ชาติกำเนิด
พระโอภาสพุทธิคุณ อดีตสาธารณูปการจังหวัดแพร่ อดีตเจ้าอาวาสวัดถิ่นใน มีนามเดิมว่า“คำหล้า” นามสกุล “ถิ่นอยู่” เป็นบุตรของ พ่อจาย – แม่กาบ ถิ่นอยู่ เกิดเมื่อวัน ศุกร์ ที่ ๓๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๔๒ ( แรม ๘ ค่ำ เดือน ๘ เหนือ ) ปีกุน ณ หมู่ ๑ ( ม.๕ ปัจจุบัน) บ้านถิ่น ตำบลบ้านถิ่น อำเภอเมือง จังหวัดแพร่ พ่อจาย - แม่กาบ ถิ่นอยู่ มีบุตร - ธิดา ทั้งหมด ๑๐ คน ประกอบด้วย
๑. พ่อลาด ถิ่นอยู่ (ถาวรเสน)
๒. พ่อขัน ถิ่นอยู่
๓. แม่ก๋อง ศิริพันธ์
๔. แม่มูล ธุรกิจ
๕.แม่สา ถิ่นสุข
๖. แม่บัวจัน ฉะอุ่ม
๗.แม่คำ ถิ่นสอน
๘.แม่นำ คนเที่ยง
๙.พระโอภาสพุทธิคุณ ( คำหล้า)
๑๐.แม่สุดา อินทรุจิกุล
บรรพชา – อุปสมบท
วันที่ ๓ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๕๗ อายุ ๑๕ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร ในพระบวรพุทธศาสนา มีพระครูมหาญาณสิทธิ์ ( ครูบาคันธา ) วัดเหมืองหม้อ เป็นพระอุปัชฌาย์ วันที่ ๑๐ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๖๒ ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระบวรพุทธศาสนา ณ พัทธสีมาวัดเหมืองหม้อ อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ ได้รับฉายาว่า "โอภาสี" แปลว่าผู้มีความสว่างทั่ว โดยมีพระครูมหาญาณสิทธิ์ (ครูบาคันธา) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูรัตนปัญญา เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอุปัชฌาย์ปวง เป็นพระอนุสาวนาจารย์
การศึกษา
พ.ศ.๒๔๕๘ สอบไล่ได้ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ จาก โรงเรียนวัดโป่งศรี มีครูสาร เป็นผู้สอน
พ.ศ.๒๔๕๙ สอบไล่ได้ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ จาก โรงเรียนวัดบ้านถิ่น มีครูคำมูล ถิ่นทิพย์ เป็นผู้สอน
พ.ศ.๒๔๖๐ สอบไล่ได้ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ ( เทียบเท่า ป.๔ ) จาก โรงเรียนพิริยาลัย
( โรงเรียนนารีรัตน์ ในปัจจุบัน ) จังหวัดแพร่
พ.ศ.๒๔๗๐ สอบได้นักธรรมชั้นตรี จากสำนักเรียนวัดเหมืองหม้อ
พ.ศ.๒๔๗๖ สอบวิชาชุด ครูมูล ได้ เป็นการศึกษาด้วยตนเอง
พ.ศ.๒๔๗๘ สอบนักธรรมชั้นโท ได้ เป็นการศึกษาด้วยตนเอง
ผลงาน
พ.ศ. ๒๔๕๙ - ๒๔๘๔
พ.ศ. ๒๔๕๙ - ๒๔๗๙ ได้ช่วยเหลือในการปกครอง และเป็นกำลังสำคัญในการช่วยสร้างกุฏิ อุโบสถ กำแพงวัด(ได้รื้อไปหมดแล้ว) และขยายที่ดินวัดถิ่นใน
พ.ศ. ๒๔๘๐ เป็นประธานดำเนินการสร้างอาคารเรียน ๒ ชั้น ของโรงเรียนวัดบ้านถิ่น ขนาดกว้าง ๘.๕๐ เมตร ยาว ๒๔ เมตร ( อาคารหลังแรกปัจจุบันรื้อถอนไปแล้ว)
พ.ศ. ๒๔๘๒ เป็นประธานเปิดป้ายชื่อใหม่ โรงเรียนประถมศึกษาประจำตำบลบ้านถิ่น จากโรงเรียนวัดบ้านถิ่น เป็น " โรงเรียนบ้านถิ่น (ถิ่นวิทยาคาร)"
พ.ศ. ๒๔๘๔ เป็นประธานดำเนินการสร้างอาคาร ๒ ชั้น ของ โรงเรียนปริยัติธรรมวัดถิ่นในเป็นประธานร่วมกับพระอธิการตุ๋น เจ้าอาวาสวัดถิ่นนอก ย้ายสุสานจากเขตหมู่ ๒ ไปตั้งที่เขตพื้นที่ของหมู่ที่ ๓ (สุสานบ้านถิ่นในปัจจุบัน)
พ.ศ. ๒๔๘๕ - ๒๔๙๗
พ.ศ. ๒๔๘๕ เป็นประธานสร้างศาลาวัดถิ่นใน (รื้อถอนไปแล้ว)
พ.ศ. ๒๔๘๗ เป็นประธานสร้างสะพานข้ามห้วย "ฮ่องฮ่าง" (ขัวยาว) กว้าง ๔ เมตร ยาว ๒๐ เมตร ในเขตหมู่ ๓ (ปัจจุบันได้รื้อถอนไปแล้ว)
พ.ศ. ๒๔๙๒ เป็นประธานทำบุญฉลองเปิดป้าย " โรงเรียนปริยัติธรรมโอภาสธรรมากร "วัดถิ่นใน ( รื้อถอนไปแล้ว )
พ.ศ. ๒๔๙๓ เป็นประธานดำเนินการสร้างอาคารเรียนชั้นเดียว โรงเรียนบ้านถิ่น (ถิ่นวิทยาคาร) ขนาด กว้าง ๘ เมตร ยาว ๒๒ เมตร
พ.ศ. ๒๔๙๔ เป็นประธานร่วมกับพระอธิการตุ๋น สร้างกุฎิวัดถิ่นนอก ( รื้อถอนไปแล้ว )
พ.ศ. ๒๔๙๗ เป็นประธานดำเนินการสร้างกุฎิวัดถิ่นใน ลักษณะเป็นตึก ๒ ชั้น จำนวน ๓ หลัง จนปรากฏมาจนถึงปัจจุบันนี้
พ.ศ. ๒๔๙๘ - ๒๕๐๒
พ.ศ. ๒๔๙๘ เป็นประธานนำราษฎรตัดถนน จาก หมู่ ๑ ไปยัง หมู่ ๒
พ.ศ. ๒๔๙๙ เป็นประธานร่วมกับ นายชุณห์ นกแก้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และราษฎรชาวบ้านถิ่น-น้ำชำ ตัดถนนจาก บ้านถิ่น ไป บ้านน้ำชำ ระยะทาง ยาว ประมาณ ๗ กิโลเมตร ทำพิธีเปิดเป็นทางสัญจรได้ เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน
พุทธศักราช ๒๕๐๑ ให้ชื่อว่า " ถนนโอภาสชุณหราษฎร์วิถี "
พ.ศ. ๒๕๐๑ เป็นประธานจัดหาที่ดิน จำนวน ๑๙ ไร่ โดยการสละทรัพย์ส่วนตัวซื้อที่ดินชักชวนชาวบ้านร่วมสมทบสร้างศาลาประชาคม ๑ หลังและบ้านพักพัฒนากรอีก ๑ หลัง
พ.ศ. ๒๕๐๒ ร่วมกับปลัดพัฒนากรและชาวบ้าน สร้างสถานีอนามัย ๒ ชั้น จำนวน ๑ หลัง ในที่ดินที่จัดหาไว้ได้รับบริจาคทุนสร้างจากบริษัทป่าไม้แพร่ จำนวน ๕,๐๐๐ บาท
พ.ศ. ๒๕๐๔ - ๒๕๐๗
พ.ศ. ๒๕๐๔ ร่วมกับ นายแกล้ว วิทยศิริ ศึกษาธิการอำเภอเมืองแพร่ และได้สละเงินส่วนตัวจำนวน ๔,๐๑๖ บาท ซื้อที่ดินเพิ่มอีก ๓ ไร่ ๓ งาน และอุปกรณ์ก่อสร้างอาคารเรียน ลักษณะตึกชั้นเดียว กว้าง ๑๐ เมตร ยาว ๕๔ เมตร
พ.ศ. ๒๕๐๕ เป็นประธานสร้างศาลาพิธีกรรมสุสานบ้านถิ่น (รื้อถอนไปแล้ว) และ ช่วยสร้างอุโบสถวัดโป่งศรี (รื้อถอนไปแล้ว )
พ.ศ. ๒๕๐๗ ช่วยสร้างอุโบสถวัดถิ่นนอก(รื้อถอนไปแล้ว) และ วันที่ ๒ เมษายน เป็นประธานเปิดป้ายชื่อโรงเรียนประถมศึกษาตอนปลาย " โรงเรียนบ้านถิ่น (โอภาสประชา- สงเคราะห์)" คือ " โรงเรียนถิ่นโอภาสวิทยา" ในปัจจุบัน
การปกครอง
ด้านการปกครองสมัยที่ท่านเป็นรองเจ้าอาวาส ครูบาธรรมเสนา เจ้าอาวาส ซึ่งเป็นพระมีคาถาอาคมทางไสยศาสตร์ สามารถรักษาโรคกระดูก ต่อกระดูก และรักษาภัยต่าง ๆ ได้และสมัยนั้นมีพระภิกษุ-สามเณรเป็นจำนวนมาก ชาวบ้านเมื่อมีลูกหลานอายุครบบวชก็จะให้เข้ามาบรรพชาอุปสมบทเป็นภิกษุ-สามเณรกัน เพื่อให้มีโอกาสได้เรียนหนังสือและฝึกหัดอบรมจิตใจตนเองครูบาธรรมเสนา จึงมอบหมายให้ท่านเป็นผู้ทำหน้าที่ปกครองดูแล พระภิกษุ-สามเณร-ศิษย์วัด(ขโยม)
การปกครองเป็นแบบพ่อปกครองลูก ท่านจะจัดระเบียบให้พระภิกษุ-สามเณร-ศิษย์วัด ทำวัตรเช้า-เย็น ทุกวัน โดยมีบัญชีเรียกชื่อในการทำวัตรด้วยถ้าใครขาดทำวัตรก็จะถูกทำโทษ สวดมนต์เสร็จก็ให้เณรมื้อ(เวร)อ่านข้อกติกา กฎ ระเบียบของวัดแทบทุกครั้งเพื่อเตือนสติผู้บวชให้จดจำไม่ล่วงละเมิด รวมไปถึงได้ให้ปกครองดูแลศรัทธาชาวบ้านไปด้วย ผู้ที่ทำผิดต้องถูกเรียกมาสั่งสอน แนะนำ และทำโทษ หนัก-เบาแล้วแต่กรณีโทษ ถ้าเป็นพระภิกษุ-สามเณร หากโทษหนักก็ให้สึก
เมื่อมีงานวัดหากชาวบ้านเกิดการทะเลาะวิวาทกัน ท่านก็จะใช้ไม้เรียวไล่ตีคู่กรณีให้หยุดการวิวาทกัน โดยที่ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน ไม่มีใครกล้าทำอย่างท่าน เพราะท่านถือว่าทุกคนเป็นลูกศิษย์ลูกหาของท่าน ท่านมีหน้าที่สั่งสอนให้เป็นคนดีของสังคม ชาวบ้านยำเกรงท่านมากเมื่อเดินทางใกล้เขตวัดแล้วทุกคนจะไม่ให้มีเสียงเอะอะโวยวายหรือจุดประทัดรบกวนชาวบ้านเป็นอันขาด เพราะหากว่าเสียงได้ยินถึงหูท่านแล้วจะเรียกมาทำโทษ เช่นให้ขนทรายเข้าวัดบ้าง ให้ขุดบ่อน้ำดื่มสาธารณะบ้าง ให้ดายหญ้าถางหญ้าบ้าง เป็นต้น
วัดถิ่นใน เป็นสถานที่ผลิตช่างก่อสร้าง(สล่า) ช่างไม้ ช่างปูน ท่านเห็นว่าพระภิกษุ-สามเณร มีมากบางคราวอยู่ว่าง เสียดายเวลา ท่านก็ให้ฝึกหัดให้เป็นช่าง ตอนแรกก็ทำหีบไม้ ต่อมาก็ทำตู้ โต๊ะ ม้านั่ง ทั้งนี้เพราะท่านก็เป็นช่างจากการชอบสังเกตแล้วนำมาปฏิบัติ สามารถออกแบบออกแปลนเองได้ เวลาทำงานท่านก็ไม่เพียงแต่ดูเฉย ๆ หากลงมือทำไปด้วยท่านนำพระภิกษุ-สามเณร-ชาวบ้าน สร้างศาลาการเปรียญ กุฏิ ๓ หลังปัจจุบันของวัดถิ่นใน โดยไม่มีการจ้างเหมา
วัสดุก่อสร้างก็ไปหาเอาเองไม่ได้ซื้อหาได้ง่ายเหมือนสมัยนี้ แต่หาได้ง่ายจากป่าไม้ซึ่งมีมากมาย ปูนซีเมนต์สำหรับก่อ ฉาบ กุฏิ ท่านก็เป็นพาพระ-เณรไปเผาผาที่แม่แคมนำมาผสมกับยางไม้เมฆ (ไม้ชนิดหนึ่ง) จนสามารถสร้างกุฏิ ๓ หลังสำเร็จเรียบร้อยและมั่นคงถาวรจนถึงปัจจุบัน สร้างอาคารเรียนโรงเรียนบ้านถิ่น(ถิ่นวิทยาคาร)และอาคารเรียนโรงเรียนบ้านถิ่น(โอภาสประชาสงเคราะห์)โดยอาศัยแรงงานชาวบ้านช่วยกัน ท่านเป็นผู้เสียสละทั้งกำลังปัญญาและกำลังทรัพย์ให้ ดังนั้นคนที่สึกขาลาเพศไปทุกคนจึงมีวิชาชีพด้านช่างไม้ช่างปูนติดตัวไปด้วยเพราะได้ฝึกฝนจากวัดจนเกิดความชำนาญ
หน้าที่การงาน
พ.ศ. ๒๔๖๑ - ๒๔๘๒
พ.ศ.๒๔๖๑ ดำรงตำแหน่งครูโรงเรียนวัดบ้านอ้อย อำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่
พ.ศ.๒๔๖๕ ดำรงตำแหน่งครูโรงเรียนบ้านถิ่น อำเภอเมือง จังหวัดแพร่
พ.ศ.๒๔๖๖ ดำรงตำแหน่งครูใหญ่โรงเรียนบ้านถิ่น จนเกษียณปี พ.ศ. ๒๕o๒
พ.ศ.๒๕๗๒ เปิดสำนักเรียนนักธรรมขึ้นที่ วัดถิ่นใน
พ.ศ.๒๔๗๖ ได้รับแต่งตั้งเป็้น พระกรรมวาจาจารย์
พ.ศ.๒๔๘๑ ได้รับตำแหน่งเป็นรองเจ้าอาวาสวัดถิ่นใน และเจ้าคณะตำบลสวนเขื่อน
พ.ศ.๒๔๘๒ เป็นกรรมการศึกษา ตำบลบ้านถิ่น
พ.ศ. ๒๔๘๓ - ๒๔๙๙
พ.ศ.๒๔๘๓ ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดถิ่นใน และเจ้าคณะตำบลบ้านถิ่น
พ.ศ.๒๔๘๔ เปิดสำนักเรียนบาลีที่ วัดถิ่นใน
พ.ศ.๒๔๘๕ ได้รับแต่งตั้งเป้นพระอุปัชณาย์
พ.ศ.๒๔๘๖ ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการตรวจธรรมสนามหลวง
พ.ศ.๒๔๘๗ ได้รับแต่งตั้งเป็นสาธารณูปการจังหวัดแพร่
พ.ศ.๒๔๙๐ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรที่ "พระครูโอภาสสังฆกิจ"
พ.ศ.๒๔๙๙ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ที่ " พระโอภาสพุทธิคุณ "
การพัฒนา
การพัฒนา(1)
ด้านการพัฒนา ถือว่า ท่านเป็นพระนักพัฒนาชั้นยอดทีเดียว ท่านมองการณ์ไกล จัดหาและสร้างสิ่งอันเป็นปัจจัยพื้นฐานของชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านสร้างบ้านพักให้ ปลัดรัศมี คงมั่น พัฒนากรจังหวัดมาอยู่ประจำ และหมอพัน สารพิพัฒน์ สาธารณสุขคอยดูแลสารทุกข์สุกดิบของราษฎรชาวบ้านถิ่น ชักชวนชาวบ้านทำความสะอาดคอกวัว-คอกควาย สร้างรั้วบ้าน สร้างส้วม เป็นต้น จนบ้านถิ่นเป็นเขตพัฒนาของจังหวัดแพร่ มีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่จากกรุงเทพ ฯ เดินทางมาดูงาน เช่น นายชำนาญ ยุวบูรณ์ นายกเทศมนตรีนครกรุงเทพ ฯ และพลตำรวจตรีสง่ากิตติขจร เป็นต้น
การตัดถนน สมัยก่อนถนนหนทางลำบาก มีแต่ซอยเล็ก ๆ แคบ ๆ พอให้คนเดิน ล้อเกวียนเข้าไม่ได้ เพราะสมัยนั้นมีต้นไม้มาก เป็นไม้ผลของชาวบ้านอยู่ในเขตรั้วบ้านของแต่ละคน เช่น ต้นหมาก ต้นมะม่วง ต้นมะปราง เป็นต้น ท่านเป็นผู้ริเริ่มสร้างถนนหนทางให้ไปมาได้สะดวกขึ้นสามารถเชื่อมโยงกันได้ทั่วหมู่บ้าน ในหมู่บ้านท่านจะเรียกเจ้าของที่ดินตามแนวที่จะขยายถนน - ตัดถนนมาพูดคุยแล้วขอร้อง คนใดไม่ยอมให้ตัดต้นไม้ท่านก็ปล่อยไว้ก่อน ส่วนคนใดยอมอนุญาตท่านก็จะให้ชาวบ้านช่วยกัตัด - ขุด - แต่งให้เป็นแนวถนน หาลูกรังมาถมพอให้เดินทางไป-มาสะดวก ถนนแทบทุกสายในบ้านถิ่นที่ตัดไว้ในสมัยท่านจึงกว้างขวางเป็นสัดเป็นส่วนกว่าบ้านอื่น
ส่วนถนนสาย บ้านถิ่น - น้ำชำ นั้น ท่านได้ประสานงานกับ นายชุณห์ นกแก้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ เพราะว่า ที่ดินที่เป็นทางผ่านเป็นที่ของคนหลายบ้านหลายตำบล เช่น บ้านเหมืองหม้อ บ้านโป่งศรี บ้านน้ำชำ ท่านทำการตัดถนนอย่างค่อยเป็นค่อยไป ช่วงไหนที่เจ้าของที่ดินไม่อนุญาตให้ ก็ให้เว้นไว้ก่อน ส่วนช่วงไหนเจ้าของอนุญาตก็พาศรัทธาชาวบ้าน ขุด-แต่ง-ปรับ-ถม คนละวาสองวาให้เป็นทางสัญจรไปมาได้ ภายหลังมาเจ้าของที่ดินทุกคนก็ยินยอมยกให้อย่างดี โดยการนำดินที่ตัดถนนใส่ขันเงินมาถวายท่าน จนปรากฎเป็นถนนสายหลัก ระหว่างบ้านถิ่น - บ้านน้ำชำ ในปัจจุบันนี้
สถานีอนามัย เดิมเป็นบ้านร้างผีดุ เจ้าของไม่อยู่ พ่อกำนันแก้วบอกว่ามีคนเล่าให้ฟังว่าบ้านนี้เป็นบ้านไม่บริสุทธิ์ที่เขาเรียกว่า "บ้านผีก๊ะ" ชาวบ้านพากันรังเกียจ ท่านจึงได้ขอเป็นของโรงเรียน เพื่อเป็นแปลงกสิกรรม ตอนเริ่มบุกเบิกท่านได้พาพระภิกษุ - สามเณร - นักเรียนไปช่วยกันทำไร่ปลูกฝ้าย จนผลผลิตฝ้ายประกวดได้ที่ ๑ ต่อมาท่านได้สร้างอาคาร สำหรับเป็นที่ทำการของหมอสาธารณสุข มีคุณหมอผิน อภัยกาวี มาอยู่ประจำเป็นคนแรก และได้ปรับปรุงที่ดิน จนกลายเป็นสถานีอนามัยให้เห็นในปัจจุบัน
การพัฒนา(2)
ท่านเป็นนักการศึกษา มาตั้งแต่บวชครั้งแรก จะเห็นว่าตามประวัติของท่าน พอเริ่มบวช ก็เร่งศึกษาหาความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรม เริ่มเป็นครูสอนคนมาตั้งแต่ยังเป็นพระหนุ่ม มีความรู้เพียงชั้นประศึกษาปีที่ ๓ และนักธรรมชั้นโท แต่สามารถสอนได้ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔-๕-๖ และ นักธรรมชั้นเอก ทั้งนี้เพราะว่าท่านศึกษาด้วยตนเอง สามารถเปิดสำนักเรียนนักธรรมและบาลี จนมีลูกศิษย์สอบได้หลายคนอาทิ เช่น สอบบาลีได้มี ท่านมหาแสน นันทวรรณ, ท่านมหาวิศิษฐ์ จิตรบุณย์, ท่านมหาพรหม ธรรมสรางกูร, สามเณรจันเพ็ญ วัฒนปรีดี ปธ.๓ ,ท่านมหาอินธรรม วัฒนปรีดี, ท่านมหาประสิทธิ์ ถิ่นจอม, ท่านมหาฟัก ศิริพันธ์และท่านมหาชวลิต แนวลาด เป็นต้นและมีผู้สอบนักธรรมได้อีกจำนวนมาก บางคนสามารถนำไปสมัครสอบเป็นข้าราชการครู ทหาร ตำรวจ ได้ก็หลายคน
สมัยนั้นไม่มีใครรู้หนังสือไทย ท่านก็นำความรู้ที่ไปศึกษามาสอนคนบ้านถิ่นให้รู้หนังสือเหมือนอย่างท่าน ใช้ศาลาที่พักคนต่างถิ่นที่มาค้าขายเป็นสถานที่สอนหนังสือ ต่อมาก็หาที่ดินเพิ่มเติม ขยายเขตโรงเรียน หากเจ้าของไม่ขายให้เพื่อเก็บไว้ทำนา ท่านก็จะหาซื้อที่ดินผืนที่ทำนาได้ดีกว่า ที่เจ้าของยินยอมขายให้มาแลกเปลี่ยนกัน ต่อมาท่านได้สร้างห้องสมุดขึ้นที่วัดถิ่นใน มีหนังสืออ่านมากมาย ทั้งทางโลกและทางธรรม ตอนนั้นมีนายอำเภอหนุ่มรูปหล่อ จากอำเภอร้องกวางชื่อ นายชลอ ธรรมศิริ มาเป็นประธานเปิดผ้าคุมป้าย ห้องสมุดวัดถิ่นใน
ในส่วนของสุสานบ้านถิ่นนั้น แต่เดิมใช้ป่าช้าปู่คง ( สระเก็บน้ำใต้อ่างเก็บน้ำฮ่องฮ่าง อยู่ หมู่ ๒ ) สมัยก่อนต้องหามศพไปป่าช้า ที่ไม่มีถนนต้องหามเดินลัดเลาะไปตามทุ่งนาของชาวบ้าน สัปเหร่อ ต้องหาม ๔ คน ระยะทางไกล ต้องมีคนสะพายดาบและถือแคร่ส่องนำทาง พอไปถึงป่าช้าก็ก่อกองไฟผู้ที่ไปร่วมงานทุกคนต้องข้ามกองไฟทั้งขาไปและขากลับ ทุกคนจะต้องเดินกลับบ้านโดยไม่เหลียวหลัง หลวงปู่ท่านเห็นว่าเป็นความลำบากของศรัทธาชาวบ้านด้วยการเดินทาง และศาลาที่พักทำพิธีกรรมก็ไม่มี ท่านจึงได้หาที่สร้างสุสานใหม่ โดยกำหนดให้การเดินทางไป-กลับสะดวก
ในที่สุดท่านก็ได้สถานที่ที่ต้องการอยู่ไม่ห่างจากบ้านเรือนราษฎรมากนัก ท่านจึงได้ขอซื้อที่นาจากพ่อรส ธรรมสรางกูร และพ่อผัน ธุรกิจ ที่นาโชคปู่เต๋ ติดกับฮ่องพระเฮียนเจิงซึ่งอยู่ติดทางล้อเกวียนไปนาไปไร่ของชาวบ้าน แล้วได้นำราษฎรสร้างศาลาประกอบพิธีกรรมทางศาสนาขึ้น ๑ หลัง ด้วยการเกณฑ์หัวหมวดของวัดหมวดละ ๒ วันช่วยกันสร้าง หัวหมวดจึงเกิดขึ้นสมัยนั้น) พอสร้างเสร็จแล้ว พ่อผัน ธุรกิจ ก็ได้นำต้นโพธิ์ไปปลูกไว้(มีพระเณรช่วยกันแห่ต้นโพธิ์ไปด้วย) ซึ่งก็ปรากฏให้เห็นต้นตะหง่านในปัจจุบันนั่นเอง ต้นโพธิ์จึงมีมาพร้อมกับฌาปนสถานบ้านถิ่นในปัจจุบัน การนำศพไปป่าช้าจึงง่ายขึ้น เพราะใส่หีบศพบรรทุกล้อเกวียนไปได้ สมัยก่อนศพเด็กหรือคนที่ตายโหงไม่ทำการเผา ใช้วิธีฝังภายในบริเวณป่าช้านั่นเอง
สำหรับโรงเรียนถิ่นโอภาสวิทยานั้น เดิมที่ดินผืนนี้แห้งแล้ง ขาดน้ำทำนาไม่ได้ผล ท่านก็ใช้ทุนทรัพย์ส่วนตัวจัดซื้อไว้บ้าง ทุนมูลนิธิของวัดถิ่นในบ้าง ขอบริจาคบ้าง ซื้อที่ดินที่อื่นแลกเปลี่ยนบ้างเพื่อสร้างโรงเรียน โดยในตอนแรกได้สร้างอาคารเรียนไม้สักทอง และศาลาประชาคมเป็นที่ประชุมชาวบ้าน ๑ หลัง บ้านพักปลัดอำเภอ และ พนักงานอนามัย ต่อมาท่านได้สร้างอาคารเรียนขึ้นมา ๑ หลังเป็นตึกชั้นเดียว อาศัยแรงงานชาวบ้านช่วยกันทำ ขณะนั้นมีคนคัดค้านท่านหลายคน หาว่าท่านไปสร้างไว้เป็นสถานที่มั่วสุม "ชนกว่าง" กันในเวลากลางคืนเท่านั้นแต่ท่านก็อธิบายว่า สถานที่แห่งนี้ติดกับถนนสายใหญ่เชื่อมระหว่างหลายหมู่บ้าน ต่อไปจะเป็นศูนย์กลางการศึกษาของเด็กรุ่นลูกรุ่นหลานรุ่นเหลนของชาวบ้านแถบนี้
ชิวิตบั้นปลาย
หลวงปู่ท่านได้อาพาธด้วยโรคมะเร็งในหลอดลม เพราะท่านถือว่าเป็นคนสูบบุหรี่จัดคนหนึ่ง ท่านก็ได้พูดคุยปรึกษาหารือกับคณะกรรมการศรัทธาชาวบ้าน ว่าจะไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราชกรุงเทพมหานคร ใช้เวลารักษาตัวประมาณเดือนกว่า อาการอาพาธก็ยังไม่ทุเลากลับยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆหมอจึงแนะนำให้ท่านกลับวัด ขณะที่ท่านอาพาธอยู่ที่วัดถิ่นใน ผู้คนที่ศรัทธาได้ทราบข่าวก็เดินทางมาเยี่ยมท่านไม่ขาดสาย ทั้งผู้นำฝ่ายสงฆ์และข้าราชการผู้ใหญ่ ตลอดจนถึงลูกศิษย์ลูกหาที่ทราบข่าว ซึ่งระหว่างนั้นหมอได้แนะนำไว้ให้ท่านพยายามพูดให้น้อยลง เพราะหลอดลมของท่านอักเสบมาก เวลาพูดเสียงจะเบาและแหบพร่า
อาการกลับรุนแรงขึ้นอีก ชาวบ้านศรัทธาจึงนำท่านกลับเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลแพร่ แต่อาการโรคมะเร็งของท่านก็รุกรามรุนแรงจนหมอไม่สามารถจะรักษาได้แล้ว ท่านได้ถึงแก่มรณภาพ ณ ตึกสงฆ์อาพาธโรงพยาบาลแพร่ เมื่อ วันที่ ๑๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๐๘ เวลาประมาณ ๑๕.๓๐ น.ยังความเศร้าโศกเสียใจแก่ชาวบ้านถิ่นเป็นอย่างมาก สิริรวมอายุได้ ๖๖ ปี ๑๑ วัน พรรษา ๔๖ รวมชีวิตในผ้ากาสาวพัตร ๕๑ ปี
คณะกรรมการได้นำสรีระร่างอันไร้วิญญานของท่านกลับวัดถิ่นใน ให้ญาติโยมศรัทธาได้รดน้ำศพและบำเพ็ญกุศลเป็นเวลาถึง ๗ วัน แล้วจึงอัญเชิญร่างของท่านบรรจุในโกฏไม้สักทองในท่านั่งพับเพียบประนมมือ หลังจากนั้นคณะกรรมการฝ่ายสงฆ์และกรรมการศรัทธาลูกศิษย์ได้ประชุมตกลงกันเป็นเอกฉันท์ว่าให้เก็บศพของท่านไว้ ๑ ปี และเมื่อเกือบครบปีแล้วก็ได้เคลื่อนโกฏบรรจุสรีระร่างของท่านจากวัดถิ่นในไปตั้งบำเพ็ญกุศล ณ เมรุชั่วคราว สนามโรงเรียนบ้านถิ่น (โอภาสประชาสงเคราะห์) คือ โรงเรียนถิ่นโอภาสวิทยาในปัจจุบัน
ตั้งศพบำเพ็ญกุศลอยู่ ๗ วัน ๗ คืน โดยในขณะนั้นเหล่าศิษยานุศิษย์ได้จัดตั้งกลุ่มขึ้นมาเพื่อช่วยในงานพระราชทานเพลิง เรียกกันว่า "กลุ่มพุทธชน" ต่อมาเปลี่ยนเป็น "กลุ่มศิษย์โอภาส" และต่อมาเปลี่ยนเป็น "กลุ่มรวมมิตร" ในปัจจุบัน ประกอบพิธีพระราชทานเพลิงศพ ใน วันอาทิตย์ ที่ ๓ เดือนเมษายน ปีพุทธศักราช ๒๕๐๙ (วันขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๗ เหนือ) เวลาประมาณ ๒๐.๐๐ น. ประชุมเพลิง
หลังเสร็จงานศพแล้ว ได้มีเงินคงเหลือ ๗,๗๗๙ บาท(เจ็ดพันเจ็ดร้อยเจ็ดสิบเก้าบาท) คณะกรรมการได้นำไปสมทบกับเงินของ พ่อกำนันแก้ว ธรรมสรางกูร ซึ่งร่วมบริจาคซื้อที่ดินเพิ่มให้โรงเรียนบ้านถิ่น (ถิ่นวิทยาคาร)สถานที่สร้างอาคาร ๑ เดี๋ยวนี้นั่นเอง (เดิมโรงเรียนมีที่ดินเพียงไร่เศษเท่านั้น ต่อมาท่านได้ขยายที่ดินให้จนเห็นกว้างขวางในปัจจุบัน)
ความดำริที่ค้างไว้
ความดำริที่ค้างไว้
พระเดชพระคุณพระโอภาสพุทธิคุณท่านได้สร้างสิ่งอันเป็นคุณประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่ชนรุ่นหลังแทบจะบอกได้ว่าตลอดชีวิตของท่านเลยก็ได้ เพราะนับตั้งแต่เข้าสู่ผ้ากาสาวพัตรจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ท่านสร้างแต่สิ่งที่ดีงามเป็นประโยชน์แก่คนส่วนใหญ่ไม่เลือกที่รักมักที่ชังเสมอกันทุกคน ดังประวัติชีวิตของท่านที่ได้เขียนไว้นี้ แต่ก็ยังมีบางอย่างที่ท่านคิดไว้ว่าจะทำแล้วไม่ได้ทำ เพราะจากไปเสียก่อน คือ
- การสร้างศาลาการเปรียญวัดถิ่นใน(สร้างเสร็จแล้ว การสร้างอุโบสถหลังใหม่เพราะหลังเดิมคับแคบ (สร้างเสร็จแล้ว)
- การขออนุญาตจัดตั้งโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา (เสร็จเรียบร้อยแล้ว)
- การจัดตั้งโรงเรียนระดับอนุบาล
ความดำริของท่านได้สำเร็จไปแล้วเกือบทุกข้อ แต่ขาดข้อสุดท้ายคือการจัดตั้งโรงเรียนระดับอนุบาล ซึ่งก็มีแล้วแต่ถือเป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียนประถมศึกษาตอนต้น โรงเรียนบ้านถิ่น (ถิ่นวิทยาคาร) ต่อไปชาวบ้านถิ่นจึงต้องช่วยตนเองให้มาก ยึดเอาแบบอย่างที่ดีงามของหลวงปู่เป็นตัวอย่างการทำความดี เพราะมีคนเขาทำนายเอาไว้ว่า บ้านถิ่นหากขาดเจ้าคุณโอภาส ฯ แล้ว ก็จะด้อยลง ๆ เรื่อย ๆ
ฉะนั้น คนบ้านถิ่นจึงควรเอาคุณงามความดีของหลวงปู่ที่ยังอยู่ที่มองเห็นเด่นชัดไม่เลือนลางไปตามกาลเวลามาเป็นกำลังใจ เปรียบเหมือนกับว่าท่านยังอยู่กับเราไม่ได้จากไปไหนเลย ท่านกำลังมองพวกเราทุกคนอยู่