ชื่อวิชา: จริยธรรมสำหรับนักบริหารท้องถิ่น (Ethics for Local Administrators)
คำอธิบายรายวิชา
ศึกษาหลักการพื้นฐานทางจริยธรรม คุณธรรม และธรรมาภิบาลที่จำเป็นสำหรับนักบริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น วิเคราะห์ประเด็นปัญหาทางจริยธรรมที่สำคัญ เช่น ผลประโยชน์ทับซ้อน การตัดสินใจทางจริยธรรม การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่โปร่งใส ตลอดจนบทบาทในการเป็นผู้นำทางจริยธรรมที่รับผิดชอบต่อประชาชนและสังคม เรียนรู้ผ่านกรณีศึกษา การอภิปราย และกิจกรรมกลุ่มเพื่อเสริมสร้างทักษะการตัดสินใจและการปฏิบัติหน้าที่อย่างมีจริยธรรม
บทที่ ๑ ความสำคัญของจริยธรรมในการบริหารงานท้องถิ่น
วัตถุประสงค์:
๑. เพื่อให้ผู้เรียนสามารถอธิบายความหมายและความสำคัญของจริยธรรม คุณธรรม และธรรมาภิบาลได้
๒. เพื่อให้ผู้เรียนตระหนักถึงความคาดหวังของสังคมที่มีต่อนักบริหารท้องถิ่นในด้านจริยธรรม
๓. เพื่อให้ผู้เรียนสามารถจำแนกความแตกต่างระหว่างจริยธรรมส่วนบุคคลและจริยธรรมในวิชาชีพได้
เนื้อหา
๑. นิยามศัพท์ที่เกี่ยวข้อง: จริยธรรม, คุณธรรม, จรรยาบรรณ, และธรรมาภิบาล
๒. บทบาทและความคาดหวัง: ทำไมนักบริหารท้องถิ่นต้องมีจริยธรรมสูงกว่ามาตรฐานทั่วไป
๓. จริยธรรมส่วนบุคคล vs. จริยธรรมในวิชาชีพ: การจัดการความขัดแย้งในบทบาท
นิยามศัพท์ที่เกี่ยวข้อง: จริยธรรม, คุณธรรม, จรรยาบรรณ, และธรรมาภิบาล
จริยธรรม (Ethics)
จริยธรรม คือ หลักการหรือมาตรฐานที่ว่าด้วยความถูก-ผิด, ความดี-ชั่ว ซึ่งเป็นที่ยอมรับในสังคมหรือกลุ่มวิชาชีพหนึ่งๆ เป็น ปรัชญาหรือแนวคิดเชิงหลักการ ที่ใช้ในการตัดสินว่าการกระทำใดควรทำหรือไม่ควรทำ บ่อยครั้งจริยธรรมจะเกี่ยวข้องกับ "เหตุผล" และการไตร่ตรองเชิงระบบ
ลักษณะสำคัญ เป็นหลักการกว้างๆ, เป็นมาตรฐานของสังคม/กลุ่ม, เน้นการใช้เหตุผลตัดสินว่าอะไรถูกอะไรผิด
เปรียบเสมือน "แผนที่นำทาง" ที่บอกว่าเส้นทางไหนคือเส้นทางที่ถูกต้อง
ตัวอย่าง
o จริยธรรมของแพทย์: หลักการที่ว่าแพทย์ต้องรักษาชีวิตของผู้ป่วยเป็นอันดับแรกสุด และต้องรักษาความลับของผู้ป่วย
o จริยธรรมของนักวิจัย: หลักการที่ว่าต้องไม่ปลอมแปลงข้อมูลผลการวิจัย และต้องให้เกียรติอาสาสมัครที่เข้าร่วมการทดลอง
o จริยธรรมทางธุรกิจ: หลักการที่ว่าธุรกิจไม่ควรผลิตสินค้าที่ทำลายสิ่งแวดล้อม หรือหลอกลวงผู้บริโภค
คุณธรรม (Morality/Virtue)
คุณธรรม คือ สภาพคุณงามความดีที่อยู่ในจิตใจของแต่ละบุคคล เป็นหลักปฏิบัติที่เกิดจากภายในตัวบุคคลนั้นๆ เป็นความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่ถูกปลูกฝังมา ซึ่งจะแสดงออกผ่านการกระทำและอุปนิสัย
ลักษณะสำคัญ เป็นเรื่องภายในจิตใจ, เป็นคุณลักษณะเชิงบวกของบุคคล, เน้นความรู้สึกผิดชอบชั่วดี
เปรียบเสมือน "เข็มทิศในใจ" ที่คอยชี้ว่าควรไปทางไหน
ตัวอย่าง
ความเมตตา การช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมโดยไม่หวังผลตอบแทน
ความซื่อสัตย์: พนักงานเก็บกระเป๋าเงินที่ลูกค้าลืมไว้ได้ แล้วนำส่งคืนเจ้าของ
ความกล้าหาญ: ข้าราชการที่กล้าปฏิเสธการรับสินบน แม้จะถูกกดดัน
ความกตัญญู: การดูแลพ่อแม่ผู้สูงอายุ
ความเชื่อมโยง: จริยธรรมเป็นหลักการภายนอก (สังคมกำหนด) ส่วนคุณธรรมเป็นสภาวะภายในจิตใจ คนที่มี "คุณธรรม" มักจะปฏิบัติตนตามหลัก "จริยธรรม" ได้โดยธรรมชาติ
จรรยาบรรณ (Code of Conduct)
จรรยาบรรณ คือ ข้อกำหนดหรือกฎเกณฑ์ความประพฤติที่เป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งองค์กรหรือสมาคมวิชาชีพได้กำหนดขึ้นเพื่อให้สมาชิกในวิชาชีพนั้นๆ ยึดถือปฏิบัติ เป็นการนำ "หลักจริยธรรม" มาทำให้เป็นรูปธรรมและชัดเจนมากขึ้น
ลักษณะสำคัญ: เป็นกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน, บัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษร, ใช้บังคับในกลุ่มวิชาชีพ, มักมีบทลงโทษหากฝ่าฝืน
เปรียบเสมือน: "กฎจราจร" ที่บอกชัดเจนว่าต้องทำอะไร หรือห้ามทำอะไรบนถนนสายวิชาชีพ
ตัวอย่าง
o จรรยาบรรณแพทย์: แพทยสภากำหนดข้อบังคับว่า "แพทย์ต้องไม่โฆษณาโอ้อวดความสามารถของตนเกินจริง" หากทำจะมีความผิด
o จรรยาบรรณครู: คุรุสภากำหนดว่า "ครูต้องไม่กระทำการล่วงละเมิดทางเพศต่อนักเรียน"
o จรรยาบรรณนักข่าว: สมาคมนักข่าวกำหนดว่า "ต้องไม่รับอามิสสินจ้างเพื่อบิดเบือนข่าว"
o จรรยาบรรณของบริษัท: บริษัท A กำหนดว่า "พนักงานห้ามรับของขวัญจากคู่ค้าที่มีมูลค่าเกิน 3,000 บาท" (ตามนโยบาย No Gift Policy ณ วันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๐๒๕)
ธรรมาภิบาล (Good Governance)
ธรรมาภิบาล คือ "การบริหารจัดการบ้านเมืองหรือองค์กรที่ดี" เป็นกรอบการทำงานในระดับมหภาค (ระดับองค์กร, ประเทศ) ที่มุ่งเน้นให้การบริหารงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส ยุติธรรม และรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด ไม่ใช่แค่การประพฤติของคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นเรื่องของ โครงสร้างและกระบวนการ
· ลักษณะสำคัญ: เป็นเรื่องของระบบการบริหาร, เน้นการมีส่วนร่วมและความโปร่งใส, เกี่ยวข้องกับโครงสร้างและกระบวนการขององค์กร
· เปรียบเสมือน: "ระบบนิเวศทั้งหมด" ที่เอื้อให้ต้นไม้ (คน) และสิ่งมีชีวิต (การทำงาน) เจริญงอกงามได้อย่างถูกต้องและยั่งยืน
องค์ประกอบหลักของธรรมาภิบาล (มักอ้างอิง 6 หลัก):
· หลักนิติธรรม การใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม
o ตัวอย่าง เทศบาลออกเทศบัญญัติและบังคับใช้กับทุกคนอย่างเสมอภาค ไม่มีการยกเว้นให้พรรคพวก
· หลักคุณธรรม การยึดมั่นในความถูกต้องดีงาม (เชื่อมโยงกับคุณธรรมของบุคลากร)
o ตัวอย่าง ผู้บริหารองค์กรส่งเสริมและให้รางวัลแก่พนักงานที่ซื่อสัตย์สุจริต
· หลักความโปร่งใส (Transparency): การเปิดเผยข้อมูลให้สามารถตรวจสอบได้
o ตัวอย่าง อบต. เผยแพร่ข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างทุกโครงการบนเว็บไซต์ ให้ประชาชนเข้าดูได้
· หลักการมีส่วนร่วม (Participation): การเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
o ตัวอย่าง กรมทางหลวงจัดเวทีประชาพิจารณ์รับฟังความเห็นของประชาชนในพื้นที่ก่อนเริ่มโครงการก่อสร้างถนน
· หลักความรับผิดชอบ (Accountability): ความพร้อมที่จะรับผิดต่อผลการกระทำของตนเอง
o ตัวอย่าง เมื่อโครงการที่อนุมัติไปเกิดความผิดพลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดพร้อมชี้แจงและรับผิดชอบต่อสาธารณะ
· หลักความคุ้มค่า (Cost-effectiveness/Value for Money): การใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด
o ตัวอย่าง หน่วยงานราชการเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับงบประมาณและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน แทนการซื้อของที่แพงที่สุดแต่ไม่ได้ใช้
บทบาทและความคาดหวัง ทำไมนักบริหารท้องถิ่นต้องมีจริยธรรมสูงกว่ามาตรฐานทั่วไป
ทำไมนักบริหารท้องถิ่นต้องมีจริยธรรมสูงกว่ามาตรฐานทั่วไป
โดยพื้นฐานแล้ว "คนดี" ในสังคมทั่วไปอาจหมายถึงคนที่ไม่ทำผิดกฎหมาย มีน้ำใจ และไม่เบียดเบียนผู้อื่น แต่สำหรับ "นักบริหารท้องถิ่น" คำว่า "ดี" นั้นไม่เพียงพอ พวกเขาจำเป็นต้องมีมาตรฐานทางจริยธรรมที่ สูงกว่าคนทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญ ด้วยเหตุผลหลักดังต่อไปนี้
๑. การถือครองอำนาจสาธารณะ (Wielding Public Power)
นักบริหารท้องถิ่นไม่ได้ใช้อำนาจส่วนตัว แต่เป็น อำนาจสาธารณะที่ได้รับมอบหมายจากประชาชน เพื่อบริหารจัดการชุมชน อำนาจนี้มีผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตและทรัพย์สินของคนจำนวนมาก การใช้อำนาจนี้จึงต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนรวมเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือพวกพ้อง
ตัวอย่างเปรียบเทียบ
o คนทั่วไป: ตัดสินใจว่าจะใช้เงินส่วนตัวซื้อรถยนต์ยี่ห้อใดย่อมทำได้ตามความพอใจ
o นักบริหารท้องถิ่น: ตัดสินใจจัดซื้อรถยนต์ของเทศบาลมูลค่าหลายล้านบาท ต้องผ่านกระบวนการที่โปร่งใส คำนึงถึงความคุ้มค่าสูงสุดของเงินภาษีประชาชน และต้องตอบคำถามของสังคมได้ว่าทำไมถึงเลือกรุ่นนั้นๆ การตัดสินใจนี้ไม่ได้มาจากความพอใจส่วนตัว แต่มาจากหลักการและเหตุผลเพื่อส่วนรวม
๒. การเป็นผู้พิทักษ์ความไว้วางใจของประชาชน (Guardian of Public Trust)
ตำแหน่งนักบริหารท้องถิ่นดำรงอยู่ได้ด้วย ความไว้วางใจของประชาชน (Public Trust) ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของระบอบประชาธิปไตย ทุกการกระทำที่สั่นคลอนความไว้วางใจ แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยหรือยังไม่ผิดกฎหมาย ก็สามารถทำลายความศรัทธาที่ประชาชนมีต่อระบบการปกครองท้องถิ่นได้ทั้งหมด
ตัวอย่างเปรียบเทียบ
คนทั่วไป การไปรับประทานอาหารมื้อหรูกับเพื่อนที่เป็นนักธุรกิจเป็นเรื่องปกติ
·นักบริหารท้องถิ่น การไปรับประทานอาหารมื้อหรูกับผู้รับเหมารายใหญ่ที่กำลังจะเข้าประมูลโครงการของเทศบาล แม้จะจ่ายเงินเองและไม่ได้พูดคุยเรื่องงาน ก็อาจสร้าง "ภาพที่ปรากฏว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อน" (Appearance of Conflict of Interest) ซึ่งทำลายความไว้วางใจของประชาชนได้ทันทีว่าการประมูลจะโปร่งใสหรือไม่
๓. การบริหารทรัพยากรส่วนรวม (Management of Public Resources)
นักบริหารท้องถิ่นคือผู้จัดการ "เงินและทรัพย์สินของส่วนรวม" ซึ่งก็คือเงินภาษีของประชาชนทุกคน พวกเขาจึงมีภาระหน้าที่ต้องใช้ทรัพยากรเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ คุ้มค่า และโปร่งใสตรวจสอบได้สูงสุด มาตรฐานการใช้เงินของคนอื่นย่อมสูงกว่าการใช้เงินของตัวเองเสมอ
ตัวอย่างเปรียบเทียบ
คนทั่วไป จ้างญาติมาซ่อมแซมบ้านของตนเองเป็นสิทธิ์ที่ทำได้
นักบริหารท้องถิ่น การจ้างบริษัทของญาติมาซ่อมแซมอาคารสำนักงานเทศบาลโดยไม่มีการประกวดราคา เป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำได้ เพราะเป็นการใช้เงินหลวงที่สุ่มเสี่ยงต่อการเกิดผลประโยชน์ทับซ้อนและไม่ได้ประกันความคุ้มค่าให้แก่ส่วนรวม
๔. การเป็นแบบอย่างที่ดีแก่สังคมและองค์กร (Role Model for Society and Organization)
พฤติกรรมของนักบริหารท้องถิ่นไม่ได้สะท้อนแค่ตัวตนของเขา แต่ยังสะท้อนภาพลักษณ์ขององค์กรทั้งหมดและเป็น บรรทัดฐานการปฏิบัติ ให้กับข้าราชการและพนักงานในสังกัด หากผู้นำมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ก็จะเป็นการส่งสัญญาณว่าพฤติกรรมเช่นนั้นเป็นที่ยอมรับในองค์กร
ตัวอย่างเปรียบเทียบ
คนทั่วไป มาทำงานสายเป็นครั้งคราวอาจถูกตำหนิโดยหัวหน้างาน
นักบริหารท้องถิ่น การมาทำงานสายเป็นประจำ จะส่งผลให้ผู้ใต้บังคับบัญชาขาดความเคารพและอาจเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ทำให้องค์กรโดยรวมขาดวินัย และยังถูกสังคมภายนอกมองว่าไม่ใส่ใจในการปฏิบัติหน้าที่
๕. การตัดสินใจที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง (Decisions with Widespread Impact)
การตัดสินใจของนักบริหารท้องถิ่นส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของคนทั้งชุมชน ตั้งแต่เรื่องความปลอดภัย การศึกษา สาธารณสุข ไปจนถึงสิ่งแวดล้อม ดังนั้น ทุกการตัดสินใจจึงต้องผ่านการไตร่ตรองอย่างรอบคอบและตั้งอยู่บนฐานของจริยธรรม ไม่ใช่แค่ความถูกต้องตามกฎหมาย
ตัวอย่างเปรียบเทียบ
คนทั่วไป ตัดสินใจทิ้งขยะไม่ลงถัง ส่งผลเสียในวงแคบ
นักบริหารท้องถิ่น การอนุมัติโครงการก่อสร้างโรงงานโดยไม่พิจารณาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอย่างรอบด้าน อาจสร้างมลพิษที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพของประชาชนทั้งตำบลไปอีกหลายสิบปี
สรุป
นักบริหารท้องถิ่นจำเป็นต้องมีจริยธรรมสูงกว่ามาตรฐานทั่วไป เพราะบทบาทของพวกเขานั้นผูกติดอยู่กับ อำนาจ เงิน และความไว้วางใจของประชาชน การกระทำใดๆ ก็ตามที่สั่นคลอนสิ่งเหล่านี้ ย่อมส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อความเชื่อมั่นในระบบการปกครองทั้งหมด ดังนั้น มาตรฐานทางจริยธรรมที่สูงจึงไม่ใช่ "ทางเลือก" แต่เป็น "คุณสมบัติบังคับ" ของผู้ที่จะเข้ามาทำหน้าที่อันทรงเกียรตินี้
จริยธรรมส่วนบุคคล vs. จริยธรรมในวิชาชีพ การจัดการความขัดแย้งในบทบาท
๑. จริยธรรมส่วนบุคคล (Personal Ethics)
คืออะไร คือ ชุดของค่านิยม ความเชื่อ และหลักการส่วนตัวที่บุคคลหนึ่งๆ ใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตและการตัดสินใจว่าอะไรถูก อะไรผิด สิ่งเหล่านี้หล่อหลอมมาจากประสบการณ์ชีวิต, การเลี้ยงดูในครอบครัว, ความเชื่อทางศาสนา, วัฒนธรรม และการศึกษาของแต่ละคน
ลักษณะเด่น
เป็นเรื่อง ภายใน ของแต่ละบุคคล
มีความยืดหยุ่นและอาจแตกต่างกันไปในแต่ละคน
เป็น "เข็มทิศในใจ" ที่บอกว่าเราควรเป็นคนอย่างไร
ตัวอย่าง
ความกตัญญู คุณอาจเชื่อว่าการช่วยเหลือเพื่อนเก่าที่เคยมีบุญคุณต่อกันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
ความเมตตาสงสาร คุณอาจรู้สึกว่าควรผ่อนปรนให้กับคนที่กำลังเดือดร้อนและทำผิดเล็กๆ น้อยๆ
ความเชื่อทางศาสนา คุณอาจเชื่อว่าการดื่มสุราหรือการพนันเป็นสิ่งที่ไม่ดีโดยสิ้นเชิง
๒. จริยธรรมในวิชาชีพ (Professional Ethics)
คืออะไร คือ ชุดของกฎเกณฑ์ มาตรฐาน และข้อบังคับที่กำหนดขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษร (เช่น จรรยาบรรณ) หรือเป็นที่ยอมรับกันในวงการวิชาชีพนั้นๆ เพื่อควบคุมความประพฤติของสมาชิกให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับวิชาชีพ
ลักษณะเด่น
เป็นเรื่อง ภายนอก ที่องค์กรหรือสมาคมวิชาชีพกำหนด
มีสภาพบังคับและมักมีบทลงโทษหากฝ่าฝืน
เป็น "กฎจราจร" ที่ทุกคนในวิชาชีพนั้นต้องปฏิบัติตาม เพื่อให้ระบบโดยรวมดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและเป็นธรรม
ตัวอย่าง
จรรยาบรรณของนักบริหารท้องถิ่น: ต้องรักษาความเป็นกลางทางการเมือง, ต้องปฏิบัติหน้าที่โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง, ต้องมีความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้าง
ระเบียบของหน่วยงาน: ต้องบังคับใช้กฎหมายและข้อบัญญัติอย่างเท่าเทียมกันทุกคนโดยไม่มีข้อยกเว้น
การจัดการความขัดแย้งในบทบาท เมื่อจริยธรรมทั้งสองสวนทางกัน
ความขัดแย้งเกิดขึ้นเมื่อ "สิ่งที่ใจเราบอกว่าถูก" (จริยธรรมส่วนบุคคล) ขัดกับ "สิ่งที่หน้าที่การงานบังคับให้เราต้องทำ" (จริยธรรมในวิชาชีพ) นี่คือสถานการณ์ที่ท้าทายที่สุดสำหรับนักบริหาร
ตัวอย่างสถานการณ์ความขัดแย้ง
สถานการณ์ที่ ๑ มิตรภาพ vs. ความเป็นธรรม
จริยธรรมส่วนบุคคล เพื่อนสนิทของคุณซึ่งเคยช่วยเหลือคุณมาตลอด เข้าร่วมการประมูลโครงการก่อสร้างของเทศบาล แต่ข้อเสนอของเขามีราคาสูงกว่าและคุณสมบัติด้อยกว่าผู้เสนอราคารายอื่นเล็กน้อย จิตใจคุณบอกว่า "ควรหาทางช่วยเพื่อน"
จริยธรรมในวิชาชีพ คุณมีหน้าที่ต้องเลือกผู้รับจ้างที่ให้ประโยชน์สูงสุดแก่ทางราชการและประชาชน ซึ่งก็คือบริษัทที่เสนอราคาต่ำกว่าและมีคุณสมบัติดีกว่า
ความขัดแย้ง คุณจะเลือกตอบแทนบุญคุณเพื่อน หรือจะเลือกทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา
สถานการณ์ที่ ๒ ความเมตตา vs. กฎระเบียบ
จริยธรรมส่วนบุคคล คุณพบเห็นคุณยายยากจนคนหนึ่งขายของบนทางเท้าในเขตห้ามขาย คุณรู้สึกสงสารและอยากจะอนุโลมให้ เพราะคุณยายอาจไม่มีเงินกินข้าว
จริยธรรมในวิชาชีพ ในฐานะเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบ คุณมีหน้าที่ต้องบังคับใช้ข้อบัญญัติของเทศบาลอย่างเท่าเทียม เพื่อรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยของทางเท้าให้แก่ประชาชนส่วนรวม
ความขัดแย้ง คุณจะเลือกใช้ความเมตตาส่วนตัว หรือจะเลือกปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด
แนวทางการจัดการความขัดแย้ง
เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ หลักการที่สำคัญที่สุดคือ จริยธรรมในวิชาชีพต้องอยู่เหนือจริยธรรมส่วนบุคคลเสมอ เพราะในขณะปฏิบัติหน้าที่ คุณไม่ได้อยู่ในสถานะ "นาย/นาง/นางสาว..." แต่คุณอยู่ในสถานะ "นักบริหารขององค์กร" ที่ต้องรับผิดชอบต่อสาธารณะ
ขั้นตอนการจัดการ
๑. ตระหนักรู้ถึงความขัดแย้ง: ยอมรับกับตัวเองว่านี่คือภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกทางจริยธรรม และต้องตัดสินใจอย่างรอบคอบ
๒. ยึดจริยธรรมในวิชาชีพเป็นหลัก: ถามตัวเองว่า "ในบทบาทหน้าที่นี้ กฎหมาย ระเบียบ หรือจรรยาบรรณกำหนดให้เราต้องทำอะไร?" การกระทำของคุณต้องอธิบายต่อสาธารณะและผู้บังคับบัญชาได้
๓. ใช้ความโปร่งใสและการถอนตัว (Transparency & Recusal)
ในสถานการณ์ที่ ๑ แนวทางที่ดีที่สุดคือ ประกาศให้ผู้มีอำนาจตัดสินใจทราบว่าคุณมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับผู้เสนอราคารายนี้ (แจ้ง Conflict of Interest) และขอถอนตัว (Recuse) ออกจากกระบวนการพิจารณาตัดสินใจ เพื่อให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างโปร่งใสและปราศจากข้อครหา
๔.หาทางออกที่สร้างสรรค์ภายใต้กรอบ:
ในสถานการณ์ที่ ๒ แทนที่จะเลือกระหว่าง "จับ" กับ "ปล่อย" คุณอาจปฏิบัติตามระเบียบ (เช่น ว่ากล่าวตักเตือนในครั้งแรก) พร้อมกับใช้บทบาทของหน่วยงานในการช่วยเหลือ เช่น ประสานงานกับฝ่ายพัฒนาสังคมเพื่อหาพื้นที่ขายของที่ถูกกฎหมาย หรือหาทางช่วยเหลือด้านสวัสดิการให้คุณยาย เป็นการทำตามหน้าที่พร้อมกับหาทางช่วยเหลือตามหลักมนุษยธรรม
๕.ปรึกษาหารือ หากไม่แน่ใจ ควรปรึกษาผู้บังคับบัญชา, ฝ่ายนิติกร หรือผู้ที่ไว้วางใจในสายงาน เพื่อขอคำแนะนำและมุมมองเพิ่มเติม การตัดสินใจโดยลำพังอาจมีความเสี่ยงสูง
สรุป
การเป็นนักบริหารท้องถิ่นที่ดีนั้น ต้องสามารถแยกแยะบทบาทระหว่าง "ชีวิตส่วนตัว" และ "การทำหน้าที่เพื่อส่วนรวม" ได้อย่างเด็ดขาด เมื่อใดที่จริยธรรมทั้งสองขัดแย้งกัน การเลือกปฏิบัติตามจริยธรรมในวิชาชีพอย่างเคร่งครัด คือหนทางเดียวที่จะรักษาความไว้วางใจของประชาชนและปกป้องเกียรติภูมิของตำแหน่งหน้าที่ไว้ได้
คำถามท้ายบท
หลักธรรมาภิบาล (Good Governance) มีองค์ประกอบอะไรบ้าง และเกี่ยวข้องกับการบริหารงานท้องถิ่นอย่างไร
๑. จงยกตัวอย่างสถานการณ์ที่จริยธรรมส่วนบุคคลอาจขัดแย้งกับจริยธรรมในวิชาชีพของนักบริหารท้องถิ่น
๒. เหตุใดความไว้วางใจของประชาชน (Public Trust) จึงเป็นผลลัพธ์ที่สำคัญที่สุดของการมีจริยธรรม
คำถามทบทวน
ท่านคิดว่า "การเป็นคนดี" เพียงพอหรือไม่สำหรับการเป็น "นักบริหารที่ดี"? เพราะเหตุใด
กิจกรรมกลุ่ม:
ให้แต่ละกลุ่มระดมสมองถึง "คุณลักษณะ ๕ ประการของนักบริหารท้องถิ่นในอุดมคติ" จากนั้นนำเสนอและอภิปรายร่วมกันในชั้นเรียนว่าคุณลักษณะด้านจริยธรรมใดที่ถูกกล่าวถึงบ่อยที่สุด
จบบทที่ ๑
บทที่ ๒ กรอบกฎหมายและมาตรฐานทางจริยธรรมของไทย
วัตถุประสงค์
๑. เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจประมวลจริยธรรมและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับข้าราชการและนักการเมืองท้องถิ่น
๒. เพื่อให้ผู้เรียนสามารถอ้างอิงถึงกฎหมายหลักที่ควบคุมพฤติกรรมทางจริยธรรมได้
๓. เพื่อให้ผู้เรียนวิเคราะห์บทลงโทษและผลกระทบที่เกิดจากการละเมิดมาตรฐานทางจริยธรรมได้
เนื้อหาบทเรียน
๑. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ ที่เกี่ยวข้องกับจริยธรรม
๒. พระราชบัญญัติมาตรฐานทางจริยธรรม พ.ศ. ๒๕๖๒ และประมวลจริยธรรมสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐ
๓. ระเบียบและข้อบังคับขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นว่าด้วยจริยธรรม
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ ที่เกี่ยวข้องกับจริยธรรม
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้ความสำคัญกับเรื่อง "จริยธรรม" ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐเป็นอย่างมาก โดยไม่ได้มองว่าจริยธรรมเป็นเพียงเรื่องของความดีงามส่วนบุคคลอีกต่อไป แต่ยกระดับให้เป็น กลไกทางกฎหมายที่สามารถบังคับใช้และมีบทลงโทษอย่างเป็นรูปธรรม
ภาพรวมและเจตนารมณ์
เจตนารมณ์หลักของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ในด้านจริยธรรม คือต้องการแก้ปัญหาการทุจริตประพฤติมิชอบและสร้างธรรมาภิบาลให้เกิดขึ้นจริง โดยเชื่อว่าการมีเพียงกฎหมายอย่างเดียวไม่เพียงพอ แต่ต้องกำกับควบคุม "พฤติกรรม" ของผู้ใช้อำนาจรัฐด้วยมาตรฐานที่สูงกว่าคนทั่วไป
การกล่าวถึงจริยธรรมในรัฐธรรมนูญจึงเป็นเหมือนการวาง "เสาหลัก" ที่กำหนดให้ทุกหน่วยงานของรัฐต้องสร้างกลไกย่อยๆ เพื่อนำไปปฏิบัติให้เกิดผลจริง
กลไกสำคัญด้านจริยธรรมในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๖๐
รัฐธรรมนูญได้สร้างกลไกที่เกี่ยวข้องกับจริยธรรมไว้ 3 ส่วนหลักๆ ดังนี้
๑. การกำหนดให้มี "มาตรฐานทางจริยธรรม" ที่ใช้บังคับเป็นการทั่วไป
นี่คือหัวใจสำคัญที่สุด รัฐธรรมนูญไม่ได้ระบุข้อปฏิบัติทางจริยธรรมไว้ทุกข้อ แต่ได้ สั่งการให้มีการจัดทำมาตรฐานกลางขึ้นมา เพื่อให้ทุกองค์กรนำไปใช้เป็นกรอบ
มาตรา ๗๖ วรรคสาม กำหนดให้รัฐพึงจัดให้มี มาตรฐานทางจริยธรรม เพื่อให้หน่วยงานของรัฐใช้เป็นหลักในการกำหนดประมวลจริยธรรมสำหรับเจ้าหน้าที่ของตน
ผลลัพธ์: บทบัญญัตินี้เป็นที่มาโดยตรงของ พระราชบัญญัติมาตรฐานทางจริยธรรม พ.ศ. ๒๕๖๒ ซึ่งเป็นกฎหมายลูกที่ออกมาเพื่อทำให้เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญเป็นจริง กฎหมายนี้ได้กำหนด "มาตรฐานทางจริยธรรม 7 ประการ" (เช่น ยึดมั่นในสถาบันหลัก, ซื่อสัตย์สุจริต, กล้าตัดสินใจในสิ่งที่ถูกต้อง, ยึดถือประโยชน์ส่วนรวม ฯลฯ) ซึ่งถือเป็น "กรอบขั้นต่ำ" ที่เจ้าหน้าที่รัฐทุกคนต้องปฏิบัติ
ตัวอย่าง
เมื่อเทศบาลแห่งหนึ่งจะจัดทำ "ประมวลจริยธรรมสำหรับบุคลากรของเทศบาล" จะไม่สามารถเขียนตามใจชอบได้ แต่ต้องเขียนโดยยึดโยงกับหลักการใน พ.ร.บ. มาตรฐานทางจริยธรรมฯ ซึ่งมีที่มาจากรัฐธรรมนูญ ทำให้ทุกหน่วยงานรัฐมีมาตรฐานจริยธรรมไปในทิศทางเดียวกัน
๒. การกำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามที่เข้มข้น
รัฐธรรมนูญได้ใช้เรื่องจริยธรรมเป็น "เกราะป้องกัน" ด่านแรก โดยกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งสำคัญๆ ไว้อย่างเข้มงวด เพื่อคัดกรองบุคคลที่มีมลทินมัวหมองออกไป
มาตรา ๑๖๐ (๔) และ (๕) กำหนดคุณสมบัติของ "รัฐมนตรี" ว่าต้อง มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และ ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
มาตรา ๙๘ กำหนดลักษณะต้องห้ามของผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ซึ่งมีหลายข้อที่เชื่อมโยงกับความประพฤติและจริยธรรม เช่น เคยต้องคำพิพากษาในคดีทุจริต, เคยถูกไล่ออกเพราะทุจริตต่อหน้าที่ เป็นต้น
ตัวอย่าง
หากมีบุคคลที่เคยถูก ป.ป.ช. ชี้มูลว่าร่ำรวยผิดปกติ หรือเคยมีประวัติทุจริตที่สังคมรับรู้กันอย่างกว้างขวาง แม้คดีจะสิ้นสุดแล้ว บุคคลนั้นอาจถูกคัดค้านการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีได้ โดยอ้างว่า "ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์" ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด
๓. การให้อำนาจองค์กรอิสระในการตรวจสอบและวินิจฉัย
รัฐธรรมนูญได้มอบอำนาจให้องค์กรอิสระเป็น "ผู้บังคับใช้" มาตรฐานทางจริยธรรม ทำให้เรื่องจริยธรรมไม่ใช่แค่เรื่องนามธรรมอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งที่สามารถนำไปสู่การถอดถอนออกจากตำแหน่งได้
มาตรา ๒๑๙ ให้อำนาจ ศาลรัฐธรรมนูญ และ องค์กรอิสระ (เช่น ป.ป.ช., ผู้ตรวจการแผ่นดิน) ร่วมกันกำหนด มาตรฐานทางจริยธรรม ที่จะใช้บังคับกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ
มาตรา ๒๓๔ และ ๒๓๕ ให้อำนาจ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในการไต่สวนและมีความเห็น กรณีมีการกล่าวหาว่าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ระดับสูง ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
ตัวอย่าง
หากมีรัฐมนตรีคนหนึ่ง ใช้อำนาจหน้าที่เข้าไปแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการเพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่พวกพ้องของตนเอง แม้การกระทำนั้นอาจยังไม่เป็นความผิดทางอาญาฐานทุจริตโดยตรง แต่ถือได้ว่าเป็น "การฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง" ในเรื่องการยึดถือประโยชน์ส่วนรวม และการปฏิบัติหน้าที่โดยปราศจากอคติ
กระบวนการ เรื่องนี้สามารถถูกร้องเรียนไปยัง ป.ป.ช. ได้ หาก ป.ป.ช. ไต่สวนแล้วมีมติว่าผิดจริง จะส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งหากศาลตัดสินว่าผิดจริง จะมีผลให้บุคคลนั้นต้องพ้นจากตำแหน่งทันที และอาจถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมืองต่อไป
สรุป
รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๖๐ ได้เปลี่ยน "จริยธรรม" จากเรื่องคุณธรรมส่วนบุคคล ให้กลายเป็น "เครื่องมือทางกฎหมาย" ที่มีระบบรองรับอย่างชัดเจน ตั้งแต่การกำหนดมาตรฐานกลาง, การใช้เป็นเกณฑ์คัดกรองคนเข้าสู่ตำแหน่ง, ไปจนถึงการมีองค์กรอิสระทำหน้าที่ตรวจสอบและลงโทษ ซึ่งทั้งหมดนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างระบบธรรมาภิบาลและเรียกคืนความไว้วางใจของประชาชนที่มีต่อการใช้อำนาจรัฐ
พระราชบัญญัติมาตรฐานทางจริยธรรม พ.ศ. ๒๕๖๒ และประมวลจริยธรรมสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ทั้งสองคำนี้มีความเกี่ยวเนื่องกันอย่างแยกไม่ออกเหมือนกับ "กฎหมายแม่" และ "กฎหมายลูก" โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างมาตรฐานความประพฤติที่ดีให้เกิดขึ้นจริงในระบบราชการ
๑. พระราชบัญญัติมาตรฐานทางจริยธรรม พ.ศ. ๒๕๖๒ (The Act)
พ.ร.บ. ฉบับนี้เปรียบเสมือน "กฎหมายแม่" หรือ "รัฐธรรมนูญด้านจริยธรรม" สำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกคน 📜
เป็นกฎหมายที่ออกมาตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๖๐ (มาตรา 76) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนด "มาตรฐานกลาง" ที่เป็นกรอบหลักในการประพฤติตนของเจ้าหน้าที่รัฐทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการพลเรือน ทหาร ตำรวจ ครู หรือพนักงานในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
สาระสำคัญหลัก
กำหนดมาตรฐานทางจริยธรรม ๗ ประการ นี่คือหัวใจของ พ.ร.บ. ฉบับนี้ ซึ่งเป็นคุณธรรมขั้นพื้นฐานที่เจ้าหน้าที่รัฐทุกคนต้องยึดถือ ได้แก่
๑. ยึดมั่นในสถาบันหลักของประเทศ
๒. ซื่อสัตย์สุจริต มีจิตสำนึกที่ดี และรับผิดชอบต่อหน้าที่
๓. กล้าตัดสินใจและกระทำในสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม
๔. ยึดถือประโยชน์ส่วนรวม มากกว่าประโยชน์ส่วนตน และไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน
๕. มุ่งผลสัมฤทธิ์ของงาน
๖. ปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นธรรมและไม่เลือกปฏิบัติ
๗. ดำรงตนเป็นแบบอย่างที่ดีและรักษาภาพลักษณ์ของทางราชการ
จัดตั้งคณะกรรมการมาตรฐานทางจริยธรรม (ก.ม.จ.): เป็นองค์กรกลางระดับชาติที่ทำหน้าที่กำกับดูแล กำหนดนโยบาย และให้คำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องจริยธรรมในภาครัฐทั้งหมด
สั่งการให้จัดทำ "ประมวลจริยธรรม": พ.ร.บ. ฉบับนี้ บังคับ ให้องค์กรกลางบริหารงานบุคคลของหน่วยงานรัฐแต่ละประเภท (เช่น ก.พ., ก.ตร., ก.ค.ศ., และ ก.ถ. สำหรับท้องถิ่น) ต้องไปจัดทำ "ประมวลจริยธรรม" สำหรับเจ้าหน้าที่ในสังกัดของตน
๒. ประมวลจริยธรรมสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐ (The Code of Ethics)
ประมวลจริยธรรมเปรียบเสมือน "กฎหมายลูก" หรือ "คู่มือปฏิบัติ" ที่แต่ละหน่วยงานสร้างขึ้น 📖
เป็นข้อกำหนดว่าด้วยจริยธรรมที่นำหลักการกว้างๆ 7 ข้อจาก พ.ร.บ. มาตรฐานทางจริยธรรมฯ มา ขยายความและกำหนดเป็นข้อปฏิบัติที่ชัดเจนและจับต้องได้ (Do & Don't) ให้เหมาะสมกับภารกิจและลักษณะงานของหน่วยงานนั้นๆ
สาระสำคัญหลัก
แปลงนามธรรมสู่รูปธรรม เปลี่ยนหลักการ เช่น "ต้องซื่อสัตย์สุจริต" ให้กลายเป็นข้อปฏิบัติที่ชัดเจน เช่น "ห้ามรับของขวัญที่มีมูลค่าเกิน 3,000 บาท" หรือ "ห้ามใช้รถยนต์ของทางราชการไปในกิจธุระส่วนตัว"
จัดทำโดยองค์กรที่รับผิดชอบ สำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ผู้ที่รับผิดชอบจัดทำคือ คณะกรรมการมาตรฐานการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น (ก.ถ.) แล้ว อปท. แต่ละแห่งก็จะนำไปประกาศใช้กับบุคลากรของตน
ตัวอย่างที่เชื่อมโยงให้เห็นภาพชัดเจน
ลองดูตัวอย่างเพื่อให้เห็นว่าทั้งสองส่วนทำงานร่วมกันอย่างไร
สถานการณ์
นายช่างโยธาของเทศบาลแห่งหนึ่ง มีหน้าที่ควบคุมการก่อสร้างถนนในโครงการของเทศบาล และเพื่อนสนิทของเขาเป็นเจ้าของบริษัทที่รับเหมาโครงการนี้
พ.ร.บ. มาตรฐานทางจริยธรรมฯ (กฎหมายแม่) กำหนดหลักการกว้างๆ ว่า:
นายช่างต้อง "ยึดถือประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน และไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน" (มาตรฐานข้อที่ 4)
นายช่างต้อง "ปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นธรรมและไม่เลือกปฏิบัติ" (มาตรฐานข้อที่ 6)
ประมวลจริยธรรมของเทศบาล (กฎหมายลูก) จะนำหลักการนั้นมาเขียนเป็นข้อปฏิบัติที่ชัดเจนว่า:
"เจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่ตรวจรับงาน ต้องไม่ปล่อยปละละเลยหรือช่วยเหลือผู้รับเหมาที่ทำงานต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนดในสัญญา"
"ห้ามเจ้าหน้าที่ใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวในการเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้รับจ้าง"
"หากพบว่างานก่อสร้างไม่ได้มาตรฐาน เจ้าหน้าที่ต้องรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบเป็นลายลักษณ์อักษรโดยทันที"
บทสรุปของตัวอย่าง
จะเห็นได้ว่า พ.ร.บ. มาตรฐานทางจริยธรรมฯ ได้วางกรอบความคิดที่ถูกต้องให้กับนายช่างว่าต้องนึกถึงประโยชน์ของหลวงเป็นหลัก ในขณะที่ ประมวลจริยธรรมของเทศบาล ได้บอกวิธีการปฏิบัติที่ชัดเจนเลยว่า ถ้าเจอเพื่อนทำงานไม่ได้มาตรฐาน เขา "ต้องทำอะไร" และ "ห้ามทำอะไร" การฝ่าฝืนข้อปฏิบัติในประมวลจริยธรรม ก็เท่ากับเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ. มาตรฐานทางจริยธรรมฯ ซึ่งจะมีผลทางวินัยต่อไป
ดังนั้น พ.ร.บ. จึงเป็น "หลักการ" ส่วน ประมวลจริยธรรม คือ "การปฏิบัติ" ที่ทำให้หลักการนั้นเกิดขึ้นจริงในองค์กร
ระเบียบและข้อบังคับขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นว่าด้วยจริยธรรม
ระเบียบและข้อบังคับขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นว่าด้วยจริยธรรม คือ กฎเกณฑ์ระดับปฏิบัติการ ที่แต่ละเทศบาล, อบต., หรือ อบจ. สร้างขึ้นเพื่อกำหนดรายละเอียดวิธีปฏิบัติและข้อห้ามต่างๆ ให้สอดคล้องกับ "ประมวลจริยธรรม" ซึ่งเป็นกฎหมายแม่บทที่สูงกว่า
พูดง่ายๆ คือ ถ้า พ.ร.บ. มาตรฐานทางจริยธรรมฯ เป็นรัฐธรรมนูญ และ ประมวลจริยธรรม เป็นกฎหมายหลัก, ระเบียบและข้อบังคับ เหล่านี้ก็เปรียบเสมือน "คู่มือการทำงานประจำวัน" ที่บอกให้พนักงานทุกคนรู้ว่าอะไรทำได้หรือทำไม่ได้อย่างชัดเจนที่สุด
ลักษณะและความสำคัญ
มีความเฉพาะเจาะจงสูง: ระเบียบเหล่านี้จะถูกออกแบบมาให้เข้ากับบริบทการทำงานของ อปท. นั้นๆ โดยเฉพาะ ซึ่งอาจแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่
เป็นเครื่องมือของผู้บริหาร: เป็นเครื่องมือที่ผู้บริหารท้องถิ่น (นายกเทศมนตรี, นายก อบต.) ใช้ในการกำกับดูแลความประพฤติของบุคลากรในองค์กรให้เป็นไปตามกรอบจริยธรรม
ใช้เป็นฐานในการดำเนินการทางวินัย: การฝ่าฝืนระเบียบหรือข้อบังคับเหล่านี้ สามารถนำไปสู่การตั้งคณะกรรมการสอบสวนและลงโทษทางวินัยได้
ตัวอย่างระเบียบและข้อบังคับที่มักพบได้
นี่คือตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมของสิ่งที่ระบุไว้ใน "ระเบียบและข้อบังคับว่าด้วยจริยธรรม" ของ อปท. แห่งหนึ่ง:
๑. ระเบียบว่าด้วยการรับของขวัญและทรัพย์สิน (No Gift Policy)
หลักการจากประมวลจริยธรรม: "ต้องไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน"
ข้อบังคับที่กำหนด
ห้าม พนักงานและผู้บริหารรับของขวัญ, ทรัพย์สิน, หรือประโยชน์อื่นใดจากผู้ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ (เช่น ผู้รับเหมา, ประชาชนที่มาขออนุญาต) ที่มีมูลค่า เกิน 3,000 บาท
ในกรณีที่จำเป็นต้องรับไว้เพื่อรักษาน้ำใจ (เช่น ในเทศกาลปีใหม่) และมีมูลค่าเกิน 3,000 บาท ให้ รายงานผู้บังคับบัญชาทันที และนำของขวัญนั้นส่งมอบให้เป็นทรัพย์สินของหน่วยงาน
ตัวอย่าง: หากผู้รับเหมานำกระเช้าของขวัญมูลค่า 5,000 บาท มามอบให้หลังตรวจรับงานเสร็จสิ้น เจ้าหน้าที่ต้องปฏิเสธการรับ หรือหากรับไว้แล้วต้องรายงานและส่งมอบให้เป็นของกลางของเทศบาลทันที
๒. ข้อบังคับว่าด้วยการใช้ทรัพย์สินของทางราชการ
หลักการจากประมวลจริยธรรม "ต้องยึดถือประโยชน์ส่วนรวมเหนือกว่าประโยชน์ส่วนตน"
ข้อบังคับที่กำหนด
ห้าม นำรถยนต์ส่วนกลางไปใช้ในกิจธุระส่วนตัวโดยเด็ดขาด ยกเว้นได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชาเป็นกรณีพิเศษ
การใช้วัสดุสำนักงาน เช่น กระดาษ, เครื่องพิมพ์ ให้ใช้เพื่อการปฏิบัติงานในหน้าที่เท่านั้น
ตัวอย่าง: ปลัด อบต. จะนำรถยนต์ส่วนกลางไปร่วมงานแต่งงานของญาติที่ต่างจังหวัดไม่ได้ เพราะถือเป็นการใช้ทรัพย์สินราชการเพื่อประโยชน์ส่วนตัว
๓. ระเบียบว่าด้วยการรักษาข้อมูลความลับของทางราชการ
หลักการจากประมวลจริยธรรม: "ต้องซื่อสัตย์สุจริตและรับผิดชอบต่อหน้าที่"
ข้อบังคับที่กำหนด
ห้าม เปิดเผยข้อมูลราคากลางของโครงการจัดซื้อจัดจ้าง หรือข้อมูลผู้ยื่นซองประมูลก่อนที่จะมีการประกาศอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนที่มาติดต่อราชการ (เช่น ข้อมูลในบัตรประชาชน, ทะเบียนบ้าน) ถือเป็นความลับ ห้ามนำไปเผยแพร่หรือบอกต่อ
ตัวอย่าง เจ้าหน้าที่พัสดุที่รู้ข้อมูลราคากลางโครงการก่อสร้าง จะนำข้อมูลนี้ไปบอกใบ้ให้บริษัทรับเหมาที่ตนเองรู้จักไม่ได้ เพราะเป็นการทำลายความเป็นธรรมในการแข่งขัน
จะเห็นได้ว่า "ระเบียบและข้อบังคับ" ทำหน้าที่แปลงหลักการทางจริยธรรมที่กว้างๆ ให้กลายเป็นกฎที่ชัดเจน สามารถนำไปปฏิบัติและตรวจสอบได้จริงในชีวิตการทำงานประจำวันของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นทุกคน
คำถามท้ายบท
๑. "มาตรฐานทางจริยธรรม" ตาม พ.ร.บ. มาตรฐานทางจริยธรรม พ.ศ. 2562 มีกี่ประการ อะไรบ้าง?
๒. หน่วยงานใดมีหน้าที่กำกับดูแลและบังคับใช้มาตรฐานทางจริยธรรมกับนักบริหารท้องถิ่น?
๓. จงอธิบายผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับนักบริหารท้องถิ่นหากถูกชี้มูลว่ากระทำการฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรง
คำถามทบทวน
ท่านคิดว่ากฎหมายเพียงอย่างเดียวสามารถสร้างสังคมธรรมาภิบาลในองค์กรได้หรือไม่? จำเป็นต้องมีปัจจัยอื่นใดอีกบ้าง
กิจกรรมกลุ่ม
แบ่งกลุ่มและสืบค้นข่าวเกี่ยวกับการละเมิดจริยธรรมของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ให้แต่ละกลุ่มวิเคราะห์ว่าการกระทำดังกล่าวขัดต่อกฎหมายหรือมาตรฐานทางจริยธรรมข้อใด และมีผลลัพธ์อย่างไร
จบบทที่ ๒
บทที่ ๓ หลักการพื้นฐานทางจริยธรรม: ความซื่อสัตย์ ความโปร่งใส และความรับผิดชอบ
วัตถุประสงค์
๑. เพื่อให้ผู้เรียนสามารถนิยามและอธิบายหลักความซื่อสัตย์ (Integrity) ความโปร่งใส (Transparency) และความรับผิดชอบ (Accountability) ได้
๒. เพื่อให้ผู้เรียนสามารถยกตัวอย่างการนำหลักการทั้งสามมาใช้ในการปฏิบัติงานจริงได้
๓. เพื่อให้ผู้เรียนวิเคราะห์ความเชื่อมโยงระหว่างหลักการทั้งสามในการสร้างความไว้วางใจจากสาธารณชนได้
เนื้อหาในบทเรียน
๑. ความซื่อสัตย์สุจริต (Integrity): การยึดมั่นในหลักการแม้ไม่มีผู้ใดเห็น
๒. ความโปร่งใส (Transparency): การเปิดเผยข้อมูลและการตัดสินใจที่ตรวจสอบได้
๓. ความรับผิดชอบ (Accountability): ความพร้อมรับผิดทั้งต่อการกระทำและผลลัพธ์
ความซื่อสัตย์สุจริต (Integrity): การยึดมั่นในหลักการแม้ไม่มีผู้ใดเห็น
ความซื่อสัตย์สุจริต (Integrity) คือ คุณภาพของความเป็นคนที่ยึดมั่นในความถูกต้อง ความจริง และหลักการทางศีลธรรมอย่างสม่ำเสมอ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ไม่ว่าจะมีคนเห็นหรือไม่ก็ตาม
"การยึดมั่นในหลักการแม้ไม่มีผู้ใดเห็น"
หัวใจสำคัญที่แยก "Integrity" ออกจากการทำดีเพื่อสร้างภาพลักษณ์
Integrity ไม่ใช่การทำสิ่งที่ถูกต้องเพราะกลัวถูกจับได้ กลัวถูกลงโทษ หรือเพราะต้องการคำชมเชย แต่เป็นการทำสิ่งที่ถูกต้อง เพราะลึกๆ แล้วเชื่อว่าสิ่งนั้นคือสิ่งที่ถูกต้อง เป็นการกระทำที่ขับเคลื่อนจาก "เข็มทิศในใจ" หรือคุณธรรมภายใน ไม่ใช่จากสายตาของคนภายนอก
มันคือการที่ การกระทำ, คำพูด, และความคิด ของเราเป็นไปในทิศทางเดียวกันและสอดคล้องกับหลักการที่ยึดถือ เปรียบเสมือนเสาบ้านที่แข็งแรง ไม่ว่าพายุจะมาหรือแดดจะออก เสาต้นนั้นก็ยังคงตั้งตรงและทำหน้าที่ของมันอย่างมั่นคง
การทดสอบ Integrity ที่แท้จริงจึงเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่คุณมีโอกาสที่จะทำผิดเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนโดยที่ไม่มีใครรู้ แต่คุณก็ยังเลือกที่จะไม่ทำ
ตัวอย่างที่เห็นภาพชัดเจน
เจ้าหน้าที่พัสดุตรวจรับงาน
สถานการณ์ ผู้รับเหมาส่งมอบเก้าอี้สำนักงาน 100 ตัว แต่มี 5 ตัวที่มีรอยตำหนิเล็กน้อยซึ่งหากไม่สังเกตดีๆ ก็จะมองไม่เห็น ผู้รับเหมาบอกว่า "พี่ช่วยเซ็นรับไปก่อนนะครับ เดี๋ยวผมมีน้ำใจให้" โดยไม่มีใครอื่นอยู่ในห้อง
ผู้มี Integrity จะปฏิเสธที่จะเซ็นรับ และแจ้งให้ผู้รับเหมานำเก้าอี้ 5 ตัวนั้นมาเปลี่ยนให้ถูกต้องตามสัญญา แม้ว่าการปล่อยผ่านจะง่ายกว่าและอาจได้ผลประโยชน์ส่วนตัวก็ตาม เพราะเขายึดมั่นในหลักการว่า "ทรัพย์สินของราชการต้องมีคุณภาพและคุ้มค่าที่สุด"
พนักงานเก็บเงินทอนผิด
สถานการณ์ คุณซื้อของราคา 80 บาท แต่จ่ายธนบัตร 1,000 บาท พนักงานทอนเงินให้คุณ 980 บาท (ทอนเกินมา 60 บาท) โดยที่พนักงานไม่ได้รู้ตัว และรอบข้างไม่มีใครสังเกตเห็น
ผู้มี Integrity จะเดินกลับไปบอกพนักงานและคืนเงินส่วนที่เกินมา 60 บาททันที เพราะยึดมั่นในหลักการ "ไม่เอาทรัพย์สินของผู้อื่นที่ไม่ใช่ของเรา"
นักวิจัยทำข้อมูลผิดพลาด
สถานการณ์ นักวิจัยค้นพบว่าข้อมูลสำคัญในงานวิจัยที่กำลังจะตีพิมพ์มีข้อผิดพลาดซึ่งเกิดจากตนเอง หากเปิดเผยจะทำให้งานล่าช้าและอาจเสียชื่อเสียง แต่หากปล่อยไปก็อาจไม่มีใครตรวจพบ
ผู้มี Integrity จะแจ้งทีมงานและอาจารย์ที่ปรึกษาถึงข้อผิดพลาดนั้นและขอแก้ไขให้ถูกต้อง แม้จะต้องทำงานหนักขึ้นและเสียหน้าก็ตาม เพราะยึดมั่นใน "ความซื่อตรงต่อหลักวิชาการ"
นักบริหารท้องถิ่นใช้รถยนต์ส่วนกลาง
สถานการณ์ ในวันหยุด นายกเทศมนตรีต้องเดินทางไปร่วมงานบวชของญาติในจังหวัดใกล้เคียง การนำรถยนต์ส่วนกลางพร้อมคนขับรถไปจะสะดวกสบายที่สุด และไม่มีใครตั้งคำถาม
ผู้มี Integrity จะเลือกใช้รถยนต์ส่วนตัวและรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด เพราะยึดมั่นในหลักการ "แยกเรื่องส่วนตัวออกจากเรื่องส่วนรวม" และทรัพย์สินของราชการมีไว้เพื่อบริการประชาชนเท่านั้น
การกระทำทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากความเชื่อภายใน ไม่ใช่เพราะมีกล้องวงจรปิดหรือสายตาของสังคมคอยจับจ้อง นี่คือความหมายที่แท้จริงของ ความซื่อสัตย์สุจริต (Integrity) ครับ
ความโปร่งใส (Transparency): การเปิดเผยข้อมูลและการตัดสินใจที่ตรวจสอบได้
ความโปร่งใส (Transparency) คือ หลักการสำคัญประการหนึ่งของธรรมาภิบาล (Good Governance) ซึ่งหมายถึง สภาวะที่การดำเนินงาน การตัดสินใจ และข้อมูลต่างๆ ขององค์กร โดยเฉพาะองค์กรภาครัฐ สามารถถูกเข้าถึง รับรู้ และตรวจสอบได้โดยสาธารณชนหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 🧐
หลักการนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานความเชื่อที่ว่า องค์กรที่ใช้อำนาจสาธารณะและทรัพยากรส่วนรวมมี ภาระรับผิดชอบ (Accountability) ที่จะต้องเปิดเผยการดำเนินงานของตนให้เจ้าของอำนาจและทรัพยากรที่แท้จริง ซึ่งก็คือประชาชน ได้รับทราบ
การขยายความเชิงวิชาการ
ความโปร่งใสประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก ๒ มิติ ดังนี้
๑. มิติการเปิดเผยข้อมูล (Proactive Disclosure & Access to Information)
ในมิตินี้ ความโปร่งใสมิได้หมายถึงเพียงการไม่ปิดบังข้อมูล แต่หมายรวมถึงการดำเนินงานเชิงรุกในการทำให้ข้อมูลที่สำคัญสามารถเข้าถึงได้โดยง่ายและทั่วถึง แบ่งได้เป็น ๒ ระดับ
การเปิดเผยข้อมูลเชิงรุก (Proactive Disclosure): คือการที่องค์กรนำข้อมูลที่อยู่ในความสนใจของสาธารณชนมาเผยแพร่ด้วยตนเองโดยไม่จำเป็นต้องรอให้มีผู้ร้องขอ เช่น การเผยแพร่งบประมาณรายจ่ายประจำปี, รายงานผลการดำเนินงาน, รายละเอียดโครงการจัดซื้อจัดจ้าง, หรือรายงานการประชุมสภาท้องถิ่น ผ่านช่องทางที่เข้าถึงง่าย เช่น เว็บไซต์ของหน่วยงาน
สิทธิในการเข้าถึงข้อมูล (Right to Access Information): คือการรับรองสิทธิของประชาชนในการร้องขอข้อมูลที่หน่วยงานรัฐครอบครองอยู่ ซึ่งเป็นไปตาม พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540
ตัวอย่าง
เทศบาลนคร A ได้แสดงให้เห็นถึงความโปร่งใสในมิตินี้ โดยการสร้างเว็บไซต์โครงการ "เทศบาลโปร่งใส" (https://www.A-municipality.go.th/transparency) ซึ่งประชาชนสามารถเข้าไปตรวจสอบข้อมูลต่อไปนี้ได้แบบเรียลไทม์
สถานะการเบิกจ่ายงบประมาณ ในทุกโครงการ
รายละเอียดสัญญาและรายชื่อบริษัท ผู้ชนะการประมูลโครงการที่มีมูลค่าเกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท
บันทึกการประชุมสภาเทศบาล ทั้งในรูปแบบเอกสารและวิดีโอย้อนหลัง
๒. มิติกระบวนการที่ตรวจสอบได้ (Traceability & Verifiability of Processes)
มิตินี้เน้นย้ำว่า ไม่ใช่แค่ "ผลลัพธ์" ที่ต้องเปิดเผย แต่ "กระบวนการ" ที่นำไปสู่ผลลัพธ์นั้นๆ ก็ต้องมีความชัดเจนและสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้เช่นกัน เพื่อให้สาธารณชนเข้าใจว่าการตัดสินใจนั้นๆ เกิดขึ้นบนหลักการและเหตุผลใด
ความสามารถในการตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability): หมายถึง การมีกระบวนการและระบบการจัดเก็บเอกสารหลักฐานที่ชัดเจน ทำให้สามารถติดตามได้ว่าการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ มีขั้นตอนอย่างไร ใครเป็นผู้อนุมัติ และใช้วิจารณญาณจากข้อมูลใด
การมีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน (Clear Criteria): การตัดสินใจที่สำคัญ เช่น การคัดเลือกผู้รับทุน, การอนุมัติใบอนุญาต หรือการคัดเลือกผู้รับจ้าง ต้องอยู่บนพื้นฐานของหลักเกณฑ์ที่ประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน เพื่อป้องกันการใช้วิจารณญาณตามอำเภอใจ
ตัวอย่าง
องค์การบริหารส่วนตำบล B ได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับความเป็นธรรมในการคัดเลือกนักเรียนเพื่อรับทุนการศึกษาประจำปี
องค์กรที่ไม่โปร่งใส จะตอบเพียงว่า "คณะกรรมการได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว"
องค์กรที่โปร่งใส จะสามารถชี้แจงกระบวนการได้ว่า "การคัดเลือกเป็นไปตามระเบียบว่าด้วยการให้ทุนการศึกษา พ.ศ. .... ซึ่งมีเกณฑ์การให้คะแนน 4 ด้าน ได้แก่ 1) ผลการเรียน 30% 2) ฐานะทางครอบครัว 40% 3) ความประพฤติ 20% และ 4) การมีส่วนร่วมในกิจกรรม 10% โดยมีเอกสารประกอบการพิจารณาและลายเซ็นของคณะกรรมการครบถ้วนซึ่งสามารถตรวจสอบได้"
โดยสรุป ความโปร่งใสจึงเป็นมากกว่าแค่ "ความซื่อสัตย์" แต่เป็น การสร้างกลไกเชิงระบบ ที่ทำให้การใช้อำนาจรัฐอยู่ในสายตาของประชาชน ซึ่งจะนำไปสู่การลดโอกาสในการทุจริตคอร์รัปชัน เพิ่มความไว้วางใจของสาธารณะ และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในที่สุด
ความรับผิดชอบ (Accountability): ความพร้อมรับผิดทั้งต่อการกระทำและผลลัพธ์
ความรับผิดชอบ (Accountability): ความพร้อมรับผิดทั้งต่อการกระทำและผลลัพธ์
ในทางรัฐประศาสนศาสตร์และธรรมาภิบาล, ความรับผิดชอบ (Accountability) มีความหมายที่ลึกซึ้งและกว้างกว่าคำว่า "ความรับผิด" (Liability) หรือ "หน้าที่" (Responsibility) โดยทั่วไป แต่หมายถึง ภาระผูกพันของผู้ใช้อำนาจรัฐที่จะต้องให้คำอธิบาย, ชี้แจงให้เหตุผลต่อการกระทำของตน และพร้อมยอมรับผลที่ตามมา (ทั้งในเชิงบวกและลบ) ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหรือสาธารณชน
หลักการนี้ตั้งอยู่บนความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ว่า ผู้ดำรงตำแหน่งสาธารณะเป็นเพียง "ตัวแทน" (Agent) ที่ได้รับมอบอำนาจจาก "เจ้าของอำนาจ" (Principal) ซึ่งก็คือประชาชน ดังนั้น ตัวแทนจึงมีพันธกรณีที่จะต้องแสดงให้เห็นว่าตนได้ใช้อำนาจนั้นอย่างเหมาะสมและเพื่อประโยชน์สูงสุดของเจ้าของอำนาจ
การขยายความเชิงวิชาการ
Accountability สามารถวิเคราะห์องค์ประกอบในเชิงวิชาการได้ ๓ มิติหลัก ดังนี้
๑. มิติภาระในการให้คำอธิบายและชี้แจง (Answerability & Justification)
นี่คือแก่นแท้ของ Accountability ที่หมายถึง ความผูกพันที่จะต้องตอบคำถามและให้เหตุผลต่อการตัดสินใจและการกระทำของตน ไม่ใช่เพียงแค่การรายงานว่า "ได้ทำอะไรไปบ้าง" แต่ต้องสามารถอธิบายได้ว่า "ทำไมถึงตัดสินใจเช่นนั้น" และ "ใช้หลักเกณฑ์หรือข้อมูลใดในการตัดสินใจ" เพื่อให้สาธารณชนสามารถประเมินความสมเหตุสมผลของการกระทำนั้นได้
ตัวอย่าง หากเทศบาลตัดสินใจไม่อนุมัติโครงการก่อสร้างตลาดที่ชาวบ้านเสนอมา
องค์กรที่ขาด Accountability: จะแจ้งผลเพียงว่า "ไม่อนุมัติ" โดยไม่มีคำอธิบาย
องค์กรที่มี Accountability: จะต้องออกแถลงการณ์หรือทำหนังสือชี้แจงอย่างเป็นทางการว่า "คณะกรรมการได้พิจารณาแล้วพบว่าโครงการขัดต่อข้อบัญญัติผังเมืองในมาตรา... อีกทั้งผลการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้นชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงด้านการจัดการขยะและปัญหาน้ำเสีย จึงยังไม่สามารถอนุมัติได้ในขณะนี้"
๒. มิติภาระในการยอมรับผลที่ตามมา (Enforcement & Consequences)
Accountability จะไร้ความหมายหากไม่มีกลไกที่ทำให้เกิดผลลัพธ์ตามมา มิตินี้จึงหมายถึง ความพร้อมที่จะยอมรับผลกระทบที่เกิดจากการกระทำของตน ซึ่งครอบคลุมทั้ง:
ผลเชิงบวก การได้รับการยอมรับ, คำชมเชย, หรือรางวัล เมื่อการดำเนินงานประสบความสำเร็จ
ผลเชิงลบ การถูกลงโทษ, การถูกตำหนิ, การถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง, หรือภาระในการแก้ไขความเสียหาย เมื่อการดำเนินงานล้มเหลวหรือสร้างผลกระทบในทางลบ
ตัวอย่าง โครงการก่อสร้างถนนของ อบต. แห่งหนึ่งเกิดการทรุดตัวหลังสร้างเสร็จเพียง 3 เดือน
ผู้บริหารที่ขาด Accountability: จะกล่าวโทษผู้รับเหมา, ฝนที่ตกหนัก, หรือโยนความผิดให้เจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการ
ผู้บริหารที่มี Accountability: จะแสดงความรับผิดชอบโดย:
ยอมรับความผิดพลาด ออกมาขอโทษประชาชนและยอมรับว่าโครงการเกิดขึ้นภายใต้การกำกับดูแลของตน
ดำเนินการแก้ไข สั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงอย่างเร่งด่วน และให้คำมั่นว่าจะดำเนินการซ่อมแซมโดยเร็วที่สุด
ยอมรับผลทางการเมือง: พร้อมรับการตรวจสอบจากสภา อบต. และยอมรับผลที่จะตามมาหากพบว่าเกิดจากความบกพร่องในการบริหารจัดการของตนเอง
๓. มิติการเปิดเผยและกลไกการตรวจสอบ (Transparency & Oversight)
เพื่อให้ภาระทั้งสองข้อข้างต้นเกิดขึ้นได้จริง จำเป็นต้องมีมิตินี้เป็นพื้นฐาน ซึ่งหมายถึง การมีอยู่ของข้อมูลที่โปร่งใสและกลไกจากภายนอกที่สามารถเข้ามาตรวจสอบการทำงานได้ หากไม่มีใครสามารถมองเห็นหรือตรวจสอบได้ Accountability ก็จะไม่เกิดขึ้น
ตัวอย่าง
ความโปร่งใส การที่เทศบาลเผยแพร่สัญญาจัดซื้อจัดจ้างและรายละเอียดงบประมาณทั้งหมดบนเว็บไซต์
กลไกการตรวจสอบ การมีสภาท้องถิ่นที่ทำหน้าที่ตรวจสอบฝ่ายบริหาร, การมีสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เข้าตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณ, และการมีภาคประชาสังคมที่คอยติดตามการทำงาน
โดยสรุป ความรับผิดชอบ (Accountability) จึงเป็นกลไกเชิงระบบที่ทำให้ผู้ใช้อำนาจไม่สามารถกระทำการตามอำเภอใจได้ แต่ต้องตระหนักอยู่เสมอว่าทุกการกระทำและการตัดสินใจของตนนั้น "อยู่ภายใต้สายตา" ของประชาชนและพร้อมที่จะ "ถูกตรวจสอบ" และ "รับผล" อยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความไว้วางใจและธรรมาภิบาลให้เกิดขึ้นในองค์กร
คำถามท้ายบท
๑. การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐเกี่ยวข้องกับหลักความโปร่งใสอย่างไร? จงยกตัวอย่างวิธีการที่ช่วยเพิ่มความโปร่งใส
๒. ความรับผิดชอบแตกต่างจากการรับผิด (Liability) อย่างไร?
๓. เหตุใดองค์กรที่ขาดความซื่อสัตย์จึงมักจะขาดทั้งความโปร่งใสและความรับผิดชอบตามมา
คำถามทบทวน
ในฐานะนักบริหารท้องถิ่น ท่านจะสร้างสมดุลระหว่าง "ความโปร่งใส" กับ "การรักษาความลับของทางราชการ" ได้อย่างไร
กิจกรรมกลุ่ม
ให้แต่ละกลุ่มออกแบบ "โครงการนำร่อง" สำหรับเทศบาล/อบต. สมมติ โดยใช้หลักการ 3 ข้อ (ซื่อสัตย์, โปร่งใส, รับผิดชอบ) เป็นแกนหลักในการออกแบบโครงการ (เช่น โครงการ "งบประมาณติดดิน" ที่ให้ประชาชนตรวจสอบได้)
จบบทที่ ๓
บทที่ ๔ การจัดการผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest)
วัตถุประสงค์
๑. เพื่อให้ผู้เรียนสามารถอธิบายความหมายและรูปแบบต่างๆ ของผลประโยชน์ทับซ้อนได้
๒. เพื่อให้ผู้เรียนสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ที่อาจนำไปสู่ผลประโยชน์ทับซ้อนในการบริหารงานท้องถิ่นได้
๓. เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเสนอแนวทางการจัดการและหลีกเลี่ยงผลประโยชน์ทับซ้อนได้อย่างเหมาะสม
เนื้อหาในบทเรียน
๑. ความหมายและประเภทของผลประโยชน์ทับซ้อน (ผลประโยชน์ส่วนตน vs. ผลประโยชน์ส่วนรวม)
๒. สถานการณ์เสี่ยง การรับของขวัญ, การใช้อิทธิพล, การทำธุรกิจกับหน่วยงาน, การจ้างงานญาติมิตร
๓. แนวทางการบริหารจัดการ การเปิดเผยข้อมูล (Disclosure), การถอนตัว (Recusal), และการป้องกัน
ความหมายและประเภทของผลประโยชน์ทับซ้อน (ผลประโยชน์ส่วนตน vs. ผลประโยชน์ส่วนรวม)
ความหมายของ ผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) ในทางรัฐประศาสนศาสตร์และนิติศาสตร์ คือ สภาวการณ์ที่บุคคลผู้ดำรงตำแหน่งอันมีอำนาจหน้าที่ในการตัดสินใจเพื่อประโยชน์สาธารณะ มีผลประโยชน์ส่วนตนเข้ามาเกี่ยวข้องจนอาจส่งผลกระทบต่อความเที่ยงธรรม (Impartiality) ในการใช้วิจารณญาณหรือการปฏิบัติหน้าที่
สภาวการณ์ดังกล่าวไม่จำเป็นต้องเกิดการทุจริตขึ้นจริง เพียงแค่การมีอยู่ของผลประโยชน์ที่ขัดแย้งกันก็ถือว่าเป็นปัญหาแล้ว เพราะมันบั่นทอนความไว้วางใจของสาธารณชน (Public Trust) ที่มีต่อความโปร่งใสและความเป็นกลางขององค์กร
การขยายความเชิงวิชาการ ผลประโยชน์ส่วนตน vs. ผลประโยชน์ส่วนรวม
แกนกลางของปัญหานี้คือการปะทะกันระหว่างผลประโยชน์สองด้าน:
ผลประโยชน์ส่วนรวม (Public Interest): คือผลประโยชน์ของประชาชนหรือสังคมโดยรวม ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักที่ผู้ดำรงตำแหน่งสาธารณะมีพันธกิจที่จะต้องรักษาและส่งเสริม เช่น การได้ใช้ถนนหนทางที่มีคุณภาพ, การได้รับบริการสาธารณสุขที่ทั่วถึง, การใช้งบประมาณภาษีอย่างคุ้มค่า หรือการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี
ผลประโยชน์ส่วนตน (Private Interest): คือผลประโยชน์ใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับตัวบุคคลนั้นโดยตรง ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่แค่ตัวเงิน แต่หมายรวมถึงผลประโยชน์ของครอบครัว (พ่อแม่, คู่สมรส, บุตร), ญาติพี่น้อง, เพื่อนสนิท, หรือกลุ่มบุคคลที่ตนมีความสัมพันธ์ด้วย ซึ่งอาจอยู่ในรูปแบบต่างๆ เช่น
ผลประโยชน์ทางการเงิน หุ้นในบริษัท, ที่ดิน, ตำแหน่งหน้าที่ในธุรกิจ
ผลประโยชน์ที่ไม่ใช่ทางการเงิน ชื่อเสียง, บารมี, การตอบแทนบุญคุณ, หรือความก้าวหน้าในตำแหน่งการงาน
ภาวะผลประโยชน์ทับซ้อนเกิดขึ้น ณ จุดที่ "ผลประโยชน์ส่วนตน" มีแนวโน้มที่จะเข้ามา "ครอบงำ" หรือ "เบียดบัง" การตัดสินใจที่ควรจะเป็นไปเพื่อ "ผลประโยชน์ส่วนรวม"
ประเภทของผลประโยชน์ทับซ้อน
ในทางวิชาการ สามารถแบ่งสถานการณ์ผลประโยชน์ทับซ้อนได้เป็น 3 ประเภทหลัก ดังนี้
๑. ผลประโยชน์ทับซ้อนที่เกิดขึ้นจริง (Actual Conflict of Interest)
เป็นสถานการณ์ที่มีความขัดแย้งเกิดขึ้นอย่างชัดเจนระหว่างหน้าที่สาธารณะกับผลประโยชน์ส่วนตน และมีการใช้อำนาจหน้าที่ไปในทางที่เอื้อประโยชน์ส่วนตนแล้ว
ตัวอย่าง นายกเทศมนตรี อนุมัติโครงการจัดซื้อที่ดินเพื่อสร้างสวนสาธารณะ โดยเลือกซื้อที่ดินของภรรยาตนเองในราคาที่สูงกว่าราคาตลาด ซึ่งเป็นการกระทำที่เอื้อประโยชน์ให้ครอบครัวอย่างชัดเจน
๒. ผลประโยชน์ทับซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ (Potential Conflict of Interest)
เป็นสถานการณ์ที่บุคคลมีผลประโยชน์ส่วนตนบางอย่างซึ่ง "อาจจะ" ส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ในอนาคตได้ แม้ว่าปัจจุบันจะยังไม่มีการตัดสินใจที่เอนเอียงก็ตาม
ตัวอย่าง ปลัด อบต. เป็นกรรมการอยู่ในบริษัทรับเหมาก่อสร้างแห่งหนึ่ง ต่อมาบริษัทแห่งนี้ได้เข้าร่วมการประมูลโครงการก่อสร้างใน อบต. ที่ตนทำงานอยู่ แม้ว่าปลัด อบต. จะยังไม่ได้ทำอะไร แต่สภาวะดังกล่าวก็สร้าง "โอกาส" ที่จะเกิดการใช้อิทธิพลเพื่อเอื้อประโยชน์แก่บริษัทของตนได้ในอนาคต
๓. ผลประโยชน์ทับซ้อนที่ปรากฏให้เห็น (Perceived / Apparent Conflict of Interest)
เป็นสถานการณ์ที่แม้บุคคลอาจไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนที่เกิดขึ้นจริงหรืออาจเกิดขึ้นได้ แต่พฤติกรรมของบุคคลนั้นทำให้ "บุคคลภายนอกหรือสาธารณชนสามารถคิดหรือสงสัยได้ว่า" อาจมีความไม่เป็นกลางเกิดขึ้น ซึ่งประเภทนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งเพราะมันทำลายความน่าเชื่อถือขององค์กรได้โดยตรง
ตัวอย่าง ผู้อำนวยการกองช่าง ไปเล่นกอล์ฟและรับประทานอาหารเย็นกับเจ้าของบริษัทรับเหมาเจ้าประจำที่ชนะการประมูลโครงการของเทศบาลบ่อยครั้ง แม้ว่าทั้งสองอาจเป็นเพื่อนเก่าและไม่ได้พูดคุยเรื่องงานเลย แต่ภาพที่ปรากฏออกมาสู่สังคม ทำให้เกิดข้อกังขาได้ว่าความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดนี้อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้บริษัทดังกล่าวชนะการประมูลบ่อยครั้งหรือไม่
โดยสรุป หลักการจัดการผลประโยชน์ทับซ้อนในภาครัฐจึงไม่ได้มุ่งเน้นแค่การป้องกันการทุจริตที่เกิดขึ้นจริงเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการป้องกันสถานการณ์ที่ "อาจเกิดขึ้นได้" และการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ "ปรากฏให้เห็น" ว่าไม่เหมาะสม เพื่อธำรงรักษาไว้ซึ่งความไว้วางใจที่ประชาชนมีต่อการบริหารงานภาครัฐ
สถานการณ์เสี่ยง การรับของขวัญ, การใช้อิทธิพล, การทำธุรกิจกับหน่วยงาน, การจ้างงานญาติมิตร
สถานการณ์เสี่ยงต่อการเกิดผลประโยชน์ทับซ้อน (Risk Scenarios for Conflicts of Interest)
ในทางรัฐประศาสนศาสตร์และธรรมาภิบาล "สถานการณ์เสี่ยง" หมายถึง บริบทหรือสภาวการณ์ใดๆ ที่ทำให้เส้นแบ่งระหว่าง ผลประโยชน์ส่วนรวม (Public Interest) และ ผลประโยชน์ส่วนตน (Private Interest) เลือนลางลง ซึ่งเป็นการเปิดช่องให้เกิดปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นแบบที่เกิดขึ้นจริง (Actual), ที่อาจเกิดขึ้นได้ (Potential), หรือที่ปรากฏให้เห็น (Perceived) สถานการณ์เหล่านี้จำเป็นต้องได้รับการจัดการและควบคุมอย่างเข้มงวดเป็นพิเศษ
๑. การรับของขวัญ ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด (Accepting Gifts, Assets, or Other Benefits)
การรับของขวัญหรือประโยชน์อื่นใดจากบุคคลหรือนิติบุคคลที่มีปฏิสัมพันธ์เชิงหน้าที่กับเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นพฤติกรรมที่มีความเสี่ยงสูงอย่างยิ่ง เพราะอาจก่อให้เกิด "ภาวะหนี้บุญคุณ" (A Sense of Obligation) ซึ่งสามารถบั่นทอนความเป็นกลางในการตัดสินใจของเจ้าหน้าที่ในอนาคตได้ ในทางทฤษฎี การกระทำดังกล่าวอาจถูกตีความว่าเป็น "สินบนแฝง" (Implicit Bribe) ที่มุ่งหวังให้เกิดการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรืออย่างน้อยที่สุดก็เป็นการสร้างความสัมพันธ์พิเศษที่ทำลายหลัก ความเป็นธรรม (Fairness) ในการให้บริการสาธารณะ
ตัวอย่าง
ผู้อำนวยการกองช่าง ของเทศบาล ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมและตรวจรับงานโครงการก่อสร้างถนน ได้รับบัตรกำนัลที่พักโรงแรมหรูจากผู้จัดการบริษัทผู้รับเหมาในโอกาสวันคล้ายวันเกิด แม้จะไม่มีการพูดคุยเรื่องงาน แต่การรับของขวัญดังกล่าวสร้าง ผลประโยชน์ทับซ้อนที่ปรากฏให้เห็น (Perceived Conflict of Interest) ซึ่งสาธารณชนสามารถตั้งคำถามได้ว่า ในอนาคตหากผู้รับเหมารายนี้ทำงานต่ำกว่ามาตรฐาน ผู้อำนวยการกองช่างจะกล้าสั่งแก้ไขหรือลงโทษอย่างตรงไปตรงมาหรือไม่
๒. การใช้อิทธิพลหรือตำแหน่งหน้าที่ (Leveraging Influence or Position)
หมายถึงการใช้สถานะ, อำนาจ, หรือข้อมูลภายใน (Inside Information) ที่ได้มาจากการดำรงตำแหน่งสาธารณะ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ให้กับตนเองหรือพวกพ้อง พฤติกรรมนี้เป็นการบิดเบือนเจตนารมณ์ของอำนาจสาธารณะ ซึ่งมีไว้เพื่อรับใช้ส่วนรวม ให้กลายเป็นเครื่องมือในการตอบสนองผลประโยชน์ส่วนตน ซึ่งขัดต่อหลัก การไม่แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ (Probity)
ตัวอย่าง
ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ทราบข้อมูลวงในว่าจะมีโครงการตัดถนนเส้นใหม่ผ่านที่ดินบริเวณหนึ่ง จึงได้บอกข้อมูลนี้ให้แก่ญาติของตนเองเพื่อไปกว้านซื้อที่ดินในบริเวณดังกล่าวก่อนที่ข่าวจะประกาศเป็นสาธารณะ เพื่อเก็งกำไรในอนาคต นี่คือการใช้ข้อมูลภายในที่ได้จากการปฏิบัติหน้าที่เพื่อสร้างความได้เปรียบให้กับเครือข่ายส่วนตนโดยตรง
๓. การทำธุรกิจกับหน่วยงาน (Self-Dealing or Doing Business with the Agency)
เป็นรูปแบบผลประโยชน์ทับซ้อนทางการเงิน (Financial Conflict of Interest) ที่ชัดเจนที่สุด ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเจ้าหน้าที่รัฐหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เข้าไปมีสถานะเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานที่ตนสังกัดอยู่โดยตรงหรือโดยอ้อมผ่านนอมินี (ตัวแทน) สถานการณ์เช่นนี้ทำให้บุคคลนั้นตกอยู่ในภาวะที่มี บทบาทขัดแย้งกัน (Conflicting Roles) คือในฐานะผู้รักษากฎเกณฑ์และผลประโยชน์ของรัฐ และในฐานะผู้ที่ต้องการแสวงหากำไรสูงสุดจากรัฐ
ตัวอย่าง
สมาชิกสภาเทศบาล (ส.ท.) คนหนึ่งเป็นเจ้าของร้านจำหน่ายเครื่องเขียนและอุปกรณ์สำนักงาน เมื่อเทศบาลมีโครงการจัดซื้อวัสดุสำนักงานประจำปี ร้านของ ส.ท. คนดังกล่าวได้เข้าร่วมและชนะการประมูล แม้ว่ากระบวนการอาจดูเหมือนถูกต้องตามระเบียบ แต่ก็เกิดข้อกังขาว่า ส.ท. ผู้นั้นได้ใช้สถานะของตนในการเข้าถึงข้อมูลหรือมีอิทธิพลต่อกระบวนการตัดสินใจหรือไม่ ซึ่งเป็นการทำลายหลัก การแข่งขันอย่างเป็นธรรม (Fair Competition)
๔. การจ้างงานญาติมิตร (Nepotism and Cronyism)
เป็นระบบการอุปถัมภ์ที่ทำลาย ระบบคุณธรรม (Merit System) ในการบริหารงานบุคคลภาครัฐ
Nepotism (ระบบอุปถัมภ์แบบเครือญาติ): คือการใช้อำนาจในการแต่งตั้งหรือบรรจุบุคคลที่เป็นเครือญาติของตนเข้าดำรงตำแหน่ง
Cronyism (ระบบอุปถัมภ์แบบพรรคพวก): คือการให้ตำแหน่งแก่เพื่อนสนิทหรือผู้ใกล้ชิดทางการเมือง
พฤติกรรมเหล่านี้ส่งผลให้องค์กรได้บุคลากรที่อาจขาดคุณสมบัติที่เหมาะสมที่สุดมาทำงาน และทำลายขวัญและกำลังใจของเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ที่ปฏิบัติตามระบบคุณธรรม
ตัวอย่าง
นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) แต่งตั้งเพื่อนสนิทที่เคยช่วยหาเสียงให้เข้ามาดำรงตำแหน่ง "ที่ปรึกษา" โดยได้รับค่าตอบแทนสูง ทั้งที่บุคคลดังกล่าวไม่มีความรู้หรือประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของ อบจ. เลย การกระทำเช่นนี้ถือเป็นการใช้ตำแหน่งหน้าที่และงบประมาณสาธารณะเพื่อตอบแทนประโยชน์ทางการเมือง ซึ่งเป็นผลประโยชน์ส่วนตนโดยตรง
แนวทางการบริหารจัดการ การเปิดเผยข้อมูล (Disclosure), การถอนตัว (Recusal), และการป้องกัน
แนวทางการบริหารจัดการผลประโยชน์ทับซ้อน คือ ชุดของมาตรการเชิงรุก (Proactive Measures) ที่องค์กรภาครัฐนำมาใช้เพื่อระบุ ควบคุม และลดความเสี่ยงที่เกิดจากสถานการณ์ผลประโยชน์ทับซ้อน เพื่อธำรงไว้ซึ่งความเที่ยงธรรมและความน่าเชื่อถือในการปฏิบัติงานสาธารณะ
๒. การเปิดเผยข้อมูล (Disclosure)
การเปิดเผยข้อมูล คือ กระบวนการที่บุคคลผู้ดำรงตำแหน่งสาธารณะ แจ้งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผลประโยชน์ส่วนตนที่อาจขัดแย้งกับการปฏิบัติหน้าที่ให้องค์กรหรือสาธารณชนได้รับทราบอย่างเป็นทางการ หลักการนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความโปร่งใส (Transparency) โดยเชื่อว่าการเปิดเผยข้อมูลจะช่วยให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสามารถตรวจสอบและเฝ้าระวังการใช้วิจารณญาณของเจ้าหน้าที่ได้ การเปิดเผยข้อมูลไม่ได้ทำให้ผลประโยชน์ทับซ้อนหายไป แต่เป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญในการบริหารจัดการความเสี่ยงนั้น
ตัวอย่าง
นายกเทศมนตรี ผู้หนึ่งได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งกรรมการในสมาคมผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ก่อนที่จะเข้ารับตำแหน่งนายกฯ เมื่อเข้ารับตำแหน่งแล้ว เขาจึงต้องยื่น หนังสือเปิดเผยข้อมูล (Disclosure Statement) ต่อคณะกรรมการจริยธรรมของเทศบาล (หรือหน่วยงานที่รับผิดชอบ) และอาจรวมถึงการแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. เพื่อแจ้งให้ทราบว่าตนมีผลประโยชน์ส่วนตนในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งอาจมีโอกาสทับซ้อนกับหน้าที่ในการกำกับดูแลผังเมืองหรือการอนุมัติโครงการก่อสร้างในอนาคต
๒ การถอนตัว (Recusal)
การถอนตัว คือ การที่เจ้าหน้าที่รัฐ ถอนตนเองออกจากการมีส่วนร่วมในกระบวนการพิจารณาหรือตัดสินใจในเรื่องที่ตนมีผลประโยชน์ทับซ้อน เป็นมาตรการที่ตามมาหลังจากการเปิดเผยข้อมูล โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาความเป็นกลางและความเที่ยงธรรมของการตัดสินใจในเรื่องนั้นๆ การถอนตัวเป็นการยอมรับว่าผลประโยชน์ส่วนตนของตนอาจมีอิทธิพลต่อการใช้วิจารณญาณอย่างเป็นกลางได้ จึงมอบหมายให้ผู้อื่นที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียเป็นผู้พิจารณาแทน
ตัวอย่าง
สภาเทศบาลกำลังจะพิจารณาอนุมัติโครงการจัดซื้อรถดับเพลิงจากบริษัทแห่งหนึ่ง สมาชิกสภาเทศบาล (ส.ท.) คนหนึ่งได้เปิดเผยข้อมูลแล้วว่าภรรยาของตนเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในบริษัทดังกล่าว
ขั้นตอนการถอนตัว: เมื่อวาระการประชุมนี้มาถึง ส.ท. คนนั้นจะต้อง ประกาศต่อที่ประชุมว่าตนมีส่วนได้ส่วนเสียและขอถอนตัว จากนั้นจึงเดินออกจากห้องประชุม และจะไม่มีส่วนร่วมในการอภิปรายหรือลงมติในวาระดังกล่าวโดยเด็ดขาด การกระทำนี้จะถูกบันทึกไว้ในรายงานการประชุมเพื่อเป็นหลักฐาน
๓ การป้องกัน (Prevention)
การป้องกัน เป็นมาตรการเชิงโครงสร้างที่มุ่งเน้นการออกแบบกฎระเบียบ นโยบาย หรือข้อบังคับต่างๆ เพื่อ ลดโอกาสหรือขจัดสถานการณ์ที่อาจก่อให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อนตั้งแต่ต้นทาง เป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพสูงสุดเพราะเป็นการแก้ปัญหาที่สาเหตุ แทนที่จะรอให้ปัญหาเกิดขึ้นก่อนแล้วจึงจัดการ มาตรการป้องกันมักอยู่ในรูปแบบของ "ข้อห้าม" ที่ชัดเจน
ตัวอย่าง
เพื่อป้องกันปัญหาการจ้างงานญาติมิตร (Nepotism) องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) แห่งหนึ่งได้ออก ข้อบังคับการบริหารงานบุคคล เพิ่มเติม โดยระบุไว้อย่างชัดเจนว่า:
"ห้ามผู้บริหารระดับสูงและสมาชิกสภา อบจ. เข้าไปมีส่วนในกระบวนการสัมภาษณ์หรือคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุเป็นพนักงานในตำแหน่งที่ญาติสนิทของตน (บุตร, คู่สมรส, พี่น้อง) เป็นผู้สมัคร"
"กำหนดให้การจ้างงานในทุกตำแหน่งต้องผ่านกระบวนการสรรหาโดยคณะกรรมการกลางที่เป็นอิสระเท่านั้น"
มาตรการทั้งสามนี้มักถูกนำมาใช้ร่วมกันเพื่อสร้างระบบการบริหารจัดการจริยธรรมที่สมบูรณ์ โดยเริ่มจากการ เปิดเผยข้อมูล เพื่อสร้างความโปร่งใส, ตามด้วยการ ถอนตัว เพื่อรักษาความเป็นกลางในการตัดสินใจ และใช้มาตรการ ป้องกัน เพื่อปิดช่องโหว่เชิงระบบในระยะยาว
คำถามท้ายบท
๑. "ผลประโยชน์ทับซ้อน" คืออะไร และแตกต่างจาก "การทุจริต" อย่างไร?
๒. การที่นายกเทศมนตรีอนุมัติโครงการที่บริษัทของน้องชายตนเองเป็นผู้รับเหมา ถือเป็นผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ เพราะเหตุใด
๓. หากท่านได้รับของขวัญปีใหม่ราคาแพงจากผู้รับเหมาที่ทำงานกับหน่วยงานของท่าน ท่านควรทำอย่างไร
คำถามทบทวน
ทำไมแม้แต่ "ภาพที่ปรากฏว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อน" (Appearance of Conflict of Interest) ก็ยังคงเป็นปัญหาทางจริยธรรมที่ต้องจัดการ
กิจกรรมกลุ่ม
นำเสนอกรณีศึกษา ๓-๔ สถานการณ์ที่แตกต่างกัน (เช่น การรับตำแหน่งในบริษัทเอกชนหลังเกษียณ, การใช้รถยนต์ของราชการไปทำธุระส่วนตัว) ให้แต่ละกลุ่มวิเคราะห์ว่าเป็นผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ และควรจัดการอย่างไรตามหลักการที่เรียนมา
จบบทที่ ๔
บทที่ ๕ กระบวนการตัดสินใจเชิงจริยธรรม (Ethical Decision-Making)
วัตถุประสงค์
๑. เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจโมเดลและขั้นตอนในการตัดสินใจเชิงจริยธรรม
๒. เพื่อให้ผู้เรียนสามารถประยุกต์ใช้กรอบการตัดสินใจกับสถานการณ์สมมติได้
๓. เพื่อให้ผู้เรียนสามารถประเมินทางเลือกและผลกระทบของการตัดสินใจต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดได้
เนื้อหาในบทเรียน
๑. การตระหนักรู้ถึงประเด็นปัญหาทางจริยธรรม (Recognizing an Ethical Issue)
๒. กรอบการวิเคราะห์เพื่อการตัดสินใจ (เช่น Utilitarianism, Deontology, Virtue Ethics แบบประยุกต์)
๓. การประเมินทางเลือกและการลงมือปฏิบัติ: การพิจารณาผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholders)
การตระหนักรู้ถึงประเด็นปัญหาทางจริยธรรม (Recognizing an Ethical Issue)
การตระหนักรู้ถึงประเด็นปัญหาทางจริยธรรม (Recognizing an Ethical Issue) คือ สมรรถนะพื้นฐานและเป็นขั้นตอนแรกสุดในกระบวนการตัดสินใจเชิงจริยธรรม ซึ่งหมายถึงความสามารถของบุคคลในการจำแนกได้ว่าสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่นั้น ไม่ใช่แค่ปัญหาทางเทคนิค, ปัญหาด้านการบริหารจัดการ, หรือปัญหาทางกฎหมายเพียงอย่างเดียว แต่มี มิติทางศีลธรรม ที่เกี่ยวข้องกับความถูก-ผิด หรือ ดี-ชั่ว แฝงอยู่ด้วย
หากบุคคลไม่สามารถตระหนักรู้ได้ตั้งแต่ต้น กระบวนการตัดสินใจเชิงจริยธรรมทั้งหมดก็จะไม่เกิดขึ้น กล่าวคือ บุคคลจะไม่สามารถแก้ปัญหาทางจริยธรรมได้ หากไม่รู้ว่ามีปัญหาอยู่ตั้งแต่แรก
การตระหนักรู้ถึงประเด็นปัญหาทางจริยธรรม หรือที่ในทางวิชาการเรียกว่า "ความละเอียดอ่อนทางจริยธรรม" (Moral Sensitivity) ไม่ใช่ความรู้สึกตามสัญชาตญาณเพียงอย่างเดียว แต่เป็นทักษะที่ต้องผ่านการฝึกฝน โดยมีองค์ประกอบสำคัญที่ใช้ในการพิจารณา ดังนี้
๑. สถานการณ์นั้นส่งผลกระทบต่อสวัสดิภาพของผู้อื่น (The Situation Affects the Well-being of Others)
ประเด็นทางจริยธรรมมักเกี่ยวข้องกับการกระทำที่อาจก่อให้เกิด "อันตราย (Harm)" หรือ "คุณประโยชน์ (Benefit)" ต่อบุคคลอื่น ไม่ว่าจะเป็นในด้านร่างกาย, จิตใจ, การเงิน, หรือสิทธิที่พึงมี
คำถามเพื่อการตระหนักรู้ "การตัดสินใจของฉันในเรื่องนี้จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อใครหรือไม่?" "มีใครที่จะเดือดร้อนหรือได้รับประโยชน์จากการกระทำนี้บ้าง?"
๒. สถานการณ์นั้นมีความขัดแย้งเชิงคุณค่า (The Situation Involves Conflicting Values)
ประเด็นทางจริยธรรมมักเกิดขึ้นเมื่อ "ค่านิยม" หรือ "หลักการ" ที่ดีงามตั้งแต่สองอย่างขึ้นไปเกิดความขัดแย้งกัน ทำให้ไม่สามารถเลือกทำตามหลักการทุกอย่างได้พร้อมกัน กลายเป็น "ภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกทางจริยธรรม" (Ethical Dilemma)
คำถามเพื่อการตระหนักรู้ "สถานการณ์นี้กำลังทดสอบหลักการเรื่องความเมตตากับหลักการเรื่องความเป็นธรรมหรือไม่?" "การตัดสินใจนี้มีความขัดแย้งระหว่างหลักประสิทธิภาพกับหลักความเสมอภาคหรือไม่?"
๓. การตัดสินใจนั้นมีทางเลือกอื่นที่เป็นไปได้ (The Decision Involves a Choice Between Alternatives)
หากไม่มีทางเลือกในการกระทำ ก็ไม่ถือว่าเป็นประเด็นทางจริยธรรม ปัญหาทางจริยธรรมจะเกิดขึ้นเมื่อผู้กระทำมีอิสระในการตัดสินใจเลือกเส้นทางใดเส้นทางหนึ่ง
คำถามเพื่อการตระหนักรู้ "ฉันมีทางเลือกอื่นนอกเหนือจากสิ่งที่เคยทำมาหรือไม่?" "การไม่ทำอะไรเลย (Inaction) ถือเป็นทางเลือกหนึ่งหรือไม่ และส่งผลอย่างไร"
ตัวอย่างเพื่อเปรียบเทียบ
สถานการณ์ A ปัญหาเชิงเทคนิค (Technical Issue)
สถานการณ์ ถนนที่เพิ่งสร้างเสร็จเกิดชำรุดเสียหายหลังฝนตกหนัก
การวิเคราะห์ ปัญหานี้เป็นเรื่องทางวิศวกรรมที่ต้องตรวจสอบว่าเกิดจากวัสดุไม่ได้คุณภาพ, การออกแบบผิดพลาด, หรือภัยธรรมชาติ ยังไม่มีมิติทางจริยธรรมปรากฏชัดเจน
การแก้ปัญหา ส่งทีมวิศวกรเข้าตรวจสอบและซ่อมแซมตามหลักวิชาการ
สถานการณ์ B ปัญหาเชิงจริยธรรม (Ethical Issue)
สถานการณ์ ถนนเส้นเดียวกันกับข้างต้นเกิดชำรุดเสียหาย และ นายช่างผู้ควบคุมงานค้นพบว่าสาเหตุเกิดจากผู้รับเหมาลักลอบใช้วัสดุที่ต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนดในสัญญา แต่นายช่างเป็นเพื่อนสนิทกับผู้รับเหมาคนดังกล่าว
การตระหนักรู้ถึงประเด็นปัญหาทางจริยธรรม
กระทบต่อสวัสดิภาพผู้อื่น การปล่อยผ่านอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุ เป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และทำให้รัฐเสียประโยชน์
ขัดแย้งเชิงคุณค่า เกิดความขัดแย้งระหว่าง "ความภักดีต่อเพื่อน (Loyalty)" กับ "ความรับผิดชอบต่อหน้าที่และประโยชน์ส่วนรวม (Responsibility & Public Interest)"
มีทางเลือก นายช่างมีทางเลือกระหว่าง (1) รายงานความจริงตามหน้าที่ หรือ (2) ปกปิดข้อมูลเพื่อช่วยเหลือเพื่อน
จะเห็นได้ว่า การตระหนักรู้ถึงประเด็นปัญหาทางจริยธรรมคือการมองทะลุพื้นผิวของปัญหา ไปให้เห็นถึงผลกระทบและคุณค่าที่ขัดแย้งกันอยู่เบื้องหลัง ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้บริหารท้องถิ่นที่ต้องเผชิญกับการตัดสินใจที่ซับซ้อนอยู่เสมอ
กรอบการวิเคราะห์เพื่อการตัดสินใจ (เช่น Utilitarianism, Deontology, Virtue Ethics แบบประยุกต์)
กรอบการวิเคราะห์เพื่อการตัดสินใจเชิงจริยธรรม คือ เครื่องมือทางความคิด (Intellectual Tool) ที่นำทฤษฎีทางจริยศาสตร์มาประยุกต์ใช้เป็นแนวทางอย่างเป็นระบบ เพื่อประเมินทางเลือกต่างๆ เมื่อต้องเผชิญกับ ภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกทางจริยธรรม (Ethical Dilemma) ช่วยให้การตัดสินใจไม่ได้ขึ้นอยู่กับความรู้สึกส่วนตัว แต่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักการและเหตุผลที่สามารถอธิบายได้
๑. ทฤษฎีประโยชน์นิยม (Utilitarianism)
หลักการสำคัญ
ประโยชน์นิยมเป็นแนวคิดที่ตัดสินความถูก-ผิดของการกระทำโดยพิจารณาจาก "ผลลัพธ์" (Consequence) เป็นหลัก การกระทำที่ถูกต้องทางจริยธรรมคือการกระทำที่ก่อให้เกิด "ประโยชน์สุขสูงสุดแก่คนจำนวนมากที่สุด" (The Greatest Good for the Greatest Number) ทฤษฎีนี้มุ่งเน้นการคำนวณและเปรียบเทียบผลดี-ผลเสียที่เกิดขึ้นกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด
คำถามหลัก "ทางเลือกใดที่จะสร้างผลประโยชน์โดยรวมได้มากที่สุดและก่อให้เกิดผลเสียน้อยที่สุด"
ตัวอย่างการประยุกต์ใช้
สถานการณ์ เทศบาลมีงบประมาณจำกัดและต้องเลือกระหว่างโครงการ ๒ โครงการ คือ
โครงการ A สร้างศูนย์พัฒนาเด็กเล็กแห่งใหม่ รองรับเด็กได้ ๕๐ คน ซึ่งจะช่วยแบ่งเบาภาระผู้ปกครองวัยทำงานในชุมชนเมือง
โครงการ B ขุดลอกคลองและสร้างระบบชลประทานในพื้นที่เกษตรกรรมชายขอบ ซึ่งจะช่วยให้เกษตรกร 200 ครัวเรือนมีน้ำใช้ตลอดปีและเพิ่มผลผลิตได้
การวิเคราะห์แบบประโยชน์นิยม ผู้บริหารจะประเมินว่าโครงการ B แม้จะช่วยเหลือคนโดยตรงน้อยกว่าในแง่จำนวนครัวเรือน แต่ผลกระทบเชิงบวกในวงกว้าง (ความมั่นคงทางอาหาร, เศรษฐกิจฐานราก) อาจสร้าง ประโยชน์สุขสุทธิ (Net Utility) ให้กับสังคมโดยรวมมากกว่าโครงการ A ดังนั้น การเลือกโครงการ B จึงเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องตามหลักประโยชน์นิยม
๒. ทฤษฎีหน้าที่นิยม (Deontology)
หลักการสำคัญ
หน้าที่นิยมตัดสินความถูก-ผิดของการกระทำโดยพิจารณาจาก "ตัวการกระทำ" (The Act Itself) ว่าสอดคล้องกับ "หน้าที่และกฎเกณฑ์ทางศีลธรรม" (Moral Duties and Rules) หรือไม่ โดยไม่คำนึงถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา หลักการนี้เชื่อว่าการกระทำบางอย่างนั้น "ผิดโดยตัวของมันเอง" (เช่น การโกหก, การผิดสัญญา, การฆ่าคน) และเรามีหน้าที่ต้องยึดมั่นในกฎเกณฑ์นั้นอย่างไม่มีเงื่อนไข
คำถามหลัก "การกระทำนี้เป็นไปตามหน้าที่และหลักการสากลที่ถูกต้องหรือไม่?" "หากทุกคนในสถานการณ์เดียวกันนี้ทำแบบเรา สังคมจะยังอยู่ได้หรือไม่?"
ตัวอย่างการประยุกต์ใช้
สถานการณ์ ท่านเป็นเจ้าหน้าที่พัสดุ และพบว่าบริษัทที่เสนอราคาต่ำที่สุดในการประมูลงานก่อสร้างมีคุณสมบัติไม่ครบถ้วนตามเงื่อนไข (TOR) เพียงเล็กน้อย แต่ท่านรู้ดีว่าหากเลือกบริษัทนี้จะช่วยประหยัดงบประมาณของเทศบาลได้หลายแสนบาท
การวิเคราะห์แบบหน้าที่นิยม แม้ผลลัพธ์ (การประหยัดงบ) จะเป็นสิ่งที่ดี แต่ การกระทำ ที่จะอนุมัติให้บริษัทที่ขาดคุณสมบัติชนะการประมูลนั้น ผิดต่อหน้าที่ ในการรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกฎระเบียบและหลักความเท่าเทียมกันของผู้เข้าประมูลทุกราย ดังนั้น ตามหลักหน้าที่นิยม ท่านต้องตัดสิทธิ์บริษัทนั้นและเลือกบริษัทถัดไปที่มีคุณสมบัติครบถ้วน แม้จะต้องจ่ายแพงกว่าก็ตาม
ทฤษฎีคุณธรรม (Virtue Ethics)
หลักการสำคัญ
คุณธรรมนิยมไม่ได้ถามว่า "เราควรทำอะไร?" แต่ถามว่า "เราควรเป็นคนอย่างไร?" โดยเน้นที่ "คุณลักษณะและอุปนิสัยของผู้กระทำ" (Character of the Moral Agent) การกระทำที่ถูกต้องคือการกระทำที่สะท้อนถึงคุณธรรม เช่น ความซื่อสัตย์, ความกล้าหาญ, ความเมตตา, และความเป็นธรรม การตัดสินใจจึงเป็นการพิจารณาว่าทางเลือกใดจะส่งเสริมและสะท้อนถึงการเป็น "นักบริหารที่ดี" หรือ "คนดี" ในอุดมคติ
คำถามหลัก "การกระทำนี้สะท้อนถึงคุณธรรมและความเป็นมืออาชีพที่น่ายกย่องหรือไม่?" "นักบริหารในอุดมคติจะทำอย่างไรในสถานการณ์นี้?"
ตัวอย่างการประยุกต์ใช้
สถานการณ์ ประชาชนมายื่นเรื่องร้องเรียนด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวและใช้ถ้อยคำที่ไม่สุภาพต่อท่าน ซึ่งเป็นผู้บริหารระดับสูง
การวิเคราะห์แบบคุณธรรม แทนที่จะตอบโต้ด้วยอารมณ์หรือใช้กฎระเบียบอย่างแข็งกร้าว ผู้บริหารที่ยึดหลักคุณธรรมจะถามตนเองว่า "ผู้นำที่ดีควรทำอย่างไร?" คำตอบอาจจะเป็นการแสดงออกถึง คุณธรรมแห่งความอดทน (Patience) และ ความเข้าอกเข้าใจ (Compassion) โดยการรับฟังปัญหาอย่างสงบ พยายามทำความเข้าใจสาเหตุของความเดือดร้อน และแสดงความมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลืออย่างจริงใจ ซึ่งการกระทำเช่นนี้สะท้อนถึงคุณลักษณะของผู้นำที่ดี
การประเมินทางเลือกและการลงมือปฏิบัติ การพิจารณาผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholders)
การประเมินทางเลือกและการลงมือปฏิบัติ เป็นขั้นตอนสำคัญในกระบวนการตัดสินใจเชิงจริยธรรมที่เกิดขึ้นหลังจากการวิเคราะห์ปัญหาด้วยกรอบทฤษฎีต่างๆ แล้ว โดยเป็นขั้นตอนของการนำทางเลือกที่เป็นไปได้มาประเมินผลอย่างเป็นระบบ ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด ซึ่งหัวใจสำคัญของขั้นตอนนี้คือ การวิเคราะห์ผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholder Impact Analysis)
การขยายความเชิงวิชาการ
ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholders) ในทางรัฐประศาสนศาสตร์ หมายถึง บุคคล กลุ่มบุคคล หรือองค์กรใดๆ ที่ ได้รับผลกระทบ จากการตัดสินใจและการดำเนินงานขององค์กร หรือเป็นผู้ที่ มีอิทธิพล ต่อการตัดสินใจและการดำเนินงานนั้นๆ การวิเคราะห์ผลกระทบจึงเป็นกระบวนการที่มุ่งระบุและประเมินผลลัพธ์ทั้งเชิงบวกและเชิงลบที่อาจเกิดขึ้นกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียแต่ละกลุ่มอย่างรอบด้าน
กระบวนการวิเคราะห์ผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
การระบุผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholder Identification):
ขั้นตอนแรกคือการระบุว่า "ใคร" คือผู้ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหานี้บ้าง ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น:
ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายใน (Internal Stakeholders): เช่น ผู้บริหาร, พนักงาน, และบุคลากรภายในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายนอก (External Stakeholders): เช่น ประชาชนในพื้นที่, ภาคธุรกิจ, องค์กรภาคประชาสังคม (NGOs), หน่วยงานราชการอื่น, และสื่อมวลชน
การประเมินผลกระทบ (Impact Assessment):
สำหรับทางเลือกแต่ละทาง ต้องประเมินว่าจะส่งผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียแต่ละกลุ่มอย่างไร โดยพิจารณาในหลายมิติ เช่น
ผลกระทบทางเศรษฐกิจ รายได้, การจ้างงาน, ต้นทุนค่าครองชีพ
ผลกระทบทางสังคม คุณภาพชีวิต, ความปลอดภัย, วัฒนธรรมชุมชน
ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม มลพิษ, ทรัพยากรธรรมชาติ
ผลกระทบต่อสิทธิ สิทธิในการดำรงชีวิต, สิทธิชุมชน
การจัดลำดับความสำคัญและหาจุดสมดุล (Prioritization and Balancing):
ในการตัดสินใจจริง เป็นไปได้ยากที่จะทำให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มพึงพอใจทั้งหมด ผู้ตัดสินใจจึงต้องพิจารณาหาจุดที่สมดุลที่สุด โดยอาจให้น้ำหนักกับกลุ่มที่เปราะบางหรือได้รับผลกระทบทางลบที่รุนแรงกว่า หรือยึดถือประโยชน์ของสาธารณะในภาพรวมเป็นที่ตั้ง
ตัวอย่างการประยุกต์ใช้
สถานการณ์
เทศบาลแห่งหนึ่งกำลังพิจารณาคำขออนุญาตก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในพื้นที่ ซึ่งจะสร้างงานจำนวนมาก แต่ตั้งอยู่ใกล้กับชุมชนที่อยู่อาศัยและพื้นที่เกษตรกรรม
การประเมินทางเลือกและการพิจารณาผลกระทบ
ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholders) ทางเลือก A: อนุมัติการก่อสร้าง ทางเลือก B: ไม่อนุมัติการก่อสร้าง
๑. บริษัทผู้ลงทุน ✅ ผลกระทบเชิงบวก: ได้ดำเนินธุรกิจ, สร้างกำไร ❌ ผลกระทบเชิงลบ: เสียโอกาสในการลงทุน
๒. ประชาชนในพื้นที่ (กลุ่มหางาน) ✅ ผลกระทบเชิงบวก: เกิดการจ้างงานกว่า 500 ตำแหน่ง, เพิ่มรายได้ ❌ ผลกระทบเชิงลบ: ขาดโอกาสในการมีงานทำใกล้บ้าน
๓. ประชาชนในพื้นที่ (กลุ่มผู้อยู่อาศัย) ❌ ผลกระทบเชิงลบ: อาจเกิดปัญหามลพิษทางอากาศและเสียง, ปัญหาการจราจร, คุณภาพชีวิตลดลง ✅ ผลกระทบเชิงบวก: สภาพแวดล้อมและวิถีชีวิตยังคงเดิม
๔. เกษตรกรในพื้นที่ใกล้เคียง ❌ ผลกระทบเชิงลบ: เสี่ยงต่อการปนเปื้อนของแหล่งน้ำที่ใช้ในการเกษตร, ผลผลิตอาจเสียหาย ✅ ผลกระทบเชิงบวก: แหล่งน้ำยังคงสะอาด, ทำการเกษตรได้ตามปกติ
๕. เทศบาล (ในฐานะองค์กร) ✅ ผลกระทบเชิงบวก: จัดเก็บภาษีโรงเรือนและภาษีบำรุงท้องที่ได้เพิ่มขึ้น, เศรษฐกิจในพื้นที่เติบโต ❌ ผลกระทบเชิงลบ: ขาดรายได้จากการจัดเก็บภาษีส่วนเพิ่ม
การลงมือปฏิบัติ
จากการวิเคราะห์ผลกระทบ จะเห็นว่าทางเลือก A สร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจสูง แต่ก็สร้างผลกระทบทางลบต่อคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรงเช่นกัน การตัดสินใจที่ดีจึงไม่ใช่แค่การเลือก A หรือ B แต่คือการหา "ทางเลือกที่สาม"
การลงมือปฏิบัติ เทศบาลอาจตัดสินใจ "อนุมัติแบบมีเงื่อนไข" โดยกำหนดให้บริษัทต้องลงทุนติดตั้งเทคโนโลยีบำบัดมลพิษที่มีประสิทธิภาพสูงสุด, สร้างพื้นที่สีเขียวเป็นแนวกันชน, และจัดตั้งกองทุนพัฒนาชุมชนรอบโรงงานเพื่อชดเชยผลกระทบ การตัดสินใจเช่นนี้เป็นการพยายามสร้างสมดุลระหว่างผลประโยชน์ของกลุ่มต่างๆ ให้ได้มากที่สุด ก่อนที่จะลงมือปฏิบัติจริง
คำถามท้ายบท
๑. จงอธิบายขั้นตอนหลักๆ ในกระบวนการตัดสินใจเชิงจริยธรรม
๒. "ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย" ในโครงการก่อสร้างถนนของ อบต. แห่งหนึ่ง มีใครบ้าง?
๓. การตัดสินใจโดยยึด "ประโยชน์สุขของคนส่วนใหญ่" (Utilitarianism) มีข้อดีและข้อเสียอย่างไรในการบริหารงานท้องถิ่น
คำถามทบทวน
ท่านเคยเผชิญกับการตัดสินใจที่ "ถูกต้องตามกฎหมาย" แต่ "รู้สึกว่าไม่ถูกต้องทางจริยธรรม" หรือไม่? ท่านจัดการกับความรู้สึกนั้นอย่างไร
กิจกรรมกลุ่ม
กรณีศึกษา "ทางสองแพร่ง": เทศบาลมีงบประมาณจำกัด สามารถเลือกทำได้เพียง 1 โครงการ ระหว่าง (A) สร้างศูนย์ดูแลผู้สูงอายุในชุมชน กับ (B) สร้างสนามฟุตซอลให้เยาวชน ให้แต่ละกลุ่มใช้กรอบการตัดสินใจเชิงจริยธรรมเพื่อวิเคราะห์และเลือกโครงการ พร้อมให้เหตุผลว่าทำไมจึงเลือกเช่นนั้นและจะสื่อสารกับกลุ่มที่ไม่ได้รับเลือกอย่างไร
จบบทที่ ๕
บทที่ ๖ ภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมและการสร้างวัฒนธรรมองค์กร
วัตถุประสงค์
๑. เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจบทบาทของผู้นำในการเป็นแบบอย่างทางจริยธรรม (Role Model)
๒. เพื่อให้ผู้เรียนสามารถอธิบายวิธีการสร้างและส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรที่โปร่งใสและมีจริยธรรมได้
๓. เพื่อให้ผู้เรียนรู้วิธีการสื่อสารและการจัดการกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของผู้ใต้บังคับบัญชา
เนื้อหาในบทเรียน
๑. ภาวะผู้นำเชิงจริยธรรม การเป็นผู้นำโดยการกระทำ (Leading by Example)
๒. การสร้างวัฒนธรรมองค์กร การวางนโยบาย, การฝึกอบรม, และระบบการให้รางวัล
๓. การสื่อสารทางจริยธรรมและการจัดการความขัดแย้งในองค์กร
ภาวะผู้นำเชิงจริยธรรม การเป็นผู้นำโดยการกระทำ (Leading by Example)
ภาวะผู้นำเชิงจริยธรรม คือ รูปแบบของภาวะผู้นำที่ผู้บริหารแสดงออกถึงพฤติกรรมที่เหมาะสมและถูกต้องตามหลักจริยธรรมผ่านการกระทำส่วนตน และส่งเสริมพฤติกรรมเหล่านั้นให้เกิดขึ้นในหมู่ผู้ใต้บังคับบัญชาผ่านกระบวนการสื่อสาร การให้รางวัล และการลงโทษอย่างสม่ำเสมอ
การขยายความ "การเป็นผู้นำโดยการกระทำ (Leading by Example)"
"การเป็นผู้นำโดยการกระทำ" หรือ "การทำให้ดูเป็นตัวอย่าง" เป็นกลไกที่ทรงพลังที่สุดของภาวะผู้นำเชิงจริยธรรม ซึ่งตั้งอยู่บนหลักการทางจิตวิทยาที่เรียกว่า ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (Social Learning Theory) ที่ระบุว่ามนุษย์เรียนรู้พฤติกรรมที่เหมาะสมจากการ "สังเกตและเลียนแบบ" (Observation and Imitation) บุคคลต้นแบบ โดยเฉพาะผู้ที่มีอำนาจหรือสถานะสูงกว่า
ในบริบทขององค์กร คำพูด นโยบาย หรือคำขวัญด้านจริยธรรมของผู้บริหารจะไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง หากการกระทำของผู้บริหารเองขัดแย้งกับสิ่งที่พูด การกระทำจึงเป็นเครื่องมือสื่อสารที่น่าเชื่อถือและส่งผลกระทบต่อวัฒนธรรมองค์กรได้รุนแรงกว่าคำพูดหลายเท่า
ภาวะผู้นำโดยการกระทำจึงหมายถึง การที่ผู้นำใช้ตนเองเป็น "มาตรฐานทางจริยธรรมที่มีชีวิต" (A Living Ethical Standard) ทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเห็นและเข้าใจได้อย่างเป็นรูปธรรมว่าพฤติธรรมที่องค์กรคาดหวังนั้นมีหน้าตาเป็นอย่างไร
ตัวอย่างเชิงวิชาการ
สถานการณ์ A การบริหารเวลาและการใช้ทรัพยากร
ผู้นำที่นำโดยคำพูด นายกเทศมนตรีประกาศในที่ประชุมตอนเช้าว่า "ขอให้ข้าราชการทุกคนตรงต่อเวลาและใช้ทรัพยากรของหลวงอย่างคุ้มค่า"
ผู้นำที่นำโดยการกระทำ (Leading by Example):
นายกเทศมนตรี มาถึงที่ทำงานก่อนเวลา 08.30 น. ทุกวัน และเข้าร่วมการประชุมตรงเวลาเสมอ
เมื่อเดินทางไปราชการใกล้ๆ เขาเลือกที่จะใช้รถยนต์ส่วนตัวและเบิกจ่ายตามระเบียบแทนการใช้รถประจำตำแหน่งพร้อมคนขับเพื่อประหยัดงบประมาณ
ผลลัพธ์ พฤติกรรมนี้ส่งสารที่ชัดเจนไปยังพนักงานทุกคนว่า "การตรงต่อเวลาและการประหยัด" เป็นค่านิยมที่องค์กรให้ความสำคัญจริง ๆ ไม่ใช่แค่คำพูดสวยหรู ทำให้พนักงานมีแนวโน้มที่จะปฏิบัติตามโดยไม่มีข้อโต้แย้ง
สถานการณ์ B ความรับผิดชอบ (Accountability)
ผู้นำที่นำโดยคำพูด เมื่อโครงการเกิดความผิดพลาด ผู้อำนวยการกองจะพูดว่า "ทุกคนต้องรับผิดชอบร่วมกัน" แต่จะเริ่มหาว่าใครคือคนที่ทำผิด
ผู้นำที่นำโดยการกระทำ (Leading by Example):
เมื่อโครงการที่ตนเป็นผู้อนุมัติเกิดปัญหา ผู้อำนวยการกอง จะเป็นคนแรกที่กล่าวในที่ประชุมว่า "เรื่องนี้ผมในฐานะหัวหน้าต้องขอรับผิดชอบเป็นคนแรก และนี่คือแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เราจะทำร่วมกัน..."
ผลลัพธ์ การกระทำนี้สร้าง วัฒนธรรมความปลอดภัยทางจิตใจ (Psychological Safety) ทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชากล้าที่จะยอมรับความผิดพลาดและเรียนรู้จากมัน แทนที่จะปกปิดหรือกล่าวโทษกันไปมา เพราะเห็นตัวอย่างแล้วว่าผู้นำไม่ได้มุ่งหาคนผิด แต่ต้องการแก้ไขปัญหา
สถานการณ์ C ความเป็นธรรม (Fairness)
ผู้นำที่นำโดยคำพูด ปลัด อบต. มักจะพูดเสมอว่า "ผมให้ความเป็นธรรมกับทุกคนเท่าเทียมกัน"
ผู้นำที่นำโดยการกระทำ (Leading by Example)
เมื่อมีการพิจารณาความดีความชอบเพื่อเลื่อนตำแหน่ง ปลัด อบต. ได้นำข้อมูลผลการปฏิบัติงาน (Performance Data) ของผู้สมัครทุกคนมาเปิดเผยและชี้แจงต่อคณะกรรมการอย่างโปร่งใส และคัดเลือกผู้ที่มีผลงานดีที่สุด แม้ว่าผู้สมัครอีกคนจะเป็นญาติห่างๆ ของนักการเมืองท้องถิ่นก็ตาม
ผลลัพธ์ การกระทำนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า ระบบคุณธรรม (Merit System) สามารถใช้ได้จริงในองค์กร ทำให้พนักงานเชื่อมั่นว่าความก้าวหน้าในอาชีพขึ้นอยู่กับผลงาน ไม่ใช่เส้นสาย
โดยสรุป "การเป็นผู้นำโดยการกระทำ" คือการเปลี่ยนนามธรรมทางจริยธรรมให้กลายเป็นพฤติกรรมที่เป็นรูปธรรม ซึ่งเป็นวิธีเดียวที่จะสร้างความไว้วางใจและปลูกฝังวัฒนธรรมองค์กรเชิงจริยธรรมให้เกิดขึ้นได้อย่างยั่งยืน
การสร้างวัฒนธรรมองค์กร การวางนโยบาย, การฝึกอบรม, และระบบการให้รางวัล
การสร้างวัฒนธรรมองค์กรเชิงจริยธรรม คือ กระบวนการเชิงกลยุทธ์ที่มุ่งปลูกฝัง "ค่านิยมร่วม (Shared Values)" และ "บรรทัดฐาน (Norms)" ที่ส่งเสริมการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้องดีงามให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีปฏิบัติในองค์กร องค์กรที่มีวัฒนธรรมเชิงจริยธรรมที่เข้มแข็ง พนักงานจะสามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้องโดยอัตโนมัติ แม้ไม่มีใครคอยควบคุมกำกับก็ตาม
การวางนโยบาย (Policy Formulation)
การวางนโยบาย คือ การกำหนด กรอบการดำเนินงานที่เป็นลายลักษณ์อักษร (Formal Framework) เพื่อสื่อสารความคาดหวังด้านจริยธรรมขององค์กรให้บุคลากรทุกคนได้รับทราบอย่างเป็นทางการ นโยบายเหล่านี้ทำหน้าที่เป็น "เสาหลัก" ที่ค้ำจุนวัฒนธรรมองค์กร และเป็นเครื่องมือสำหรับผู้บริหารในการสร้างความเป็นมาตรฐานและบังคับใช้พฤติกรรมที่พึงประสงค์
ตัวอย่าง
อบจ. แห่งหนึ่ง ต้องการสร้างวัฒนธรรมที่ไม่ยอมรับต่อผลประโยชน์ทับซ้อน จึงได้ประกาศใช้ "นโยบายว่าด้วยการป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน" ซึ่งระบุรายละเอียดที่ชัดเจน ดังนี้
นโยบาย No Gift Policy: กำหนดชัดเจนว่า "ห้ามพนักงานรับของขวัญจากบุคคลภายนอกที่มีมูลค่าเกิน 3,000 บาท"
ข้อบังคับการเปิดเผยข้อมูล กำหนดให้ "ผู้บริหารระดับกองขึ้นไปต้องยื่นแบบแสดงความสัมพันธ์ทางธุรกิจหรือส่วนได้เสียส่วนตนที่อาจขัดแย้งกับหน้าที่ทุกปี"
แนวปฏิบัติการถอนตัว (Recusal) กำหนดขั้นตอนที่ชัดเจนว่า "หากกรรมการจัดซื้อจัดจ้างมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับผู้ยื่นซองประมูล ต้องแจ้งต่อประธานและถอนตัวจากการประชุมในวาระนั้น"
การฝึกอบรม (Training and Development)
การฝึกอบรมด้านจริยธรรม เป็นกระบวนการที่มุ่งพัฒนา ความรู้ (Knowledge), ทักษะ (Skills), และทัศนคติ (Attitudes) ของบุคลากร เพื่อให้สามารถตระหนักรู้ถึงประเด็นปัญหาทางจริยธรรมและตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง การฝึกอบรมที่มีประสิทธิภาพไม่ควรเป็นเพียงการบรรยายกฎระเบียบ แต่ควรเน้นการเรียนรู้ผ่าน กรณีศึกษา (Case Studies) และ การแสดงบทบาทสมมติ (Role-Playing) เพื่อให้ผู้เข้าอบรมได้ฝึกฝนทักษะการตัดสินใจในสถานการณ์ที่ซับซ้อน
ตัวอย่าง
เทศบาลแห่งหนึ่ง จัดโครงการ "อบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อเสริมสร้างทักษะการตัดสินใจเชิงจริยธรรม" สำหรับหัวหน้าฝ่ายทุกคน โดยมีกิจกรรมดังนี้:
ช่วงเช้า บรรยายสรุปนโยบายด้านจริยธรรมของเทศบาล และกรอบการตัดสินใจเชิงจริยธรรม (เช่น ประโยชน์นิยม, หน้าที่นิยม)
ช่วงบ่าย แบ่งกลุ่มวิเคราะห์ "กรณีศึกษาภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก (Ethical Dilemma)" ที่มักเกิดขึ้นจริงในเทศบาล เช่น "จะทำอย่างไรเมื่อนักการเมืองท้องถิ่นขอให้เร่งรัดกระบวนการอนุมัติใบอนุญาตให้กับผู้สนับสนุนของตน" ให้แต่ละกลุ่มนำเสนอแนวทางการตัดสินใจและให้เหตุผลตามหลักการที่เรียนมา
ระบบการให้รางวัลและการลงโทษ (Reward and Sanction Systems)
เป็นกลไกการบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่ทรงพลังที่สุดในการชี้นำพฤติกรรม เพราะเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนจากองค์กรว่า "พฤติกรรมแบบใดที่จะได้รับการส่งเสริม และพฤติกรรมแบบใดที่จะไม่เป็นที่ยอมรับ" ตามหลักการเสริมแรง (Reinforcement Theory) พฤติกรรมที่ได้รับรางวัลจะมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นอีก ในขณะที่พฤติกรรมที่ถูกลงโทษจะมีแนวโน้มลดลง การให้รางวัลไม่จำเป็นต้องเป็นตัวเงินเสมอไป แต่หมายรวมถึงการยกย่องชมเชย การให้โอกาสความก้าวหน้า และการยอมรับนับถือ
ตัวอย่าง
อบต. แห่งหนึ่ง ต้องการส่งเสริมวัฒนธรรมแห่งความซื่อสัตย์สุจริต จึงได้ปรับปรุงระบบการบริหารผลการปฏิบัติงาน ดังนี้
ระบบการให้รางวัล
เพิ่มหัวข้อ "การปฏิบัติตนตามหลักจริยธรรมและจรรยาบรรณ" เป็นหนึ่งในตัวชี้วัด (KPI) สำหรับการพิจารณาความดีความชอบ (การเลื่อนขั้น/ขึ้นเงินเดือน)
จัดตั้งรางวัล "บุคลากรต้นแบบด้านความซื่อสัตย์สุจริต" ประจำปี โดยมอบโล่ประกาศเกียรติคุณและประกาศยกย่องในที่ประชุมประจำเดือน
ระบบการลงโทษ
ดำเนินการทางวินัยอย่างจริงจังและรวดเร็วกับเจ้าหน้าที่ที่ถูกร้องเรียนว่ามีพฤติกรรมส่อไปในทางทุจริต เพื่อแสดงให้เห็นว่าองค์กรไม่นิ่งเฉยต่อการกระทำผิด
การใช้ทั้ง ๓ กลไกนี้อย่างสอดประสานกัน จะทำให้การสร้างวัฒนธรรมองค์กรเชิงจริยธรรมไม่ใช่เรื่องนามธรรม แต่เป็นกระบวนการที่เป็นรูปธรรมและสามารถวัดผลได้จริง
การสื่อสารทางจริยธรรมและการจัดการความขัดแย้งในองค์กร
การสื่อสารทางจริยธรรมและการจัดการความขัดแย้งในองค์กร คือ กระบวนการเชิงรุกที่ผู้นำใช้ในการสร้างความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับมาตรฐานทางจริยธรรม และการใช้ทักษะการสื่อสารเพื่อคลี่คลายความขัดแย้งที่มีมิติทางศีลธรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อธำรงรักษาบรรยากาศการทำงานที่โปร่งใสและไว้เนื้อเชื่อใจกัน
๑. การสื่อสารทางจริยธรรม (Ethical Communication)
การสื่อสารทางจริยธรรม คือ การส่งผ่านข้อมูลข่าวสาร, นโยบาย, และค่านิยมที่เกี่ยวข้องกับจริยธรรมไปยังบุคลากรในองค์กรอย่างสม่ำเสมอและมีประสิทธิภาพ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความตระหนักรู้, ให้ความรู้, และชี้นำพฤติกรรมของบุคลากรให้เป็นไปในทิศทางที่พึงประสงค์ การสื่อสารนี้ไม่ใช่แค่การประกาศกฎระเบียบ แต่เป็นการสร้าง "บทสนทนา" ด้านจริยธรรมให้เกิดขึ้นในองค์กร
องค์ประกอบสำคัญ
ความชัดเจนของสาร (Clarity) นโยบายและข้อคาดหวังด้านจริยธรรมต้องถูกสื่อสารด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายและไม่คลุมเครือ
ความสม่ำเสมอ (Consistency): ต้องมีการสื่อสารย้ำเตือนอย่างต่อเนื่องผ่านช่องทางที่หลากหลาย เช่น การประชุม, อีเมล, ป้ายประกาศ เพื่อให้จริยธรรมเป็นเรื่องที่บุคลากรนึกถึงอยู่เสมอ
การสร้างช่องทางที่ปลอดภัย (Safe Channels) องค์กรต้องมีช่องทางให้พนักงานสามารถแจ้งเบาะแส, ขอคำปรึกษา, หรือร้องเรียนประเด็นทางจริยธรรมได้อย่างปลอดภัย โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกกลั่นแกล้งหรือลงโทษ (Whistleblower Protection)
ผู้นำต้องเป็นผู้สื่อสารหลัก (Leadership Communication): สารที่ทรงพลังที่สุดต้องมาจากผู้นำระดับสูง เพื่อแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างแท้จริงขององค์กร
ตัวอย่าง
นายก อบต. ทราบว่ามีปัญหาเรื่องการเบิกจ่ายเบี้ยเลี้ยงเดินทางเท็จเกิดขึ้นในองค์กร แทนที่จะจัดการเงียบๆ เขาได้ดำเนินการสื่อสารทางจริยธรรมดังนี้:
สื่อสารในที่ประชุม ประกาศในที่ประชุมประจำเดือนว่า "อบต. ของเราจะไม่ทนต่อการทุจริตทุกรูปแบบ รวมถึงการเบิกจ่ายที่ไม่โปร่งใส และจะมีการตรวจสอบอย่างจริงจัง"
สื่อสารเป็นลายลักษณ์อักษร ส่งอีเมลและติดประกาศ "สรุปแนวปฏิบัติการเบิกจ่ายเบี้ยเลี้ยงที่ถูกต้อง" ให้ทุกคนรับทราบอีกครั้ง
สร้างช่องทางปลอดภัย ประกาศจัดตั้ง "กล่องรับเรื่องร้องเรียนทางจริยธรรม" ที่หน้าห้องของตน และให้เบอร์โทรศัพท์มือถือโดยตรง เพื่อให้พนักงานสามารถแจ้งเบาะแสได้โดยไม่ต้องผ่านลำดับชั้นบังคับบัญชา
๒. การจัดการความขัดแย้งเชิงจริยธรรม (Ethical Conflict Management)
หมายถึงการใช้ทักษะของผู้นำในการไกล่เกลี่ยหรือแก้ไขความขัดแย้งที่ไม่ได้เกิดจากเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัวเพียงอย่างเดียว แต่มี รากฐานมาจากความเห็นต่างในประเด็นทางจริยธรรมหรือการรับรู้ถึงการกระทำที่ไม่ถูกต้อง การจัดการความขัดแย้งประเภทนี้มีความละเอียดอ่อนสูง เพราะเกี่ยวข้องกับค่านิยมและความเชื่อเรื่องถูก-ผิดของบุคคล
แนวทางการจัดการ
การรับฟังอย่างเป็นกลาง (Impartial Listening): ผู้นำต้องรับฟังข้อมูลจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องโดยปราศจากอคติ เพื่อทำความเข้าใจมุมมองและข้อเท็จจริงทั้งหมด
การยึดหลักการและนโยบาย (Principle-Based Resolution): การตัดสินใจแก้ปัญหาต้องอ้างอิงจากกฎหมาย, นโยบายด้านจริยธรรมขององค์กร, และหลักธรรมาภิบาลเป็นสำคัญ ไม่ใช่การประนีประนอมเพื่อให้ทุกฝ่ายพอใจ
การดำเนินการที่โปร่งใสและเป็นธรรม (Transparent & Fair Process): ทุกขั้นตอนตั้งแต่การสอบสวนข้อเท็จจริงไปจนถึงการตัดสิน ต้องมีความโปร่งใสและให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
การมุ่งเน้นการแก้ไขเชิงระบบ (Systemic Correction): นอกจากการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแล้ว ผู้นำที่ดีต้องวิเคราะห์ว่าความขัดแย้งนั้นมีรากมาจากช่องโหว่เชิงระบบหรือไม่ และต้องหาทางป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำอีก
ตัวอย่าง
สถานการณ์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายพัสดุ (นาย ก.) กับหัวหน้าฝ่ายคลัง (นาง ข.) เกิดความขัดแย้งรุนแรง นาย ก. เชื่อว่านาง ข. จงใจอนุมัติการเบิกจ่ายให้แก่ผู้รับเหมารายหนึ่งเร็วเป็นพิเศษซึ่งอาจมีผลประโยชน์แอบแฝง ในขณะที่นาง ข. ยืนยันว่าทำไปเพื่อเร่งรัดให้งานของ อบต. เดินหน้าได้เร็วขึ้น
กระบวนการจัดการความขัดแย้งของปลัด อบต.
รับฟัง เรียกทั้งสองฝ่ายเข้ามาพูดคุยทีละคนเพื่อรับฟังข้อเท็จจริงและมุมมอง
ตรวจสอบ สั่งให้ฝ่ายตรวจสอบภายในตรวจสอบเอกสารการเบิกจ่ายย้อนหลังทั้งหมดของโครงการดังกล่าว เพื่อดูว่ามีขั้นตอนใดผิดปกติหรือไม่
ยึดหลักการ พบว่าแม้การเบิกจ่ายจะรวดเร็วจริง แต่ทุกขั้นตอนยังอยู่ในกรอบของระเบียบและไม่มีหลักฐานการทุจริต
ไกล่เกลี่ยและชี้แจง เชิญทั้งสองคนมาอีกครั้ง พร้อมชี้แจงผลการตรวจสอบ และสื่อสารว่า "แม้การกระทำของนาง ข. จะไม่ผิดระเบียบ แต่ก็ก่อให้เกิดข้อสงสัยได้ ดังนั้นเพื่อความโปร่งใสในอนาคต ขอให้ทุกการเร่งรัดเบิกจ่ายต้องมีการทำบันทึกชี้แจงเหตุผลแนบมาด้วยเสมอ"
แก้ไขเชิงระบบ ออกประกาศเป็นนโยบายใหม่ว่า "การเบิกจ่ายทุกโครงการต้องเป็นไปตามลำดับคิวการส่งงาน ยกเว้นกรณีเร่งด่วนที่ต้องได้รับอนุมัติจากปลัดและมีบันทึกเหตุผลประกอบ" เพื่อป้องกันปัญหาในระยะยาว
คำถามท้ายบท
๑. การที่ผู้นำ "พูดอย่างหนึ่ง แต่ทำอีกอย่างหนึ่ง" ส่งผลกระทบต่อวัฒนธรรมองค์กรอย่างไร?
๒. จงยกตัวอย่างกิจกรรมหรือนโยบาย 3 อย่างที่ท่านจะนำมาใช้เพื่อส่งเสริมจริยธรรมในหน่วยงานของท่าน
๓. หากท่านพบว่าผู้ใต้บังคับบัญชาคนสนิทมีพฤติกรรมส่อไปในทางทุจริต ท่านจะมีขั้นตอนในการจัดการอย่างไร
คำถามทบทวน
ท่านเชื่อว่า “วัฒนธรรมองค์กร” หรือ “ตัวบุคคล” มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมทางจริยธรรมมากกว่ากัน
กิจกรรมกลุ่ม
ให้แต่ละกลุ่มร่าง "แถลงการณ์ด้านจริยธรรม (Ethics Statement)" สำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของตน โดยระบุวิสัยทัศน์ ค่านิยมหลัก และคำมั่นสัญญาที่จะปฏิบัติต่อประชาชนและบุคลากรในองค์กร
จบบทที่ ๖
บทที่ ๗ จริยธรรมในการบริการสาธารณะและความยุติธรรมในสังคม
วัตถุประสงค์
๑. เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจหลักความเสมอภาค (Equity) และความเป็นธรรม (Fairness) ในการให้บริการสาธารณะ
๒. เพื่อให้ผู้เรียนสามารถวิเคราะห์ประเด็นความยุติธรรมทางสังคม (Social Justice) ที่เกี่ยวข้องกับการจัดสรรทรัพยากรในท้องถิ่น
๓. เพื่อให้ผู้เรียนตระหนักถึงความสำคัญของการปฏิบัติต่อประชาชนทุกคนอย่างให้เกียรติและเท่าเทียม
เนื้อหาในบทเรียน
๑. หลักความเสมอภาคและความเป็นธรรมในการให้บริการประชาชน
๒. การจัดสรรทรัพยากรอย่างเป็นธรรม: การดูแลกลุ่มเปราะบางและผู้ด้อยโอกาส
๓. จริยธรรมในการปฏิสัมพันธ์กับประชาชน: การรับฟัง, การให้เกียรติ, และการไม่เลือกปฏิบัติ
หลักความเสมอภาคและความเป็นธรรมในการให้บริการประชาชน
หลักความเสมอภาคและความเป็นธรรมในการให้บริการประชาชน คือ หลักการพื้นฐานของระบบรัฐประศาสนศาสตร์สมัยใหม่ที่กำหนดให้รัฐต้องจัดสรรบริการสาธารณะแก่พลเมืองทุกคนอย่างทั่วถึง โดยปราศจากการเลือกปฏิบัติ และต้องคำนึงถึงความต้องการที่แตกต่างกันของแต่ละกลุ่มบุคคล เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความยุติธรรมในสังคม ⚖️
หลักการนี้ไม่ได้หมายความว่าทุกคนต้องได้รับบริการที่ "เหมือนกัน" ทุกประการ แต่หมายถึงทุกคนควรมี "โอกาสที่เท่าเทียมกัน" ในการเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพเพื่อการดำรงชีวิตที่ดี
การขยายความเชิงวิชาการ
๒. ความเป็นธรรม (Fairness)
ความเป็นธรรม ในการให้บริการสาธารณะหมายถึง การปฏิบัติต่อประชาชนทุกคนตามหลักเกณฑ์และกฎระเบียบเดียวกันโดยปราศจากอคติหรือการเลือกปฏิบัติ (Non-discrimination) ไม่ว่าบุคคลนั้นจะมีความแตกต่างกันในด้านเพศ, เชื้อชาติ, ศาสนา, ฐานะทางเศรษฐกิจ, หรือความสัมพันธ์ส่วนตัวก็ตาม ความเป็นธรรมคือรากฐานที่สร้างความไว้วางใจให้แก่ระบบราชการ
ตัวอย่าง
การให้บริการที่เป็นธรรม ที่สำนักงานเขต ประชาชนที่มายื่นคำร้องขอใบอนุญาตจะได้รับบริการตามลำดับคิวที่กดบัตร โดยเจ้าหน้าที่จะใช้หลักเกณฑ์การพิจารณาเดียวกันกับทุกคน ไม่มีการ "ลัดคิว" หรือใช้ดุลยพินิจที่แตกต่างกันให้กับคนที่รู้จักเป็นการส่วนตัว
การให้บริการที่ไม่เป็นธรรม เจ้าหน้าที่เร่งรัดกระบวนการออกใบอนุญาตให้แก่บริษัทที่เป็นของญาติ แต่ปล่อยให้คำร้องของประชาชนทั่วไปล่าช้าโดยไม่มีเหตุผลอันควร
๒. ความเสมอภาค (Equity)
ความเสมอภาค เป็นแนวคิดที่ลึกซึ้งกว่าความเท่าเทียม (Equality) โดยตระหนักว่า การปฏิบัติต่อทุกคนให้ "เหมือนกัน" (Equality) อาจไม่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ "เท่าเทียมกัน" ได้ เนื่องจากแต่ละบุคคลและแต่ละกลุ่มชนมีจุดเริ่มต้น, ข้อจำกัด, และความต้องการที่แตกต่างกัน ดังนั้น ความเสมอภาคจึงหมายถึง การจัดสรรทรัพยากรและบริการเพิ่มเติมหรือในรูปแบบที่แตกต่างกันให้แก่กลุ่มที่ด้อยโอกาสหรือมีความต้องการพิเศษ เพื่อให้พวกเขาสามารถเข้าถึงและได้รับประโยชน์จากบริการสาธารณะได้ทัดเทียมกับคนกลุ่มอื่นๆ
ตัวอย่าง
การปฏิบัติแบบเท่าเทียม (Equality): เทศบาลสร้างห้องสมุดชุมชนแห่งใหม่ และประกาศว่า "เปิดให้บริการสำหรับทุกคน" โดยมีบันไดทางขึ้นหน้าอาคารเหมือนกันหมด
การปฏิบัติแบบเสมอภาค (Equity): เทศบาลสร้างห้องสมุดชุมชนแห่งใหม่ และนอกเหนือจากบันไดปกติ ยังได้ จัดทำทางลาดสำหรับผู้ที่ใช้รถเข็นวีลแชร์, ติดตั้งลิฟต์, และจัดหาหนังสือเสียงสำหรับผู้พิการทางสายตา การกระทำเช่นนี้เป็นการ "ปฏิบัติที่แตกต่าง" เพื่อให้ผู้พิการสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากห้องสมุดได้ "ทัดเทียม" กับคนทั่วไป
การประยุกต์ใช้ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
การนำหลักความเป็นธรรมและความเสมอภาคมาใช้ หมายถึงการออกแบบและส่งมอบบริการที่:
ทั่วถึง (Accessible): ประชาชนทุกคน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง (ผู้สูงอายุ, ผู้พิการ, เด็ก, ผู้มีรายได้น้อย) สามารถเข้าถึงบริการได้โดยสะดวก
เหมาะสม (Appropriate) รูปแบบของบริการสอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริงของกลุ่มเป้าหมาย
มีคุณภาพ (Quality) มาตรฐานของบริการที่จัดให้แก่ทุกกลุ่มต้องมีคุณภาพทัดเทียมกัน
ตัวอย่างเชิงนโยบาย
อบต. แห่งหนึ่งต้องการส่งเสริมสุขภาพของประชาชนในพื้นที่
นโยบายที่ขาดความเสมอภาค จัดตั้งศูนย์ฟิตเนสขนาดใหญ่เพียงแห่งเดียวใจกลางตำบล ซึ่งสะดวกสำหรับคนที่แข็งแรงและมีรถยนต์ส่วนตัวเท่านั้น
นโยบายที่คำนึงถึงความเสมอภาค นอกจากศูนย์ฟิตเนสกลางแล้ว ยังได้ จัดสรรงบประมาณเพื่อจัดกิจกรรม "รถออกกำลังกายเคลื่อนที่" ที่จะหมุนเวียนไปตามหมู่บ้านต่างๆ เพื่อให้บริการแก่ผู้สูงอายุที่ไม่สะดวกในการเดินทาง และจัดโปรแกรมแอโรบิกที่ออกแบบมาสำหรับผู้สูงอายุโดยเฉพาะ
โดยสรุป ความเป็นธรรมคือการสร้าง "สนามแข่งขันที่กติกาเดียวกัน" ในขณะที่ความเสมอภาคคือการ "ช่วยต่อขาให้ผู้เล่นที่ตัวเล็กกว่า" เพื่อให้ทุกคนสามารถลงแข่งขันในสนามนั้นได้อย่างมีความหมายและทัดเทียมกันอย่างแท้จริง
การจัดสรรทรัพยากรอย่างเป็นธรรม การดูแลกลุ่มเปราะบางและผู้ด้อยโอกาส
การจัดสรรทรัพยากรอย่างเป็นธรรม คือ กระบวนการเชิงนโยบายที่รัฐใช้อำนาจในการแจกจ่ายทรัพยากรสาธารณะ (เช่น งบประมาณ, บริการ, โอกาส) โดยยึดหลักความเสมอภาค (Equity) และความยุติธรรมทางสังคม (Social Justice) ซึ่งหมายถึงการให้ความสำคัญเป็นพิเศษแก่ กลุ่มเปราะบางและผู้ด้อยโอกาส (Vulnerable and Disadvantaged Groups) เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและประกันว่าทุกคนในสังคมจะได้รับการดูแลให้มีคุณภาพชีวิตขั้นพื้นฐานที่เหมาะสม
หลักการนี้เป็นการปฏิเสธแนวคิดที่ว่ารัฐควรจัดสรรทรัพยากรให้ทุกคน "เท่ากัน" และยอมรับว่ารัฐมีหน้าที่ต้อง "ให้มากกว่า" แก่ผู้ที่ "มีน้อยกว่า" เพื่อยกระดับให้พวกเขาสามารถยืนหยัดในสังคมได้ทัดเทียมกับคนอื่น
การขยายความเชิงวิชาการ
กลุ่มเปราะบางและผู้ด้อยโอกาสคือใคร
ในทางสังคมศาสตร์ กลุ่มเปราะบาง คือ กลุ่มบุคคลที่มีลักษณะทางกายภาพ, สังคม, หรือเศรษฐกิจที่ทำให้พวกเขามีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบทางลบจากวิกฤติต่างๆ ได้มากกว่าคนทั่วไป และมีความสามารถในการฟื้นตัวได้ช้ากว่า ตัวอย่างเช่น
ผู้สูงอายุ ที่พึ่งพิง (ไม่มีผู้ดูแล)
เด็กและเยาวชน ในครอบครัวยากจน
ผู้พิการ หรือผู้มีภาวะพึ่งพิงทางสุขภาพ
ผู้มีรายได้น้อย และแรงงานนอกระบบ
ทำไมรัฐต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ
หลักความยุติธรรมทางสังคม (Social Justice) เป็นหน้าที่ทางศีลธรรมของรัฐในการสร้างสังคมที่ไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง และต้องชดเชยความเสียเปรียบเชิงโครงสร้างที่กลุ่มเปราะบางต้องเผชิญ
หลักสิทธิมนุษยชน (Human Rights) รัฐมีพันธกรณีที่จะต้องรับรองว่าพลเมืองทุกคนมีสิทธิในการเข้าถึงปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต เช่น ที่อยู่อาศัย, อาหาร, และการรักษาพยาบาล
หลักเศรษฐศาสตร์มหภาค (Macroeconomics) การลงทุนในกลุ่มเปราะบาง เช่น การให้การศึกษาแก่เด็กยากจน หรือการพัฒนาทักษะอาชีพให้ผู้มีรายได้น้อย ถือเป็นการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ที่สามารถสร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและลดภาระทางสังคมในระยะยาว
ตัวอย่างการจัดสรรทรัพยากรอย่างเป็นธรรม
สถานการณ์: อบต. แห่งหนึ่งได้รับงบประมาณ 1 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการด้านสาธารณสุข
แนวทางการจัดสรรที่ไม่เป็นธรรม (แบบเท่าเทียม - Equality)
อบต. อาจใช้งบประมาณทั้งหมดเพื่อจัดซื้ออุปกรณ์ออกกำลังกายชุดใหม่ไปติดตั้งไว้ที่สวนสาธารณะกลางของตำบล โดยให้เหตุผลว่า "ทุกคนสามารถมาใช้บริการได้เท่ากัน" แต่ในความเป็นจริง ผู้ที่จะได้ประโยชน์สูงสุดคือกลุ่มคนที่แข็งแรงและเดินทางสะดวกเท่านั้น ส่วนผู้สูงอายุที่เดินทางลำบากหรือผู้ป่วยติดเตียงจะไม่ได้รับประโยชน์เลย
แนวทางการจัดสรรที่เป็นธรรม (แบบเสมอภาค - Equity)
อบต. จะทำการ ประเมินความต้องการตามกลุ่มเป้าหมาย (Needs Assessment) และแบ่งการจัดสรรงบประมาณดังนี้
งบ 500,000 บาท จัดซื้ออุปกรณ์ออกกำลังกายสำหรับคนทั่วไปติดตั้งที่สวนสาธารณะ (ดูแลคนส่วนใหญ่)
งบ 300,000 บาท จัดตั้ง "กองทุนดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียง" โดยจ้างอาสาสมัครบริบาลในชุมชนเพื่อออกไปให้บริการกายภาพบำบัดเบื้องต้นถึงที่บ้าน (ดูแลกลุ่มเปราะบางที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการปกติได้)
งบ 200,000 บาท จัดทำ โครงการอาหารกลางวันเสริมโภชนาการ สำหรับเด็กเล็กในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กของชุมชนผู้มีรายได้น้อย (ลงทุนในกลุ่มเปราะบางเพื่อการพัฒนาในระยะยาว)
การจัดสรรทรัพยากรในลักษณะนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจในหลักความเสมอภาคอย่างแท้จริง โดยไม่ได้มุ่งเน้นแค่การสร้างประโยชน์ให้คนส่วนใหญ่ แต่ยัง ออกแบบนโยบายและบริการที่ "เจาะจง" (Targeted Intervention) เพื่อให้แน่ใจว่ากลุ่มคนที่ต้องการความช่วยเหลือมากที่สุดจะได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม
จริยธรรมในการปฏิสัมพันธ์กับประชาชน: การรับฟัง, การให้เกียรติ, และการไม่เลือกปฏิบัติ
จริยธรรมในการปฏิสัมพันธ์กับประชาชน คือ มาตรฐานความประพฤติเชิงวิชาชีพที่เจ้าหน้าที่รัฐต้องยึดถือในการมีปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับพลเมือง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการบริการสาธารณะที่สะท้อนถึงคุณค่าประชาธิปไตย การปฏิบัติต่อประชาชนอย่างเหมาะสมไม่เพียงแต่เป็นหน้าที่ตามกฎหมาย แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการสร้าง ความไว้วางใจ (Public Trust) และ ความชอบธรรม (Legitimacy) ให้กับองค์กรภาครัฐ
๒. การรับฟัง (Active and Empathetic Listening)
การรับฟังในบริบทนี้ไม่ใช่เพียงการได้ยินเสียง (Hearing) แต่หมายถึง การรับฟังเชิงรุก (Active Listening) ซึ่งเป็นกระบวนการที่เจ้าหน้าที่ให้ความสนใจอย่างเต็มที่ต่อสารที่ประชาชนต้องการจะสื่อ ทั้งในเชิงเนื้อหา (Verbal) และเชิงอารมณ์ (Non-verbal) นอกจากนี้ ยังรวมถึง การฟังด้วยความเข้าอกเข้าใจ (Empathetic Listening) ซึ่งเป็นความพยายามที่จะทำความเข้าใจมุมมอง ความรู้สึก และความเดือดร้อนของประชาชนจากมุมมองของเขา เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อปัญหาได้อย่างแท้จริง
ตัวอย่าง
พฤติกรรมที่ขาดจริยธรรม ขณะที่ประชาชนกำลังอธิบายปัญหาน้ำท่วมขังด้วยความเดือดร้อน เจ้าหน้าที่กลับนั่งพิมพ์งานในคอมพิวเตอร์และตอบกลับเพียงว่า "ตามระเบียบแล้วต้องยื่นเอกสาร X, Y, Z ค่ะ" โดยไม่ได้แสดงความใส่ใจต่อความกังวลของประชาชน
พฤติกรรมที่มีจริยธรรม เจ้าหน้าที่สบตาผู้พูด, พยักหน้ารับเป็นระยะ, และเมื่อประชาชนพูดจบ ได้สรุปความว่า "จากที่ฟังคุณป้าเล่ามา เข้าใจว่าปัญหาน้ำท่วมนี้สร้างความเสียหายให้พืชผลและเป็นมานานแล้วใช่ไหมครับ เดี๋ยวผมจะรับเรื่องและประสานฝ่ายที่เกี่ยวข้องให้ทันที" การกระทำเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ "ได้ยิน" และ "เข้าใจ" ปัญหาอย่างแท้จริง
๒. การให้เกียรติ (Respect and Dignity)
การให้เกียรติ คือ การปฏิบัติต่อประชาชนทุกคนในฐานะมนุษย์ผู้มีศักดิ์ศรี (Dignity) เท่าเทียมกัน โดยไม่คำนึงถึงสถานะทางสังคม, ระดับการศึกษา, หรือการแต่งกาย การให้เกียรติแสดงออกผ่านการใช้ภาษาที่สุภาพ, การแสดงความเคารพ, และการอำนวยความสะดวกอย่างเต็มความสามารถ หลักการนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการลดทอนวัฒนธรรมอำนาจนิยมในระบบราชการ และสร้างความสัมพันธ์แนวราบระหว่างรัฐกับพลเมือง
ตัวอย่าง
พฤติกรรมที่ขาดจริยธรรม เจ้าหน้าที่พูดจาด้วยน้ำเสียงกระโชกโฮกฮาก, ใช้ศัพท์เทคนิคที่ไม่จำเป็น, หรือแสดงท่าทีดูแคลนเมื่อประชาชนแต่งกายมอซอหรือไม่เข้าใจในระเบียบราชการ
พฤติกรรมที่มีจริยธรรม เจ้าหน้าที่ใช้คำพูดที่สุภาพ (ครับ/ค่ะ) กับประชาชนทุกคน, อธิบายขั้นตอนที่ซับซ้อนด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย, และให้ความช่วยเหลือในการกรอกแบบฟอร์มแก่ผู้สูงอายุที่ไม่ถนัดในการเขียนหนังสือ การกระทำเช่นนี้ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าตนเอง "มีคุณค่า" และ "ได้รับการต้อนรับ"
๓. การไม่เลือกปฏิบัติ (Non-discrimination)
หลักการนี้ต่อยอดมาจากความเป็นธรรม (Fairness) โดยหมายถึง การให้บริการสาธารณะแก่ประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียมกันตามมาตรฐานเดียวกัน โดยปราศจากอคติหรือการให้น้ำหนักพิเศษแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง โดยมีพื้นฐานมาจากความสัมพันธ์ส่วนตัว, สถานะทางเศรษฐกิจ, อิทธิพลทางการเมือง, หรือคุณลักษณะส่วนบุคคลอื่นใด การไม่เลือกปฏิบัติเป็นหลักประกันว่าทรัพยากรและบริการสาธารณะจะถูกจัดสรรอย่างเป็นธรรมตามความจำเป็น ไม่ใช่ตามความพึงพอใจของเจ้าหน้าที่
ตัวอย่าง
พฤติกรรมที่เลือกปฏิบัติ เจ้าหน้าที่เร่งรัดขั้นตอนการอนุมัติใบอนุญาตก่อสร้างให้กับบริษัทที่เป็นของผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น แต่ในขณะเดียวกันก็ปล่อยให้คำร้องของประชาชนทั่วไปล่าช้าโดยไม่มีเหตุผล
พฤติกรรมที่ไม่เลือกปฏิบัติ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดตั้ง ระบบบัตรคิวอิเล็กทรอนิกส์ สำหรับทุกบริการ และมีป้ายประกาศ "มาตรฐานระยะเวลาการให้บริการ (Service Level Agreement - SLA)" ในแต่ละขั้นตอนอย่างชัดเจน ทำให้ประชาชนทุกคนมั่นใจได้ว่าจะได้รับการบริการตามลำดับและภายในกรอบเวลาเดียวกัน
การยึดมั่นในหลักการทั้งสามประการนี้ จะเปลี่ยนบทบาทของเจ้าหน้าที่รัฐจาก "ผู้ควบคุมกฎระเบียบ" ไปสู่การเป็น "ผู้ให้บริการสาธารณะ (Public Servant)" อย่างแท้จริง ซึ่งเป็นหัวใจของการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี
คำถามท้ายบท
๑. ความเท่าเทียม (Equality) และความเสมอภาค (Equity) แตกต่างกันอย่างไร? จงยกตัวอย่างในบริบทของการบริการสาธารณะ
๒. ทำไมนักบริหารท้องถิ่นจึงต้องให้ความสำคัญกับ "กลุ่มเปราะบาง" เป็นพิเศษ
๓. จงยกตัวอย่างพฤติกรรมที่อาจเข้าข่ายการเลือกปฏิบัติในการให้บริการประชาชน
คำถามทบทวน
การพัฒนาที่มุ่งเน้นแต่โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ อาจละเลยมิติของความยุติธรรมทางสังคมได้อย่างไร
กิจกรรมกลุ่ม
สมมติว่า อบต. ของท่านได้รับงบประมาณพิเศษ 1 ล้านบาท ให้แต่ละกลุ่มวางแผนการใช้เงินก้อนนี้โดยยึดหลัก "ความยุติธรรมทางสังคม" เป็นที่ตั้ง เพื่อช่วยเหลือกลุ่มคนที่ต้องการความช่วยเหลือมากที่สุดในพื้นที่ นำเสนอเหตุผลและแผนงาน
จบบทที่ ๗
บทที่ ๘ ความท้าทายทางจริยธรรมในยุคดิจิทัลและสิ่งแวดล้อม
วัตถุประสงค์
๑. เพื่อให้ผู้เรียนระบุประเด็นปัญหาทางจริยธรรมที่เกิดจากเทคโนโลยีดิจิทัลและโซเชียลมีเดียได้
๒. เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจความรับผิดชอบทางจริยธรรมที่เกี่ยวกับการจัดการสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ยั่งยืน
๓. เพื่อให้ผู้เรียนสามารถอภิปรายแนวทางการรับมือกับความท้าทายทางจริยธรรมใหม่ๆ ได้
เนื้อหาในบทเรียน
๑. จริยธรรมในยุคดิจิทัล: การใช้โซเชียลมีเดีย, การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA), และความโปร่งใสของข้อมูล
๒. จริยธรรมสิ่งแวดล้อม: การตัดสินใจที่ส่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและคุณภาพชีวิตของคนรุ่นต่อไป
๓. การสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
จริยธรรมในยุคดิจิทัล: การใช้โซเชียลมีเดีย, การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA), และความโปร่งใสของข้อมูล
จริยธรรมในยุคดิจิทัล คือ การประยุกต์ใช้หลักการทางจริยธรรมเพื่อกำกับควบคุมการกระทำและการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีดิจิทัลและสารสนเทศ ซึ่งเป็นประเด็นที่มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เนื่องจากเทคโนโลยีได้เข้ามาเป็นเครื่องมือหลักในการสื่อสาร, การให้บริการ, และการบริหารจัดการข้อมูลสาธารณะ
๑. การใช้โซเชียลมีเดีย (Ethical Use of Social Media)
การใช้โซเชียลมีเดียโดยบุคลากรภาครัฐก่อให้เกิดประเด็นทางจริยธรรมที่ซับซ้อน เนื่องจากเส้นแบ่งระหว่าง พื้นที่ส่วนตัว (Private Sphere) และ พื้นที่สาธารณะ (Public Sphere) กลายเป็นสิ่งที่เลือนราง พฤติกรรมบนโซเชียลมีเดียของเจ้าหน้าที่ แม้จะใช้บัญชีส่วนตัว ก็สามารถส่งผลกระทบโดยตรงต่อ ภาพลักษณ์ (Image) และ ความน่าเชื่อถือ (Credibility) ขององค์กรได้ หลักจริยธรรมจึงเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่รัฐต้องมี ความรับผิดชอบ (Accountability) ต่อเนื้อหาที่ตนเผยแพร่ และต้องธำรงไว้ซึ่ง ความเป็นกลางทางการเมือง (Political Impartiality) และความเป็นมืออาชีพตลอดเวลา
ตัวอย่าง
พฤติกรรมที่ขาดจริยธรรม นายก อบต. ใช้บัญชี Facebook ส่วนตัวโพสต์ข้อความโจมตีฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองด้วยถ้อยคำที่ไม่สุภาพ หรือแสดงความคิดเห็นเชิงอคติต่อกลุ่มชาติพันธุ์หรือศาสนาที่แตกต่าง การกระทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงวุฒิภาวะส่วนบุคคล แต่ยังทำลายความไว้วางใจของประชาชนกลุ่มต่างๆ ที่มีต่อความเป็นกลางในการบริหารงานของ อบต.
พฤติกรรมที่มีจริยธรรม ปลัดเทศบาล ใช้บัญชีส่วนตัวในการแชร์ข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากเพจทางการของเทศบาล เช่น กำหนดการฉีดวัคซีน, การรับสมัครงาน พร้อมเขียนข้อความเชิญชวนด้วยภาษาที่สุภาพและเป็นกลาง การกระทำดังกล่าวช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีและแสดงถึงความมุ่งมั่นในการบริการประชาชนแม้อยู่นอกเวลาราชการ
๒ การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data Protection - PDPA)
ในฐานะผู้ควบคุมข้อมูล (Data Controller) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีพันธกรณีทางจริยธรรมและกฎหมายในการจัดการข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนที่อยู่ในความครอบครองด้วยความรับผิดชอบสูงสุด ตามหลักการของ พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (PDPA) จริยธรรมในมิตินี้จึงหมายถึงการเคารพใน สิทธิความเป็นส่วนตัว (Right to Privacy) ของประชาชน โดยต้องมีการเก็บรวบรวม, ใช้, และเปิดเผยข้อมูลเท่าที่จำเป็น, มีการขอความยินยอมอย่างถูกต้อง, และมีมาตรการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลที่รัดกุมเพื่อป้องกันการรั่วไหลหรือการนำไปใช้ในทางที่ผิด
ตัวอย่าง
พฤติกรรมที่ขาดจริยธรรม เจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนราษฎรของเทศบาล นำสำเนาบัตรประชาชนและข้อมูลเบอร์โทรศัพท์ของผู้ที่มาติดต่อราชการไปให้แก่บริษัทประกันภัยที่เป็นเพื่อนสนิท เพื่อใช้ในการทำการตลาดทางโทรศัพท์ (Telesales) โดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล
พฤติกรรมที่มีจริยธรรม อบต. จัดทำโครงการลงทะเบียนรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ในแบบฟอร์มลงทะเบียนได้ระบุ "นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล" ไว้อย่างชัดเจนว่าจะนำข้อมูลไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจ่ายเบี้ยยังชีพเท่านั้น และมีการจัดเก็บเอกสารในตู้ที่ปิดมิดชิดซึ่งเข้าถึงได้เฉพาะเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบโดยตรง
๓. ความโปร่งใสของข้อมูล (Data Transparency)
ในขณะที่ข้อมูล "ส่วนบุคคล" ต้องได้รับการคุ้มครอง ข้อมูล "สาธารณะ" ที่เกี่ยวกับการดำเนินงานของรัฐกลับต้องได้รับการส่งเสริมให้มีความโปร่งใสสูงสุด จริยธรรมในมิตินี้จึงหมายถึง การทำให้ข้อมูลการดำเนินงานของรัฐที่ไม่อยู่ในข่ายข้อมูลส่วนบุคคลหรือความลับทางราชการ สามารถเข้าถึงและตรวจสอบได้โดยง่าย (Open Data) ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล เพื่อส่งเสริมหลัก ความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได้ (Accountability) และ การมีส่วนร่วมของพลเมือง (Civic Engagement)
ตัวอย่าง
พฤติกรรมที่ขาดจริยธรรม: องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) มีเว็บไซต์ แต่ไม่เคยอัปเดตข้อมูลโครงการจัดซื้อจัดจ้างหรืองบประมาณรายจ่ายประจำปี เมื่อประชาชนใช้สิทธิตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารฯ ขอข้อมูล ก็จงใจประวิงเวลาหรือให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน
พฤติกรรมที่มีจริยธรรม: เทศบาลแห่งหนึ่งพัฒนา "แดชบอร์ดข้อมูลเมือง" (City Data Dashboard) แบบออนไลน์ที่ประชาชนสามารถเข้าไปดูข้อมูลต่างๆ ได้แบบเรียลไทม์ เช่น งบประมาณที่ใช้ไปในแต่ละโครงการ, จำนวนเรื่องร้องเรียนและสถานะการแก้ไข, และข้อมูลคุณภาพน้ำประปาในแต่ละพื้นที่ การกระทำเช่นนี้เป็นการสร้างความโปร่งใสเชิงรุกที่ช่วยเสริมสร้างความไว้วางใจได้อย่างมหาศาล
จริยธรรมสิ่งแวดล้อม: การตัดสินใจที่ส่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและคุณภาพชีวิตของคนรุ่นต่อไป
จริยธรรมสิ่งแวดล้อม คือ สาขาหนึ่งของจริยศาสตร์ประยุกต์ที่ขยายขอบเขตของการพิจารณาเชิงศีลธรรมออกไปครอบคลุมถึงสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติและสรรพชีวิต 🌳 โดยตั้งคำถามพื้นฐานว่ามนุษย์มีพันธกรณีทางศีลธรรมต่อสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ (เช่น สัตว์, พืช, ระบบนิเวศ) หรือไม่ และอย่างไร
ในบริบทของการบริหารงานท้องถิ่น จริยธรรมสิ่งแวดล้อมมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากผู้บริหารท้องถิ่นคือผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ ซึ่งการตัดสินใจนั้นไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ในปัจจุบัน แต่ยังส่งผลผูกพันไปถึง คุณภาพชีวิตและทางเลือกของคนรุ่นต่อไป อีกด้วย
การขยายความเชิงวิชาการ
ความยุติธรรมระหว่างรุ่น (Intergenerational Justice)
หัวใจสำคัญของจริยธรรมสิ่งแวดล้อมในการบริหารภาครัฐ คือหลัก "ความยุติธรรมระหว่างรุ่น" ซึ่งหมายถึง พันธกรณีทางศีลธรรมที่คนรุ่นปัจจุบันมีต่อคนรุ่นอนาคต ในการที่จะต้องไม่ใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างสิ้นเปลืองหรือสร้างภาระทางสิ่งแวดล้อมจนเกินขีดความสามารถของระบบนิเวศที่จะฟื้นฟูได้
แนวคิดนี้ตั้งอยู่บนหลักการที่ว่า คนรุ่นต่อไปมีสิทธิที่จะได้รับมรดกโลกทางธรรมชาติที่มีความสมบูรณ์ไม่น้อยไปกว่าที่คนรุ่นเราได้รับ การตัดสินใจใดๆ ของเราในวันนี้จึงต้องคำนึงถึง "ต้นทุน" ที่คนรุ่นลูกรุ่นหลานจะต้องเป็นผู้แบกรับในอนาคต
หลักการชี้นำการตัดสินใจ (Guiding Principles)
หลักการพัฒนาที่ยั่งยืน (Principle of Sustainable Development): การพัฒนาที่ตอบสนองความต้องการของคนรุ่นปัจจุบัน โดยไม่กระทบต่อความสามารถในการตอบสนองความต้องการของคนรุ่นอนาคต
หลักการป้องกันไว้ก่อน (Precautionary Principle): หากมีโครงการหรือกิจกรรมใดที่อาจมีความเสี่ยงว่าจะก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อม แม้จะยังไม่มีข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ที่แน่ชัดถึงผลกระทบนั้น ก็ควรจะต้องมีมาตรการป้องกันไว้ล่วงหน้า หรือควรระงับโครงการนั้นไว้ก่อน
ตัวอย่างการตัดสินใจเชิงจริยธรรมสิ่งแวดล้อม
สถานการณ์
เทศบาลแห่งหนึ่งได้รับการเสนอให้สร้าง โรงไฟฟ้าพลังงานขยะ ขนาดใหญ่ในพื้นที่ ซึ่งมีข้อดี-ข้อเสีย ดังนี้
ข้อดีในปัจจุบัน
ช่วยแก้ปัญหาขยะล้นเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สร้างงานในพื้นที่
สร้างรายได้จากการขายไฟฟ้าให้แก่เทศบาล
ความเสี่ยงต่ออนาคต
กระบวนการเผาขยะอาจปล่อยสารพิษ (เช่น ไดออกซิน) สู่ชั้นบรรยากาศ ซึ่งอาจสะสมและส่งผลต่อสุขภาพของประชาชนในระยะยาว
ที่ดินที่ใช้เป็นที่ตั้งโรงไฟฟ้าและที่ฝังกลบกากของเสียจากการเผาไหม้ จะปนเปื้อนสารเคมีและไม่สามารถใช้ประโยชน์อื่นได้ไปอีกหลายสิบปี
การวิเคราะห์ตามหลักจริยธรรมสิ่งแวดล้อม
การตัดสินใจที่ขาดจริยธรรมสิ่งแวดล้อม ผู้บริหารอาจมองเพียงผลประโยชน์ระยะสั้น คือการแก้ปัญหาขยะและรายได้ที่เกิดขึ้นในยุคของตน จึงอนุมัติโครงการไปโดยไม่ได้ศึกษาผลกระทบระยะยาวอย่างถี่ถ้วน หรือเลือกใช้เทคโนโลยีราคาถูกที่มีมาตรฐานการควบคุมมลพิษต่ำ การกระทำเช่นนี้ถือเป็นการ "ผลักภาระ" ด้านสุขภาพและต้นทุนการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมไปให้คนรุ่นต่อไป
การตัดสินใจที่มีจริยธรรมสิ่งแวดล้อม
ยึดหลักการป้องกันไว้ก่อน: เทศบาลจะจัดให้มีการทำ รายงานการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) โดยหน่วยงานที่เป็นกลางและโปร่งใส
ส่งเสริมการมีส่วนร่วม จัดเวทีประชาพิจารณ์รับฟังความเห็นจากประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มอย่างจริงจัง
แสวงหาทางเลือกที่ยั่งยืน ก่อนจะตัดสินใจสร้างโรงไฟฟ้า อาจพิจารณาทางเลือกอื่นที่ยั่งยืนกว่า เช่น การลงทุนในระบบการคัดแยกขยะที่มีประสิทธิภาพเพื่อนำไปรีไซเคิล, การทำปุ๋ยหมัก, หรือการรณรงค์ลดปริมาณขยะที่ต้นทาง (Reduce, Reuse, Recycle) ซึ่งแม้จะเห็นผลช้ากว่า แต่สร้างผลกระทบทางลบต่อคนรุ่นต่อไปน้อยกว่า
หากจำเป็นต้องสร้าง จะเลือกใช้เทคโนโลยีการเผาไหม้ที่ทันสมัยที่สุดและมีมาตรฐานการปล่อยมลพิษที่เข้มงวดที่สุด แม้จะมีต้นทุนสูงกว่าก็ตาม
การตัดสินใจเช่นนี้สะท้อนให้เห็นถึงความรับผิดชอบที่ไกลกว่าวาระการดำรงตำแหน่งของตน แต่เป็นการทำหน้าที่ในฐานะ "ผู้พิทักษ์ทรัพยากรเพื่ออนาคต" อย่างแท้จริง
การสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
การสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจ, สังคม, และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน คือ กระบวนทัศน์ (Paradigm) การพัฒนาที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อตอบสนองความต้องการของคนรุ่นปัจจุบัน โดยไม่ลดทอนความสามารถของคนรุ่นอนาคตในการตอบสนองความต้องการของตนเอง
แนวคิดนี้ตั้งอยู่บนหลักการที่ว่าการพัฒนาที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อองค์ประกอบทั้งสามด้านได้รับการพิจารณาอย่างเท่าเทียมและบูรณาการเข้าด้วยกัน เปรียบเสมือน เก้าอี้สามขาที่ต้องมีขาครบทั้งสามจึงจะตั้งอยู่ได้อย่างมั่นคง หากมุ่งเน้นเพียงด้านใดด้านหนึ่งมากเกินไป การพัฒนานั้นย่อมไม่ยั่งยืน ⚖️
ได้รับอนุญาตจาก Google
การขยายความเชิงวิชาการ
๑. ความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ (Economic Sustainability)
หมายถึง การพัฒนาระบบเศรษฐกิจที่สามารถสร้างความเจริญเติบโต, รายได้, และการจ้างงานได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ทำลายฐานทรัพยากรธรรมชาติซึ่งเป็นต้นทุนในการผลิต และมีการกระจายผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างเป็นธรรมเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ
เป้าหมาย ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ, ประสิทธิภาพในการผลิต, ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
ตัวอย่าง: การส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนที่นำวัตถุดิบในท้องถิ่นมาแปรรูปเป็นสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม แทนการขายวัตถุดิบราคาถูกเพียงอย่างเดียว
๒. ความยั่งยืนทางสังคม (Social Sustainability)
หมายถึง การพัฒนาที่มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิต, สร้างความเท่าเทียม, และเคารพในความหลากหลายทางวัฒนธรรมของคนในสังคม เพื่อให้เกิดเป็นสังคมที่เข้มแข็ง, ปลอดภัย, และยุติธรรมที่ทุกคนมีโอกาสในการพัฒนาศักยภาพของตนเอง
เป้าหมาย ความเป็นธรรมทางสังคม, การมีส่วนร่วม, ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน, การศึกษาและสาธารณสุขที่ทั่วถึง
ตัวอย่าง การจัดทำผังเมืองที่ออกแบบให้มีพื้นที่สาธารณะ, ทางเท้าที่ปลอดภัย, และบริการขนส่งมวลชนที่คนทุกกลุ่ม (รวมถึงผู้พิการและผู้สูงอายุ) สามารถเข้าถึงได้
๓. ความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม (Environmental Sustainability)
หมายถึง การพัฒนาที่ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและรักษาระบบนิเวศในระดับที่ธรรมชาติสามารถฟื้นฟูได้ทัน เพื่อให้ฐานทรัพยากรยังคงความอุดมสมบูรณ์สำหรับคนรุ่นต่อไป
เป้าหมาย การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ, การจัดการมลพิษ, การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวอย่าง การส่งเสริมเกษตรอินทรีย์เพื่อลดการใช้สารเคมีที่ทำลายดินและแหล่งน้ำ
ภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก การสร้างสมดุลในทางปฏิบัติ
ความท้าทายที่แท้จริงคือ การหาจุดสมดุลระหว่าง "ผลประโยชน์ระยะสั้น" ของมิติเศรษฐกิจ กับ "ผลกระทบระยะยาว" ของมิติสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งมักจะมีความขัดแย้งกัน (Trade-offs)
ตัวอย่างการสร้างสมดุล
สถานการณ์ อบต. ที่มีชายหาดสวยงามแห่งหนึ่ง กำลังพิจารณาข้อเสนอของนักลงทุนเอกชนในการสร้างโรงแรมและรีสอร์ทขนาดใหญ่ริมชายหาด
การตัดสินใจที่ไม่ยั่งยืน (มุ่งเน้นเศรษฐกิจ)
อบต. อนุมัติโครงการอย่างรวดเร็วโดยมุ่งหวังเพียง ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ (การจ้างงาน, ภาษี) โดยอาจละเลยการทำ EIA (การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม) ที่เข้มงวด
ผลลัพธ์ระยะยาว อาจเกิดปัญหาน้ำเสียถูกปล่อยลงทะเล, ชายหาดถูกกัดเซาะ, วิถีชีวิตของชุมชนประมงพื้นบ้านถูกทำลาย และสุดท้ายเมื่อธรรมชาติเสื่อมโทรม อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวก็จะซบเซาลงในที่สุด (เศรษฐกิจไม่ยั่งยืน)
การตัดสินใจที่ยั่งยืน (สร้างสมดุล ๓ มิติ)
อบต. จะใช้กระบวนการพิจารณาที่บูรณาการทั้ง ๓ มิติเข้าด้วยกัน
ด้านเศรษฐกิจ กำหนดเงื่อนไขให้นักลงทุนต้อง จ้างงานคนในท้องถิ่นเป็นสัดส่วน 70% และรับซื้อวัตถุดิบทางการเกษตรจากชุมชน
ด้านสังคม จัดเวทีประชาพิจารณ์เพื่อให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการออกแบบ และกำหนดให้โรงแรมต้อง เคารพวิถีชุมชน โดยไม่ปิดกั้นทางลงหาดสาธารณะของชาวบ้าน
ด้านสิ่งแวดล้อม บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด โดยกำหนดให้โรงแรมต้องมี ระบบบำบัดน้ำเสียที่มีประสิทธิภาพสูงสุด, ต้องออกแบบอาคารให้กลมกลืนกับภูมิทัศน์ และต้องร่วมมือกับ อบต. ในการจัดกิจกรรมอนุรักษ์ชายหาดทุกปี
การตัดสินใจเช่นนี้อาจทำให้โครงการเติบโตช้ากว่า แต่เป็นการสร้างการพัฒนาที่ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์ร่วมกัน และสามารถดำรงอยู่ได้ในระยะยาวอย่างแท้จริง
คำถามท้ายบท
๑. การที่นักบริหารท้องถิ่นใช้ Facebook ส่วนตัววิจารณ์การทำงานของฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง มีประเด็นทางจริยธรรมอย่างไรบ้าง
๒. พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) สร้างความรับผิดชอบทางจริยธรรมเพิ่มเติมให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างไร
๓. โครงการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ที่อาจส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม ก่อให้เกิดภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกทางจริยธรรม (Ethical Dilemma) อย่างไร
คำถามทบทวน
ท่านจะเตรียมตนเองและองค์กรให้พร้อมรับมือกับความท้าทายทางจริยธรรมที่คาดไม่ถึงในอนาคตได้อย่างไร
กิจกรรมกลุ่ม
แบ่งกลุ่มอภิปรายในหัวข้อ "ดาบสองคมของโซเชียลมีเดียต่อนักบริหารท้องถิ่น" โดยให้กลุ่มหนึ่งนำเสนอด้าน "ประโยชน์และโอกาส" และอีกกลุ่มนำเสนอด้าน "ความเสี่ยงและข้อควรระวัง"
จบบทที่ ๘
บทที่ ๙ การธำรงรักษาจริยธรรมและการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง
วัตถุประสงค์
๑. เพื่อให้ผู้เรียนเห็นความสำคัญของการทบทวนและพัฒนาตนเองด้านจริยธรรมอย่างสม่ำเสมอ
๒. เพื่อให้ผู้เรียนสามารถสร้างแผนปฏิบัติการส่วนบุคคล (Personal Action Plan) เพื่อพัฒนาจริยธรรมของตนเองได้
๓. เพื่อให้ผู้เรียนเกิดแรงบันดาลใจในการเป็นต้นแบบและผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในองค์กรและสังคม
เนื้อหาในบทเรียน
๑. ความกล้าหาญทางจริยธรรม (Moral Courage): ความกล้าที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง
๒. การสร้างเครือข่ายที่ปรึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิตด้านจริยธรรม
๓. การวางแผนพัฒนาตนเอง: จากนักบริหารสู่การเป็นรัฐบุรุษท้องถิ่น (Local Statesman)
ความกล้าหาญทางจริยธรรม (Moral Courage) ความกล้าที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง
ความกล้าหาญทางจริยธรรม (Moral Courage) คือ สมรรถนะทางจิตใจที่บุคคลจะยึดมั่นและลงมือกระทำในสิ่งที่ตนเชื่อว่าถูกต้องตามหลักการทางศีลธรรม แม้ว่าการกระทำนั้นจะนำมาซึ่งความเสี่ยงต่อผลกระทบเชิงลบต่อตนเองก็ตาม
เป็นความกล้าหาญที่แตกต่างจากความกล้าหาญทางกายภาพ (Physical Courage) ซึ่งเป็นการเผชิญหน้ากับความกลัวต่ออันตรายทางร่างกาย แต่ความกล้าหาญทางจริยธรรมคือการเผชิญหน้ากับ ความเสี่ยงทางสังคมและจิตใจ เช่น การถูกต่อต้าน, การถูกเกลียดชัง, การสูญเสียตำแหน่งหน้าที่การงาน, หรือการถูกตัดขาดจากกลุ่ม
การขยายความเชิงวิชาการ
ความกล้าหาญทางจริยธรรมไม่ได้หมายถึงการกระทำโดยปราศจากความกลัว แต่คือ การตระหนักรู้ถึงความกลัวและผลลัพธ์เชิงลบที่อาจเกิดขึ้น แต่ยังคงตัดสินใจลงมือทำเพราะเชื่อมั่นในหลักการที่ถูกต้องมากกว่าความสะดวกสบายหรือความปลอดภัยส่วนตน ในทางจิตวิทยาและจริยศาสตร์ องค์ประกอบของการกระทำที่แสดงถึงความกล้าหาญทางจริยธรรม ได้แก่
การมีอยู่ของประเด็นปัญหาทางจริยธรรม (Presence of an Ethical Issue): ต้องเป็นสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับหลักการความถูก-ผิดอย่างชัดเจน
การตระหนักรู้ถึงความเสี่ยง (Awareness of Risk): ผู้กระทำต้องเข้าใจดีว่าการตัดสินใจของตนอาจนำมาซึ่งผลเสียต่อตนเอง
การตัดสินใจอย่างมีเจตจำนง (A Deliberate Choice): การกระทำนั้นต้องเกิดจากการไตร่ตรองและตัดสินใจอย่างแน่วแน่ ไม่ใช่การทำไปโดยบังเอิญหรือขาดความยั้งคิด
ความกล้าหาญทางจริยธรรมจึงเป็นปฏิปักษ์โดยตรงกับ ความเฉยเมยของหมู่คณะ (Bystander Apathy) หรือการที่คนส่วนใหญ่เลือกที่จะนิ่งเฉยเมื่อเผชิญกับการกระทำที่ไม่ถูกต้อง เพราะไม่ต้องการเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง
ตัวอย่างเชิงวิชาการ
สถานการณ์ A การจัดซื้อจัดจ้าง
สถานการณ์ คณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้างกำลังจะอนุมัติโครงการหนึ่งให้กับบริษัท A ซึ่งเป็นบริษัทของนักการเมืองท้องถิ่น แม้ว่าบริษัท B จะมีคุณสมบัติและข้อเสนอที่ดีกว่าก็ตาม กรรมการส่วนใหญ่ในที่ประชุมมีท่าทีเห็นชอบกับบริษัท A เพื่อเอาใจนักการเมือง
การกระทำที่ขาดความกล้าหาญทางจริยธรรม นายช่างเทคนิค ซึ่งเป็นหนึ่งในกรรมการ เลือกที่จะ นิ่งเงียบ และลงมติตามเสียงส่วนใหญ่ เพราะกลัวว่าหากคัดค้านจะถูกย้ายไปอยู่ฝ่ายอื่นที่ไม่สำคัญ หรืออาจกระทบต่อความก้าวหน้าในอาชีพ
การกระทำที่แสดงถึงความกล้าหาญทางจริยธรรม หัวหน้าฝ่ายคลัง ซึ่งเป็นกรรมการอีกคนหนึ่ง ตัดสินใจ ยืนขึ้นคัดค้านในที่ประชุม โดยชี้แจงด้วยข้อมูลและเหตุผลว่า เหตุใดข้อเสนอของบริษัท B จึงเป็นประโยชน์ต่อทางราชการมากกว่า แม้จะตระหนักดีว่าการกระทำของตนอาจสร้างความไม่พอใจให้แก่นักการเมืองและเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ก็ตาม
สถานการณ์ B การปกป้องผู้ใต้บังคับบัญชา
สถานการณ์ ผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งปฏิเสธที่จะทำตามคำสั่งของผู้บริหารระดับสูงที่สั่งให้บิดเบือนข้อมูลในรายงานเพื่อทำให้ผลงานขององค์กรดูดีเกินจริง ทำให้ผู้บริหารไม่พอใจและต้องการจะลงโทษทางวินัยพนักงานคนนั้น
การกระทำที่ขาดความกล้าหาญทางจริยธรรม ผู้อำนวยการกอง ซึ่งเป็นหัวหน้าโดยตรงของพนักงานคนดังกล่าว เลือกที่จะ ไม่ปกป้องลูกน้อง และปล่อยให้ถูกลงโทษไป เพราะไม่อยากมีปัญหากับผู้บริหารระดับสูง
การกระทำที่แสดงถึงความกล้าหาญทางจริยธรรม ผู้อำนวยการกอง ตัดสินใจ เข้าพบผู้บริหารระดับสูง เพื่อชี้แจงว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ถูกต้องตามหลักการ และยืนยันว่าการกระทำของผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นการรักษาความซื่อสัตย์สุจริตซึ่งเป็นสิ่งที่ควรยกย่อง พร้อมทั้งยอมรับความเสี่ยงที่ตนเองอาจจะถูกเพ่งเล็งไปด้วย
การกระทำเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าผู้กระทำเลือกที่จะยึดมั่นใน "ความถูกต้อง" มากกว่า "ความถูกใจ" ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่สำคัญอย่างยิ่งของผู้นำและข้าราชการที่ดี
การสร้างเครือข่ายที่ปรึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิตด้านจริยธรรม
การสร้างเครือข่ายที่ปรึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิตด้านจริยธรรม คือ กลยุทธ์เชิงรุกในการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ที่ช่วยให้ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่รัฐสามารถธำรงรักษาและพัฒนาสมรรถนะทางจริยธรรมของตนเองได้ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมการทำงานที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
แนวคิดนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่าจริยธรรมไม่ใช่สิ่งที่เรียนรู้ครั้งเดียวแล้วจบ แต่เป็น ทักษะที่ต้องผ่านการฝึกฝน, การทบทวน, และการแสวงหาความรู้ใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา
๑. การสร้างเครือข่ายที่ปรึกษา (Building a Mentorship/Advisory Network)
คำอธิบายเชิงวิชาการ:
การสร้างเครือข่ายที่ปรึกษา คือ กระบวนการสร้างและรักษาสัมพันธภาพกับบุคคลอื่นที่น่าเชื่อถือและมีประสบการณ์ ซึ่งสามารถทำหน้าที่เป็น "ที่ปรึกษาทางจริยธรรม" (Ethical Mentor) หรือเป็น "เพื่อนคู่คิด" (Peer Advisor) ได้ เครือข่ายนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งเมื่อต้องเผชิญกับภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกทางจริยธรรม (Ethical Dilemma) ที่การตัดสินใจโดยลำพังอาจมีความเสี่ยงสูง การมีบุคคลที่สามที่สามารถให้มุมมองที่เป็นกลาง, ตั้งคำถามท้าทาย, หรือแบ่งปันประสบการณ์ จะช่วยให้การตัดสินใจมีความรอบคอบและหนักแน่นยิ่งขึ้น 💬
ตัวอย่าง
ปลัดเทศบาล คนใหม่ต้องเผชิญกับแรงกดดันทางการเมืองจากฝ่ายบริหารที่ต้องการให้เร่งรัดโครงการจัดซื้อจัดจ้างโครงการหนึ่งซึ่งมีข้อสงสัยด้านความโปร่งใส
การประยุกต์ใช้เครือข่าย
ที่ปรึกษา (Mentor): เขาได้โทรศัพท์ไปปรึกษา อดีตปลัดเทศบาลอาวุโสที่เกษียณอายุไปแล้ว ซึ่งตนให้ความเคารพนับถือ เพื่อขอคำแนะนำจากประสบการณ์ในการรับมือกับแรงกดดันทางการเมืองในลักษณะเดียวกัน
เพื่อนคู่คิด (Peer) เขาได้นัดหารือกับ ปลัดเทศบาลจากเทศบาลข้างเคียง ที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่น เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองและตรวจสอบแนวทางการตัดสินใจของตนเองว่าสอดคล้องกับหลักปฏิบัติที่เป็นที่ยอมรับหรือไม่
ผู้เชี่ยวชาญ (Expert) เขาได้ขอคำปรึกษาจาก นิติกรของเทศบาล เพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินการของเขาถูกต้องตามระเบียบกฎหมายทุกประการ
เครือข่ายเหล่านี้ทำหน้าที่เป็น "กระจกสะท้อน" และเป็น "แหล่งข้อมูลทางปัญญา" ที่ช่วยให้เขาตัดสินใจได้อย่างมั่นคงบนพื้นฐานของหลักการ
๒. การเรียนรู้ตลอดชีวิตด้านจริยธรรม (Lifelong Learning in Ethics)
การเรียนรู้ตลอดชีวิตด้านจริยธรรม คือ ความมุ่งมั่นของปัจเจกบุคคลในการแสวงหาความรู้และพัฒนาความเข้าใจในประเด็นทางจริยธรรมอย่างต่อเนื่อง โดยไม่จำกัดอยู่แค่การอบรมภาคบังคับของหน่วยงาน แต่รวมถึงการศึกษาด้วยตนเองในหลากหลายรูปแบบ เพื่อให้เท่าทันกับความท้าทายทางจริยธรรมใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นเสมอในยุคดิจิทัลและกระแสโลกาภิวัตน์ เช่น ประเด็นด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA), จริยธรรมปัญญาประดิษฐ์ (AI Ethics), หรือความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม
ตัวอย่าง
ผู้อำนวยการกองคลัง ผู้หนึ่งต้องการพัฒนาตนเองให้เป็นผู้นำที่ทันสมัยและมีจริยธรรม เขาจึงดำเนินการเรียนรู้ตลอดชีวิตผ่านช่องทางต่างๆ ดังนี้
การศึกษาเพิ่มเติม สมัครเรียนหลักสูตรระยะสั้นออนไลน์เกี่ยวกับ "ธรรมาภิบาลในยุคดิจิทัล"
การติดตามข่าวสาร อ่านบทความและกรณีศึกษาเกี่ยวกับการบริหารงานภาครัฐที่ดีจากเว็บไซต์ของสถาบันพระปกเกล้า หรือสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นประจำ
การเข้าร่วมสัมมนา เข้าร่วมงานสัมมนาประจำปีในหัวข้อ "จริยธรรมสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ยั่งยืน" เพื่อนำความรู้ใหม่ๆ มาปรับใช้กับการพิจารณางบประมาณโครงการของเทศบาล
การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ จัดตั้ง "ชุมชนแห่งการเรียนรู้ (Community of Practice - CoP)" ขนาดเล็กในหน่วยงานของตน เพื่อนัดหมายพูดคุยแลกเปลี่ยนกรณีศึกษาด้านจริยธรรมเดือนละครั้ง
การกระทำทั้งสองส่วนนี้ (การสร้างเครือข่ายและการเรียนรู้ตลอดชีวิต) เป็นสิ่งที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน และเป็นคุณลักษณะสำคัญของผู้บริหารมืออาชีพที่ตระหนักว่า การธำรงรักษาจริยธรรมไม่ใช่การหยุดนิ่ง แต่คือการเดินทางแห่งการพัฒนาที่ไม่สิ้นสุด
การวางแผนพัฒนาตนเอง จากนักบริหารสู่การเป็นรัฐบุรุษท้องถิ่น (Local Statesman)
การวางแผนพัฒนาตนเองจากนักบริหารสู่การเป็นรัฐบุรุษท้องถิ่น คือ กระบวนการยกระดับภาวะผู้นำจากระดับผู้บริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ (Effective Administrator) ไปสู่ระดับผู้นำเชิงคุณธรรมที่เป็นที่จดจำและสร้างมรดกอันยั่งยืนให้แก่ชุมชน (Local Statesman) 🌟
นี่ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนตำแหน่ง แต่เป็นการเปลี่ยน กระบวนทัศน์ (Paradigm Shift) ในการมองบทบาทของตนเอง จากผู้ที่ทำให้ "องค์กร" ทำงานได้ดี ไปสู่ผู้ที่ทำให้ "สังคมและชุมชน" ดีขึ้นในระยะยาว
การขยายความเชิงวิชาการ ความแตกต่างระหว่าง "นักบริหาร" และ "รัฐบุรุษท้องถิ่น"
มิติเปรียบเทียบ นักบริหารท้องถิ่น (Local Administrator)รัฐบุรุษท้องถิ่น (Local Statesman)
กรอบเวลา มุ่งเน้นการแก้ปัญหา ปัจจุบัน และเป้าหมาย ระยะสั้น (เช่น ปีงบประมาณ, วาระการดำรงตำแหน่ง)มุ่งเน้นการวางรากฐานเพื่อ อนาคต และสร้างผลกระทบ ระยะยาว (๑๐-๒๐ ปีข้างหน้า)
โฟกัสหลัก ประสิทธิภาพ (Efficiency) และ การปฏิบัติตามระเบียบ (Compliance)วิสัยทัศน์ (Vision) และ
การยึดมั่นในหลักการ (Principles)
การตัดสินใจ ตัดสินใจเพื่อให้งานสำเร็จลุล่วงตามเป้าหมาย หรือตามความนิยมทางการเมืองตัดสินใจในสิ่งที่ "ถูกต้อง" เพื่อประโยชน์สุขของส่วนรวม แม้สิ่งนั้นอาจ "ไม่เป็นที่ถูกใจ" ในระยะสั้น
มรดก (Legacy) ผลงานเชิงรูปธรรม เช่น โครงการก่อสร้าง, รางวัลที่องค์กรได้รับ ผลงานเชิงนามธรรม เช่น วัฒนธรรมองค์กรที่โปร่งใส, คนรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพ, และคุณภาพชีวิตที่ดีของชุมชน
ส่งออกไปยังชีต
แผนการพัฒนาตนเอง ๔ มิติสู่การเป็นรัฐบุรุษท้องถิ่น
การเดินทางนี้ต้องอาศัยการพัฒนาตนเองอย่างมีเป้าหมายใน ๔ มิติสำคัญ ดังนี้
๑. จากผู้จัดการ สู่ผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ (From Manager to Visionary Leader)
นักบริหาร แก้ปัญหาเฉพาะหน้า เช่น จัดการขยะ, ซ่อมถนน
รัฐบุรุษท้องถิ่น ตั้งคำถามที่ใหญ่กว่า เช่น "อีก ๒๐ ปีข้างหน้า เมืองของเราควรมีหน้าตาเป็นอย่างไร" และสร้าง วิสัยทัศน์ร่วม (Shared Vision) ที่สามารถขับเคลื่อนคนทั้งชุมชนไปสู่เป้าหมายนั้นได้
ตัวอย่างการพัฒนา จัดกระบวนการระดมสมองจากทุกภาคส่วนเพื่อจัดทำ "แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาเมืองระยะยาว ๒๐ ปี" ที่ไม่ได้มาจากความคิดของตนเองฝ่ายเดียว แต่มาจากความฝันของคนทั้งเมือง
๒. จากผู้ทำตามกฎ สู่ผู้พิทักษ์หลักการ (From Rule-Follower to Guardian of Principles)
นักบริหาร ปฏิบัติตามตัวบทกฎหมายและระเบียบอย่างเคร่งครัด
รัฐบุรุษท้องถิ่น เข้าใจว่ากฎระเบียบบางครั้งอาจไม่ครอบคลุมถึง "ความเป็นธรรม" หรือ "ความเมตตา" จึงกล้าที่จะยึดมั่นในหลักการทางศีลธรรมที่สูงกว่า แม้ต้องเผชิญกับความเสี่ยง (มีความกล้าหาญทางจริยธรรม)
ตัวอย่างการพัฒนา เมื่อมีระเบียบให้ต้องไล่รื้อหาบเร่แผงลอย นักบริหารจะทำตามระเบียบ แต่รัฐบุรุษท้องถิ่นจะทำตามระเบียบพร้อมกับ ผลักดันนโยบายสร้างพื้นที่ค้าขายแห่งใหม่ (Hawker Center) ที่ถูกสุขลักษณะและเป็นธรรม เพื่อรักษาระเบียบของเมืองควบคู่ไปกับการดูแลปากท้องของผู้มีรายได้น้อย
๓. จากผู้บริหาร สู่ผู้สร้างแรงบันดาลใจและพี่เลี้ยง (From Administrator to Inspirer and Mentor)
นักบริหาร บริหารจัดการบุคลากร, มอบหมายงาน, ประเมินผลงาน
รัฐบุรุษท้องถิ่น ลงทุนกับการ สร้างคน มองหาและให้โอกาสคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพ, เป็นพี่เลี้ยง (Mentor) ถ่ายทอดประสบการณ์ และสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข็งจนสามารถขับเคลื่อนตัวเองต่อไปได้ แม้จะไม่มีตนเองอยู่แล้ว
ตัวอย่างการพัฒนา จัดตั้ง "โครงการผู้นำรุ่นใหม่" (Young Leaders Program) ในองค์กร เพื่อพัฒนาข้าราชการระดับกลางให้มีทักษะและความพร้อมที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารในอนาคต
๔. จากผู้แสวงหาความนิยม สู่ผู้รับใช้ส่วนรวมอย่างแท้จริง (From Popularity-Seeker to Public Servant)
นักบริหาร (โดยเฉพาะที่มาจากการเลือกตั้ง) อาจตัดสินใจในสิ่งที่ถูกใจประชาชนในระยะสั้น เพื่อรักษาคะแนนนิยม
รัฐบุรุษท้องถิ่น กล้าที่จะตัดสินใจในเรื่องที่ "จำเป็นแต่ไม่เป็นที่นิยม" (Necessary but Unpopular) เพราะมองเห็นประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับส่วนรวมในระยะยาว
ตัวอย่างการพัฒนา กล้าที่จะ ปรับขึ้นค่าธรรมเนียมเก็บขยะ ตามต้นทุนที่แท้จริง แม้จะรู้ว่าประชาชนไม่พอใจ แต่ได้ทำการสื่อสารอย่างโปร่งใสว่าเงินที่เพิ่มขึ้นจะถูกนำไปพัฒนาระบบกำจัดขยะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะส่งผลดีต่อสุขภาพของทุกคนในอนาคต
การก้าวสู่การเป็นรัฐบุรุษท้องถิ่นคือการเดินทางที่ต้องอาศัยความมุ่งมั่น สติปัญญา และที่สำคัญที่สุดคือ คุณธรรมที่แน่วแน่ เพื่อสร้างสรรค์มรดกที่ไม่ใช่สิ่งปลูกสร้าง แต่คือ ชุมชนที่ดีขึ้นสำหรับคนรุ่นต่อไป
คำถามท้ายบท
๑. "ความกล้าหาญทางจริยธรรม" คืออะไร และมีความสำคัญอย่างไรต่อนักบริหารท้องถิ่น?
๒. ทำไมการมี "ที่ปรึกษา (Mentor)" หรือ "เพื่อนคู่คิด (Peer)" ด้านจริยธรรมจึงเป็นสิ่งสำคัญ?
๓. จงระบุทักษะหรือความรู้ด้านจริยธรรม 3 ประการที่ท่านต้องการพัฒนาเพิ่มเติมหลังจากจบหลักสูตรนี้
คำถามทบทวน
ท่านจะทิ้ง "มรดก (Legacy)" ด้านใดไว้ในฐานะนักบริหารท้องถิ่น และจริยธรรมจะมีส่วนช่วยสร้างมรดกนั้นได้อย่างไร
กิจกรรมกลุ่ม
ให้ผู้เรียนแต่ละคนเขียน "คำปฏิญาณตนด้านจริยธรรม (My Ethical Pledge)" ของตนเอง โดยระบุหลักการที่จะยึดถือและพฤติกรรมที่จะปฏิบัติในการทำงาน จากนั้นอาจแบ่งปัน (ตามความสมัครใจ) ในกลุ่มย่อยเพื่อแลกเปลี่ยนและให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
จบบทที่ ๙