ความหมายและความสำคัญของพระไตรปิฎก
คำว่าปิฎกมี ๒ ความหมาย คือ ๑. ปริยัติหรือตำรา ๒. ภาชนะคือกระจาดหรือตะกร้า
ปิฎก ที่แปลว่า กระจาดหรือตะกร้า หมายความว่า เป็นที่รวบรวมคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้เป็นหมวดหมู่ไม่ให้กระจัดกระจาย คล้ายกระจาดหรือตะกร้าอันเป็นภาชนะใส่ของ
พระไตรปิฎกประกอบด้วย พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก
ในยุคแรกของการประกาศพระศาสนา พระพุทธวจนะหรือคำสอนของพระพุทธเจ้าปรากฏชื่อเรียกกันในสมัยนั้น ๒ อย่าง คือ ๑. เรียกว่า “พฺรหฺมจริย” หรือ พระหมจรรย์ ๒. เรียกว่า “สาสน” หรือ “คำสอน”
ในสมัยพุทธกาลได้จัดพุทธพจน์ออกเป็นรูปแบบต่างๆ เพื่อสะดวกในการจดจำของเหล่าพระสาวก เรียกว่า นวังคสัตถุศาสน์
“นวังคสัตถุศาสน์” คือ คำสอนของพระศาสดามี ๙ ประการ คือ
๑. สุตตะ คือ คำสอนประเภทร้อยแก้วล้วน
๒. เคยยะ คือ คำสอนประเภทร้อยแก้วผสมร้อยกรอง
๓. เวยยากรณะ คือ คำสอนประเภทที่เป็นอรรถกถาธิบาย
๔. คาถา คือ คำสอนประเภทร้อยกรองล้วน
๕. อุทาน คือ คำสอนประเภทที่เปล่งขึ้นจากแรงบันดาลใจของพระพุทธเจ้าและพระสาวกส่วนมากจะเป็นร้อยกรอง
๖. อิติวุตตกะ คือ คำสอนประเภทคำอ้างอิง ที่ยกข้อความที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้มาอ้างอิงเป็นตอนๆ
๗. ชาตกะ หรือ ชาดก คือ คำสอนประเภทนิทานชาดก หรือ เรื่องราวในอดีตชาติของพระพุทธเจ้าในขณะบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์
๘. อัพภูตธรรม คือ คำสอนประเภทเรื่องอัศจรรย์เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหลาย
๙. เวทัลละ คือ คำสอนประเภทคำถาม-ตอบ
กำเนิดและความเป็นมาของพระไตรปิฎก
ภายหลังการตรัสรู้แล้ว พระพุทธเจ้าได้ประทับเสวยวิมุตติสุข ณ ควงต้นโพธิ์และบริเวณโดยรอบเป็นเวลา ๗ สัปดาห์
บุคคล ๔ จำพวก คือ
๑. อุคคฏิตัญญู พวกที่มีสติปัญญาฉลาดเฉลียว เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่พ้นน้ำ เมื่อต้องแสงอาทิตย์ก็เบ่งบานทันที
๒. วิปจิตัญญู พวกที่มีสติปัญญาปานกลาง เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ปริ่มน้ำซึ่งจะบานในวันถัดไป
๓. เนยยะ พวกที่มีสติปัญญาน้อย เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ ซึ่งจะค่อยๆ โผล่ขึ้นเบ่งบานได้ในวันหนึ่ง
๔. ปทปรมะ พวกที่ไร้สติปัญญา เปรียบเสมือนดอกบัวที่จมอยู่กับโคลนตม
หลังจากที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว พระองค์ได้ทรงพิจารณาบุคคลที่จะแสดงธรรมเป็นคนแรกคือ อาฬารดาบส กาลามโคตร และอุทกดาบส รามบุตร
พราหมณ์โกณฑัญญะ ได้ฟังธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมจักกัปปวัตตนสูตร เกิดความเลื่อมใสได้ดวงตาเห็นธรรม บรรลุเป็นอริยบุคคลชั้นโสดาบัน จึงทูลขออุปสมบทในพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าด้วยวิธี เอหิภิกขุปสัมปทา
ในพรรษาที่ ๑๒ พระพุทธเจ้าประทับ ณ เขตเมืองเวรัญชา พระสารีบุตรทูลถามถึงเหตุที่ทำให้พรหมจรรย์ ดำรงอยู่นานและไม่นานพระพุทธเจ้าตรัสถึงเหตุปัจจัยที่ทำให้พรหมจรรย์ดำรงอยู่ได้นานและไม่นาน
พุทธวิธีในการบัญญัติสิกขาบทคือ
๑. เมื่อมีเรื่องไม่ดีไม่งามเกิดขึ้นทรงรับสั่งให้ประชุมสงฆ์
๒. ตรัสถามภิกษุผู้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
๓. ทรงตำหนิภิกษุที่ก่อเรื่อง
๔. ชี้โทษแห่งการล่วงละเมิด
มูลเหตุแห่งการบัญญัติสิกขาบทด้วยปัจจัย ๕ ประการ
๑. สังคมสงฆ์ตั้งได้เป็นเวลานานพอสมควร
๒. สังคมสงฆ์ขยายตัวใหญ่ขึ้น
๓. มีผลประโยชน์เกิดมากขึ้น
๔. มีผู้ทรงความรู้มากขึ้น
๕. ผู้มีประพฤติผิดให้เป็นที่เสื่อมเสีย
ผู้เป็นต้นบัญญัติปาราชิก ข้อที่ ๑ ว่าด้วยเรื่องการเสพเมถุน คือ พระสุทิน
พระพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติเพิ่มเติมให้ชัดขึ้นว่า ห้ามแม้ในสัตว์ดิรัฐฉาน เรียกว่า “อนุบัญญัติ”
พระพุทธเจ้าทรงประชุมสงฆ์วินิจฉัยและชี้ขาดบัญญัติสิกขาบทเพิ่มเติมขึ้นอีกเรียกว่า “วินีตวัตถุ”
ศีลของนักบวชและอุบาสกอุบาสิกาในพระพุทธศาสนามีดังนี้ ศีลพระภิกษุ ๒๒๗ ข้อ ศีลของภิกษุณี ๓๑๑ ข้อ ศีลของ สามเณร ๑๐ ข้อ ศีลของคฤหัสถ์ ๕ ข้อ
อาทิกัมมิกภิกษุ คือ ภิกษุผู้เป็นต้นบัญญัติ เป็นเหตุให้พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติพระวินัยสิกขาบทนั้นๆ
มูลเหตุให้ทรงบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุเกิดขึ้นเมื่อพรรษาที่ ๒๐ ของพระพุทธองค์
พระอภิธรรมว่าด้วยเรื่อง จิต เจตสิก รูป นิพพาน พระอภิธรรมมีเนื้อหาทั้งหมด ๔๒๐๐๐ พระธรรมขันธ์
พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระอภิธรรมโปรดเทวดาและพุทธมารดา ณ สวรรค์ชั้นดาวดึง
พระองค์ทรงแสดงพระอภิธรรมแก่พระธรรมเสนานีสารีบุตรอัครสาวกเบื้องขวาครั้งแรกที่ป่าไม้จันทร์แดงใกล้สระอโนดาต
ในสมัยพุทธกาลพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้ายังไม่ปรากฏคำว่า “พระไตรปิฎก” แต่ปรากฏอยู่ในคำว่า “พุทธพจน์, ธรรม, ปาพจน์, ธรรมวินัย, พระวินัย, พระสูตร, และพระอภิธรรม”
การสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๑ ทำกันเมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จดับขันธปรินิพพานได้ ๓ เดือน ปรารภสุภัททภิกษุผู้บวชเมื่อแก่กล่าวจ้วงจาบพระธรรวินัยและปรารภที่จะทำให้พระธรรมวินัยรุ่งเรืองสืบไป
สังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๑ มีพระอรหันต์ร่วมทำกัน ๕๐๐ รูป มีพระมหากัสสปะเป็นประธานและเป็นผู้ถาม พระอุบาลีเป็นผู้วิสัชนาพระวินัย พระอานนท์เป็นผู้วิสัชนาพระสูตรและพระอภิธรรม ประชุมทำกันที่ถ้ำสัตตบรรพคูหา ภูเขาเวภารบรรพต กรุงราชคฤห์ โดยมีพระเจ้าอชาตศัตรูทรงเป็นศาสนูปถัมภก ใช้เวลาทำอยู่ถึง ๗ เดือนจึงแล้วเสร็จ
การทำสังคายนาครั้งที่ ๒ ทำเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานได้ ๑๐๐ ปี มีพระสงฆ์ ๗๐๐ รูป ได้ร่วม ประชุมกันทำที่วาลิการาม กรุงเวสาลี พระเรวตะเป็นผู้ปุจฉา พระสัพพกามีเป็นผู้วิสัชนา โดยมีพระเจ้ากาลาโศกราชทรงเป็นศาสนูปถัมภก ใช้เวลาทำอยู่ถึง ๘ เดือน จึงแล้วเสร็จ
บทบาทของพระเถรที่เกี่ยวข้องกับพระไตรปิฎกในสมัยพุทธกาล
ช่วงที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนอยู่
พระสารีบุตรแนะนำให้รวบรวมร้อยกรองพระธรรมวินัย โดยแสดงตัวอย่างของการ จัดหมวดหมู่ธรรมเป็นข้อๆ ตั้งแต่ข้อ ๑ ถึงข้อ ๑๐ ว่ามีธรรมอะไรบ้างอยู่ในหมวด ๑ หมวด ๒ หมวด ๓ จนถึงหมวด ๑๐
ลักษณะการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระสารีบุตรคือ ให้คำแนะนำ ปรึกษา สนทนา ตอบปัญหาข้อข้องใจการแสดงธรรม
พระสารีบุตรถ่ายถอดธรรมะแก่ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาและบุคคลทั่วไปให้เข้าใจหลักธรรมด้วยวิธีการบรรยาย อธิบายขยายความ เปรียบเทียบ และตอบปัญหาธรรม
พระอานนท์ได้ชวนพระจุนทะเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าด้วยเรื่องนิครนถ์นาฏบุตรแตกกัน พระพุทธเจ้าได้แนะให้พระจุนทะ รวบรวมธรรมภาษิตของพระองค์ และทำสังคายนา คือจัดระเบียบทั้งโดยอรรถและพยัญชนะเพื่อให้พรหมจรรย์ตั้งมั่นยั่งยืนสืบไป
ผลงานสำคัญของพระโสณกุฏิกัณณะ คือ สวดอัฏฐกวรรคถวายพระพุทธเจ้า
ช่วงหลังพุทธปรินิพพาน
พระมหากัสสปเถระเป็นแบบอย่างที่ดีในด้าน สันโดษ เรียบง่าย และคงแก่เรียน
พระอุบาลี มีความเชี่ยวชาญ ด้านพระวินัยสามารถจำได้อย่างแม่นยำและชำนาญ
พระมหากัจจายนะ มีผลงานที่สำคัญคือ เป็นผู้ทำหน้าทีแทนพระพุทธเจ้าในการประกาศพระศาสนาในด้านการเผยแผ่ พระพุทธศาสนา พระมหากัจจายนะใช้วิธีการ ๔ อย่าง ในการสอน คือ สันทัสสนา สมาทปนา สมุตเตชนา และสัมปหังสนา และใช้รูปแบบการสอน คือ การสนทนาธรรม การบรรยาย การตอบปัญหาและการวางกฎระเบียบ
พระอานนท์ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้ทรงจำดีเป็นเอตทัคคะ ๕ อย่าง คือ
๑. เป็นพหูสูต คือ เป็นผู้ได้ยินได้ฟังมาได้แก่ทรงจำพระพุทธวจนะได้มาก
๒. เป็นผู้มีสติ คือ มีความระลึกนึกถึงก่อนที่จะทำพูดและคิดอยู่เสมอ
๓. เป็นผู้มีคติ คือ มีแนวการจำพระพุทธวจนะ
๔. เป็นผู้มีธิติ คือ มีความเพียร
๕. เป็นพุทธอุปัฏฐาก คือ ผู้ถวายการดูแลรับใช้พระพุทธเจ้า
อรรถกถา ได้แสดงการสืบสายของอาจารย์ทั้ง ๓ ปิฎก ที่เรียกว่า อาจริยปรัมปรา คือ สายแห่งพระอาจารย์ ได้แก่
๑. สายพระวินัยปิฎก คือ พระอุบาลี พระทาสกะ พระโสณกะ พระสิคควะ พระโมคคลีบุตรติสสะ
๒. สายพระสุตตันตปิฎกไม่ได้ระบุไว้ในอรรถกถา เป็นแต่ได้กล่าวถึงการมอบหน้าที่ในการท่องจำนำสืบๆกันไปมีดังนี้
มอบให้พระอานนท์ท่องจำสั่งสอนทีฆนิกาย
มอบให้นิสิตทั้งหลายของพระสารีบุตรท่องจำมัชฌิมนิกาย
มอบให้พระมหากัสสะท่องจำสังยุตตนิกาย
มอบให้พระอนุรุทธะท่องจำอังคุตตรนิกาย
ขุททกนิกายไม่ได้กล่าวไว้ว่า มอบหน้าที่ให้ใคร
๓. สายพระอภิธรรมปิฎก คือ พระสารีบุตร พระภัททชิ พระโสภิตะ พระปิยชาลี พระปิยปาละพระปิยทัสสี พระโกสิยปุตตะ พระสิคควะ พระสันเทหะ พระโมคคลี พระติสสทัตตะ พระธัมมิยะ พระทาสกะ พระโสณกะ พระเรวะ ว่าตามรายนามนี้สืบต่อมาเพียง ๒๓๕ ปีเท่านั้น
จบบทที่ ๑
โครงสร้างของพระไตรปิฎก
พระไตรปิฎกประกอบด้วยเนื้อหาสามส่วนคือ
๑. พระวินัยปิฎก เป็นที่รวบรวมพระวินัยซึ่งประกอบด้วยกฎเกณฑ์กติกาสำหรับรักษาภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์ไว้
๒. พระสุตตันตปิฎก เป็นที่รวบรวมพระสูตรทั้งหลาย คือธรรมที่ตรัสแสดงแก่บุคคล หรือปรารภเหตุการณ์หรือสถานการณ์อะไรบางอย่างเป็นแต่ละเรื่องๆไป
๓. พระอภิธรรมปิฎก เป็นที่รวบรวมคำอธิบายหลักคำสอนที่เป็นเนื้อหาสาระเป็นหลักธรรมล้วนๆ
พระวินัยปิฎก คือประมวลระเบียบข้อบังคับของบรรพชิตที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้สำหรับภิกษุ ภิกษุณี โครงสร้างเนื้อ หาคัมภีร์มี ๕ คัมภีร์ มีการแบ่งโครงสร้างออกเป็น ๓ แบบ
แบบที่ ๑ ปรากฏในคัมภีร์วชิรสารัตถสังคหะ (พระรัตนปัญญาเถระ รจนาขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่เมื่อ พ.ศ.๒๐๗๕) ข้อ ๒๒ มี ๕ คัมภีร์ มีคำย่อว่า อา,ปา,ม,จู,ป
อา คือ อาทิกัมมะ เป็นคัมภีร์ที่ประมวลสิกขาบทเกี่ยวกับอาบัติหนัก
ปา คือ ปาจิตตีย์ เป็นชื่อคัมภีร์ที่ประมวลสิกขาบทที่เกี่ยวกับอาบัติเบา
ม คือ มหาวรรค เป็นชื่อคัมภีร์ที่ประมวลสิกขาบทที่มานอกพระปาติโมกข์ตอนต้น
จู คือ จูฬวรรค เป็นชื่อคัมภีร์ที่ประมวลสิกขาบทที่มานอกพระปาติโมกข์ตอนปลาย
ป คือ ปริวาร เป็นชื่อคัมภีร์ส่วนประกอบหรือภาคผนวกที่ประมวลเนื้อหาสาระของพระวินัยทั้งหมดเข้ามาด้วยกันในลักษณะเป็นคำถามและตอน
แบบที่ ๒ ปรากฏในคัมภีร์วชิรสารัตถสังคหะข้อ ๓๙๘ มี ๕ คัมภีร์ มีคำย่อว่า ปา,ปา,ม,จุ,ป
ปา คือ ปาราชิก
ปา คือ ปาจิตตีย์
ม คือ มหาวรรค
จุ คือ จุวรรค
ป คือ ปริวาร
แบบที่ ๓ มีคำย่อว่า ม,ภิ,ม,จู,ป
ม คือ มหาวิภังค์หรือภิกขุวิภังค์
ภิ คือ ภิกขุนีวิภังค์
ม คือ มหาวรรค
จู คือ มหาวรรค
ป คือ ปริวาร
พระไตรปิฎกฉบับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้แบ่งพระวินัยปิฎกออกเป็น ๕ คัมภีร์ตามวิธีของแบบที่ ๓ คือ มหาวิภังค์หรือภิกขุวิภังค์ ภิกขุนีวิภังค์ มหาวรรค จูรวรรค และปริวาร
สมาคมบาลีปกรณ์ที่พิมพ์พระไตรปิฎกขึ้นที่ประเทศอังกฤษก็แบ่งพระวินัยปิฎกออกเป็น ๓ ส่วน คือ
๑. สุตตวิภังค์ หมายถึง ส่วนแห่งศีลทั้งของภิกษุและภิกษุณี
๒. ขันธกะ หมายถึง ส่วนแห่งศีลและวัตรปฏิบัติทั้งในมหาวรรคและจุลวรรค
๓. ปริวาร หมายถึง ตัวข้อปฏิบัติเบ็ดเตล็ดในพระวินัย
พระสุตตันตปิฎก
พระสุตตันตปิฎก คือ ประมวลพระพุทธพจน์หมวดพระสูตร คือ พระธรรมเทศนา คำบรรยายหรือคำอธิบายต่างๆที่ตรัสยักเยื้องให้เหมาะสมกับบุคคล โอกาส สถานที่ และมีเรื่องราวประกอบแบ่งออกเป็น ๕ นิกาย คือ
๑. ทีฆนิกาย รวมพระสูตรขนาดยาว มีพระหมชาลสูตร เป็นต้น
๒. มัชฌิมนิกาย รวมพระสูตรขนาดกลาง
๓. สังยุตตนิกาย รวมพระสูตรขนาดเล็กเป็นหมวดๆ
๔. อังคุตตรนิกาย รวมหมวดธรรมตั้งแต่หมวดหนึ่งถึงหมวด ๑๑
๕. ขุททกนิกาย ชุมนุมบทธรรมทั้งหลายทั้งที่ยาวและสั้น
พระอภิธรรมปิฏก
พระอภิธรรมปิฎก คือ ประมวลพระพุทธพจน์ที่เป็นปรมัติล้วนๆไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลหรือเหตุการณ์ แบ่งออกเป็น ๗ อย่าง คือ
๑. สังคณี ว่าด้วยการประมวลธรรมเป็นชุดๆ เรียกว่ามาติกา
๒. วิภังค์ ว่าด้วยการจำแนกธรรมออกเป็นขันธ์ ธาตุเป็นต้น
๓. ธาตุกถา ว่าด้วยการนำข้อธรรมมาจัดเข้าในขันธ์ อายตะ ธาตุ
๔. ปุคลบัญญํติ ว่าด้วยบัญญัติต่างๆ
๕. กถาวัตถุ ว่าด้วยปัญหาถาม-ตอบของนิกายต่างๆ รวม ๑๘ นิกาย
๖. ยมก ว่าด้วยคำอธิบายหลักธรรมอย่างพิสดาร อธิบายเป็นคู่ๆ
๗. ปัฏฐาน ว่าด้วยปัจจัยต่างๆ ๒๔ โดยพิสดาร
เนื้อหาพระวินัยปิฎก
พระวินัยปิฎก คือประมวลพุทธพจน์หมวดพระวินัย ได้แก่พระพุทธบัญญัติเกี่ยวกับความประพฤติความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียมและการดำเนินกิจการต่าง ๆ ของภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์เพื่อให้เกิดความเรียบร้อยเสมอกันในแต่ละส่วน ซึ่งจะเป็นพื้นฐานที่ดี สำหรับการพัฒนาคุณภาพจิตและการเจริญปัญญาแบ่งเป็น ๕ คัมภีร์ มีทั้งหมดจำนวน ๘ เล่ม
พระอรรถกถาจารย์ได้แสดงลักษณะของพระสูตรไว้ในสมันตปาสาธิกา สุมังคลวิลาสินีและอัตถสาลินี เป็น ๕ ลักษณะ คือ
๑. โวหารเทศนา การเทศนาโดยบัญญัติ
๒. ยถานุโลมศาสนา การสั่งสอนอนุโลมตามอัธยาศัย
๓. ทิฏฐิวินิเวฐนกถา คำบรรยายคลายทิฐิ
๔. อธิจิตตสิกขา การละกิเลสอย่างกลาง
๕. วิกขัมภนปหานะ การละกิเลสอย่างกลาง
เนื้อหาพระสุตตันตปิฎก
พระสุตตันตปิฎก คือประมวลพุทธพจน์หมวดพระสูตร ได้แก่พระธรรมเทศนา คำบรรยายหรือการอธิบายธรรมต่างๆที่ตรัสยักเยื้องให้เหมาะกับบุคคลและโอกาสตลอดจนบทประพันธ์ เรื่องเล่าและเรื่องราวทั้งหลายที่เป็นชั้นในพระพุทธศาสนา แบ่งเป็น ๕ นิกาย มีทั้งหมดจำนวน ๒๕ เล่ม ฯ
เนื้อหาพระอภิธรรมปิฎก
พระอภิธรรมปิฎก คือประมวลพุทธพจน์หมวดพระอภิธรรม คือหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นเนื้อหาวิชาล้วนๆ ไม่เกี่ยวด้วยบุคคลหรือเหตุการณ์ แบ่งเป็น ๗ คัมภีร์ มีทั้งหมดจำนวน ๑๒ เล่ม ฯ
พระไตรปิฎกมีเนื้อความความทั้งหมด ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แบ่งตามปิฎกดังนี้
พระวินัยปิฎก ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
พระสุตตันตปิฎก ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
พระอภิธรรมปิฎก ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
จบบทที่ ๒
ความหมายและความสำคัญของคัมภีร์อรรถกถา
ความหมายของคัมภีร์อรรถกถา
อรรถกถา หมายถึง ถ้อยคำที่เรียกว่า กถามรรค ทำหน้าที่อธิบายพระพุทธพจน์หรือหลักธรรมวินัย อธิบายความในพระไตรปิฎก เนื้อหาของพระไตรปิฎก
อรรถกถา เป็นงานที่แต่งหรือเขียนอธิบายและตีความพุทธธรรมตลอดจน มติวินิจฉัยของท่านผู้รู้พุทธาธิบายสมัยต่างๆมี พระสังคีติกาจารย์ เป็นต้น จัดทำขึ้น มีชื่อเรียกเป็นการเฉพาะว่า อัฏฐกถา อรรถกถา วังวรรณนา หรือวรรณนา
คำว่า กถา อธิบาย,บรรยาย,ขยาย ที่ปรากฏข้อมูล ทางภาษาในคัมภีร์พระพุทธศาสนา ๓ คำ คือ กถา, วณฺณนา-สํวณฺณนา แต่มีลักษณะที่ต่างกันดังนี้
๑. กถา แก้ความเรื่องใหญ่ๆ เป็นคัมภีร์ๆ เรียกว่า อรรถกถา เช่น ธมฺมปทฏฺฐกถา (อรรถกถาธรรมบท) ชาตฏฺฐกถา (อรรถกถาชาดก) เป็นต้น
๒. วณฺณนา-สํวณฺณนา แก้ความเป็นหมวดเป็นตอนๆ เรียกว่าวรรณา “พรรณนา” เช่น พรรณนาความเวรัญชกัณฑ์เป็นต้น
๓. กถาแก้เรื่องตอนเล็กน้อยๆ ลงไปอีก แก้ความเรื่องย่อยๆ เรียกว่า “กถา” เช่น ปฐมฌานกถา เป็นต้น
จุดมุ่งหมายในการรจนาอรรถกถาพระไตรปิฎก
อรรถกถา เป็นคัมภีร์ที่แต่งขึ้นด้วยจุดมุ่งหมาย ๓ ลักษณะ คือ
๑. การอธิบายความ คือ มุ่งที่สาระของพุทธธรรม
๒. การพรรณนาความ คือ มุ่งทำให้ผู้อ่านผู้ศึกษาเป็นลักษณะหรือสภาพแวดล้อมแห่งการเกิดขึ้นของหลักคำสอนนั้นๆ ได้แก่ ผู้คน วัฒนธรรม ภาษา ค่านิยม การเมือง เศรษฐกิจ เป็นต้น
๓. การแปลความหรือตีความหมาย คือ เป็นการแสดงทัศนะ เฉพาะที่ปรากฏอยู่ไม่เกี่ยวข้องกับหลักคำสอนแต่จะเป็นเรื่องคติความเชื่อ ค่านิยม หรือความรู้บางอย่างที่คนในสมัยนั้นยึดถืออยู่ อันเป็นความคิดส่วนตนของผู้แต่งคัมภีร์
การจัดประเภทและหมวดหมู่ของคัมภีร์อรรถกา
อรรถกถาอธิบายความในพระไตรปิฎก แบ่งตามนัยของการอธิบายความได้ ๒ ประเภท คือ
๑. อธิบายความตามนัยแห่งคัมภีร์เก่า ที่มิใช่พระไตรปิฎกโดยตรง เรียกว่า “ปกรณนัย” เช่น มิลินทปัญหา เนตติปกรณ์ วิมุตติมรรค วิสุทธิมรรค เป็นต้น เรียกคัมภีร์ประเภทนี้ว่า “ปกรณ์วิเสส”
๒. อธิบายความตามนัยแห่งอรรถกถาโบราณ คือ มูลอรรถกถา หรือ มหาอรรถกถา กุรุนทีอรรถกถาและมหาปัจจรีย์อรรถกถา เป็นต้น เรียกว่า “อัฏฐกถานัย” เช่น สมันตปาสาทิกา สุมังคลวิลาลินี และอัฏฐสาลินี เป็นต้น เรียกว่า “อรรถกถา” หรือ “อภินวอรรถกถา”
การจัดประเภทตามลักษณะ
แบ่งตามลักษณะผู้อธิบายหรือผู้แต่งอรรถกถา สมัยพุทธกาล เรียกว่า มหาอรรถกถา แบ่งเป็น ๒ ลักษณะ คือ
๑. พุทธสังวัณณิตอรรถกถา หรือ พุทธกถา ได้แก่ คำอธิบายของพระพุทธเจ้าที่พระองค์ทรงอธิบายพระพุทธพจน์โดยตรงด้วยพระองค์เอง
๒. อนุพุทธสังวัณณิตอรรถกถา หรือสาวกวัณณิตอรรถกถา ได้แก่ คำอธิบายของพระสาวกทั้ง มีอัครสาวกเป็นต้น
อรรถกถาแบ่งตามภาษา ที่ใช้จารึกรักษาสืบทอดกันมามี ๒ ประเภท คือ
๑. มคธอรรถกถา คือ อรรถกถาที่แต่งด้วยภาษามคธ
๒. สิงหลอรรถกถา คือ อรรถกถาถิ่นภาษาสิงหล เป็นต้น
การจัดประเภทตามยุคสมัย
๑. โบราณอรรถกถา คือ คำอธิบายที่มีมาแล้วแต่ดั้งเดิม เป็นคัมภีร์อรรถกถาที่เป็นผลงานของพระอริยสาวกในพุทธกาลที่สืบต่อกันมาตั้งแต่ปฐมสังคายนา
๒. อภินวอรรกถา คือ คัมภีร์อรรกถาใหม่ซึ่งหมายถึงคัมภีร์อรรกถาภาษาบาลีภาษาอินเดีย ภาษาสิงหล ภาษาพม่าเป็นต้น ที่เกิดขึ้นตั้งแปลายพุทธศตวรรษที่ ๙ ลงมา
การจัดประเภทตามลักษณะของเนื้อหา
คัมภีร์อรรถกถาแบ่งตามลักษณะของเนื้อหาได้ ๒ ประเภท คือ
๑. วิตถารอรรถกถา ได้แก่ คัมภีร์อรรถกถาที่พระอรรถจารย์แต่งขึ้นโดยพิสดาร มีเนื้อหาสาระใจความไปตามลำดับบทบาลี
๒. สังคหอรรถกถา ได้แก่ อรรถกถาที่พระอรรถกถาจารย์เลือกแต่งอธิบายเฉพาะบทที่ลี้ลับซับซ้อนไม่ชัดเจนให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
อรรถกถายุคหลังพระไตรปิฎก
อรรถกถายุคหลังพระไตรปิฎก แบ่งพัฒนาการของอรรถกถาออกเป็น ๒ ลักษณะเรียกว่า พัฒนาการยุคอภินวอรรถกถาและพัฒนาการอรรถกถายุควรรณคดีบาลีท้องถิ่น
คำอธิบายพระวินัยปิฎกตามมติพระอรรถกถาจารย์
คำอธิบายพระวินัยปิฎกตามมติพระอรรถกถาจารย์
ที่เรียกว่า วินัย เพราะมีความหมายต่างๆดังนี้
๑. มีนัยต่างๆ เป็นต้นว่า ปาฏิโมกขุททเทศ ๕ กองอาบัติ ๗ มีปาราชิกเป็นต้น
๒. มีนัยพิเศษ ได้แก่ อนุบัญญัติ มีประโยชน์ทำให้มั่นคงและผ่อนผัน
๓. ฝึกกายและวาจา เพราะห้ามอัชฌาจารทางกายและทางวาจา
การจัดหมวดหมู่พระวินัยปิฎกตามมติพระอรรถกถาจารย์
คัมภีร์อรรกถาสายพระวินัยปิฎก มีดังนี้
๑. สมันตปาสาทิกา คัมภีร์อรรถกถาอธิบายความในพระไตรปิฎก พระพุทธโฆสาจารย์ เรียบเรียงขึ้นประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑ ทั้ง ๕ คัมภีร์ คือ ภิกขุวิภังค์ ภิกขุนีวิภังค์ มหาวรรค จุลวรรคและปริวรรค
๒. กังขาวิตรณีหรือมาติกัฏฐกถา คัมภีร์อรรถกถาอธิบายสาระแห่งภิกขุปาติโมกข์และภิขุนีปาติโมกข์
คำอธิบายพระสุตตัตตปิฎกตามมติพระอรรถกถาจารย์
ที่เรียกว่า “สูตร” เพราะบ่งประโยชน์ เพราะมีเนื้อความที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว เพราะเผล็ดประโยชน์ เพราะหลั่งประโยชน์ เพราะป้องกันไว้ด้วยดี เพราะเปรียบด้วยเส้นด้าย
อรรถกถาสายพระสุตตันตปิฎก ดังนี้
๑. สุมังคลวิลาสินี คือ คัมภีร์อรรกถาอธิบายความในทีฆนิกายแห่งพระสุตตันปิฎก
๒. ปปัญจสูทนี คือ คัมภีร์อรรถกถาอธิบายความในมัชฌิมนิกายแห่งพระสุตตันตปิฎก
๓. สารัตถปกาสินี คือ คัมภีร์อรรถกถาอธิบายความในสังยุตตนิกายแห่งพระสุตตันตปิฎก
๔. มโนรถปูรณี คือ คัมภีร์อธิบายความอังคุตตตรนิกาย แห่งพระสุตตันปิฎก
๕. ปรมัตถโชติกา คือ คัมภีร์อธิบายความในขุททกปาฐะ ธรรมบท สุตตนิบาต และชาดก แห่งพระสุตตันตปิฎก
๖. ชาตกัฏฐกถา คือ คัมภีร์อธิบายความชาดก ขุททกนิกายแห่งพระสุตตันตปิฎก กล่าวถึงอดีตชาติของพระพุทธเจ้า ๕๔๗ เรื่อง
๗. ธัมมปทัฏฐกถา คัมภีร์อธิบายความในธรรมบท แห่งขุททกนิกายในพระสุตตัตตปิฎก
การจัดหมวดหมู่พระอภิธรรมปิฎก
อรรถกถาสายพระอภิธรรมปิฎก ดังนี้
๑. อัฏฐสาลินี คือ คัมภีร์อธิบายความในธัมมสังคณี แห่งพระอภิธรรมปิฎก
๒. สัมโมหวิโนทนี คือ คัมภีร์อธิบายความในวิภังค์ปกรณ์ แห่งพระอภิธรรมปิฎก
๓. ปัญจปกรณัฏถกถา คือ คัมภีร์ที่พระพุทธโฆสาจารย์ รจนาขึ้นอธิบายความคัมภีร์อภิธรรม ๕ คัมภีร์ คือ กถาวัตถุ ปุคคลบัญญัติ ธาตุกถายมก และปัฏฐาน
คุณค่าจากการศึกาอรรถกถาพระไตรปิฎก
๑. คุณค่าของอรรถกถาในการศึกษาเรื่องเกี่ยวกับอินเดีย
๒. คุณค่าของอรรถกถาในการศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับลังกา
๓. คุณค่าของอรรถกถาในการศึกษาของคณะสงฆ์ไทยและสังคมไทย
จบบทที่ ๓
ความสำคัญของการรักษาและการสืบทอดพระไตรปิฎก
สังคายนา ก็คือการรวบรวมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไว้ แล้วทรงจำไว้เป็นแบบแผนเดียวกัน โดยรวบรวมไว้เป็นหลักและทรงจำถ่ายทอดสืบมาเป็นอย่างเดียวกัน
ระบบการรักษาสืบทอดโดยมุขปาฐะ
การรักษาสืบทอดโดยมุขปาฐะในสมัยพุทธกาล
วิธีการศึกษาเล่าเรียนแบบมุขปาฐะอันมีประสิทธิภาพไว้ ๕ ประการ คือ
๑. พหุสสุตา คือ ฟังให้มาก หาโอกาสสดับตรับฟังเรื่องราวต่างๆให้มาก
๒. ธตา คือ ฟังแล้วพยายามจำให้ได้ จับหลักหรือสาระได้ ทรงจำไว้แม่นยำ
๓. วจสา ปริจิตา คือ ท่องบ่นสายยายจนคล่องปาก
๔. มนสานุเปกขิตา คือ เพ่งพินิจพิจารณาความหมายด้วยใจ จนนึกครั้งใดก็ปรากฏเนื้อความสว่างชัด
๕. ทิฏฐิยา สุปฏิวิทธา คือ ขบให้แตก ทำความเข้าใจให้ลึกซึ้ง มองเห็นประจักษ์ด้วยปัญญาทั้งแง่ความหมายและเหตุผล
การรักษาสืบทอดโดยมุขปาฐหลังพุทธกาล
ภายหลังพุทธกาล มีวิธีการรักษาสืบทอดพระไตรปิฎกโดยมุขปาฐะ ตั้งแต่การทำสังคายนาครั้งที่ ๑ มาจนถึงสังคายนาครั้งที่ ๓
สรุปสังคายนาครั้งที่ ๑
สถานที่ทำ ถ้ำสัตตบรรณคูหา ภูเขาเวภาระ เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ
ประธานสงฆ์ พระมหากัสสปะ (ถามปัญหาพระธรรมวินัย)
ตอบปัญหาพระวินัย พระอุบาลี
ตอบปัญหาพระธรรม พระอานนท์
ประชุมสงฆ์ พระอรหันต์ จำนวน ๕๐๐ รูป
กระทำเมื่อ ๓ เดือน หลังพุทธปรินิพพาน (พ.ศ.๑)
ระยะเวลาทำ ๗ เดือน
ผู้อุปถัมภ์ พระเจ้าอชาตศัตรู
สาเหตุ พระสุภัททะกล่าวดูหมิ่นพระธรรมวินัย
ผล จัดหมวดหมู่พระธรรมวินัย
สรุปสังคายนาครั้งที่ ๒
สถานที่ทำ วัดวาลุการาม เมืองเวสาลี แคว้นวัชชี
ประธานสงฆ์ พระยสกากัณฑกบุตร
ถามปัญหาพระวินัย พระเรวะตะ
ตอบปัญหาพระวินัย พระสัพพกามี
ประชุมสงฆ์ พระอรหันต์ จำนวน ๗๐๐ รูป
กระทำเมื่อ ๑๐๐ ปี หลังพุทธปรินิพพาน (พ.ศ.๑๐๐)
ระยะเวลาที่ทำ ๘ เดือน
ผู้อุปถัมภ์ พระเจ้ากาลาโศก
สาเหตุ พวกภิกษุชาววัชชีบุตรประพฤติผิดจากพระวินัย ๑๐ ประการ (วัตถุ ๑๐)
ผล ชำระมลทินโทษแห่งพระพุทธศาสนา เรื่องวัตถุ ๑๐ ประการ ทำให้พระวินัยบริสุทธิ์มั่นคง
สรุปสังคายนาครั้งที่ ๓
สถานที่ทำ วัดอโศการาม เมืองปาฏลีบุตร แคว้นมคธ
ประธานสงฆ์ พระโมคคัลลีบุตรติดสเถระ
ประชุมสงฆ์ พระอรหันต์ จำนวน ๑,๐๐๐ ปี
กระทำเมื่อ ๒๓๔ ปี หลังพุทธปรินิพพาน (พ.ศ.๒๓๔)
ระยะเวลาทำ ๙ เดือน
ผู้อุปถัมภ์ พระเจ้าอโศกมหาราช (อเล็กซานเดอร์มหาราช)
สาเหตุ พวกอลัชชีปลอมบวชเพื่อหวังลาภสักการ
ผล พระอลัชชีที่ปลอมบวชถูกบังคับให้สึกจำนวนประมาณ ๖๐,๐๐๐ รูป
พระเจ้าอโศกมหาราชทรงส่งพระสมณทูตไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ๗ สาย
พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระแต่งคัมภีร์กถาวัตถุ
การนับครั้งสังคายนาที่รู้กันทั่วไปคือสังคายนาครั้งที่ ๑-๓ ซึ่งทำในชมพูทวีปอันเป็นของฝ่ายเถรวาท
พุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท ใช้ภาษาบาลี จารึกพระไตรปิฎก ส่วนพุทธศาสนาฝ่ายมหาญาณ ใช้ภาษาสันสกฤต จารึกพระไตรปิฎก
ระบบการรักษาสืบทอดโดยลายลักษณ์อักษร
ระบบการรักษาสืบทอดพระไตรปิฎกโดยลายลักษณ์อักษร เริ่มมีหลักฐานปรากฏชัดภายหลังการสังคายนาครั้งที่ ๓ เมื่อพระพุทธศาสนาได้เผยแผ่เข้าสู่ประเทศศรีลังกา จนกระทั่ง พระพุทธศาสนามีความมั่งคงในประเทศศรีลังกา ประมาณ พ.ศ.๔๓๓ ในรัชสมัยของพระเจ้าวัฏฏคามณีอภัย
การรักษาสืบทอดโดยลายลักษณ์อักษร เรียกว่า โปตถกาโรปนะหรือการรักษาไว้กับวัตถุภายนอก
ประเทศไทยได้มีการรักษาสืบทอดพระไตรปิฎกแบบลายลักษณ์อักษรเมื่อประมาณ พ.ศ.๒๐๒๐ ในรัชสมัยพระเจ้าติโลกราชแห่งเชียงใหม่
การนับครั้งในการทำสังคายนา
ตามหลักฐานของพระเถระฝ่ายไทยผู้รจนาหนังสือเรื่องสังคีติวงศ์หรือประวัติศาสตร์การสังคายนา กล่าวว่าการสังคายนามี ๙ ครั้ง รวมทั้งครั้งที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าจุฬาโลกทรงกระทำในรัชสมัยของพระองค์ คือการสอบทานแก้ไขพระไตรปิฎกแล้วจารลงในใบลานเป็นหลักฐาน
การนับครั้งสังคายนาที่รู้กันทั่วไป
ภาษาที่ใช้บันทึกพระไตรปิฎกตามแบบเถรวาท คือ แบบที่ไทย พม่า ลังกา เขมร ลาวนับถือนั้น ใช้ภาษาบาลี ส่วนฝ่ายมหายานที่ญี่ปุ่น จีน ทิเทต ญวนและเกาหลีนับถือนั้น ใช้ภาษาสันสกฤต
การนับครั้งสังคายนาของลังกา
การสังคายนาครั้งที่ ๒ ในศรีลังกา ทำเมื่อประมาณ พ.ศ. ๔๓๓ ในสมัยของ พระเจ้าวัฏฏคามณีอภัย
การสังคายนาครั้งที่ ๓ ในศรีลังกา ทำเมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๘ ที่รัตนปุระ พระเถรชื่อหิกขทุเว สิริสุมังคละเป็นหัวหน้าทำอยู่ ๔ เดือนจึงแล้วเสร็จ
การนับครั้งสังคายนาของสหภาพเมียนม่าร์
สังคายนาครั้งที่ ๑ ในสหภาพเมียนม่าร์ ได้มีการจารึกลงในแผ่นหินอ่อน ๗๒๙ แผ่น ณ เมืองมันดเล โดยการอุปถัมภ์ของพระเจ้ามินดง พ.ศ. ๒๔๑๔ พระมหาเถระ ๓ รูป คือ พระชาคราภิวังสะ พระนรินทาภิธชะ และพระสุมังคลสามี ได้ผลัดเปลี่ยนกันเป็นพระธานโดยลำดับ มีพระสงฆ์และพระอาจารย์ผู้แตกฉานในพระปริยัติธรรมร่ยวมประชุม ๒,๔๐๐ รูป ทำอยู่ ๕ เดือนจึงแล้วเสร็จ
สังคายนาครั้งที่ ๒ ในสหภาพเมียนม่าร์ หรือที่พม่านับว่าเป็นครั้งที่ ๖ ที่เรียกว่า ฉัฏฐสังคายนา เริ่มเมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๗ ถึงวันที่ ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๙ ในการนี้ได้จัดให้มีการฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษด้วย
การสังคตายนาของฝ่ายมหายาน
สังคายนาครั้งที่ ๑ ของฝ่ายมหาญาณ หลักฐานของทิเบตกล่าวว่า พระมหากัสสปะเป็นผู้วิสัชนาอภิธัมมปิฎก ส่วนพระอานนท์วิสัชนาพระสุตตันตปิฎก และพระอุบาลีวิสัชนาพระวินัยปิฎกและกล่าวว่าการสังคายนาพระไตรปิฎกในครั้งนี้ ได้มีการสังคายนาพระสุตตันตตปิฎกก่อน
สังคายนาครั้งที่ ๒ ฉบับมหายานของทิเบต ได้กล่าวคล้ายคลึงกับหลักฐานของฝ่ายเถรวาทมากทั้งได้ลงท้ายว่าที่ประชุมได้ลงมติตำหนิข้อถือผิด ๑๐ ประการของภิกษุชาววัชชีบุตร
ดร. นลินักษะ แห่งมหาวิทยาลัยกัลกัตตา ประเทศสาธารณรัฐอินเดีย ได้พยายามรวบรวมหลักฐานฝ่ายมหายานเกี่ยวกับสังคายนาครั้งที่ ๒ ไว้อย่างละเอียด ๓ รุ่น คือ รุ่นแรก รุ่นกลาง และรุ่นหลังและมีการสรุปว่า ฝ่ายมหาญานได้รับรองการสังคายนาครั้งที่ ๑ และ ครั้งที่ ๒ ร่วมกัน
ฝ่ายมหาญานเรียกการสังคายนาครั้งที่ของตนว่า “สังคายนานอกถ้ำ” โดยเหตุที่ภิกษุผู้ทำสังคายนอกถ้ำมีจำนวนมาก จึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “สังคายนามหาสังฆิกะ”
ในการทำสังคายนาครั้งที่หนึ่งนี้ ภิกษุวัชชีบุตรซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก ได้ประชุมสงฆ์จำนวน ๑๐,๐๐๐ รูป ทำสังคายนาของตนเองที่เมืองกุสุมปุระ ให้ชื่อว่า มหาสังคีติ คือมหาสังคายนาเป็นเหตุให้เกิดนิกายฝ่ายเถรวาทมาเป็นมหาญาน
การสังคายนาของนิกายสัพพัตถิกวาท
การสังคายนาในสมัยของพระเจ้ากนิษกะ ประมาณ พ.ศ. ๖๔๓ พระเจ้ากนิษกะได้ทรงสนับสนุนให้มีการสังคายนา ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า เป็นสังคายนาแบบผสม ณเมืองชาลันธรหรือบางแห่งกล่าวว่า เมืองกาษมีระ ปัจจุบันคือแคว้นแคชเมียร์ พระเจ้ากนิษกะได้อาราธนาพระสงฆ์จำนวน ๕๐๐ รูป จากนิกายต่างๆ มาประชุมทำสังคายนา เขียน แต่ง อธิบายพระไตรปิฎก อรรถกถา สุตตันตปิฎกว่ามี ๑๐๐,๐๐๐ โศลก อรรถกถาวินัยปิฎก มี ๑๐๐,๐๐๐ โศลกและอรรถกถาอภิธรรมอันมีนามว่าอภิธรรมวิภาษามีจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ โฉลก
การนับครั้งสังคายนาของประเทศไทย
ตามหลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรมของประเทศไทย ยอมรับการสังคายนาครั้ง ๑-๒-๓ ในชมพูทวีปและครั้งที่ ๑-๒ ในศรีลังกา รวมทั้งสิ้น ๕ ครั้ง
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงถือว่าสังคายนาในลังกาทั้งสองครั้ง เป็นเพียงสังคายนาเฉพาะประเทศ ไม่ควรจัดเป็นสังคายนาทั่วไป
ตามหนังสือสังคีติยวงศ์หรือประวัติแห่งการสังคายนา ซึ่งสมเด็จพระวันรัต วัดพระเชตุพน รจนาเป็นภาบาลีในรัชกาลที่ ๑ ตั้งแต่ครั้งเป็นพระพิมลธรรม ได้ลำดับความเป็นมาแห่งสังคายนาไว้ ๙ ครั้งว่า การสังคายนาครั้งที่ ๑-๒-๓ ทำในชมพูทวีป สังคายนาครั้งที่ ๔-๕ ทำในศรีลังกา สังคายนาครั้งที่ ๖ ทำในศรีลังกา
จบบทที่ ๕
การจัดลำดับคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา
การจัดลำดับชั้นตามความสำคัญของคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาที่มีการยอมรับกันในปัจจุบันแบ่งเป็น ๒ สาย
การจัดลำดับคัมภีร์สายพระไตรปิฎก
การจัดลำดับคัมภีร์สายพระไตรปิฎก จัดไว้เป็น ๔ ลำดับชั้น ดังนี้
๑. พระไตรปิฎก คือ บาลีพระไตรปิฎก ได้แก่พระพุทธพจน์คือคำสอนของพระพุทธเจ้า
๒. อรรถกถา คือคัมภีร์อธิบายบาลีหรืออธิบายความในพระไตรปิฎก
๓. ฎีกา คือ คัมภีร์อธิบายอรรถกถาหรืออธิบายความต่อจากอรรถกถา
๔. อนุฎีกา คือ คัมภีร์อธิบายขยายความของฎีกาอีกทอดหนึ่ง
การจัดลำดับคัมภีร์นอกสายพระไตรปิฎก
การจัดลำดับคัมภีร์นอกสายพระไตรปิฎก สามารถจัดได้ดังนี้
๑. ปกรณ์วิเสส คือ คัมภีร์ที่รจนาขึ้นเพื่ออธิบายขยายความข้อธรรมบางข้อซึ่งเป็นผลงานอิสระของพระเถระผู้แตกฉาน ในพระธรรมวินัยที่ได้เรียบเรียงขึ้นตามโครงเรื่องที่ท่านจัดวางเอง
๒. ตัพพินิมุต หรือคัมภีร์คันถันตระ คือ คัมภีร์ที่รจนาขึ้นเพื่ออธิบายเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นการเฉพาะ
๓. โยชนา คือ คัมภีร์ที่รจนาขึ้นเพื่ออธิบายความหมายของศัพท์ ขยายความลี้ลับในเรื่องไวยากรณ์ศัพท์และความสัมพันธ์ในประโยคของภาษา
คัมภีร์พระไตรปิฎก
คัมภีร์พระไตรปิฎกหรือคัมภีร์ดั้งเดิมคือพระไตรปิฎกได้แก่ พระพุทธพจน์คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเรียกว่า “พระธรรมวินัย” หรือ ธรรมและวินัย ต่อมาเมื่อมีการแบ่งจำแนกพระพุทธพจน์จัดเป็นหมวดหมู่แล้ว จึงมีชื่อเรียกว่า ปิฎก ได้ ๓ ปิฎก และเมื่อมีการจารึกลงในใบลานจึงเกิดเป็นคัมภีร์(ตำรา) เรียกว่า คัมภีร์พระไตรปิฎก หรือ บาลี
พระไตรปิฎก
คัมภีร์อรรถกถา
อรรถกถา หมายถึง ปกรณ์ที่พระอาจารย์ทั้งหลายในภายหลังรจนาแก้อรรถแห่งบาลีคือพระไตรปิฎก หรือหมายถึงคัมภีร์อธิบายความในพระไตรปิฎก
คัมภีร์อรรถกถา ได้แก่ คัมภีร์ที่อธิบายความในพระไตรปิฎก คำอธิบายอื่นที่ไม่ใช่พระไตรปิฎก คำวินิจฉัย ตลอดจน อาจริยวาท ระดับต่างๆ หรือที่เรียกว่า “ปกิณณกเทศนา” ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในที่ต่างๆ
อรรถกถามีทั้งจากที่พระพุทธเจ้าทรงอธิบายไว้เองและเหล่าสาวกมีพระสารีบุตรเถระเป็นต้นอธิบายไว้
อรรถกถามีความสำคัญในฐานเป็นคู่มือหรือกุญแจสำหรับช่วยในการศึกษาพระไตรปิฎกให้เข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้นกล่าวคือเป็นคัมภีร์อธิบายความในพระไตรปิฎกโดยตรง
พระธรรมปาละอธิบายถึงความสำคัญหรือหน้าที่ของอรรถกถาไว้ว่า อรรถกถามีลักษณะที่เรียกว่า “สํวณฺณนา” หมายความว่า มีการวิเคราะห์อธิบายความหมายของคำหรือความหมายอย่างละเอียดด้วยวิธีการหลายอย่าง เช่น การวิเคราะห์ไวยากรณ์ การแสดงความหมายแบบพจนานุกรม การเปรียบเทียบความคิดของอาจารย์และคัมภีร์ต่างๆ อย่างกว้างขวาง การยกอุทาหรณ์อุปมาอุปมัยเป็นต้น
คัมภีร์อรรถกถา จำแนกประเภทตามพระไตรปิฎกได้เป็น ๓ หมวด คือ อรรถกถาพระวินัยปิฎก อรรถกถาพระสุตตันตปิฎก และอรรถกถาพระอภิธรรมปิฎก
อรรถกถาพระวินัยปิฎก คือ คัมภีร์คู่มือศึกษาพระวินัยปิฎกที่รจนาขึ้นเพื่ออธิบายขยายความในพระวินัยปิฎกที่ยังไม่ชัดเจนให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
อรรถกถาพระสุตตันตปิฎก หรืออรรถกถาพระสูตร คือ คัมภีร์คู่มือศึกษาพระสุตตันตปิฎกที่รจนาขึ้นเพื่ออธิบายขยายความในพระสุตตันตปิฎกที่ยังไม่ชัดเจนให้มีเนื้อความชัดเจนยิ่งขึ้น
อรรถกถาพระอภิธรรมปิฎก คือ คัมภีร์คู่มือศึกษาพระอภิธรรมปิฎกที่รจนาขึ้นเพื่ออธิบายขยายความเนื้อหาสาระที่สลับซับซ้อนเข้าใจยากในพระอภิธรรมปิฎกให้ชัดเจนและเข้าใจได้ง่ายขึ้น
คัมภีร์ฎีกา
คัมภีร์ฎีกา หมายถึง คัมภีร์ที่นักปราชญ์ทางพุทธศาสนาที่เรียกว่า “พระฎีกาจารย์” รจนาขึ้นเพื่ออธิบายขยายความทั้งในคัมภีร์พระไตรปิฎกและในคัมภีร์อรรถกถาอีกต่อหนึ่ง
คำว่า ฎีกา นี้มีรูปศัพท์มาจากคำในภาษาบาลีว่า ฎีกา ซึ่งมีรูปวิเคราะห์ว่า ฎีกียติ ชานิยติ อฏฺฐกถายตฺโถ เอตายาติ ฎีกา เรียกว่า ฎีกา เพราะเป็นคัมภีร์ที่ให้รู้ความหมายของคัมภีร์อรรถกถา
ฎีกาจำแนกตามอรรถกาถาได้เป็น ๓ หมวดคือ ฎีกาอรรถกถาพระวินัยปิฎก ฎีกาอรรถกถาพระสุตตันตปิฎก และฎีกาอรรถกถาพระอภิธรรมปิฎก
ฎีกาอรรถกถาพระวินัยปิฎก คือ คัมภีร์คู่มือศึกษาอรรถกถาพระวินัยปิฎก ที่รจนาขึ้นเพื่ออธิบายขยายความเนื้อหาสาระในอรรถกถาพระวินัยปิฎกให้มีเนื้อความชัดเจนยิ่งขึ้น
ฎีกาอรรถกถาพระสุตตันตปิฎก หรือ ฎีกาอรรถกถาพระสูตรคือคัมภีร์คู่มือศึกษาอรรถกถาพระสุตตันตปิฎกที่รจนาขึ้นเพื่ออธิบายขยายความเนื้อหาสาระแห่งอรรถกถาพระสุตตันตปิฎกที่มีเนื้อความสลับซับซ้อนให้มีเนื้อความชัดเจนยิ่งขึ้น
ฎีกาอรรถกถาพระอภิธรรมปิฎก คือคัมภีร์คู่มือศึกษาอรรถกถาพระอภิธรรมปิฎก เป็นคัมภีร์ที่เกิดรองจากอรรถกถา เป็นคัมภีร์อ้างเป็นหลักฐานชั้นที่ ๓ ที่ท่านรจนาขึ้นเพื่ออธิบายขยายความในอรรถกถาพระอภิธรรมปิฎกให้เข้าใจไวด้ง่ายและชัดเจนยิ่งขึ้น
คัมภีร์อนุฎีกา
คัมภีร์อนุฎีกา เป็นคัมภีร์ใหม่ที่รจนาเพิ่มเติมขึ้นภายหลัง เป็นคัมภีร์ลับขั้นที่ ๔ ต่อจากพระไตรปิฎก อรรถกถา และฎีกา
อนุฎีกา คือคัมภีร์ที่นักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า “พระอนุฎีกาจาย์” ได้รจนาขึ้นเพื่ออธิบายขยายความในคัมภีร์ฎีกาให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
อนุฎีกา มีความสำคัญในฐานเป็นคู่มือหรือกุญแจช่วยในการศึกษาทำความเข้าใจเนื้อความในคัมภีร์ฎีกาให้เข้าใจชัดเจนมากยิ่งขึ้น
อนุฎีกาแบ่งเป็น ๓ หมวดตามฎีกา คือ อนุฎีกาพระวินัยปิฎก อนุฎีกาพระสุตตันตปิฎกและอนุฎีกาพระอภิธรรมปิฎก
อนุฏีกาพระวินัยปิฎก อนุฏีกาพระวินัยปิฎกเป็นคัมภีร์คู่มือศึกษาฎีกาพระวินัยปิฎกที่รจนาขึ้นเพื่ออธิบายขยายความในคัมภีร์ฎีกาพระวินัยปิฎกให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
อนุฎีกาพระสุตตันตปิฎก อนุฎีกาพระสุตตันตปิฎก เป็นคัมภีร์คู่มือศึกษาฎีกาพระสุตตันปิฎกที่ท่านรจนาเพิ่มเติมภายหลัง เพื่ออธิบายเนื้อความในฎีกาแห่งพระสุตตันตปิฎกให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น
อนุฎีกาพระอภิธรรมปิฎก อนุฎีกาพระอภิธรรมปิฎกเป็นคัมภีร์คู่มือศึกษาฎีกาพระอภิธรรมปิฎกที่รจนาขึ้นเพื่ออธิบายขยายความในคัมภีร์ฎีกาพระอภิธรรมปิฎกให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
คัมภีร์ปกรณ์วิเสส
ปกรณ์วิเสส คือหนังสือที่รจนาขึ้นเพื่ออธิบายธรรมะในพระพุทธศาสนา โดยไม่ได้อธิบายคัมภีร์เล่มใดเล่มหนึ่งโดยเฉพาะ หรือหนังสือที่ท่านรจนาแสดงภูมิรู้ ภูมิธรรมและความคิดเห็นหรือค้นคว้าจากคัมภีร์ต่าง ตามแนวคิดที่เกิดขึ้นเองเป็นอิสระและกำหนดเนื้อหาเอง
ปกรณ์วิเสส เป็นคัมภีร์ที่เป็นดุจสะพานที่ทอดสาระสำคัญที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก เชื่อมโยงไปถึงประชาชนชาวบ้านได้ศึกษาและทำความเข้าใจได้ง่ายขึ้น
คัมภีร์ตัพพินิมุต
คัมภีร์ตัพพินิมุต หรือคัมภีร์คันถันตระ หมายถึง กลุ่มคัมภีร์ของพระพุทธศาสนาที่นอกเหนือจากคัมภีร์พระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา และอนุฎีกา แต่มีความเกี่ยวข้องกับคัมภีร์เหล่านี้หรือเป็นคัมภีร์ที่รจนาขึ้นเพื่ออธิบายเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นการเฉพาะ กลุ่มคัมภีร์อื่นๆ นี้ท่านเรียกชื่อว่า “คัมภีร์ตัพพินิมุต” หรือ “คัมภีร์ตัพพินิมุตต์” บ้าง “คัมภีร์คันถันตระ” บ้าง
คัมภีร์โยชนา คัมภีร์โยชนาหรืออรรถโยชนา คือคัมภีร์แนะนำการประกอบเนื้อความเข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดความชัดเจนทั้งในด้านไวยากรณ์และด้านความหมาย
โชยนา คือ คัมภีร์ที่รจนาขึ้นเพื่ออธิบายความหมายของศัพท์และความสัมพันธ์ในประโยชน์ของภาษา ช่วยในการแปลคัมภีร์อรรถกถาและฎีกาให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
โยชนา เป็นคัมภีร์ที่รจนาขึ้นเพื่อขยายเนื้อความที่ลี้ลับในเรื่องไวยากรณ์ศัพท์และความสัมพันธ์ในประโยคของภาษา อันเป็นอุปกรณ์ในการแปลคัมภีร์อรรถกถาและฎีกาได้อย่างชัดเจน
คัมภีร์โยชนานี้แบ่งตามคัมภีร์พระไตรปิฎกได้เป็น ๓ หมวด คือ
๑. โยชนาพระวินัยปิฎก เป็นคัมภีร์คู่มือศึกษาเกี่ยวกับการอธิบายและประโยคเป็นต้นของอรรถกถาพระวินัยปิฎกที่ยังไม่ชัดเจนให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
๒. โยชนาพระสุตตันตปิฎก เป็นคัมภีร์คู่มือศึกษาเกี่ยวกับการอธิบายบทและประโยคเป็นต้นของอรรถกถาพระสุตันตปิฎกที่ยังไม่ชัดเจนให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
๓. โยชนาพระอภิธรรมปิฎก เป็นคัมภีร์คู่มือศึกษาเกี่ยวกับการอธิบายบทและประโยคเป็นต้นของอรรถกถาพระอภิธรรมปิฎกที่ยังไม่ชัดเจนให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
จบบทที่ ๕
พระไตรปิฎกในประเทศไทย
พระไตรปิฎกสมัย ล้านนา สุโขทัย อยุธยาและธนบุรี
พระไตรปิฎก สมัยล้านนา
เมื่อปี พ.ศ.๒๐๒๐ พระเจ้าสิริธรรมจักรวรรติดิลกราชาธิราช (พระเจ้าติโลกราช) ได้อาราธนาพระธรรมทินเถระพร้อมทั้งพระภิกษุทรงพระไตรปิฎกหลายร้อยรูป ให้ชำระอักขระในพระไตรปิฎกที่วัดโพธาราม (วัดเจดีย์เจ็ดยอด) เชียงใหม่ เป็นเวลา ๑ ปี ด้วยการจารลงในใบลาน
พระไตรปิฎก สมัยกรุงสุโขทัย
พระไตรปิฎกสมัยกรุงสุโขทัยครั้งแรกได้มาจากมอญแต่ไม่สมบูรณ์ ต่อมาพ่อขุนรามคำแหงมหาราชจึงได้อาราธนาพระมาจากลังกาวงศ์ พร้อมพระไตรปิฎกฉบับภาษาสิงหล มาประจำอยู่ในประเทศไทยและได้มีการปริวรรตอักษรสิงหลเป็นอักษรขอมในเวลาต่อมา
พระไตรปิฎก สมัยกรุงศรีอยุธยา
พระพุทธศาสนามีความเจริญรุ่งเรืองมาก ในสมัยกรุงศรีอยุธยา คือในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ แม้จะไม่มีประวัติเกี่ยวข้องกับพระไตรปิฎกโดยตรง แต่มีประเพณีหนึ่งที่สำคัญคือ ประเพณีการบวชเรียน โดยพระองค์ทรงเน้นให้เจ้านาย และข้าราชการผู้ใหญ่ออกบวชเพื่อศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย
พระไตรปิฎก สมัยกรุงธนบุรี
พระเจ้าตากสินมหาราช ทรงรับสั่งให้รวบรวมพระไตรปิฎกโปรดให้สืบต้นฉบับตามหัวเมืองต่างๆที่เหลืออยู่นำมาคัดลอกไว้เพื่อจะสร้างพระไตรปิฎกฉบับหลวงขึ้น แต่ยังไม่ทันเสร็จก็สิ้นพระชนม์ก่อน
สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
พระไตรปิฎกสมัยรัชกาลที่ ๑
ในรัชกาลที่ ๑ นี้ พระองค์ได้ทรงอาราธนาคณะสงฆ์โดยมีองค์สมเด็จพระสังฆราชเป็นประธาน ให้คัดเลือกพระสงฆ์ผู้คงแก่เรียนได้ จำนวน ๒๑๘ รูปและราชบัณฑิต อุบาสก ได้ ๓๒ คน ให้สังคายนาชำระพระไตรปิฎก ซึ่งได้แบ่งออกเป็น ๔ กอง คือ
กองที่ ๑ สมเด็จพระสังราช (ศรี) วัดระฆังโฆสิตาราม เป็นแม่กองชำระพระสุตตันตปิฎก
กองที่ ๒ พระพนรัต (สุข) วัดพระศรีสรรเพชญ์ เป็นแม่กองชำระพระวินัยปิฎก
กองที่ ๓ พระพิมลธรรม วัดพระเชตุพนฯ เป็นแม่กองชำระพระสัททาวิเสส
กองที่ ๔ พระพุฒาจารย์ (เป้า) เป็นแม่กองชำระพระอภิธรรมปิฎก
การชำระพระไตรปิฎกในครั้งนี้ ใช้เวลา ๕ เดือน จึงแล้วเสร็จ พระองค์ได้ทรงรับสั่งให้ช่างจารึกลงในใบลาน โปรดให้ปิดทองทึบปกหน้า ปกหลัง และกรอบทั้งสิ้นเรียกว่า “ฉบับทอง” ห่อด้วยผ้ายก เชือกรัดถักด้วยไหมแพรเบญจะพรรณ มีฉลากงาแกะเขียนอักษรด้วยหมึกและฉลากทอเป็นอักษรบอกชื่อคัมภีร์ใส่ตู้มุกเก็บรักษาไว้ที่หอมณเทียรธรรมบริเวณวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
เมื่อทำการชำระพระไตรปิฎกเสร็จก็โปรดให้คัดลอกจำลองสร้างเป็นฉบับหลวงขึ้น เรียกว่า “ฉบับทองใหญ่” รวมทั้งหมด ๓๕๔ คัมภีร์ เก็บไว้ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และโปรดให้สร้างอีก ๒ ฉบับ คือ ฉบับรองทองและฉบับทองชุบ
พระไตรปิฎก สมัยรัชกาลที่ ๒
ในรัชกาลที่ ๒ นี้ พระองค์ทรงรับสั่งให้ซ่อมแซมฉบับที่ขาดหายและให้สร้างขึ้นใหม่อีกจบหนึ่งมีชื่อเรียกว่า “ฉบับรดน้ำแดง” พร้อมให้มีการสังคายนาอีกประเภทหนึ่งคือ “การสังคายนาสวดมนต์”
พระไตรปิฎก สมัยรัชกาลที่ ๓
ในสมัยรัชกาลที่ ๓ นี้ พระองค์ได้ทรงสร้างพระไตรปิฎกสำหรับหอหลวงนั้นมีชื่อเรียกดังนี้
๑. ฉบับรดน้ำเอก ฉบับนี้ฝีประณีตเป็นพิเศษกว่าฉบับอื่นๆ
๒. ฉบับรดน้ำโท ทรงสร้างสำหรับหอหลวง ใช้ในการสอบไล่พระปริยัติธรรม
๓. ฉบับทองย้อย เป็นฝีมือช่างผู้หญิงซึ่งหัดทำกันขึ้นในสมัยรัชกาลนี้
๔. ฉบับอักษรรามัญ เป็นฉบับจำลองมาจากพระไตรปิฎกซึ่งพระมอญหาได้ในเมืองรามัญเอามาถวาย
๕. ฉบับเทพชุมนุม ใบปกเขียนลายรดน้ำเป็นรูปเทพชุมนุม
๖. ฉบับลายกำมะลอ ใบปกเขียนลายกำมะลอ
พระไตรปิฎกสมัยรัชกาลที่ ๔
ในรัชกาลที่ ๔ นี้ พระองค์ได้โปรดให้สร้างคัมภีร์พระไตรปิฎกฉบับใหม่สำหรับหอขึ้นอีกฉบับหนึ่งมีชื่อเรียกว่า “ฉบับล่องชาด” เพราะด้านหลังปิดทองสลับชาด
สมัยรัตนโกสินทร์ต้อนกลาง
พระไตรปิฎก สมัยรัชกาลที่ ๕
ในรัชกาลที่ ๕ นี้ พระองค์ได้มอบหมายให้พระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ครั้งดำรงพระยศเป็นกรมหมื่น และสมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) วัดราชประดิษฐ์ แต่ยังเป็น สมเด็จพระพุทธโฆสาจารย์ให้ทำการตรวจสอบต้นฉบับสองฉบับ คือ ฉบับอักษรขอมและฉบับอักษรรามัญ และโปรดให้ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าภาณุรังสีสว่างวงศ์กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช เป็นแม่กองจัดการพิมพ์พระไตรปิฎกด้วยอักษรไทย โดยการคัดลอกตัวขอมในคัมภีร์ใบลานเป็นอักษรไทยและชำระแก้ไขและพิมพ์ขึ้นเป็นเล่มหนังสือ รวม ๓๙ เล่ม ทำการชำระและจัดพิมพ์เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๓๑ เสร็จเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๖ จำนวน ๑,๐๐๐ ชุด มีการฉลองการที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสวยราชสมบัติมาครบ ๒๕ ปี
พระไตรปิฎก สมัยรัชกาลที่ ๗
ในรัชกาลที่ ๗ นี้ พระองค์ได้ทรงมอบหมายให้สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาท เป็นประธานดำเนินงานและได้กราบทูลอาราธนา พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ทรงเป็นประธานในการตรวจสอบทานชำระต้นฉบับพระไตรปิฎก โดยใช้ทุนส่วนพระองค์ ๒๐๐,๐๐๐ บาท และในส่วนเสด็จโดยพระราชกุศลอีก ๖๐๐,๐๐๐ บาท เมื่อทำการชำระแล้วเสร็จแล้วได้มีการขนาดนามฉบับนี้ว่า “พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ” มีตราช้างเป็นเครื่องหมาย มีจำนวนเล่มทั้งหมด ๔๕ เล่ม เท่ากับจำนวนพรรษาทีทรงบำเพ็ญพุทธกิจ และได้โปรดให้มีการจัดงานฉลอง เมื่อวันที่ ๒๕-๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๓
พระไตรปิฎก สมัยรัชกาลที่ ๘
ในรัชกาลที่ ๘ นี้ สมเด็จพระอริยวงศาคตญานสมเด็จพระสังราช (แพ ติสฺสเทโว) ทรงปรารภการแปลพระไตรปิฎกเป็นภาษาไทยให้ครบถ้วนบริบูรณ์ เมื่อได้รับพระบรมราชานุญาตแล้ว ก็ได้มีการแบ่งหน้าที่ดำเนินการแปลพระไตรปิฎกมาตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. ๒๔๘๓ แบ่งการแปลออกเป็น ๒ ประเภท คือ
๑. แปลโดยอรรถตามความในบาลีพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ สำหรับพิมพ์เป็นเล่มสมุดเรียกว่า “พระไตรปิฎฏภาษาไทย”
๒. แปลโดยสำนวนเทศนา สำหรับพิมพ์ลงในลานเป็นคัมภีร์เทศนา เรียกว่า “พระไตรปิฎกเทศนาฉบับหลวง”
พระไตรปิฎก สมัยรัชกาลที่ ๙
๑. พระไตรปิฎก ฉบับในพระบรมราชูปภัมภ์
กรมการศาสนาได้เริ่มจัดพิมพ์พระไตรปิฎกเทศนาฉบับหลวงลงในใบลานตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๘๙ เสร็จเรียบร้อยเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๒ และได้มีการดำเนินการในส่วนพระไตรปิฎกภาษาไทยที่ค้างอยู่โดยมีการแบ่งเป็นชุด ดังนี้ พระวินัยปิฎก ๑๓ เล่ม พระสุตตันตปิฎก ๔๒ เล่ม และพระอภิธรรมปิฎก ๒๕ เล่ม รวมทั้งหมดมี่จำนวนถึง ๘๐ เล่ม ซึ่งคณะกรรมการได้จัดแบ่งโดยนิยมเท่าจำนวนพระชนมายุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๕ รัฐบาลดำริจะจัดงานฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ขึ้น จึงให้มีการดำเนินการัดพิมพ์พระไตรปิฎฎ โดยมีประธานกรรมาธิการแปลพระไตรปิฎกเป็นประธาน หัวหน้าแผนกตรวจสำนวนคำแปลพระไตรปิฎกทั้ง ๓ แผนก อธิบดีกรมการศาสนา ผู้จัดการโรงพิมพ์การศาสนา และหัวหน้ากองศาสนศึกษาเป็นกรรมการจัดพิมพ์ สำเร็จเรียบร้อยบริบูรณ์เป็นหนังสือ ๘๐ เล่ม ๆ ละ ๒,๕๐๐ จบ ภายในปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ทันงานฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษในปี ๒๕๐๐
พระไตรปิฎก ฉบับสังคายนา พ.ศ. ๒๕๓๐ คณะสงฆ์และรัฐบาลได้จัดงานสังคายนาพระธรรมวินัยตรวจชำระพระไตรปิฎกทั้งฉบับภาษาบาลีและภาษาไทย แล้วจัดพิมพ์ใหม่เรียกว่า “พระไตรปิฎกฉบับสังคายนา” เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษา ๕ รอบนักษัตร
พระไตรปิฎกสากล ฉบับอักษรโรมัน พ.ศ.๒๕๔๘ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดสร้างพระไตรปิฎกภาษาบาลี อักษรโรมัน ๔๐ เล่ม จำนวน ๑,๐๐๐ ชุด โดยอาศัยข้อมูลจากพระไตรปิฎกบาลีอักษรสยาม ร.ศ ๑๑๒ ในการตรวจชำระและจัดพิมพ์ และได้มีการตรวจทานถึง ๓ รอบ อีกทั้งยังได้นำเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ชื่อว่า “เทคโนโลยีธรรมะ” มาช่วยยืนยันความแม่นยำสมบูรณ์ของพระคัมภีร์ทั้ง ๔๐ เล่ม
๒. พระไตรปิฎก ฉบับคอมพิวเตอร์
โครงการพระไตรปิฎกคอมพิวเตอร์เริ่มขึ้นในปี ๒๕๓๐ โดยสำนักคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยมหิดลได้ประสบผลสำเร็จในการบรรจุพระไตรปิฎกภาษาบาลี จำนวน ๔๕ เล่ม เข้าคอมพิวเตอร์ พร้อมพัฒนาโปรแกรมเพื่อการสืบค้น ชื่อ Budsir BuddhistScriptures Information Retrieval เป็นพระไตรปิฎกฉบับภาษาบาลีอักษรไทย จำนวน ๔๕ เล่ม มีปริมาณข้อมูล ๒๕ ล้านตัวอักษร ใช้พระไตรปิฎกฉบับ สยามรัฐ ผลงานชุดนี้ใช้เวลาทำอยู่ ๗ เดือน จึงสำเร็จในวันวิสาขบูชา วันที่ ๓๐ เดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๑ เรียกว่า “พระไตรปิฎกฉบับคอมพิวเตอร์” เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสรัชมังคลาภิเษก
พ.ศ. ๒๕๔๙ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้พัฒนาระบบการสืบค้นพระไตรปิฎกคอมพิวเตอร์ยุคใหม่ที่ทันสมัยที่สุด เรียกว่า “พระไตรปิฎกคอมพิวเตอร์ฉบับนานาชาติ” ได้พัฒนาโปรแกรมให้สามารถแสดงผลในอักษรของภาษาที่แตกต่างกันได้ถึง ๘ ภาษา ลักษณะอักษร ได้แก่ เทวนาครี สิงหล พม่า เขมร ล้านนา ลาว โรมัน และไทย สารมารถสืบค้นข้อมูลในอักษรของภาษาต่างๆ ได้ ๘ อักษรในทุกคัมภีร์และเปิดดูพร้อมกันได้ทีเดียว ๑๕ หน้าต่าง นอกจากนี้ พระไตรปิฎกคอมพิวเตอร์ฉบับนานาชาติชุดนี้ยังเป็นการรวบรวมคัมภีร์ไว้ครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุดจำนวน ๑๙๔ เล่ม คือ พระไตรปิฎก ฉบับภาษาไทย ๔๕ เล่ม พระไตรปิฎกบาลี ฉบับสยามรัฐ ๔๕ เล่ม อรรถกถาบาลี ๕๗ เล่ม ฎีกาบาลีที่สำคัญ ๒๗ เล่ม และตำราเรียนหลักสูตรพระปริยัติธรรมแผนกบาลีของคณะสงฆ์ไทย ๒๐ เล่ม
ชุดพระไตรปิฎกคอมพิวเตอร์ฉบับนานาชาติ จะประกอบด้วยซีดีรอม จำนวน ๒ แผ่น หนังสือรพระไตรปิฎกฉบับภาษาอังกฤษ จำนวน ๑ เล่ม โดยผู้ร่วมจัดทำคือ มหาวิทยาลัยมหิดล กระทรวงวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย กองบาลีสนามหลวง และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
ห้างหุ้นส่วนจำกัด มุทเทอร์อูนด์ไซน์ ผลิตเพื่อจัดเป็นบรรณานุสรณ์ ประกอบด้วยชุดหนังสือดังนี้
๑. พระไตรปิฎกภาษาบาลีอักษรไทยฉบับสยามรัฐ ๔๕ เล่ม
๒. อรรถกถาบาลีอักษรไทยฉบับสยามรัฐ ๔๕ เล่ม
๓. พระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับสยามรัฐ ๔๕ เล่ม
๔. พระไตรปิฎกและอรรถกถาไทยฉบับมหามกุฎราชวิทยาลัย ๙๑ เล่ม
พระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
๑. พระไตรปิฎก ฉบับภาษาบาลี
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถร) ได้มีลิขิตถวายพระพรแด่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ขอให้นำความขึ้นกราบทูลพระกรุณารับเป็นองค์อุปถัมภ์โครงการดังกล่าว เมื่อความทราบถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทั้ง ๓ พระองค์ได้มีพระราชศรัทธาร่วมพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ จำนวน ๒๑๐,๐๐๐ บาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นเจ้าภาพพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑ ซึ่งเป็นพระวินัยปิฎกเล่มแรก สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงเป็นเจ้าภาพพระไตรปิฎก เล่มที่ ๙ ซึ่งเป็นพระสุตตันตปิฎกเล่มแรก และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงเป็นเจ้าภาพพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๔ ซึ่งเป็นพระอภิธรรมปิฎกเล่มแรก
พระไตรปิฎกฉบับภาษาบาลี ให้ชื่อภาษาบาลีว่า มหาจุฬาเตปิฎก ชื่อภาษาไทย พระไตรปิฎกภาษาบาลี ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พิมพ์ ๒๕๐๐ จบ เท่ากับจำนวนพุทธศักราช ๒๕๐๐
จบหนึ่งจัดเป็นเล่มสมุดจำนวน ๔๕ เล่มเท่ากับระยะกาลประกาศพระศาสนาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ พระวินัยปิฎก ๘ เล่ม พระสุตตันตปิฎก ๒๕ เล่ม พระอภิธรรมปิฎก ๑๒ เล่ม รวมเป็นเล่มหนังสือทั้งหมด ๑๑๒,๕๐๐ เล่ม
พระไตรปิฎกภาษาบาลี ฉบับมหาจุฬาปิฎก เริ่มพิมพ์เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๐ สำเร็จเรียบร้อยครบ ๔๕ เล่ม ในปี พ.ศ.๒๕๓๕
๒. พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ในปี พ.ศ.๒๕๓๕ มหาวิทยาลัยลงกรณราชวิทยาลัยได้กราบทูลเชิญสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นองค์ประธานอุปถัมภ์ พระไตรปิฎกฉบับนี้เรียกว่าพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มีจำนวน ๔๕ เล่ม เท่ากับฉบับภาษาบาลี โดยเริ่มจัดทำ เมื่อเดือน พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๗ เสร็จเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๒
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้รวมกับวิทยาเขตเชียงใหม่และคณะสงฆ์จังหวัดเชียงใหม่ จัดพิมพ์พระไตรปิฎกฉบับอักษรธรรมล้านนาภาษาบาลีขึ้น เมื่อ พ.ศ.๒๕๓๙ เพื่อเป็นอนุสรณ์เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาราชเจ้าภูมิพลอดุลยเดช ทรงครองครองราชย์ครบ ๕๐ ปี และนครเชียงใหม่มีอายุครบ ๗๐๐ ปี ตั้งชื่อว่า พระไตรปิฎกฉบับลานนานฺขริกปาลิเตปิฏกํ การตรวจสอบพระไตรปิฎกฉบับล้านนานี้ยึดตามพระไตรปิฎกภาษาบาลีฉบับสยามรัฐและฉบับมหาจุฬาเตปิฎก เป็นฉบับหลักในการตรวจสอบ มีการจัดเล่มและหัวข้อให้ตรงกันกับพระไตรปิฎกภาษาบาลี ฉบับมหาจุฬาเตปิฎก
พระไตรปิฎกฉบับเอกชนจัดพิมพ์
ในประเทศไทยพระไตรปิฎกได้รับการตีพิมพ์เป็นเล่มหนังสือด้วยอักษรไทยเป็นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๑ การตีพิมพ์เสร็จเรียบร้อยและมีการฉลองใน พ.ศ. ๒๔๓๖ พร้อมกับงานรัชดาภิเษกพระไตรปิฎกที่ตีพิมพ์ครั้งนั้นจัดเป็นจบๆละ ๓๙ เล่ม
ในสมัยรัชกาลที่ ๗ (พ.ศ.๒๔๖๘) ได้โปรดเกล้าฯ ให้ตีพิมพ์ใหม่เป็นพระไตรปิฎกฉบับที่สมบูรณ์ เพื่ออุทิศถวายพระราชกุศลแด่รัชกาลที่ ๖ เรียกว่า พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐมีจำนวน ๔๕ เล่ม ซึ่งได้ถือเป็นหลักในการจัดแบ่งพระไตรปิฎกในประเทศไทยสืบมาจนถึงปัจจุบัน
จบบทที่ ๖
พระไตรปิฎกนิกายเถรวาท
พระไตรปิฎกประเทศพม่า
การสังคายนาครั้งที่ ๕ หรือการสังคายนาครั้งที่ ๑ ในประเทศพม่า ทำที่เมืองมันดาเล เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๔ ประชุมทำกันอยู่เป็นเวลา ๕ เดือน มีพระสงฆ์ผู้คงแก่เรียนประชุมกัน ๒,๔๐๐ รูป ในพระบรมชูปถัมภ์ของพระเจ้ามินดง โดยพระมหาเถระ ๓ รูป คือ พระชาคราภิวังสะ พระนินาภิธชะและพระสุมังคลสามี เป็นประธานชำระบาลีพระไตรปิฎก แล้วจารึกลงบนแผ่นหินอ่อนจำนวน ๗๒๙ แผ่น และจารึกพระไตรปิฎกเป็นภาษาบาลีลงในแผ่นหินอ่อนทั้ง ๒ ด้าน มีขนาดกว้าง ๑.๑ เมตร สูง ๑.๕ เมตร และหนาประมาณ ๕-๖ นิ้ว แบ่งเป็นจารึกพระสูตร ๔๑๐ แผ่น พระวินัย ๑๑๑ แผ่น และพระอภิธรรม ๒๐๘ แผ่น รวม ๗๒๙ แผ่น
การสังคายนาในประเทศพม่าครั้งที่ ๒ (พม่าถือเป็นการสังคายนาครั้งที่ ๖ ของพระพุทธศาสนา) เรียกว่า ฉัฏฐสังคายนา” ทำพิธีเปิดงานเมื่อวันที่ ๑๗ พฤภาคม พ.ศ.๒๔๙๘ จนถึงวันที่ ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๐ จึงทำพิธีปิดการสังคายนา
พระไตรปิฎกฉบับสมาคมบาลีปกรณ์ อักษรโรมัน
ศาสตราอาจรย์ริด เดวิดส์ นายกสมาคมบาลีปกรณ์ ได้จัดพิมพ์พระไตรปิฎกอักษรโรมัน โดยได้คัดลอกจากพระไตรปิฎกภาษาบาลี ฉบับอักษรสิงหลของประเทศศรีลังกา ฉบับอักษรไทยของประเทศไทย และฉบับอักษรพม่าของประเทศพม่า เทียบเคียงสอบทานกัน แล้วพิมพ์ด้วยอักษรโรมัน สมาคมบาลีปกรณ์ได้ทำการตรวจชำระและจัดพิมพ์พระไตรปิฎกและอรรถกถาภาษาบาลีด้วยอักษรโรมันและฉบับแปลเป็นภาษาอังกฤษรวมทั้งปกรณ์วิเสส เช่น วิสุทธิมรรคและมิลินทปัญหา เป็นต้น
พระไตรปิฎก ฉบับมหาสังคายนาสากลนานาชาติ
การทำสังคายนาพระไตรปิฎกระดับนานาชาติเมื่อ ปี พ.ศ.๒๕๐๐ มีพระภิกษุสงฆ์ฝ่ายเถรวาทจากทั่วโลก จำนวน ๒,๕๐๐ รูป ได้ประชุมสังคายนา ณ กรุงร่างกุ้ง ประเทศพม่า ในปี พ.ศ. ๒๔๙๘-๒๕๐๐ ชื่อ “ฉบับฉัฏฐสังคีติ”
ก่อนการดำเนินการจัดพิมพ์ได้นำต้นฉบับมาตรวจทาน ๓ ครั้ง ระหว่างปี ๒๕๔๒-๒๕๔๘ ด้วยวิธีการอ่านสังวัธยายพิเศษโดยผู้เชี่ยวชาญพระไตรปิฎก พร้อมทั้งสร้างฐานข้อมูลใหม่และปรับปรุงการพิมพ์ให้เป็นมาตรฐานสากล รวมทั้งแก้ไขคำผิดให้ถูกต้อง ทั้งชุด ๔๐ เล่ม ใช้เวลาประมาณ ๖ ปี ในการนี้ได้มีการเพิ่มข้อมูลอ้างอิงพระไตรปิฎกบาลี ฉบับต่างๆ ของโลก ๑๓ ฉบับ มีชื่อเป็นภาษาไทยว่า มหาสังคายนาสากลนานาชาติ พ.ศ.๒๕๐๐
พระไตรปิฎกนิกายมหายาน
พระไตรปิฎกภาษาสันสกฤต
ตามหลักฐานในวสุพันธุนิทานกล่าวว่า พระไตรปิฎกภาษาสันสกฤตได้เกิดขึ้นเมื่อพุทธปรินิพพานแล้ว ๕๐๐ ปีมีพระอรหันต์ชื่อ “กาตยายนีบุตร” ได้ชุมนุมพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ และพระโพธิสัตว์อีก ๕๐๐ องค์ ร้อยกรองอภิธรรมปิฎกของนิกายสรวาสติวาทและได้แต่งคัมภีร์ชญาณปรัสถาน โดยมีวัตถุประสงค์การทำสังคายครั้งนี้ เพื่อร้อยกรองคัมภีร์แก้อธิบายพระไตรปิฎกที่เรียกว่า “ภาษยะ”
พระไตรปิฎกภาษาจีน
นักประวัติศาสตร์กล่าวว่า พระพุทธศาสนาเข้าสู่ประเทศจีน เมื่อประมาณ พ.ศ.๖๐๘ ส่วนตำนานจีนกล่าวกว่า พระพุทธศาสนาเข้าสู่จีนราว พ.ศ.๓๒๖ แต่ตามหลักฐานทางราชการค้นได้ว่า เมื่อ พ.ศ.๖๐๘ สมัยราชวงศ์ฮั่น
เมื่อพระเจ้ามิ่งตี่หรือเม่งตี่ ทรงส่งทูต ๑๘ คนไปสืบพระพุทธศาสนาในประเทศอินเดีย หรือชมพูทวีป ในครั้งนั้น พระกาศยปะมาตังคะ ได้เดินทางเผยแผ่พระพุทธศาสนาจากประเทศอินเดียวสู่ประเทศจีนได้แปล พระสูตรพุทธวัจนะ ๔๒ บท ที่ฝรั่งแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า “The Sutra of Forty-two sections” เป็นสูตรแรก
ต่อมาได้มีการแปลพระไตรปิฎกภาษาสันสกฤตเป็นภาษาจีนประมาณปี พ.ศ.๙๔๔ เมื่อพระกุมารชีวะจากแคว้นกูจา ในเอเชียกลาง มาถึงนครเชียงอาน ได้แปลคัมภีร์ออกมาส่วนหนึ่ง
ครั้นถึงสมัยราชวงศ์ถัง หลวงจีนคือพระถังซำจั๋ง หรือหลวงจีนเหี้ยนจัง หรือยวนฉาง ได้ไปสืบทอดพระไตรปิฎกในไซที คือแคว้นตะวันตก หรือดินแดนตะวันตกซึ่งหมายถึงชมพูทวีป พ.ศ.๑๑๗๒ แล้วกลับมาถึงเมืองจีน พ.ศ.๑๑๘๘ คือเกือบ พ.ศ.๑๒๐๐ และได้แปลพระสูตรภาษาสันสกฤตที่นำมาจากอินเดียเป็นภาษาจีน
พระไตรปิฎกภาษาญี่ปุ่น
ประเทศญี่ปุ่นมีพระไตรปิฎก ๙ ฉบับๆแรกเริ่มพิมพ์เมื่อ พ.ศ.๒๑๘๐ ช้ากว่าฉบับแรกของจีน พิมพ์ครั้งต้นวงศ์ซ็อง ถึง ๖๖๖ ปี ช้ากว่าฉบับแรกของเกาหลี ๖๒๖ ปี แต่ญี่ปุ่นเจริญก้าวหน้าในด้านค้นกว้ารวบรวมปกรณ์วิเสส อรรถกถา ฎีกาต่างๆ ยิ่งกว่าประเทศจีนและเกาหลี
เมื่อ พ.ศ.๒๔๖๒ ศาสตราจารย์ตากากุสุ พร้อมด้วยนักปราชญ์ชาวญี่ปุ่น ทั้งคณะได้ชำระรวบรวมพิมพ์พระไตรปิฎกใหม่ เสร็จเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๕ ให้ชื่อว่า “ฉบับไดโซ” อีกทั้งยังได้รวบรวมคันถะต่างๆ ของบรรดาคณาจารย์ ฝ่ายประเทศจีนและประเทศญี่ปุ่นทุกคณะทุกนิกายไว้หมดมี ๓๐๕ ปกรณ์ พิมพ์เป็นสมุดหน้าใหญ่ขนาดเอนไซโคลปีเดีย ๑๐๐ เล่ม และได้พิมพ์เลียนพระไตรปิฎกภาษาจีนต้นฉบับขึ้นบ้าง พร้อมทั้งได้มีการแปลพระไตรปิฎกภาษาบาลีของฝ่ายเถรวาทเป็นภาษาญี่ปุ่นอีกด้วย
พระไตรปิฎกภาษาทิเบต
ด้านวรรณคดีของทิเบตได้มีการรวบรวมผลงานในการแปลคัมภีร์ภาษาทิเบตขึ้น จัดแบ่งคัมภีร์ออกเป็น ๒ หมวด คือ หมวดพุทธพจน์มีผลงานแปล ๑๐๐ เล่ม กับหมวดอรรถวรรณนา มีผลงานแปล ๒๒๕ เล่ม เรียกว่า “พระไตรปิฎก” หรือคัมภีร์พระพุทธศาสนา “ฉบับทิเบต”
พระไตรปิฎกภาษาเกาหลี
ประเทศเกาหลี มีพระไตรปิฎก ๓ ฉบับๆแรก พิมพ์เมื่อ พ.ศ.๑๕๕๔ ช้ากว่าฉบับแรกของภาษาจีน พิมพ์ครั้งต้นราชวงศ์ซ้อง ๔๐ ปี
สมัยราชวงศ์โคเรียว พ.ศ.๑๒๐๐ ได้มีการจารึกคัมภีร์ศาสนาจำนวนกว่า ๕๐,๐๐๐ เล่ม เป็นต้น พร้อมทั้งพิมพ์พระไตรปิฎก ๑๖,๐๐๐ หน้า ด้วยตัวพิมพ์ไม้แกะ
เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๗ คณะสงฆ์เกาหลีได้ตั้งโครงการแปลและจัดพิมพ์พระไตรปิฎกฉบับเกาหลีขึ้น โดยนำต้นฉบับมาจากภาษาจีนเป็นแบบในการจารึกและการพิมพ์ พร้อมจัดให้มีการแปลคัมภีร์พระพุทธศาสนาจากภาษาจีนเป็นเกาหลีอีกด้วย สถานที่ทำ เรียกว่า “ศูนย์แปลพระไตรปิฎกเกาหลี” ตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัยดงกุก มีคณะกรรมการแปล ๖๕ คน ตามโครงการนี้จะตีพิมพ์พระไตรปิฎกแปลเป็นเล่ม ออกเดือนละ ๑ เล่ม รวมทั้งสิ้น ๒๔๐ เล่ม
จบบทที่ ๗
ความสำคัญของพระไตรปิฎกที่มีต่อศาสตร์สมัยใหม่
การศึกษาศาสตร์สมัยใหม่ในโลกนิยมแบ่งออกเป็น ๓ กลุ่ม คือ
๑. วิทยาศาสตร์ มุ่งศึกษาปรากฏการณ์ธรรมชาติ ในส่วนที่เกี่ยวกับสรรพสิ่งต่างๆที่เป็นธรรมชาติ ยกเว้นปราฏกการพฤติกรรมของมนุษย์ เช่น ชีววิทยา เคมี ฟิสิกส์ ดาราศาสตร์ แพทย์ศาสตร์ เป็นต้น
๒. สังคมศาสตร์ มุ่งศึกษาพฤติกรรมระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ หรือปรากฏการณ์เกี่ยวกับการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ เช่น สังคมวิทยา นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ มานุษยวิทยา และภูมิศาสตร์ เป็นต้น
๓. มนุษยศาสตร์ ศึกษาปรากฏการณ์ของมนุษย์ในส่วนที่เป็นปัจเจกบุคคล ในเรื่องของคุณค่า ความงาม ความสุนทรี การใช้เหตุผล เช่น ปรัชญา ศาสนา ภาษา วรรณกรรม ศิลปะ และดนตรี เป็นต้น
การเปรียบเทียบลักษณะสำคัญ ทางข้อมูล วิธีการ ผลงานของการศึกษาและวิจัยด้าน วิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มีดังนี้
วิทยาศาสตร์
ข้อมูล ปรากฏการณ์
วิธีการ การสังเกต การทดลอง
ผลงาน กฎเกณฑ์ ทฤษฎี
สังคมศาสตร์
ข้อมูล พฤติกรรม
วิธีการ การสังเกต การวิเคราะห์
ผลงาน กฎเกณฑ์ ทฤษฎี
มนุษยศาสตร์
ข้อมูล มนุษย์ พฤติกรรม ผลงานสร้างสรรค์
วิธีการ การตีความและการวินิจฉัยประสบการณ์
ผลงาน ความหมาย คุณค่า
ความสัมพันธ์ของพระไตรปิฎกกับศาสตร์สมัยใหม่
พระไตรปิฎกกับมนุษย์ศาสตร์
มนุษย์ศาสตร์ หมายถึง วิชาว่าด้วยคุณค่าทางจิตใจและงานของคนมีศิลปะ วรรณคดี ประวัติศาสตร์ภาษาศาสตร์ ศาสนาและปรัชญา
หมวดวิชามนุษย์ศาสตร์ คือ กลุ่มวิชาที่เกิดขึ้นมาในโลกก่อนหมวดวิชาอื่น กลุ่มวิชานี้ศึกษามนุษย์ในเชิงความเชื่อ ปรัชญา ภาษา ศิลปะ อารยธรรม และคณิตศาสตร์ กลุ่มวิชานี้มีสองกลุ่มย่อย คือ
๑. กุล่มวิชาบริสุทธิ์ ได้แก่ วิชาศาสนา วิชาปรัชญา วิชาภาษาศาสตร์ หรือ อักษรศาสตร์ วิชาศิลปะ
๒. กลุ่มวิชาประยุกต์ ได้แก่ ปรัชญาการดำเนินชีวิต ศาสนาในชีวิตประจำวัน ภาษาสำหรับธุรกิจ อุตสาหกรรมศิลป์ ศิลปะการแสดง การท่องเที่ยว ภาษาอังกฤษเพื่อการท่อง
เที่ยว
วิชาประยุกต์ คือ วิชาบริสุทธิ์ที่ถูกนำมาใช้ประโยชน์โดยตรงในการดำรงชีวิต หรืออาจพูดได้ว่า วิชาประยกต์คือ การนำเอาความรู้บริสุทธิ์มาใช้งาน
พระไตรปิฎกมีความสัมพันธ์กับศิลปะ วรรณคดี ประวัติศาสตร์ ภาษาศาสตร์ ศาสนาและปรัชญา
๑. ความสำพันธ์พระไตรปิฎกกับศิลปะ
อรรถกถาจารย์ผู้รจนาคัมภีร์มงคลทีปนี ให้อรรถาธิบายไว้ว่า สิปปํ นาม อนาคาริยาคาริยวเสน ทุวิธํ อตฺถโกสลฺลํ แปลว่า ศิลปะ หมายถึง หัตถโกศล สองประเภท คือของบรรพชิตกับของคฤหัสถ์ หัตถโกศล เป็นไวพจน์ของศิลปะ มีความหมายเหมือนกัน ใช้แทนกันได้ หัตถโกศล แปลว่า ฉลาดทำ หมายถึง ทำเป็น ดังนั้น คำว่า ศิลปะ จึง หมายถึง ทำเป็น นั่นเอง
ศิลปะของบรรพชิตและของคฤหัสถ์นั้น ย่อรวมลงเป็นช่างทำ ช่างพูด ช่างคิด ซึ่งให้สำเร็จประโยชน์ ๓ ประการ คือ อัตถะ เป็นที่ต้องการของตนและคนอื่น หิตะ เกื้อกูลแก่ตนและคนอื่น สุขะ อำนวยความสุขแก่ตนและคนอื่น อย่างนี้ชื่อว่าเป็นมงคล
ประเภทของศิลปะมี ๒ แขนง คือ
๑. วิจิตรศิลป์ เดิมเรียกว่า ประณีตศิลป์ หมายถึง ผลงานศิลปะที่มุ่งเน้นคุณค่าทางความงามเป็นสำคัญ ประกอบด้วย ทัศนศิลป์ ดุริยางคศิลป์ นาฏศิลป์ สถาปัตยกรรมและวรรณกรรม
๒. ศิลปะประยุกต์ หรือประยุกต์ศิลป์ หมายถึง ผลงานศิลปะที่สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อมุ่งเน้นประโยชน์ใช้สอยเป็นสำคัญ ประกอบด้วย มัณฑนศิลป์ อุตสาหกรรมศิลป์ พาณิชยศิลป์ หัตถศิลป์และการออกแบบต่างๆเป็นต้น
มนุษย์ได้สร้างศิลปะขึ้นสนองความจำเป็น ๓ ทาง คือ ความจำเป็นทางกาย ความจำเป็นทางใจและความจำเป็นทางความเชื่อถือลัทธิศาสนา
๑. ความจำเป็นทางกาย คือ การสร้างสรรค์เพื่อความจำเป็นทางร่างกาย ได้แก่การสร้างสรรค์สิ่งต่าง เพื่อประโยชน์ใช้สอยเพื่ออำนวยความสะดวกสบายต่างๆ
๒. ความจำเป็นทางจิตใจ คือ การสร้างสรรค์เพื่อความจำเป็นทางจิตใจ ได้แก่ การสร้างสรรค์สิ่งต่างๆให้มีความสวยงาม มีความไพเราะ มีความเป็นระเบีบประสานกลมกลืนความงามของสิ่งต่างๆ
๓. ความจำเป็นทางความเชื่อถือ คือ การสร้างสรรค์เพื่อความเป็นเป็นทางการเชื่อถือ ได้แก่ การสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ขึ้นเป็นที่ยึดเหนี่ยวของจิตใจ
๒. ความสำพันธ์ของพระไตรปิฎกกับวรรณคดี
พระไตรปิฎกเป็นวรรณคดีบาลีเพื่อชีวิต มีทั้งร้อยแก้วและร้อยกรองทั้งที่เป็นพุทธภาษิต สาวกภาษิต เทวดาภาษิตและอิสิภาษิต วรรณคดีบาลี เป็นเรื่องราวที่ตั้งอยู่บนพื้นฐาน ๓ ประการ คือ ความจริง ความงามและความดี
๓. ความสำพันธ์ของพระไตรปิฎกกับประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์ คือ ศาสตร์ที่ว่าด้วยความพยายามที่จะตอบคำถามเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ในอดีต ที่เล่าความทรงจำว่าด้วยประสบการณ์ของมนุษย์ พระไตรปิฎกแสดงถึงเรื่องราวประวัติศาสตร์ของพุทธศาสนา พระพุทธเจ้า พระมหาสาวก พระสาวก บ้านเมือง ระบบการศึกษา วิถีชีวิตของชาวชมพูทวีปในอดีต
๔. ความสำพันธ์ของพระไตรปิฎกกับภาษาศาสตร์
ภาษาศาสตร์ คือ วิชาที่ศึกษาภาษาในแง่ต่างๆ เช่น เสียง โครงสร้าง ความหมาย โดยอาศัยวิธีการวิทยาศาสตร์ คือ มีการตั้งปัญหาสมมติฐาน เก็บและวิเคราะห์ข้อมูลแล้วสรุปผล
พระไตรปิฎกสำพันธ์กับภาษาศาสตร์ในฐานะเป็นที่รวบรวมพุทธพจน์ ก่อให้เกิดคัมภีร์ไวยากรณ์ มีการท่องจำและการออกเสียงตามหลักไวยากรณ์ เช่น กรณีการอุปสมบทต้องสวดกรรมวาจาไม่ให้วิบัติ เมื่อชาวไทยรับคำสอนในพระไตรปิฎกมาใช้จึงเกิดการยืมคำขึ้น ทำให้ภาษาบาลีปะปนผสมอยู่ในภาษาไทยมากมาย
พระไตรปิฎกกับสังคมศาสตร์
สังคมศาสตร์ หมายถึง ศาสตร์ว่าด้วยความรู้เกี่ยวกับสังคม มีหมวดใหญ่ ๆ เช่น ประวัติศาสตร์ (เกี่ยวกับสังคม) มานุษยวิทยา สังคมวิทยา เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ จิตวิทยา สังคม
หมวดวิชาสังคมศาสตร์เป็นความรู้เกี่ยวกับคนที่รวมกันอยู่เป็นสังคมมนุษย์ แบ่งเป็นสองกลุ่มวิชาย่อยดังนี้
๑. กลุ่มวิชาที่บริสุทธิ์ แยกย่อยเป็น
ความรู้ทั่วไป หมายถึง ความรู้ทั่วไปเกี่ยวสังคมมนุษย์ เช่น สาขามานุษยวิทยา และสังคมวิทยาเป็นต้น
ความรู้เฉพาะด้าน หมายถึง ความรู้เฉพาะด้านในด้านใดด้านหนึ่งของสังคมมนุษย์ เช่น สาขาเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ จิตวิทยา ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เป็นต้น
กลุ่มวิชาผสม เช่น มานุษยวิทยากายภาพ สังคมวิทยาการเมือง เศรษฐศาสตร์การเมือง จิตวิทยาสังคม ธุรกิจการเกษตร การเกษตรอุตสาหกรรม กลุ่มวิชาประยุกต์เป็นต้น
กลุ่มวิชาประยุกต์ หมายถึง สาขาวิชาบริสุทธิ์ของสังคมศาสตร์ที่ถูกนำมาใช้ประโยชน์ในชีวิต มีหลายสาขาวิชา เช่น การพัฒนาชุมชน การสังคมสงเคราะห์ การจัดการ การเป็นผู้นำ มนุษย์สัมพันธ์ การโฆษณา การท่องเที่ยว นิเทศศาสตร์ การวางแผน คอมพิวเตอร์ธุรกิจ นิเทศธุรกิจ การจัดการ อุตสาหกรรม เป็นต้น
หลักประชาธิปไตย
คำว่า ประชาธิปไตย หรือ Democracy เป็นคำใช้มานาน หมายถึง การให้อำนาจแก่ประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน ทั้งทางนิติบัญญัติ บริหารและตุลาการ และยึดหลัก ๕ หลักคือ หลักเสรีภาพ หลักความเสมอภาค หลักเหตุผล การตัดสินใจโดยเสียงข้างมาก เสียงข้างน้อยได้รับการคุ้มครองและการผลัดเปลี่ยนกันหมุนเวียนดำรงตำแหน่งไม่ผูกขาดแต่คนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
หลักการสำคัญของระบบการเมืองที่ได้รับความศรัทธาเลื่อมใสจากประชาคมโลกอย่างแพร่หลายมากที่สุดในปัจจุบันซึ่งประกอบด้วยหลักสำคัญ ๕ ประการ
๑. หลักอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน เพื่อแสดงออกถึงอำนาจในการปกครองของประชาชนโดยแท้จริง
๒. หลักเสรีภาพ หมายถึง การที่บุคคลสามารถกระทำ หรืองดเว้นกระทำการสิ่งหนึ่งสิ่งใดตามที่ต้องการ ตราบเท่าที่การกระทำหรืองดเว้นการกระทำนั้นไม่ไปละเมิดสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่นที่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย และไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
๓. หลักความเสมอภาค คือ ในระบอบประชาธิปไตยโดยเชื่อมั่นว่า หากมนุษย์มีโอกาที่เสมอภาคเท่าเทียมกัน ถึงแม้ว่าจะมีความสามารถที่แตกต่างกันก็ตาม มนุษย์สามารถดำรงชีวิตร่วมกันได้
๔. หลักการปกครองโดยกฎหมาย หลักการนี้มีขึ้นเพื่อมุ่งจะให้ความคุ้มครองแก่สิทธิและเสรีภาพขึ้นพื้นฐานของประชาชนเป็นสำคัญ
๕. หลักเสียงข้างมาก การปกครองในระบอบประชาธิปไตยโดยเป็นการปกครองเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน
พระไตรปิฎกกับวิทยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์ หมายถึง ความรู้ที่ได้โดยการสังเกตและค้นคว้าจากปรากฏการณ์ธรรมชาติแล้วจัดเข้าเป็นระเบียบ วิชาที่ค้นคว้าได้หลักฐานและเหตุผลแล้วจัดเข้าเป็นระเบียบ
หมวดวิทยาศาสตร์ธรรมชาติเป็นความรู้เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต เช่น ดิน น้ำ หิน แร่ธาตุและอากาศ สำหรับสิ่งมีชีวิต เช่น พืช สัตว์ รวมถึงมนุษย์ด้วย
หมวดวิชานี้แบ่งย่อยออกเป็น ๒ ประเภท คือ
๑. กลุ่มวิชาบริสุทธิ์แยกแยกย่อยเป็น ๓ ประเภท ได้แก่ สาขาชีวภาพ สาขากายภาพ และสาขาผสม
๒. กลุ่มวิชาประยุกต์ แยกย่อยออกเป็นหลายประเภท เช่น แพทย์ พยาบาล เภสัช สาธารณสุข สัตวแพทย์ วิศวกรรมสิ่งแวดล้อม วิศวกรรมการจัดการ วิศวกรรมบริการ งานก่อสร้างลักษณะเฉพาะของวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ
ความเชื่อตามหลักวิทยาศาสตร์ คือ จะเชื่อสิ่งใดต้องพิสูจน์ให้เห็นจริงเสียก่อน เอาปัญญาและเหตุผลเป็นตัวตัดสินความจริง ส่วนหลักความเชื่อทางพระพุทธศาสนา คือ ความจริงจะต้องพิสูจน์ได้โดยการปฏิบัติ
จุดประสงค์ของวิทยาศาสตร์กับพุทธศาสตร์
วิทยาศาสตร์ แก้ไขปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ต้องการรู้กฎเกณฑ์ของธรรมชาติ
พุทธศาสตร์ เข้าใจกฎเกณฑ์ธรรมชาติในนิยาม ๕ คือ อุตุ พืช จิต กรรม ธรรมชาติ ต้องการรู้กฎเกณฑ์ความจริงของชีวิต
ความคิดแบบพุทธกับความคิดแบบวิทยาศาสตร์คล้ายกันคือ
สืบสาวหาเหตุผลของปรากฏการณ์ โดยวิทยาศาสตร์เน้นปรากฏการณ์ทางวัตถุ แต่พุทธศาสตร์เน้นปรากฏการณ์ของชีวิตและสังคม
การเริ่มต้นหาความจริงจากประสบการณ์อายตนะและสภาวธรรมคือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย
กระบวนความคิดทางวิทยาศาสตร์กับพุทธศาสตร์
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ คือ ตั้งปัญหาให้ชัด ตั้งคำถามชั่วคราวเพื่อตอบข้อทดสอบ รวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล ถ้าคำตอบชั่วคราวถูกต้องตั้งทฤษฎีไว้ นำไปประยุกต์แก้ปัญหา
กระบวนการทางพุทธศาสตร์ คือ ทุก-ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ หาคำตอบจากลัทธิ ลองปฏิบัติโยคะทำความเพียร รวบรวมผลการปฏิบัติ ผิดก็เปลี่ยน ถูกก็ดำเนินถึงจุดหมาย เผยแผ่แก่ชาวโลก
ความสอนคล้องและความแตกต่างระหว่างพระพุทธศาสนากับหลักวิทยาศาสตร์
๑. หลักไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา
๒. การยอมรับโลกที่อยู่พ้นสสารวัตถุ ทั้งวิทยาศาสตร์และพุทธศาสตร์ยอมรับสสารวัตถุ ที่รู้ได้จากประสาททั้ง ๕ ว่ามีจริง โลกที่พ้นจากวัตถุ วิทยาศาสตร์ยังไม่ยอมรับ เพราะเชื่อว่าประสาทสัมผัสเป็นเครื่องสุดท้ายที่จะต้องตัดสินความจริง พุทธศาสนาเชื่อว่าสัจธรรมขั้นสูงคือ มรรค ผล นิพพาน ไม่อาจจะรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสแต่รู้ได้ด้วยปัญญินทรีย์
๓. การอธิบายความจริง วิทยาศาสตร์ถือว่า ความจริงเป็นสิ่งสาธารณะสามารถพิสูจน์ได้ สัจธรรมทางพุทธมีทั้งสิ่งสาธารณะและ “ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญหิ” อันวิญญูชนจะพึงรู้ได้เฉพาะตน
จบบทที่ ๘
คุณค่าของพระไตรปิฎกด้านศาสนา
ในฐานเป็นคัมภีร์บันทึกคำสอน
หลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ครั้งพุทธกาลเรียกว่า พรหมจรรย์ คำสั่งสอน นวังคสัตถุศาสตร์ ปาพจน์ และธรรมวินัย
พระไตรปิฎกเป็นคัมภีร์บรรจุหลักคำสอนที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ มีการรวบรวมไว้อย่างมีระบบ ได้รับการสืบทอดด้วยการท่องจำและมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร นับเป็นเวลานานกว่า ๒,๕๐๐ ปี เมื่อพุทธสาวกต้องการทราบหลักคำสอนของศาสดา ต้องค้นคว้าจากพระไตรปิฎกเท่านั้นถึงจะได้หลักคำสอนที่แน่นอนไม่บิดเบือนไปจากคำสอนของพระศาสดา
ในฐานะเป็นปัจจัยธำรงรักษาพระพุทธศาสนา
พระไตรปิฎกเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งที่สามารถธำรงรักษาไว้ซึ่งพระพุทธศาสนา เพราะได้มีการรวบรวมคำสอนทางพระพุทธศาสนาไว้เป็นหมวดหมู่ โดยพระมหาเถระในสมัยก่อน นับเป็นผู้มีอุปการคุณต่อพระพุทธศาสนาอย่างมาก ที่ทำการสังคายนาและช่วยกันชำระ และบันทึกคำสอนในทางพระพุทธศาสนาเอาไว้เป็นหมวดหมู่ ซึ่งควรแก่การศึกษาค้นคว้า ในปัจจุบันได้บันทึกเป็นแผ่นซีดีรอม และสามารถสืบค้นได้จากทางอินเตอร์เน็ต พระไตรปิฎก จึงนับเป็นปัจจัยที่สำคัญในการธำรงรักษาไว้ซึ่งพระพุทธศาสนาจนถึงปัจจุบัน
ในฐานเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของพุทธบริษัท ๔
พุทธบริษัททั้ง ๔ คือ พระภิกษุ ภิกษุณี อุบาสกและอุบาสิกา ได้ยึดหลักคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากพระไตรปิฎก ซึ่งเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจและปฏิบัติตาม เมื่อมีความเห็นผิดเกี่ยวกับพระธรรมและพระวินัย พุทธบริษัทสามารถตัดสินได้ด้วยความยุติธรรมโดยอาศัยหลักฐานที่ปรากฏในพระไตรปิฎกเป็นเกณฑ์ ดังนั้น พระไตรปิฎกจึงเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจทั้งในฐานเป็นตัวแทนแห่งพระศาสดา และในฐานเป็นแหล่งตัดสินพระธรรมวินัยที่ถูกต้อง
คุณค่าของพระไตรปิฎกด้านวิชาการ
ด้านภาษาศาสตร์และวรรณกรรม
พระไตรปิฎกในด้านภาษาศาสตร์คือ ได้มีการบันทึกเป็นภาษาต่างๆ เช่น ภาษาสิงหล ภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต ภาษาไทย ภาษาขอม ภาษาพม่า ภาษาโรมันเป็นต้น
พระไตรปิฎกในด้านวรรณกรรม คือ เป็นแหล่งข้อมูลแห่งแรงบันดาลใจในการสรรสร้างวรรณกรรมไทยหลายเรื่อง เช่น พระมหาชนก ทศชาติชาดก ไตรภูมิพระร่วง และพระมาลัยโผดโลก ซึ่งนับเป็นคุณทางวิชาการอย่างยิ่ง
ด้านประวัติศาสตร์
เมื่อศึกษาประวัติการทำสังคายนา ทราบว่าการทำสังคายนาครั้งที่ ๑ และครั้งที่ ๒ เท่านั้น ที่มีบันทึกอยู่ในพระไตรปิฎก นอกนั้นไม่ได้กล่าวถึง และการพูดถึงสังคายนา ทั้ง ๒ ครั้งนี้ ไม่ได้กล่าวถึง “พระไตรปิฎก” ใช้คำว่า “ธมฺมวินยสงฺคีติ” แสดงว่าพระพุทธวจนะนั้นยังไม่มีการจัดแบ่งเป็น “ปิฎก” แต่เรียกรวมๆว่า “ธรรมวินัย” เท่านั้น ต่อมาธรรมวินัยได้แยกออกเป็น ๓ ส่วน แต่ละส่วนเรียกว่า “ปิฎก” คือ ธรรม แยกเป็น สุตตันปิฎก กับอภิธรรมปิฎก ส่วนวินัยคงเป็นวินัยปิฎก อยู่เช่นเดิม
หลังจากการทำสังคายนาครั้งที่ ๒ แล้วพระพุทธวจนะหรือพระธรรมวินัยถูกจัดแบ่งเป็นหมวดหมู่ในชื่อว่า “ปิฎก”และนิกายทั้ง ๕ คือ ทีฆนิกาย มัชฌิมนิกาย สังยุตตนิกาย อังคุตตรนิกาย และขุททกนิกาย
พระไตรปิฎกได้รับการถ่ายทอดสืบต่อกันมาด้วยวิธีมุขปาฐะ หรือการท่องจำอย่างเป็นระบบมาแต่สมัยพุทธกาลจากรุ่นต่อรุ่น จนได้รับการจารลงเป็นลายลักษณ์อักษร เมื่อสมัยสังคายนาครั้งที่ ๔ พุทธศตวรรษที่ ๕ ในรัชสมัยของพระเจ้าวัฏฏคามณีอภัย แห่งประเทศศรีลังกา ระบบมุขปาฐะจึงได้ลดความเข้มลง แต่ยังถือปฏิบัติอยู่ในบางประเทศ เช่น ไทยและพม่ามาจนบัดนี้
คุณค่าของพระไตรปิฎกด้านการดำเนินชีวิต
ด้านสังคม ศิลปวัฒนธรรม และจิตรกรรม
พระไตรปิฎกมีคุณูปการต่อสังคม ศิลปะ วัฒนธรรมและจิตรกรรมไทยเป็นอย่างยิ่ง เช่น วัด อาราม และศาสนสถาน เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีจิตรกรรมฝาผนัง ภาพวาดและงานศิลปะทางพุทธศาสนา ที่สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของพุทธศาสนากับวิธีชีวิตของสังคมไทยที่เข้ากันอย่างลงตัวอีกด้วย
พระศิริมังคลาจารย์ ได้อรรถธิบายมงคลศิลปะนี้ไว้ในมังคลัตถทีปนีว่า หัตถโกศล คือความเป็นคนฉลาดในหัตถกรรมคือเป็นช่างฝีมือ ทำงานให้เสร็จและประณีต ด้วยน้ำมือของตนชื่อว่าศิลปะ และจำแนกศิลปะออกเป็น ๒ ประเภทคือ อนาคาริยศิลปะ คือ ช่างฝีมือของบรรพชิต กับ อาคาริยศิลปะ คือ ช่างฝีมือของคฤหัสถ์
ด้านหลักของการปฏิบัติธรรม
ในมหาสติปัฏฐานสูตรเป็นต้นนั้น พระพุทธเจ้าทรงแนะนำว่า การปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐานจะเป็นทางแห่งความบริสุทธิ์ ดังความว่า “ภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นทางเดียวเพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์ เพื่อล่วงโสกะและปริเทวะ เพื่อดับทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุญายธรรม เพื่อทำให้แจ้งนิพพาน ทางนี้คือ สติปัฏฐาน ๔ ประการ” สติปัฏฐาน คือ การตั้งสติสัมปชัญญะ เพียรพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม เพื่อกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกให้ได้ โดยแยกพิจารณาเป็น ๔ ประการ คือ ๑. การพิจารณาเห็นกายในกาย ๒. การพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา ๓. การพิจารณาเห็นจิตในจิต ๔. การพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย
ด้านเศรษฐกิจ
แนวคิดเกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานของมนุษย์
ปัจจัยขั้นพื้นฐานของมนุษย์ตามหลักของพระพุทธศาสนามี ๔ ประการ คือ
๑. อาหาร ได้แก่ สิ่งที่มนุษย์หรือสัตว์บริโภคกลืนกินเข้าไปแล้วทำให้หายหิว หรือบรรเทาความหิวลงไปได้
๒. เครื่องนุ่งหุ่ม ได้แก่ อาภรณ์สำหรับปกปิดอวัยวะ ร่างกายให้อบอุ่น ป้องกันเหลือบ ยุง ลม แดดและสัตว์เลื้อยคลานบางชนิดเป็นต้น
๓. ที่อยู่อาศัย ได้แก่ ที่พักอาศัย กิน นอน ขับถ่าย และหรือสืบพันธ์ตามธรรมชาติของคนเราให้เป็นไปตามความสะดวกสบายและปลอดภัย โดยสามารถป้องกันลม ฝน แดด และสัตว์ร้ายตลอดถึงปรับอุณหภูมิให้สบายในยามพักผ่อน หลับนอน เป็นต้น
๔. ยารักษาโรค ได้แก่ ยาที่มีสรรพคุณ คือ เมื่อใช้แล้วสามารถ บรรเทาอาการเจ็บป่วยหรือเพื่อให้หายขาดจากโรคที่ตนเป็นอยู่ หรือเพื่อเสริมสร้างและซ่อมแซมสิ่งที่เสียหาย ผุพังไป และนำกลับมาใช้ได้เหมือนปกติ
๒. แนวคิดหลักเศรษฐกิจเชิงพุทธ
หลักเศรษฐกิจตามแนวพุทธศาสนานั้น เป็นเศรษฐกิจมัชฌิมา หรือเศรษฐกิจพอเพียง คือ การได้คุณภาพชีวิตตามทางสายกลาง ที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา เพื่อให้มนุษย์รู้จักความพอดีของชีวิต ประกอบอาชีพที่ถูกต้อง ทำให้เกิดความพอดี คำว่าพอดี คือ มัชฌิมา นั่นเอง นอกจากนี้พระพุทธเจ้ายังสอนให้พุทธบริษัทมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ผูกใจกันด้วยหลักสังคหวัตถุ ๔ ประการ คือ
๑. ทาน คือ การให้ การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การเสียสละ แบ่งปันช่วยเหลือสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน
๒. ปิยวาจา คือ พูดเพราะ พูดดี พูดมีสาระ
๓. อัตถจริยา ประพฤติตนให้เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม
๔. สมานัตตตา คือ ประพฤติตนเสมอต้นเสมอปลาย รู้จักเอาตัวเข้าประสาน สารมารถปรับตัวเข้ากับคนอื่นได้
ด้านการเมืองการปกครอง
พระพุทธเจ้าได้ตรัสหลักการปกครอง คือ อธิปไตย ไว้ ๓ ประการด้วยกัน คือ ๑) อัตตาธิปไตย ถือตนเป็นใหญ่ ๒) โลกาธิปไตย ถือโลกเป็นใหญ่ ๓) ธัมมาธิปไตย ถือธรรมเป็นใหญ่
ด้านสิ่งแวดล้อม
คำสอนในพระไตรปิฎกแสดงให้เห็นว่าพระพุทธเจ้าทรงให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างยิ่งดังตัวอย่างคือ
๑. ทรงชักชวนให้ปลูกสวนปลูกป่า
๒. ทรงห้ามพระภิกษุตัดหรือทำลายต้นไม้
๓. ทรงห้ามพระภิกษุก่อสร้างที่อยู่อาศัยตามชอบใจ
๔. ทรงห้ามพระภิกษุเผาป่า
๕. ทรงกำหนดข้อปฏิบัติเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยที่เรียกว่าเสนาสนวัตร
การสืบค้นพระไตรปิฎกด้วยระบบคอมพิวเตอร์
พระไตรปิฎกที่นำมาบรรจุไว้ในคอมพิวเตอร์ มี ๒ ลักษณะ คือ พระไตรปิฎก CD-ROM และพระไตรปิฎกระบบออนไลน์ ดังมีลายละเอียดดังนี้
พระไตรปิฎก CD-ROM
๑. พระไตรปิฎก CD-ROM ของมหาวิทยาลัยมหิดล
๒. พระไตรปิฎก CD-ROM ฉบับฉัฏฐสังคายนา
๓. พระไตรปิฎก CD-ROM ฉบับธรรมทาน
๔. พระไตรปิฎก CD-ROM ฉบับเรียนพระไตรปิฎก
๕. พระไตรปิฎก CD-ROM ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
พระไตรปิฎกระบบออนไลน์
พระไตรปิฎกระบบออนไลน์ มีจุดเด่นคือ สามารถค้นหาข้อมูลได้อย่างกว้างขวาง มีโครงข่ายโยงใยได้ทั่วโลก แต่มีจุดด้อย คือ ต้องมีระบบออนไลน์จึงใช้ได้ ด้วยเทคโนโลยีที่ได้รับการพัฒนาและก้าวหน้ามากขึ้น พระไตรปิฎกจึงได้รับการศึกษากว้างขวางยิ่งขึ้นและมีการพิมพ์เผยแพร่ในเว็บไซต์จำนวนมาก
วิธีการค้นหาพระไตรปิฎกระบบออนไลน์
การค้นหาข้อมูลพระไตรปิฎกในระบบออนไลน์ สามารถค้นหาได้ตามขั้นตอนดังนี้
๑. เข้าเว็บไซต์ที่สามารถใช้ในการค้นหา
๒. พิมพ์คำว่าพระไตรปิฎกลงในช่องค้นหา แล้วกปุ่มค้นหา หรือ Enter บนคีย์บอร์ด
๓. จะปรากฏข้อมูลที่ค้นพบ
๔. กดเลือกรายการแหล่งข้อมูลพระไตรปิฎกออนไลน์ที่ต้องการ
๕. ทำตามขั้นที่แต่ละเว็บไซต์แนะนำ
แนะนำแหล่งข้อมูลในการสืบค้นพระไตรปิฎกออนไลน์
แหล่งข้อมูลสำหรับสืบค้นพระไตรปิฎกออนไลน์เพียงบางแหล่งแหล่งดังนี้
๑. http://larndham.net/tipitaka/offline/
๒. http://www.geocities.com/chacrit/
๓. http://www.larnbuddhism.com/trpitaka/
๔. http://www.learntripitaka.com/
๕. http://mahamakuta.net.co.th/tipitaka/tipitaka.html
จบบทที่ ๙