาก ทำให้นำเสนอจำนวนรายการข้อมูลได้มากกว่า
แผนภาพการกระจาย
(scatter plot)
แสดงการกระจายของข้อมูลแล้ว ยังสามารถแสดงการเปรียบเทียบได้ดี
การเลือกใช้แผนภาพ
ขึ้นอยู่กับข้อมูลและจุดประสงค์ของการนำเสนอ
ชนิดของแผนภาพ
แผนภูมิรูปวงกลม
แผนภูมิแท่ง
กราฟเส้น
แผนภาพการกระจาย
จุดประสงค์ของการนำเสนอ
แสดงสัดส่วนของข้อมูลที่มีจำนวนกลุ่มไม่มากนัก
เปรียบเทียบปริมาณข้อมูลแต่ละรายการ
แสดงการเปลี่ยนแปลงของข้อมูลที่มีความต่อเนื่อง
แสดงความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล 2 ชุด
การทำข้อมูลให้เป็นภาพอย่างเหมาะสม
ตัวแปรในการมองเห็นของ จาคส์ เบอร์ติน มี 7 ตัวแปรได้แก่
1. ตำแหน่ง
เป็นตัวแปรที่ช่วยให้จัดกลุ่มได้ดี และยังช่วยในการสร้างความโดดเด่นได้ง่าย ถ้าวางต่อเนื่องกันยังสามารถแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในมิติเวลาได้อีกด้วย
ใช้บ่งปริมาณได้อย่างชัดเจน และยังสามารถใช้แบ่งกลุ่มหรือสร้างความโดดเด่นทำให้ผู้รับสารนึกไปถึงปริมาณที่แตกต่างกัน
สามารถนำมาช่วยแบ่งกลุ่มข้อมูลหรือสร้างความโดดเด่นได้
4. ความเข้ม
ใช้ในการสร้างความโดดเด่น ไม่ว่าจะทำให้ภาพที่ต้องการเข้มขึ้นหรือทำให้ภาพอื่นๆ จางลง
5. สี
ช่วยในการจับกลุ่มและสร้างความโดดเด่นแล้ว สียังมีผลต่อความรู้สึกของผู้มองเห็น
6. ทิศทาง
ช่วยจัดกลุ่ม ช่วยสร้างความโดดเด่น และมีผลต่อความรู้สึกของผู้มองได้
7. ลวดลาย
ช่วยในการจัดกลุ่มและสร้างความโดดเด่นแล้ว ยังมีผลต่ออารมณ์ของผู้มอง
กระบวนการทำข้อมูลให้เป็นภาพ
เป็นการนำข้อมูลดิบมาแปลงให้อยู่ในรูปของตารางที่จะนำไปวิเคราะห์ต่อได้ จากนั้นจึงพิจารณาเลือกชนิดของกราฟหรือแผนภูมิ และออกแบบแผนภาพรวมทั้งองค์ประกอบของภาพ เพื่อให้ตรงกับจุดประสงค์ที่จะนำเสนอ แล้วจึงนำไปให้กลุ่มเป้าหมายพิจารณา และอธิบาย เพื่อดูว่าตรงกับที่เราต้องการจะนำเสนอหรือไม่ ถ้าไม่ตรง ให้ย้อนกลับไปดูว่าข้อมูลเพียงพอหรือไม่ หรือแผนภาพที่นำเสนอเหมาะสมหรือไม่ ซึ่งอาจต้องออกแบบใหม่ และนำไปทดสอบจนกว่ากลุ่มเป้าหมายจะอธิบายภาพได้ตรงตามจุดประสงค์เพื่อให้สื่อสารได้ถูกต้องครบถ้วน
การเลือกใช้ตัวแปรในการมองเห็น
1.การสร้างความโดดเด่น (selective)
เพื่อให้ผู้รับสารมุ่งตรงไปยังข้อมูลที่ต้องการสื่อสารได้อย่างรวดเร็ว
2.การจัดกลุ่ม (associative)
เพื่อแสดงการแบ่งกลุ่มของข้อมูล
3.การบ่งปริมาณ (quantitative)
เพื่อให้ผู้รับสารสนใจและรับรู้ได้อย่างรวดเร็วตรงจุดที่ต้องการให้เห็นสำหรับการแสดงข้อมูลในเชิงปริมาณ
4.การแสดงลำดับ (order)
เพื่อให้ผู้รับสารสามารถตีความ และเข้าใจภาพหรือแผนภูมิที่นำเสนอได้ง่าย
การเล่าเรื่องราวจากข้อมูล (data story telling)
เพื่อเชื่อมโยงหรือสื่อสารให้เข้ากับผลลัพธ์ของข้อมูล และทำให้ผู้รับสารอยากอ่านเรื่องราวนี้จนจบ และมีความเข้าใจตรงตามความต้องการของผู้สร้างเนื้อหา มีวิธีการนำเสนอ 4 รูปแบบ
1.แบบตู้กดน้ำ
เปรียบเสมือนการพูดคุยในขณะกดน้ำ ซึ่งจะมีเวลาในการสนทนากันเพียงแค่ช่วงสั้นๆ จึงเทียบได้กับการสรุปเนื้อหาที่มีปริมาณมาก หรือยากในการทำความเข้าใจ ให้เหลือแต่ใจความสำคัญและอธิบายหรือสื่อสารด้วยภาพ เช่น การทำข้อมูลให้เป็นภาพ กราฟ หรือแผนภูมิ
2.แบบร้านกาแฟ
เปรียบเสมือนการพูดคุยกันในร้านกาแฟ หรือการนั่งคุยกันในร้านไอศกรีม ซึ่งมีเวลาในการสนทนามากยิ่งขึ้น และอาจมีการเล่าเรื่องราวระหว่างกัน เนื้อหาที่ต้องการนำเสนอมีความยาวหรือรายละเอียดของเนื้อหามาก
3.แบบห้องสมุด
เปรียบเสมือนการเข้าศึกษาเนื้อหาในห้องสมุดที่มีเอกสาร ตำราวิชาการ งานวิจัย และต้องค้นคว้าเชิงลึกในสิ่งที่ตนเองสนใจ ดังนั้นการนำเสนอเนื้อหาในลักษณะนี้จึงเป็นการนำเสนอเนื้อหาที่ต้องให้ผู้อ่านมีปฏิสัมพันธ์กับเนื้อหาและเกิดความอยากศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดความเข้าใจเชิงลึกมากขึ้น
4.แบบห้องทดลอง
เปรียบเสมือนการทดลอง และลงมือปฏิบัติการในห้องทดลอง ซึ่งจะได้รับประสบการณ์จากการที่ได้ลงมือปฏิบัติจริง การนำเสนอเนื้อหาในรูปแบบนี้จึงมีลักษณะของการให้ผู้อ่านมีปฏิสัมพันธ์กับเนื้อหาและยังสามารถแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และแบ่งปันสิ่งที่ตนเองทราบให้กับผู้อื่น
การเล่าเรื่องราวด้วยข้อมูล
เหมือนกับการเล่าเรื่องราวในภาพยนตร์หรือละคร ที่ต้องมีจุดเริ่มต้น จุดกึ่งกลางของเรื่อง มีฉากตื่นเต้นเร้าใจหรือจุดเข้มข้นของเรื่องและจุดจบของเรื่อง เพื่อให้มีความน่าสนใจ เข้าถึงอารมณ์ความรู้สึกของผู้ฟัง และสามารถจดจำเรื่องราวที่เล่าได้อย่างยาวนาน (long-term memory)
ข้อควรระวังในการนำเสนอข้อมูล
การใช้ตัวแปรในการมองเห็นผลลัพธ์ของข้อมูลนั้น จะต้องระวังไม่ให้ตัวแปรที่ใช้แสดงผลด้านอื่นๆ ที่ไม่ได้ตั้งใจโดดเด่นขึ้นมา เพราะจะทำให้ผู้รับสารตีความไม่ตรงกับข้อมูล