เมืองเลยเป็นเมืองเก่าแก่มีโบราณวัตถุแสดงถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ประเพณีวัฒนธรรมความเชื่อต่าง ๆ ของคนเมืองเลยในสมัยโบราณซึ่งสืบเชื้อสาย และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับชาวลาวหลวงพระบาง จังหวัดเลยมีประวัติและความเป็นมาดังนี้
เมืองเลยเป็นเมืองเก่าแก่มีโบราณวัตถุแสดงถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ประเพณีวัฒนธรรมความเชื่อต่าง ๆ ของคนเมืองเลยในสมัยโบราณซึ่งสืบเชื้อสาย และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับชาวลาวหลวงพระบาง จังหวัดเลยมีประวัติและความเป็นมาดังนี้
ประวัติจังหวัดเลย “เมืองเลย” ได้ชื่อว่า "เมืองแห่งทะเลภูเขา สุดหนาวในสยาม" มีหลักฐานเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาว่า ก่อตั้งโดยชนเผ่าไทยที่สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษ ที่ก่อตั้งอาณาจักรโยนก โดยพ่อขุนบางกลางหาวและพ่อขุนผาเมือง (เชื่อถือกันว่าเป็นเชื้อสายราชวงศ์สิงหนวัติ) ได้พาผู้คนอพยพจากอาณาจักรโยนกที่ล่มสลายแล้ว ผ่านดินแดนลานช้างข้ามลำน้ำเหืองขึ้นไปทางฝั่งขวาของลำน้ำหมันเมื่อถึงบริเวณที่ราบจึงหยุดพักพากันตั้งถิ่นฐาน พ่อขุนผาเมืองได้ตั้ง บ้านด่านขวา (ปัจจุบันมีซากวัดเก่าอยู่ในแปลงนาของเอกชน ระหว่างหมู่บ้านหัวแหลมกับหมู่บ้านนาเบี้ย อำเภอด่านซ้ายจังหวัดเลย ) ส่วนพ่อขุนบางกลางหาวได้แบ่งไพร่พลข้ามลำน้ำหมันไปทางฝั่งซ้ายสร้างบ้านด่านซ้าย (สันนิษฐานว่าอยู่ในบริเวณหมู่บ้านเก่า อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลยในปัจจุบัน) ต่อมาจึงได้อพยพเลื่อนขึ้นไปตามลำน้ำไปสร้างบ้านหนองคู และได้นำนามหมู่บ้านด่านซ้ายมาขนานนามหมู่บ้านหนองคูใหม่เป็น “เมืองด่านซ้าย” จากนั้นก็อพยพไปอยู่ที่เมืองบางยางในที่สุด โดยมีพ่อขุนบางกลาหาวเป็นผู้ปกครองเมืองบางยาง (เชื่อว่าอยู่ในเขตอำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก)
ส่วนบ้านด้านขวาปรากฏว่าทุก ๆ ปีในฤดูฝนน้ำในห้วยน้ำรินพัดพาเอากรวดหินดินทรายไหลบ่าเข้าท่วมบ้านเรือนและที่นาได้รับความเดือนร้อน พ่อขุนผาเมือง จึงอพยพผู้คนข้ามภูลำน้ำรินพักพลอยู่ชั่วคราวเรียก “เมืองโปงถ้ำ” ต่อมาจึงได้อพยพผู้คนไปสร้างเมืองบนภูครั่ง เรียก “เมืองภูครั่ง” (ภูครั่งเป็นภูเขาลูกใหญ่อยู่ตรงข้ามกับที่ว่าการอำเภอภูเรือ) อยู่ต่อมาไม่นานพ่อขุนผาเมืองจึงได้ อพยพผู้คนไปตั้งหลักแหล่งได้ที่เมืองราด (เชื่อว่าเป็นเมืองศรีเทพ อยู่ในท้องที่อำเภอศรีเทพ และอำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์) นอกจากนี้แล้ว ยังมีชาวโยนกอีกกลุ่มหนึ่งได้อพยพมาตั้งบ้านเรือน อยู่ระหว่างชายแดนตอนใต้ของอาณาเขตลานนาไทย ติดกับแดนลานช้างอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่งก่อนที่จะอพยพหนีภัยสงคราม ข้ามลำน้ำเหืองมาตั้งเมืองเซไลขึ้น (สันนิษฐานว่าอยู่ในท้องที่ หมู่บ้านทรายขาว ตำบลทรายขาว อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย) จากหลักฐานในสมุดข่อยที่มีการค้นพบเมืองเซไลอยู่ด้วยความสงบร่มเย็นมาจนกระทั่งถึงสมัยเจ้าเมืองคนที่ 5 เกิดทุพภิกขภัย ข้าวยากหมากแพง ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล จึงได้พาผู้คนอพยพไปตามลำแม่น้ำเซไล จึงได้ตั้งบ้านเรือนขึ้นขนานนามว่า “บ้านแห่” (บ้านแฮ่) ส่วนลำห้วยให้ชื่อว่า “ห้วยน้ำหมาน”
ในปี พ.ศ. 2396 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงพิจารณาเห็นว่าหมู่บ้านแฮ่ ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งห้วยน้ำหมาน และอยู่ใกล้กับแม่น้ำเลย มีผู้คนเพิ่มมากขึ้น สมควรจะได้ตั้งเป็นเมือง เพื่อประโยชน์ในการปกครองอย่างใกล้ชิด จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้จัดตั้งเป็นเมืองเรียกชื่อตามนามของแม่น้ำเลยว่า "เมืองเลย" ต่อมา พ.ศ. 2440 ได้มีประกาศใช้พระราชบัญญัติลักษณะปกครองพื้นที่ ร.ศ.116 แบ่งการปกครองเมืองเลย ออกเป็น 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอกุดป่อง อำเภอท่าลี่ อำเภอบางกอก (เสียให้แก่ฝรั่งเศส เมื่อ พ.ศ. 2446 ตรงกับ ร.ศ. 112 ปัจจุบันเป็นหมู่บ้านอยู่ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว) อำเภอที่ตั้งเมืองเรียกชื่อว่า “อำเภอกุดป่อง” ต่อมา พ.ศ. 2442-2449 ได้เปลี่ยนชื่อเมืองเลยเป็น “บริเวณลำน้ำเลย” พ.ศ. 2449 - 2540 เปลี่ยนชื่อบริเวณลำน้ำเลยเป็นบริเวณลำน้ำเหือง และใน พ.ศ. 2450 ได้มีประกาศของกระทรวงมหาดไทยลงวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2450 ยกเลิกบริเวณลำน้ำเหือง ให้คงเหลือไว้เฉพาะ “เมืองเลย” โดยให้เปลี่ยนชื่ออำเภอกุดป่อง เป็นอำเภอเมืองเลย
ปัจจุบันจังหวัดเลย แบ่งการปกครองออกเป็น 14 อำเภอ ดังนี้
1.อำเภอเมืองเลย (Mueang Loei)
2.อำเภอนาด้วง (Na Duang)
3.อำเภอเชียงคาน (Chiang Khan)
4.อำเภอปากชม (Pak Chom)
5.อำเภอด่านซ้าย (Dan Sai)
6.อำเภอนาแห้ว (Na Haeo)
7.อำเภอภูเรือ (Phu Ruea)
8.อำเภอท่าลี่ (Tha Li)
9.อำเภอวังสะพุง (Wang Saphung)
10.อำเภอภูกระดึง (Phu Kradueng)
11.อำเภอภูหลวง (Phu Luang)
12.อำเภอผาขาว (Pha Khao)
13.อำเภอเอราวัณ (Erawan)
14.อำเภอหนองหิน (Nong Hin)
ขอบคุณข้อมูลจาก : เว็บไซต์กรมศิลปากร , เว็บไซต์กรมธนารักษ์พื้นที่เลย , เว็บไซต์ทนายเมืองเลย