"พระสมุทรเจดีย์" หรือ "พระเจดีย์กลางน้ำ" สัญลักษณ์ของเมืองปากน้ำหรือสมุทรปราการ
ภูมิศาสตร์ทะเลตม
บริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยาเหนืออ่าวไทยคือที่ตั้งของเมืองสำคัญมาแต่สมัยโบราณ คือ “เมืองสมุทรปราการ” เพราะอยู่ในบริเวณปากแม่น้ำจึงนิยมเรียกว่า “เมืองปากน้ำ” เป็นพื้นที่แบบชายฝั่งทะเล [Coastal Zone] แนวชายฝั่งทะเลยาวกว่า ๔๗ กิโลเมตร ลักษณะเป็นดินโคลน ดินเหนียว และเป็นดินเค็ม ไม่มีหาดทรายใดๆ ทำให้มีกระแสน้ำขึ้นลงตามอิทธิพลของน้ำทะเล ทำให้ในช่วงหน้าน้ำน้ำจะท่วมพื้นดินซึ่งเป็นดินเค็มไปทั่ว ในช่วงหน้าแล้งน้ำแห้งเมื่อน้ำจืดภายในแผ่นดินมีปริมาณน้อย ทำให้น้ำทะเลจะหนุนเข้ามา บริเวณนี้มีป่าไม้ที่เรียกว่า ป่าชายเลน [Mangrove] เช่น โกงกาง แสม และป่าจาก สามเหลี่ยมปากแม่น้ำรับน้ำเหนือที่ไหลลงสู่ทะเล ผืนดินจึงมีความอุดมสมบูรณ์ด้วยแร่ธาตุจากตะกอนพัดพา อยู่บนโครงสร้างรอยเลื่อนทรุดตัวซึ่งบางแนวยังเคลื่อนไหวอยู่ สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางราว ๐.๕๐-๑ เมตร บริเวณที่ราบลุ่มคือพื้นที่ทั้ง ๒ ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ทางเหนือและตะวันออกมีลำคลองมาก บางแห่งมีน้ำท่วมและน้ำเค็มท่วมถึง บางแห่งเป็นเขตบึงน้ำกร่อยขัง สภาพเช่นนี้ยากสำหรับการอยู่อาศัยของมนุษย์ แต่ธรรมชาติก็มีส่วนผลักดันให้มนุษย์รู้จักปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม สามารถพัฒนาภูมิปัญญาด้านต่างๆ มาใช้ในวิถีการดำรงชีวิตในระยะต่อมา
จากสภาพแวดล้อมของสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ [Delta] ซึ่งเป็นพื้นที่ไม่อาจใช้ประโยชน์ได้ในยุคสมัยหนึ่งกลับเปลี่ยนมาเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ ซึ่งส่งผลให้เกิดบ้านเมืองและชุมชนขนาดใหญ่ในบริเวณใกล้กับปากแม่น้ำเจ้าพระยาเมื่อตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๙-๒๐ เป็นต้นมา พัฒนาจนกระทั่งมีการปรับเปลี่ยนพื้นที่เพื่อทำการปลูกข้าวจนกลายเป็นพื้นที่เพื่อปลูกข้าวส่งออกอันกว้างใหญ่ที่สุดของโลกแห่งหนึ่งเมื่อกว่าร้อยห้าสิบปีที่ผ่านมา
ภูมิวัฒนธรรมเมืองหน้าด่านชายทะเล
ปากน้ำพระประแดง
ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่างมีการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์เพื่ออยู่อาศัยล่าช้ากว่าเขตอื่นๆ เช่น ในพื้นที่สูงใกล้ภูเขาซึ่งมีชุมชนก่อนประวัติศาสตร์มากมายและขยายลงมาตามลำน้ำที่มีลักษณะเป็นเมืองท่าภายในในสมัยทวารวดีและลพบุรี ทั้งนี้เพราะบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำมีสภาพแวดล้อมที่ได้รับอิทธิพลจากการขึ้นลงของน้ำทะเล และการหลากของผืนน้ำในช่วงหน้าฝนทำให้การอยู่อาศัยของมนุษย์ทำได้โดยลำบาก
แต่เมื่อมีพัฒนาการในการปรับตัวของมนุษย์ในการตั้งถิ่นฐานในบริเวณใกล้กับปากแม่น้ำได้ และความเฟื่องฟูของการค้าทางทะเลในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๗-๑๘ เป็นต้นมา เชื่อมโยงภูมิภาคต่างๆ ทั้งใกล้และไกลเข้าหากันทั้งทางด้านศิลปวัฒนธรรมและการค้า ทำให้เกิดชุมชนเมืองท่าใกล้ทะเล เช่นที่ กรุงศรีอยุธยา
การออกสู่ทะเลจากเมืองท่าภายใน นอกจากสันดอนทรายที่เป็นปราการธรรมชาติแล้ว จำเป็นต้องมี เมืองหน้าด่าน ที่ปากแม่น้ำ ในระยะแรกเริ่มคงมีชุมชนขนาดเล็กกระจัดกระจายอยู่ตามริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาและลำคลองทั่วไปเป็นระยะๆ ก่อนจะถึงปากน้ำ ซึ่งปากน้ำตรงนี้คงเรียกกันในหลายชื่อ คือ ปากน้ำพระประแดงบ้าง ปากน้ำบางเจ้าพระยาบ้าง และในกำสรวลสมุทรเรียก ปากพระวาล
และปรากฏชื่อเมืองพระประแดงเมื่อมีการขุดลอกคลองสำโรงและคลองทับนาง ซึ่งเป็นคลองลัดระหว่างแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำบางปะกง โดยไม่ต้องออกปากอ่าวข้ามทะเลเมื่อจะต้องเดินทางไปทางบ้านเมืองฝั่งตะวันออก และเป็นเส้นทางสำคัญสายหนึ่งในการลัดเลาะเดินทางผ่านลำคลองภายในแล้วมุ่งไปสู่กัมพูชาและเวียดนามในปัจจุบัน จึงไม่น่าแปลกใจอันใดในรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ ราว พ.ศ. ๒๐๖๑ ตรงจุดที่เป็นคลองตัดกันจึงพบเทวรูปชื่อ พญาแสนตา องค์หนึ่ง และ บาทสังฆังกร องค์หนึ่ง แล้วมีการปลูกศาลไว้ที่เมืองพระประแดงซึ่งน่าจะอยู่ไม่ไกลจากคลองสำโรง
ความหมายของชื่อพระประแดง สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงค้นคว้าและอธิบายว่า “ประแดง” เป็นชื่อภาษาเขมรอยู่ในกฎหมายทำเนียบศักดินาพลเรือนในส่วนกรมพระสุรัสวดีเรียกว่า “กุมฦาแดง” และในทำเนียบศักดินาหัวเมืองเรียกว่า “ประแดง” ต่อท้ายชื่อเมืองในทำเนียบ และใช้เป็นยศในทำเนียบศักดินาพลเรือนในหลายกรมกองอีกด้วย
เทวรูปและชื่อเมืองพระประแดงที่เกี่ยวเนื่องกับวัฒนธรรมแบบเขมรนี้ไม่น่าแปลกใจนัก เพราะเป็นเส้นทางเดินทัพผ่านไปตีเมืองพระนครในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (เจ้าสามพระยา) ซึ่งครั้งนั้นได้อัญเชิญเทวรูปสำริดและรูปเคารพต่างๆ จากเมืองพระนครมาไว้ที่พระนครศรีอยุธยาจำนวนมาก อันเป็นการรับวัฒนธรรมในอุดมคติจากบ้านเมืองที่เคยรุ่งเรืองถึงขีดสุดจากขอมเมืองพระนครมาไว้ที่ราชธานี ทั้งรูปแบบของพระบรมมหาราชวัง ศิลปกรรมประเพณีชั้นสูง กระทั่งชื่อเมืองสองแควที่เปลี่ยนเป็นพิษณุโลกตามแบบชื่อวิษณุโลก อันเป็นชื่อของนครวัดก็เป็นร่องรอยหลักฐานอันดี
ศาลที่เมืองพระประแดงคงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง มีหลักฐานบันทึกว่าศาลเทพารักษ์ที่ไว้เทวรูปนั้นเชื่อว่าเป็น “ศาลเจ้าพ่อพระประแดง” แต่พระยาละแวกเจ้าเมืองเขมรเอาไปแต่ครั้งยกทัพเข้ามาสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชา แต่ตัวศาลซึ่งตั้งอยู่ปากคลองพระโขนงนั้นแม้ไม่มีเทวรูปทั้งสององค์ก็ยังเป็นที่เคารพสักการะแก่ผู้คนเดินทางผ่านที่ยำเกรงกันตลอดมา
คลองสำโรง
เป็นคลองขุดลัด เริ่มขุดเมื่อไหร่ไม่ปรากฏ แต่ขุดซ่อมในรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ ราว พ.ศ. ๒๐๖๘ เชื่อมแม่น้ำเจ้าพระยากับแม่น้ำบางปะกง ผ่านบางพลี บางเหี้ย (บางบ่อ) ไปบรรจบกับแม่น้ำบางปะกงที่ท่าสะอ้าน เมืองฉะเชิงเทรา การขุดซ่อมก็เพื่อให้เรือใหญ่ไปมาได้สะดวกเพราะเป็นเส้นทางที่สามารถเดินทางไปสู่บ้านเมืองในเขตชายฝั่งทะเลฟากตะวันออกและเขมรได้ ส่วน คลองทับนางขุดเมื่อไหร่ไม่ปรากฏเช่นกัน แยกจากคลองสำโรงไปออกทะเลอ่าวไทยที่อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ คลองสำโรงนี้เป็นคลองที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์สำหรับป้องกันพระนครทางตะวันออก และได้ขุดพบ “รูปเทพารักษ์ ๒ องค์ หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ จารึกองค์หนึ่งชื่อพระยาแสนตา องค์หนึ่งชื่อบาทสังฆังกร ในที่ร่วมคลองสำโรงกับคลองทับนางต่อกัน จึงให้พลีกรรมบวงสรวงแล้วออกมาปลูกศาล เชิญขึ้นประดิษฐานไว้ ณ เมืองประแดง”
สมุทรปราการในความทรงจำ
รถไฟสายปากน้ำ
เป็นรถไฟสายแรกของประเทศไทย จากหัวลำโพงไปปากน้ำ ระยะทางกว่า ๒๑ กิโลเมตร โดยบริษัทรถไฟสายปากน้ำของเอกชนชาวเดนมาร์ก ได้รับสัมปทาน ๕๐ ปี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จพระราชดำเนินเปิดทางรถไฟสายนี้ เมื่อ ๑๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๓๖ รถไฟสายนี้บางทีเรียกว่า “รถรางสายปากน้ำ” ดำเนินกิจการมาจนสภาพทรุดโทรมและเหลืออายุสัมปทานอีก ๑๐ ปีจึงเปลี่ยนมาเป็นรถไฟฟ้าหรือรถราง เมื่อ ๑๓ กันยายน พ.ศ. ๒๔๖๙ ทำให้เมืองสมุทรปราการมีไฟฟ้าใช้เป็นครั้งแรกเช่นกัน การมีรถไฟที่ทันสมัยนี้เองทำให้เมืองสมุทรปราการขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมกับการเกิดชุมชนใหม่ๆ ใกล้กับสถานีรถไฟและตามทางรถไฟ
รถไฟสายปากน้ำหรือรถรางในภายหลังนี้ เลิกกิจการเมื่อ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๓ ซึ่งมีการตัดถนนสุขุมวิทในเวลาดังกล่าว ปัจจุบัน “ถนนริมทางรถไฟเก่า”จากคลองเตยเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาผ่านหน้าโรงกลั่นบางจากย่านสรรพาวุธและบางนาคือถนนที่สร้างทับแนวเส้นทางรถไฟสายปากน้ำในอดีตนั่นเอง
กิจการโทรเลขโทรศัพท์ระหว่างจังหวัดเริ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย คือ ระหว่างสมุทรปราการและกรุงเทพฯ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๘ โดยพระราชทานพระที่นั่งสุขไสยาสน์ ณ จังหวัดสมุทรปราการเป็นที่ทำการไปรษณีย์ หลังจากนั้นราว พ.ศ. ๒๔๒๔ จึงมีการทดลองใช้โทรศัพท์ที่ใช้สายโทรเลข จึงเกิดกิจการโทรศัพท์ขึ้นมาแต่นั้น
ถนนสุขุมวิท
ถนนสุขุมวิทหรือทางหลวงหมายเลข ๓ เริ่มต้นจากกรุงเทพมหานครที่แยกเพลินจิตไปยังสมุทรปราการ-ชลบุรี-ระยอง-จันทบุรี-ตราด รวมระยะทาง ๓๘๗ กิโลเมตร ก่อสร้างระหว่าง พ.ศ. ๒๔๗๙–๒๔๙๔ เริ่มจากพระโขนงใกล้ทางรถไฟบางกะปิไปถึงปากน้ำเป็นถนนหินใส่ฝุ่น โดยอำมาตย์เอกพระพิศาลสุขุมวิท (ประสบ พ.สุขุม) เคยดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมทางหลวงคนที่ ๕ และตั้งชื่อทางหลวงสายกรุงเทพฯ-ตราดว่า ถนนสุขุมวิท เพื่อเป็นเกียรติ เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ จากนั้นได้ขยายเส้นทางจากปากน้ำไปบางปะกงและชลบุรีเลียบตามคลองชลประทานที่มีอยู่เดิม ถนนสุขุมวิทในเขตกรุงเทพฯ และสมุทรปราการถือเป็นเขตธุรกิจสำคัญแห่งหนึ่ง ตามซอยต่างๆ ตลอดแนวถนนสุขุมวิทในกรุงเทพมหานครเป็นที่อยู่ของชาวต่างชาติจำนวนมาก นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งบันเทิงใหญ่อีกด้วย
ข้อมูลจาก มูลนิธิเล็ก - ประไพ วิริยะพันธุ์ http://lek-prapai.org/home/view.php?id=810
สืบค้นและนำเสนอข้อมูลโดย นายชนาสิทธิ์ บัวหงษ์