ธุรกิจเชิงรุก หมายถึง การบริหารจัดการธุรกิจแบบมีแบบแผน เป็นระบบการพัฒนางานที่ดีอำนวยประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการ สามารถวางแผนติดตามและควบคุมให้การดำเนินงานในทุกด้านได้อย่างมีประสิทธิภาพธุรกิจเชิงรุก เป็นความพยายามที่จะหาวิธีการให้ได้เปรียบทางการแข่งขันทางธุรกิจ เป็นการพัฒนาสินค้าให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค สินค้าได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ผู้บริโภคมีโอกาสเลือกซื้อสินค้าได้หลากหลาย ตามหลักการดังนี้
1. ธุรกิจในปัจจุบันไม่ได้แข่งขันเฉพาะภายในประเทศเท่านั้น ยังต้องแข่งขันกับธุรกิจต่างประเทศ
จึงควรขยายกิจการออกนอกประเทศมากขึ้น
2. ต้องดำเนินธุรกิจตลอด 24 ชั่วโมง
3. ใช้เทคโนโลยีและการลงทุนมากขึ้น
4. ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ
5. เลือกทำเฉพาะธุรกิจหลัก
6. มีสำนักงานเคลื่อนที่เพิ่มมากขึ้น
กลยุทธ์สงครามการตลาดเชิงรุก คือ กลยุทธ์ทางการตลาดเป้าหมายเพื่อบรรลุเป้าประสงค์บางอย่าง โดยทั่วไปที่จะมี เป็นการชิงส่วนแบ่งทางการตลาดจากคู่แข่งที่เป็นเป้าหมายนอกจากส่วนแบ่งการตลาดแล้วกลยุทธ์การตลาดเชิงรุกยังมีจุดมุ่งหมายที่จะให้ได้มา ซึ่งกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลัก, กลุ่มตลาด ระดับบนและกลุ่มลูกค้าที่มีความภักดีสูง
การแทรกความนิยมเข้าสู่ความต้องการของผู้บริโภค นอกจากมีความรู้เบื้องต้นเรื่องของผลิตภัณฑ์ (Product) แล้วยังต้องมีกลยุทธ์การตลาดเข้ามากำหนดต้นทุนผลิตภัณฑ์ วิเคราะห์คู่แข่ง เพราะราคาเป็นส่วนผสมการตลาดที่ก่อให้เกิดรายได้ ถ้าราคาลดลงผลกำไร ก็จะลดลงด้วย และราคายังเป็นตัวกำหนดตำแหน่งของผลิตภัณฑ์ เนื่องจากผู้บริโภคมักใช้ราคาเป็นตัวอ้างอิงคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่คาดหวัง ดังนั้นผู้ประกอบการจะต้องนำปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องมาช่วยในการวางแผนกำหนดราคา ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ การกำหนดกลยุทธ์การตลาดให้กับผลิตภัณฑ์สรุปได้เป็น 6 ขั้นตอน ดังนี้
1. การกำหนดนโยบายเกี่ยวกับราคา การใช้นโยบายราคาสินค้าในตลาดเนื่องจากผลิตภัณฑ์อยู่ในตลาดแข่งขันสมบูรณ์ผู้ซื้อผู้ขายไม่สามารถสร้างความแตกต่างกันได้
2. การวิเคราะห์ความต้องการผลิตภัณฑ์ในตลาด การวิเคราะห์ตลาดเป็นกระบวนการที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา เพื่อทราบข้อมูลเกี่ยวกับความต้องการของตลาด อันจะทำให้ผู้ผลิตสามารถผลิตสินค้าและบริการได้ตรงความต้องการของลูกค้าได้ตลอดเวลา และการวิเคราะห์ตลาดยังเป็นการช่วยแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจของประเทศได้เพราะผู้ผลิตและผู้บริโภคสามารถทราบข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน และคาดคะเนผลที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ ทำให้มีการเตรียมแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้องและถูกวิธีด้วย
3. การประมาณต้นทุนของผลิตภัณฑ์ หมายถึง การวิเคราะห์ การให้ความเห็น การพยากรณ์ หรือการคาดหมายล่วงหน้า ดังนั้นการประมาณต้นทุนจึงเป็นการวิเคราะห์ หรือการให้ความเห็นเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในกระบวนการทำงานหรือกระบวนการผลิต ซึ่งอาจเป็นการทำผลิตภัณฑ์ การจัดทำโครงการ หรือการผลิตงานบริการ
4. การวิเคราะห์ราคาของคู่แข่ง เป็นการตรวจสอบสิ่งที่คู่แข่งได้ทำในปัจจุบัน
5. การเลือกวิธีกำหนดราคา การกำหนดราคาโดยคำนึงถึงต้นทุนการผลิตและต้นทุนการตลาด
6. การเลือกราคาในขั้นสุดท้าย การกำหนดวัตถุประสงค์ในการกำหนดราคา การพิจารณาอุปสงค์ การคาดคะเนต้นทุน การวิเคราะห์ต้นทุน ราคาผลิตภัณฑ์ของ คู่แข่งขันการเลือกวิธีการ กำหนดราคา และการตัดสินใจเลือกราคาขั้นสุดท้ายการกำหนดนโยบายเกี่ยวกับราคาเมื่อเริ่มต้นในครั้งแรกที่จะกำหนดราคาให้ผลิตภัณฑ์นั้นเกี่ยวข้องอย่างมากกับการวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์และกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เช่น ผลิตภัณฑ์สำหรับลูกค้ามีรายได้สูง การกำหนดราคาก็จะสูงด้วย ถ้าผลิตภัณฑ์สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ปานกลาง ราคาสินค้าก็จะต้องถูกลงเพื่อให้สอดคล้องกับกลุ่มลูกค้า เป้าหมาย สิ่งเหล่านี้ คือ นโยบาย
โดยมีวัตถุประสงค์ 6 ประการ คือ
1. การเผชิญกับสถานการณ์การแข่งขันที่รุนแรงผู้ประกอบการมีผลิตภัณฑ์เหลือเป็นจำนวนมาก ผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงความต้องการในสินค้าประเภทนั้น ผู้ผลิตอาจใช้นโยบายการลดราคา
2. การทำให้ยอดขายในปัจจุบันสูงสุดผู้ประกอบการอาจมีนโยบายการตั้งราคา เพื่อทำให้ยอดขายสูงที่สุดแต่วิธีนี้อาจมีปัญหาตามมาได้เช่นกัน เพราะต้องประมาณการขายที่ต่างกัน การคาดการณ์อาจผิดพลาดได้ แต่วิธีการนี้อาจเป็นวิธีที่ทำให้เกิดกำไรสูงสุดในระยะยาวและประสบความสำเร็จในการเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดได้
3. การทำให้อัตราการเติบโตของยอดขายสูงที่สุดผู้ประกอบการมีความเชื่อว่าถ้าทำให้อัตราการเพิ่มยอดขายเติบโตสูงแล้วทำให้ต้นทุนต่อหน่วยถูกลง จะมีผลดีต่อกำไรในระยะยาวของกิจการ ผู้ที่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้มักจะตั้งราคาค่อนข้างต่ำ โดยมีความเชื่อว่าตลาดมีลักษณะอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงราคา ถ้าราคาลดลงจะสามารถเพิ่มยอดขายได้มากการเลือกนโยบายราคาแบบนี้ผู้ประกอบการควรคำนึงถึงว่าใช้ได้ดีนอกจากตลาดต้องมีลักษณะอ่อนไหวต่อราคาแล้ว ต้นทุนการผลิตยังต้องสามารถลดลงมาได้มากสอดคล้องกับยอดขายที่เพิ่มขึ้น และราคาที่ลดลง
4. การกำหนดราคาเพื่อให้ได้ลูกค้าเป้าหมายมากที่สุดในระยะเริ่มต้นผู้ประกอบการจะตั้งราคาสูงเพื่อเลือกกลุ่มลูกค้าชั้นดี ส่วนใหญ่มักจะเป็นสินค้าใหม่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูงหรือวัสดุใหม่ ๆ ทั้งนี้ผู้ประกอบการจะต้องมองเห็นว่าการตั้งราคาที่สูงนั้นผลประโยชน์ในตัวสินค้าที่ลูกค้าต้องการมีมากกว่าผลประโยชน์ที่ได้รับจากสินค้าทดแทนจึงจะทำได้
5. การกำหนดราคาเพื่อให้ดูเป็นผู้นำด้านคุณภาพของผลิตภัณฑ์ คือวิธีการตั้งราคาสูงกว่าคู่แข่งเล็กน้อย
6. การเลือกราคาในขั้นสุดท้าย เป็นการตั้งราคาช่วงที่ใกล้กับราคาขั้นสุดท้ายแล้ว แต่จะสรุปว่าเป็นราคาขั้นสุดท้ายหรือไม่ ต้องพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ เพิ่มเติม
การพัฒนาผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดไม่ได้หมายความว่าผลิตภัณฑ์นี้จะได้รับการตอบสนองจากลูกค้าเสมอไป
ผู้ประกอบการควรต้องมีการวิเคราะห์ข้อมูลทางการตลาดและปัจจัยต่าง ๆ อย่างรอบคอบพร้อมที่จะวางแผนจึงกำหนดวิธีการในการพัฒนาผลิตภัณฑ์กลยุทธ์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ มีข้อควรพิจารณา 3 ประการ คือ
1. ผลิตภัณฑ์ใหม่ ควรทำเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เกิดใหม่มากกว่าจัดทำเพื่อตอบสนองความก้าวหน้าทางการผลิต
2. ตระหนักถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา
3. ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ออกมาต้องตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคพร้อมทั้งช่วยให้ผู้ประกอบการบรรลุผลสำเร็จด้วยผลิตภัณฑ์เป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจ อาจเป็นสินค้าที่จับต้องได้ บริการที่จับต้องไม่ได้ หรือความคิดองค์ประกอบของผลิตภัณฑ์ได้แก่ ตัวผลิตภัณฑ์แทนคุณลักษณะเสริม และคุณประโยชน์ทางสัญลักษณ์ หรือประสบการณ์รูปลักษณ์ผลิตภัณฑ์หรือผลิตภัณฑ์ที่มีตัวตน หมายถึง ลักษณะทางกายภาพของสินค้าที่ผู้บริโภคสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 อันได้แก่
2.1 ตราสินค้า (Brand ) เวลาเราซื้อสินค้านั้นตราสินค้ามีผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคและผู้บริโภคมีความรู้สึกต่อตราสินค้าแต่ละตราไม่เท่ากัน
2.2 บรรจุภัณฑ์ ( Packaging ) หลายครั้งที่ผู้บริโภคซื้อสินค้าเพราะอยากได้บรรจุภัณฑ์มากกว่าตัวสินค้าก็มี สินค้าบางตรามีการออกแบบบรรจุภัณฑ์เป็นอย่างดี สีสัน สดใส น่ารัก จนสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้