หลักการเขียนที่ดี
1. เขียนตัวหนังสือชัดเจน อ่านง่าย เป็นระเบียบ
2. เขียนได้ถูกต้องตามอักขรวิธี สะกดการันต์ วรรณยุกต์ วางรูปเครื่องหมายต่างๆ เว้นวรรคตอนได้ถูกต้อง เพื่อจะสื่อความหมายได้ตรงและชัดเจน ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจสารได้ดี
3. เลือกใช้ถ้อยคำได้เหมาะสม สื่อความหมายได้ดี กะทัดรัด ชัดเจนเหมาะสมกับเนื้อหา เพศ วัย และระดับของผู้อ่าน
4. เลือกใช้สำนวนภาษาได้ไพเราะ เหมาะสมกับความรู้ ความคิด อารมณ์ ความรู้สึก ที่ต้องการถ่ายทอด
5. ใช้ภาษาเขียนไม่ควรใช้ภาษาพูด ภาษาโฆษณาหรือภาษาที่ไม่ได้มาตรฐาน
6. เขียนได้ถูกต้องตามรูปแบบและหลักเกณฑ์ของงานเขียนแต่ละประเภท
7. เขียนในสิ่งสร้างสรรค์ ไม่เขียนในสิ่งที่จะสร้างความเสียหายหรือความเดือดร้อนให้แก่บุคคลและสังคม
การที่จะสื่อสารด้วยการเขียนได้ดี ผู้เขียนต้องมีความสามารถในด้านการใช้ภาษาและต้องปฏิบัติตามหลักการเขียนที่ดีมีมารยาท
การเขียนรูปแบบต่างๆ
รูปแบบการเขียน งานเขียนในภาษาไทยมี 2 รูปแบบคือ งานเขียนประเภท ร้อยกรองกับงานเขียนประเภทร้อยแก้ว ซึ่งผู้เรียนได้เคยศึกษามาบ้างแล้วในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ในที่นี้จะพูดถึงงานเขียนประเภทร้อยแก้วที่ผู้เรียนจำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น การเขียนจดหมาย การเขียนเรียงความ การเขียนย่อความ การจดบันทึกและการเขียนแสดงความคิดเห็น และงานเขียนประเภทร้อยกรองบางประเภทเท่านั้น
การเขียนจดหมาย
การเขียนจดหมายเป็นวิธีการที่นิยมใช้เพื่อการสื่อสารแทนการพูด เมื่อผู้ส่งสารและผู้รับสารอยู่ห่างไกลกัน เพราะประหยัดค่าใช้จ่าย มีลายลักษณ์อักษรเป็นหลักฐานส่งถึงกันได้สะดวกทุกพื้นที่ จดหมายที่เขียนติดต่อกันมีหลายประเภทเป็นต้นว่า
จดหมายส่วนตัว เป็นจดหมายที่เขียนถึงกันระหว่างญาติมิตร หรือครูอาจารย์ เพื่อส่งข่าวคราว บอกกล่าวไต่ถามถึงความทุกข์สุข แสดงถึงความรัก ความปรารถนาดี ความระลึกถึงต่อกัน รวมทั้งการเล่าเรื่องหรือเหตุการณ์ที่สำคัญ การขอความช่วยเหลือ ขอคำแนะนำซึ่งกันและกัน
จดหมายกิจธุระ เป็นจดหมายที่บุคคลเขียนติดต่อกับบุคคลอื่น บริษัท ห้างร้านและหน่วยงานอื่นๆ เพื่อแจ้งกิจธุระ เป็นต้นว่า การนัดหมายขอสมัครงาน ขอความช่วยเหลือและขอคำปรึกษาเพื่อประโยชน์ในด้านการงานต่างๆ
การเขียนย่อความ
การย่อความ คือการนำเรื่องราวต่างๆ มาเขียนใหม่ด้วยสำนวนภาษาของผู้ย่อเอง เมื่อเขียนแล้วเนื้อความเดิมจะสั้นลง แต่ยังมีใจความสำคัญครบถ้วนสมบูรณ์ การย่อความนี้ ไม่มีขอบเขตว่าควรจะสั้นหรือยาวเท่าใดจึงจะเหมาะ เพราะบางเรื่องมีพลความมากก็ย่อลงไปได้มาก แต่บางเรื่องมีใจความสำคัญมาก ก็อาจย่อได้ 1 ใน 2 หรือ 1 ใน 3 หรือ 1 ใน 4 ของเรื่องเดิมตามแต่ผู้ย่อจะเห็นสมควร
ใจความสำคัญ คือ ข้อความสำคัญในการพูดหรือการเขียน พลความ คือข้อความที่เป็นรายละเอียดนำมาขยายใจความสำคัญให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ถ้าตัดออกผู้ฟังหรือผู้อ่านก็ยังเข้าใจเรื่องนั้นได้
การเขียนบันทึก
การเขียนบันทึกเป็นวิธีการเรียนรู้และจดจำที่ดี นอกจากนี้ข้อมูลที่ถูกบันทึกไว้ยังสามารถนำไปเป็นหลักฐานอ้างอิงเพื่อประโยชน์อื่นต่อไป เช่น
การจดบันทึกจาการฟัง
การบันทึกจากการฟังหรือการประสบพบเห็นด้วยตนเอง ย่อมก่อให้เกิดความรู้ ในที่นี้ใคร่ขอแนะนำวิธีจดบันทึกจากการฟังและจากประสบการณ์ตรง เพื่อผู้เรียนจะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการศึกษาด้วยตนเองได้วิธีหนึ่ง
คำประพันธ์หรือร้อยกรองมีหลายประเภท เช่น โคลง กลอน กาพย์ ฉันท์ และ ร่ายบทร้อยกรองเป็นข้อความที่ประดิดประดอยตกแต่งคำภาษาอย่างมีแบบแผนและมีเงื่อนไขพิเศษบังคับไว้ เช่น บังคับจำนวนคำ บังคับวรรค บังคับสัมผัส เรียกว่า “ฉันทลักษณ์”
แนวทางการเขียนบทร้อยกรองมีดังนี้
1. ศึกษาฉันทลักษณ์ของคำประพันธ์นั้นๆ ให้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง
2. คิดหรือจินตนาการว่าจะเขียนเรื่องอะไร สร้างภาพให้เกิดขึ้นในห้วงความคิด
3. ลำดับภาพหรือลำดับข้อความให้เป็นอย่างสมเหตุผล
4. ถ่ายทอดความรู้สึกหรือจินตนาการนั้นเป็นบทร้อยกรอง
5. เลือกใช้คำที่สื่อความหมายได้ชัดเจน ทำให้ผู้อ่านเกิดภาพพจน์และจินตนาการร่วมกับผู้ประพันธ์
6. พยายามเลือกใช้คำที่ไพเราะ เช่น คิด ใช้คำว่า ถวิล ผู้หญิงใช้คำว่า นารี
7. แต่งให้ถูกต้องตามฉันทลักษณ์ของคำประพันธ์
การเขียนโคลงสี่สุภาพ มีหลักการเขียนดังนี้
บทหนึ่งมี 4 บาท บาทหนึ่งมี 2 วรรค เรียกวรรคหน้ากับวรรคหลัง วรรคหน้ามี 5 พยางค์ทุกบาท วรรคหลังของบาทที่หนึ่งที่สองและที่สามมี 2 พยางค์ วรรคหลังของบาทที่สี่มี 4 พยางค์ และอาจมีคำสร้อยได้ในวรรคหลังของบาทที่หนึ่งและบาทที่สาม มีสัมผัสบังคับตามที่กำหนดไว้ในผังของโคลง ไม่นิยมใช้สัมผัสสระ ใช้แต่สัมผัสอักษร โคลงบทหนึ่งบังคับใช้คำที่มีวรรณยุกต์เอก 7 แห่ง และวรรณยุกต์โท 4 แห่ง คำเอกผ่อนผันให้ใช้คำตายแทนได้
การเขียนกาพย์ แบ่งออกเป็น กาพย์ยานี กาพย์ฉบัง กาพย์สุรางคนางค์ กาพย์ขับไม้
(1) กาพย์ยานี 11 มีลักษณะบังคับของบทร้อยกรอง ดังนี้
คณะ คณะของกาพย์ยานีมีดังนี้ กาพย์บทหนึ่งที่ 2 บาท บาทที่ 1 เรียกว่า บาทเอก บาทที่ 2 เรียกว่า บาทโท แต่ละบาทมี 2 วรรค คือ วรรคแรกและวรรคหลัง
พยางค์ พยางค์หรือคำในวรรคแรกมี 5 คำ วรรคหลังมี 6 คำ เป็นเช่นนี้ทั้งบาทเอกและบาทโท จึงนับจำนวนได้บาทละ 11 คำ เลข 11 ซึ่งเขียนไว้หลังชื่อกาพย์ยานีนั้นเพื่อบอกจำนวนคำ
กาพย์ฉบัง 16 มีลักษณะบังคับของบทร้อยกรอง ดังนี้
คณะ กาพย์ฉบังบทหนึ่งมีเพียง 1 บาท แต่มี 3 วรรค คือ วรรคต้น วรรคกลาง และวรรคท้าย
พยางค์ พยางค์หรือคำในวรรคต้นมี 6 คำ วรรคกลางมี 4 คำ วรรคท้ายมี 6 คำ รวมทั้งบทมี 16 คำ จึงเขียนเลข 16 ไว้หลังชื่อกาพย์ฉบัง
กาพย์สุรางคนาง28 มีลักษณะบังคับของบทร้อยกรอง ดังนี้
คณะ บทหนึ่งมี 7 วรรค เรียงได้ 2 วิธีตามผัง ดังนี้
สุรางคนางคนางค์ เจ็ดวรรคจักวาง ให้ถูกวิธี
วรรคหนึ่งสี่คำ จงจำไว้ให้ดี บทหนึ่งจึงมี ยี่สิบแปดคำ
หากแต่งต่อไป สัมผัสตรงไหน จงให้แม่นยำ
คำท้ายวรรคสาม ติดตามประจำ สัมผัสกับคำ ท้ายบทต้นแล
อ.ฐปนีย์ นาครทรรพ ประพันธ์
ฉันท์ แบ่งเป็นหลายชนิด เช่น อินทรวิเชียรฉันท์ ภุชงคประยาตฉันท์ วิชชุมมาลาฉันท์ มาณวกฉันท์ วสันตดิลกฉันท์ อิทิ ฉันท์ เป็นต้น และยังมีฉันท์ที่มีผู้ประดิษฐ์ขึ้นใหม่อีก เช่น สยามมณีฉันท์ ของ น.ม.ส. เป็นต้น
มารยาทในการเขียน
1. ไม่ควรเขียนโดยปราศจากความรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ เพราะอาจเกิดความ ผิดพลาด หากจะเขียนก็ควรศึกษาค้นคว้าให้เกิดความพร้อมเสียก่อน
2. ไม่เขียนเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติหรือสถาบันเบื้องสูง
3. ไม่เขียนเพื่อมุ่งเน้นทำลายผู้อื่น หรือเพื่อสร้างผลประโยชน์ให้แก่ตน พวกพ้องตน
4. ไม่เขียนโดยใช้อารมณ์ส่วนตัวเป็นบรรทัดฐาน
5. ต้องบอกแหล่งที่มาของข้อมูลเดิมเสมอ เพื่อให้เกียรติเจ้าของข้อมูลนั้นๆ
การสร้างนิสัยรักการเขียน
ในการเริ่มต้นของการเขียนอะไรก็ตาม ผู้เขียนจะเขียนไม่ออกถ้าไม่ตั้งเป้าหมายในการเขียนไว้ล่วงหน้าว่าจะเขียนอะไร เขียนทำไม เพราะการเขียนเรื่อยเปื่อยไม่ทำให้งานเขียนน่าอ่านและถ้าทำให้งานชิ้นนั้นไม่มีคุณค่าเท่าที่ควร งานเขียนที่มีคุณค่าคืองานเขียนอย่างมีจุดหมาย มีข้อมูลข่าวสารไร้พรมแดนดังเช่นในปัจจุบัน การมีข้อมูลมากย่อมทำให้เป็นผู้ได้เปรียบผู้อื่นเป็นอันมาก เพราะยุคปัจจุบันเป็นยุคแห่งการแข่งขันกันในทุกทางโดยเฉพาะในทางเศรษฐกิจ ใครมีข้อมูลมากจะเป็นผู้ได้เปรียบคู่แข่งขันอื่นๆ เพราะการนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์ได้เร็วกว่านั้นเอง การหมั่นแสวงหาความรู้เพื่อสะสมข้อมูล ต่างๆ ให้ตัวเองมากๆ จึงเป็นความได้เปรียบ และควรกระทำให้เป็นนิสัยติดตัวไป เพราะการกระทำใดๆ ถ้าทำบ่อยๆ ทำเป็นประจำในวันหนึ่งก็จะกลายเป็นนิสัยและความเคยชินที่ต้องทำต่อไป
การค้นคว้ารวบรวมข้อมูลเป็นกิจกรรมที่จะทำให้เกิดความสนุกสนานทางวิชาการเพราะยิ่งค้นคว้าก็จะยิ่งทำสิ่งที่น่าสนใจมากขึ้น ผู้ที่ฝึกตนให้เป็นผู้ใคร่รู้ ใคร่เรียน ชอบแสวงหาความรู้จะมีความสุขมากเมื่อได้ศึกษาค้นคว้าและได้พบสิ่งแปลกๆใหม่ๆ ในภาษาไทย หรือในความรู้แขนงอื่นๆ บางคนเมื่อค้นคว้าแล้วจะรวบรวมไว้อย่างเป็นระบบ