1 การอ่านช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิต ทำให้ผู้อ่านได้รับสาระความรู้เพิ่มขึ้น เป็นคนทันสมัย ทันเหตุการณ์และความเคลื่อนไหวของเหตุการณ์บ้านเมือง ตลอดจนสังคมและวิทยาการใหม่ๆ เป็นต้น ผู้อ่านเมื่อได้รับความรู้จากการอ่านแล้ว จะสามารถนำสาระต่างๆ มาสร้างสรรค์ให้เกิดประโยชน์ต่อชีวิต สังคมและประเทศชาติในโอกาสต่อไปได้
2. การอ่านช่วยให้เกิดความเพลิดเพลิน หนังสือหลายประเภทนอกจากจะให้ความรู้ ความคิดแล้วยังให้ความเพลิดเพลินอีกด้วย ผู้อ่านหนังสือจะได้รับความเพลิดเพลิน ได้รับความสุข อีกทั้งยังสร้างความฝันจิตนาการแก่ผู้อ่าน ตลอดจนเป็นการพักผ่อนและคลายเครียดได้เป็นอย่างดี
3. การอ่านมีผลต่อการดำเนินชีวิตที่สุขสมบูรณ์ของมนุษย์ ผลที่ได้รับจากการอ่าน นอกจากจะเป็นพื้นฐานของการศึกษา ศิลปวิทยาการ และช่วยในการพัฒนาอาชีพแล้ว ยังมีผลช่วยให้ผู้อ่านได้แนวคิดและประสบการณ์จำลองจากการอ่านอีกด้วย ซึ่งความคิดและประสบการณ์จะทำให้ผู้อ่านมีโลกทัศน์กว้างขึ้น เข้าใจตนเอง เข้าใจผู้อื่น และเข้าใจสังคมเป็นอย่างดี อันจะมีผลต่อการดำเนินชีวิตและการดำรงตนอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
วิจารณญาณในการอ่าน คือการรับสารจากการอ่านให้เข้าใจเนื้อหาสาระแล้วใช้สติปัญญาใคร่ครวญหรือไตร่ตรอง โดยอาศัยความรู้ ความคิด ประสบการณ์มาเป็นเหตุผลประกอบและสามารถนำไปใช้ในชีวิตได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
การใช้วิจารณญาณในการอ่าน จะเริ่มต้นที่การอ่านด้วยความตั้งใจและพยายามทำความเข้าใจเนื้อหาสาระของเรื่องที่อ่านแล้วใช้ความรู้ ความคิด เหตุผลและประสบการณ์ประกอบการคิด ใคร่ครวญให้สามารถรับสารได้ถูกต้อง ถ่องแท้ การอ่านโดยใช้วิจารณญาณประกอบด้วยการเข้าใจของเรื่อง การรู้จักเขียน การเข้าใจความสัมพันธ์ของสารและการนำไปใช้
การอ่านอย่างมีวิจารณญาณจะต้องใช้ความคิด วิเคราะห์ ใคร่ครวญและตัดสินใจว่า ข้อความที่ได้อ่านนั้น สิ่งใดเป็นความสำคัญ สิ่งใดเป็นใจความประกอบหรือพลความ สามารถแยกข้อเท็จจริงจากข้อคิดเห็นได้ ตลอดจนวินิจฉัยได้ว่าข้อความที่อ่านนั้นควรเชื่อถือได้หรือไม่เพียงใด และการอ่านประเมินค่าว่าข้อความที่ได้อ่านมีเนื้อหาสาระหรือมีแง่คิดที่ดีหรือไม่ อาจนำไปใช้ประโยชน์ได้เพียงไร รวมทั้งการประเมินค่างานเขียนในด้านต่างๆ เช่น ความรู้ ความสามารถ ความจริงใจและกลวิธีในการเขียน
การอ่านแปลความ หมายถึงการแปลเรื่องราวเดิมให้ออกมาเป็นคำใหม่ ภาษาใหม่หรือแบบใหม่ ความมุ่งหมายของการแปลความอยู่ที่ความแม่นยำของภาษาใหม่ว่า ยังคงรักษาเนื้อหาและความสำคัญของเรื่องราวเดิมไว้ครบถ้วนหรือไม่ สำหรับการแปลความบทร้อยกรองเป็นร้อยแก้วหรือการถอดคำประพันธ์ร้อยกรองเป็นร้อยแก้วนั้น ควรอ่านข้อความและหาความหมายของศัพท์แล้วเรียบเรียงเนื้อเรื่องหรือเนื้อหาเป็นร้อยแก้วให้สละสลวย โดยที่เนื้อเรื่องหรือเนื้อหานั้นยังคงเดิมและครบถ้วน
การอ่านตีความ การอ่านตีความหรือการอ่านวินิจสารเป็นการอ่านอย่างพิจารณาถี่ถ้วนด้วยความเข้าใจเพื่อให้ได้ประโยชน์ หรือเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของผู้เขียน จะเป็นการอ่านออกเสียงหรืออ่านในใจก็ได้ แต่จุดสำคัญอยู่ที่การใช้สติปัญญาตีความหมายของคำและข้อความ ทั้งหมดรวมทั้งสิ่งแวดล้อมทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับข้อความที่อ่าน ดังนั้นจึงต้องอาศัยการใช้เหตุผลและความรอบคอบในการพิจารณาทั้งถ้อยคำและสิ่งแวดล้อมทั้งหมดที่ผู้อ่านจะตีความสารใดๆ ได้กว้างหรือแคบ ลึกหรือตื้นขนาดไหน ย่อมขึ้นอยู่กับประสบการณ์ส่วนตัวและความเฉียบแหลมของวิจารณญาณ เป็นการอ่านที่ผู้อ่านพยายามเข้าใจความหมายในสิ่งที่ผู้เขียนมิได้กล่าวไว้โดยตรง ผู้อ่านพยายามสรุปลงความเห็นจากรายละเอียดของเรื่องที่อ่าน
การอ่านขยายความ คือ การอธิบายเพิ่มเติมให้ละเอียดขึ้นภายหลังจากได้ตีความแล้ว ซึ่งอาจใช้วิธียกตัวอย่างประกอบหรือมีการอ้างอิงเปรียบเทียบเนื้อความให้กว้างขวางออกไปจนเป็นที่เข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น
ตัวอย่าง ความโศกเกิดจากความรัก ความกลัวเกิดจากความรัก ผู้ที่ละความรักเสียได้ก็ไม่โศกไม่กลัว (พุทธภาษิต)
ข้อความนี้ให้ข้อคิดว่า ความรักเป็นต้นเหตุให้เกิดความโศก และความกลัวถ้าตัดหรือละความรักได้ ทั้งความโศก ความกลัวก็ไม่มี
การอ่านจับใจความหรือสรุปความ คือ การอ่านที่มุ่งค้นหาสาระของเรื่องหรือของหนังสือแต่ละเล่มที่เป็นส่วนใจความสำคัญและส่วนขยายใจความสำคัญของเรื่อง
การอ่านและพิจารณานวนิยาย
คำว่า “นวนิยาย” (Novel) จัดเป็นวรรณกรรมประเภทหนึ่ง หมายถึง หนังสือที่เขียนเป็นร้อยแก้ว เล่าถึงชีวิตในด้านต่างๆ ของมนุษย์ เช่น ด้านความคิด ความประพฤติ และเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงของมนุษย์ ชื่อคน หรือพฤติกรรมที่แสดงออกเป็นเรื่องสมมุติทั้งสิ้น นวนิยายแบ่งเป็น 6 ประเภท ดังนี้
1. นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ เช่น ผู้ชนะสิบทิศ (อิงประวัติศาสตร์มอญ) ชูซีไทเฮา (อิงประวัติศาสตร์จีน) สี่แผ่นดิน (อิงประวัติศาสตร์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์ แผ่นดินรัชกาลที่ 5 -8) กระท่อมน้อยของลุงทอม(อิงประวัติศาสตร์อเมริกา)
2. นวนิยายวิทยาศาสตร์ คือ นวนิยายที่นำความมหัศจรรย์ทางวิทยาศาสตร์แขนงต่างๆ มาเขียนเป็นเรื่องราวที่น่าตื่นเต้น เช่น กาเหว่าที่บางเพลง สตาร์วอร์(Star war) มนุษย์พระจันทร์ มนุษย์ล่องหน เป็นต้น
3. นวนิยายลึกลับ ฆาตกรรม นักสืบ สายลับ เช่น เรื่องเชอร์ลอกโฮม มฤตยูยอดรัก
4. นวนิยายเกี่ยวกับภูตผีปีศาจ เช่น แม่นาคพระโขนง กระสือ ศีรษะมาร เป็นต้น
5. นวนิยายการเมือง คือ นวนนิยายที่นำความรู้ทางการเมืองการปกครองมาเขียนเป็นเนื้อเรื่อง เช่น ไผ่แดง ของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช เปาบุ้นจิ้น สามก๊ก สารวัตรใหญ่ เป็นต้น
6. นวนิยายด้านสังคมศาสตร์ คือ นวนิยายที่สะท้อนสภาพสังคม เช่น เรื่องเมียน้อย เสียดาย เพลิงบุญ เกมเกียรติยศ นางมาส เป็นต้น
วรรณคดี คือ หนังสือที่ได้รับการยกย่องว่าแต่งดีมีลักษณะเด่นในเชิงประพันธ์ มีคุณค่าสูง ในด้านความคิด อารมณ์และความเพลิดเพลิน ทำให้ผู้อ่านเห็นความงาม ความไพเราะ เกิดความซาบซึ้งกินใจ วรรณคดีจึงมีความงดงามด้านวรรณศิลป์ ช่วยยกระดับจิตใจ ความรู้สึก และภูมิปัญญาของผู้อ่านให้สูงขึ้น วรรณคดีจึงเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง
ความสำคัญของวรรณคดี
วรรณคดีเป็นสิ่งสร้างสรรค์อันล้ำค่าของมนุษย์ มนุษย์สร้างและสื่อสารเรื่องราวของชีวิต วัฒนธรรมและอารมณ์ความรู้สึกที่เกี่ยวข้องหรือสะท้อนความเป็นมนุษย์ด้วยกลวิธี การใช้ถ้อยคำสำนวนภาษา ซึ่งมีความเหมือนหรือแตกต่างกันไปในแต่ละยุคสมัย
พระยาอนุมานราชธน (ยง เสฐียรโกเศศ) ได้กล่าวถึงความสำคัญของวรรณคดีไว้ในหนังสือแง่คิดจากวรรณคดีว่า
โลกจะเจริญก้าวหน้ามาได้ไกลก็เพราะวิทยาศาสตร์ แต่ลำพังวิทยาศาสตร์เท่านั้นไม่ครอบคลุมไปถึงความเป็นไปในชีวิตที่มีอารยธรรมและวัฒนธรรมสูง เราต้องมีศาสนา เราต้องมีปรัชญา เราต้องมีศิลปะ และเราต้องมีวรรณคดีด้วย สิ่งเหล่านี้ย่อมนำมาแต่ความดีงาม นำความบันเทิงมาให้แก่จิตใจ ให้เราคิดงาม เห็นงาม ประพฤติงาม มีความงามเป็นเจ้าเรือน แนบสนิทอยู่ในสันดาน ศิลปะและวรรณคดีนี้แหละคือแดนแห่งความเพลิดเพลินใจ ทำให้มีใจสูงเหนือใจแข็ง กระด้าง เป็นแดนที่ทำให้ความแข็งกระด้างต้องละลายสูญหาย กลายเป็นมีใจงาม ละมุนละม่อม เพียบพร้อมไปด้วยคุณงามความดี
ลักษณะของวรรณกรรม
1. วรรณกรรมเป็นงานประพันธ์ที่แสดงความรู้สึกนึกคิด โดยทั่วไปมนุษย์จะพูดหรือเขียนแล้วจะส่งความรู้สึกนึกคิด อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ฝนตก ต้นไม้สีเขียว ความรู้สึก จะสัมผัสได้ทางกายและใจ เช่น รู้สึกหนาว รู้สึกร้อน เป็นต้น ส่วนความคิดคือสิ่งที่เกิดจากใช้สติปัญญาใคร่ครวญเกี่ยวกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากระทบอารมณ์
2. วรรณกรรมเป็นงานประพันธ์ที่เกิดจากจินตนาการ เป็นการสร้างภาพขึ้นในจิตใจ จากสิ่งที่เคยพบเคยเห็นในชีวิต สิ่งที่สร้างสรรค์ขึ้นมาจากจินตนาการออกจะมีเค้าความจริงอยู่บ้าง
3. วรรณกรรมเป็นงานประพันธ์ใช้ภาษาวรรณศิลป์ เช่น คำว่าใจกว้างเหมือนแม่น้ำ หรือ หิมะขาวเหมือนสำลี เป็นต้น
ประเภทของวรรณกรรม
ในปัจจุบันวรรณกรรมแบ่งประเภทโดยดูจากรูปแบบการแต่งและการแบ่งตามเนื้อหาออกเป็น 4 ประเภท คือ
1. ประเภทร้อยแก้ว คือ วรรณกรรมที่ไม่มีลักษณะบังคับ ไม่บังคับจำนวนคำ สัมผัส หรือเสียงหนักเบาวรรณกรรมที่แต่งด้วยร้อยแก้ว ได้แก่ นิทาน นิยาย นวนิยาย เรื่องสั้น สารคดี บทความ ข่าว
2. ประเภทร้อยกรอง คือ วรรณกรรมที่มีลักษณะบังคับในการแต่ง ซึ่งเรียกว่าฉันทลักษณ์ เช่น โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ร่าย ลิลิต วรรณกรรมที่แต่งด้วยคำประเภทร้อยกรอง ได้แก่ บทละคร นิยาย บทพรรณนา บทสดุดี บทอาเศียรวาท
3. ประเภทสารคดี คือ วรรณกรรมที่มีเนื้อหาสาระให้ความรู้ ความคิดและอาจให้ความบันเทิงด้วย เช่น สารคดีท่องเที่ยว ชีวประวัติ บันทึกจดหมายเหตุ หนังสือคติธรรม บทความ เป็นต้น
4. ประเภทบันเทิงคดี คือ วรรณกรรมที่แต่งขึ้นโดยอาศัยเค้าความจริงของชีวิตหรือจินตนาการ โดยมุ่งให้ความบันเทิงแก่ผู้อ่านเป็นลำดับ ได้แก่ เรื่องสั้น นิทาน นวนิยาย บทละครพูด เป็นต้น
วรรณกรรมที่ได้รับการยกย่อง
ในการอ่านหนังสือแต่ละเล่ม โดยเฉพาะหนังสือประเภทวรรณคดี ผู้อ่านย่อมได้รับประสบการณ์ทางอารมณ์บ้าง ได้รับคุณค่าทางปัญญาบ้าง หรืออาจได้รับทั้งสองประการบ้าง ส่วนวรรณกรรมบางเรื่องแม้มิได้เป็นวรรณคดีก็อาจให้ทั้งประสบการณ์ทางอารมณ์และให้คุณค่าทางปัญญา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผู้อ่านว่าจะสามารถเข้าถึงวรรณกรรมนั้นได้พียงไร วรรณกรรมบางเรื่องแต่งได้ดีจนได้รับการยกย่อง ซึ่งมีลักษณะดังนี้
งานประพันธ์ทั้งปวงย่อมแฝงไว้ซึ่งแนวคิดและค่านิยมบางประการ อันจะก่อให้เกิดความงอกงาม ทางสติปัญญาและพัฒนาการสมรรถภาพการพิจารณาความประณีตความละเอียดอ่อนทางภาษาได้อย่างดียิ่ง แนวคิดที่ปรากฏในวรรณกรรมนั้น อาจหมายถึงความคิดสำคัญของเรื่องหรืออาจเป็นความคิดอื่นๆ สอดแทรกอยู่ในเรื่องก็ได้
ยกตัวอย่างนิทานเรื่องปลาปู่ทองให้แนวคิดว่าความอิจฉาริษยา ของแม่เลี้ยงเป็นสาเหตุให้ลูกเลี้ยงถูกทำทารุณกรรมอย่างแสนสาหัส
บทร้อยกรองเรื่อง น้ำตา ให้แนวคิดสำคัญว่า น้ำตาเป็นเพื่อนของมนุษย์ทั้งในยามทุกข์ และยามสุข
ส่วนค่านิยมจากวรรณกรรมนั้น หมายถึงความรู้สึก ความคิด หรือความเชื่อของมนุษย์ รวมถึงความเชื่อมั่น การยึดถือปฏิบัติในเรื่องต่างๆ ในการดำเนินชีวิต ค่านิยมจึงเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของมนุษย์ในการเลือกกระทำหรือเว้นกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งถือว่าทำหรือคิดเช่นตามกาลเวลา
ความหมายของภาษาถิ่น
ภาษาถิ่น หมายถึง ภาษาที่ใช้สื่อความหมายตามท้องถิ่นต่างๆ ซึ่งจะแตกต่างกันในถ้อยคำ สำเนียงแต่ก็สามารถจะติดต่อสื่อสารกันได้ และถือว่าเป็นภาษาเดียวกัน เพียงแต่แตกต่างกันตามท้องถิ่นเท่านั้น
ภาษาถิ่น บางที่มักจะเรียกกันว่า ภาษาพื้นเมืองทั้งนี้เพราะไม่ได้ใช้เป็นภาษามาตรฐานหรือภาษากลางของประเทศ
สาเหตุที่ทำให้เกิดภาษาถิ่น
ภาษาถิ่น เกิดจากสาเหตุการย้ายถิ่นฐาน เมื่อกลุ่มชนที่ใช้ภาษาเดียวกันย้ายถิ่นฐานไปตั้งแหล่งใหม่ เนื่องจากเกิดภัยธรรมชาติ มีการรุกรานของศัตรู เมื่อแยกย้ายไปอยู่คนละถิ่นนานาๆ ภาษาที่ใช้จะค่อยเปลี่ยนแปลงไปเช่น เสียงเปลี่ยนไป คำและความหมายเปลี่ยนไป ทำให้เกิดภาษาถิ่นขึ้น
คุณค่าและความสำคัญของภาษาถิ่น
1. ภาษาถิ่นเป็นวัฒนธรรมทางภาษาและเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่น
2. ภาษาถิ่นเป็นสัญลักษณ์ที่ใช้สื่อสารทำความเข้าใจและแสดงความเป็นญาติ เป็น พวกเดียวกันของเจ้าของภาษา
3. ภาษาถิ่นต้นกำเนิดและเป็นส่วนหนึ่งของภาษาไทยและวรรณคดีไทย การศึกษาภาษาถิ่นจะช่วยให้การสื่อสารและการศึกษาวรรณคดีได้เข้าใจลึกซึ่งยิ่งขึ้น
4. การศึกษาและการใช้ภาษาถิ่น จะช่วยให้การสื่อสารได้มีประสิทธิภาพและสร้างความเป็นหนึ่งของคนในชาติ
ลักษณะของภาษาถิ่น
1. มีการออกเสียงต่างๆ ถิ่น เพราะสภาพทางภูมิศาสตร์ ความห่างไกลขาดการติดต่อสื่อสารกันเป็นเวลานานมากๆย่อมทำให้ออกเสียงต่างกันไป
2. การผสมกันทางเชื้อชาติเพราะอยู่ใกล้เคียงกันทำให้มีภาษาอื่นมาปน เช่น ภาษาอีสาน มีภาษากลางและเขมรมาปนเพราะมีเขตแดนใกล้กันทำให้ภาษาเปลี่ยนไปจากภาษากลาง
3. การถ่ายทอดทางวัฒนธรรมและเทคโนโลยีซึ่งกันและกัน ทำให้ภาษาเปลี่ยนจากภาษากลาง
4. หน่วยเสียงของภาษาถิ่นมีส่วนคล้ายกันและแตกต่างกัน หน่วยเสียงของภาษากลางมี 21 เสียง ภาษาถิ่นมีหน่วยเสียงตรงกันเพียง 17 เสียง นอกนั้นแจกต่างกัน เช่น ภาษาถิ่นเหนือและอีสานไม่มีหน่วยเสียง ช และ ร ภาษาถิ่นใต้ไม่มีหน่วยเสียง ง และ ร เป็นต้น
5. หน่วยเสียงวรรณยุกต์ในภาษาถิ่น แตกต่างกันไป ภาคใต้มีเสียงวรรณยุกต์ 7 เสียง ภาคเหนือและอีสานมีเสียงวรรณยุกต์ 6 เสียง ตัวอย่างการกลายเสียงวรรณยุกต์
ม้า (กลาง) ภาคใต้ออกเสียงเป็น หม่า
ข้าว (กลาง) ภาคอีสานออกเสียงเป็น ข่าว
ช้าง (กลาง) ภาคเหนือออกเสียงเป็น จ๊าง
6. การกลายเสียงพยัญชนะในภาษาถิ่นเหนือ ใต้ อีสาน นั้นมีส่วนแตกต่างกันหลายลักษณะ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
สำนวน หมายถึง คำกล่าวหรือกลุ่มคำที่มีความหมายเชิงเปรียบเทียบเป็นเชิงให้ใช้ความคิด และตีความบางสำนวนจะบอกหรือสอนตรงๆ บางสำนวนสะท้อนความคิด ความรู้สึกของกลุ่มชนในท้องถิ่นในอดีตด้วย
สุภาษิต หมายถึง คำกล่าวที่ดีงามเป็นความจริง ทุกสมัยเป็นคำสอนให้ประพฤติ ปฏิบัติ ดังตัวอย่าง
“หลำร่องชักง่าย หลำใจชักยาก”
ความหมาย คิดจะทำอะไรต้องคิดใคร่ครวญให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ
“นอนจนหวันแยงวาน”
ความหมาย นอนตื่นสายมากจนตะวันส่องสว่างไปทั่วบ้าน
“พูดไป สองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง”
ความหมายพูดไปไม่มีประโยชน์อะไร นิ่งไว้ดีกว่า
“เกลือจิ๋มเกลือ”
ความหมาย ไม่ยอมเสียเปรียบกัน แก้เผ็ดกันให้สาสม
“ขายผ้าเอาหน้ารอด”
ความหมาย ยอมเสียสละของที่จำเป็นที่มีอยู่เพื่อจะรักษาชื่อเสียงของตนไว้
“ฝนทั่งให้เป็นเข็ม”
ความหมายเพียรพยายามสุดความสามารถจนกว่าจะสำเร็จผล
“น้ำมาปลากินมด น้ำลดมดกินปลา”
ความหมาย ทีใครทีมัน
วรรณกรรมท้องถิ่น หมายถึง เรื่องราวของชาวบ้านที่เล่าสืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคนทั้งการพูดและการเขียนในรูปของ คติ ความเชื่อ และประเพณี การแสดงออกในการใช้ถ้อยคำที่มีหลากหลายรูปแบบ เช่น นิทานพื้นบ้าน เพลงกล่อมเด็ก ปริศนา คำทาย ภาษิต คำคม บทเทศน์ และคำกล่าวในพิธีกรรมต่างๆ
ลักษณะของวรรณกรรมท้องถิ่น
1. วรรณกรรมท้องถิ่น โดยทั่วไปมีวัดเป็นศูนย์กลางเผยแพร่ กวีผู้ประพันธ์ส่วนมาก คือ พระภิกษุ และชาวบ้าน
2. ภาษาที่ใช้เป็นภาษาถิ่น ใช้ถ้อยคำสำนวนท้องถิ่นที่เรียบง่าย ชาวบ้านทั่วไปรู้เรื่องและใช้ฉันทลักษณ์ที่นิยมในท้องถิ่นนั้น เป็นสำคัญ
3. เนื้อเรื่องส่วนใหญ่เป็นเรื่องจักรๆ วงศ์ๆ มุ่งให้ความบันเทิง และสอดแทรกคติธรรมทางพุทธศาสนา
4. ยึดค่านิยมแนวปรัชญาพุทธศาสนา เช่น กฎแห่งกรรม หรือธรรมะย่อมชนะอธรรม เป็นต้น
ประเภทของวรรณกรรมท้องถิ่น
วรรณกรรมท้องถิ่น แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
1. ประเภทมุขปาฐะ เป็นวรรณกรรมที่ไม่ได้เขียนเป็นลายลักษณ์ เป็นวรรณกรรมปากเปล่าจะถ่ายทอดโดยการบอก หรือการเล่าหรือการร้อง ได้แก่ บทกล่อมเด็ก นิทานพื้นบ้าน เพลงพื้นบ้าน ปริศนาคำทาย ภาษิต สำนวนโวหาร คำกล่าวในพิธีกรรมต่างๆ
2. ประเภทเขียนเป็นลายลักษณ์ ได้แก่ นิทาน คำกลอน บันทึกทางประวัติศาสตร์ในท้องถิ่นและตำราความรู้ต่างๆ
คุณค่าของวรรณกรรมท้องถิ่น
1. คุณค่าต่อการอธิบายความเป็นมาของชุมชนและเผ่าพันธุ์
2. สะท้อนให้เห็นโลกทัศน์และค่านิยมต่างๆ ของแต่ละท้องถิ่น โดยผ่านทางวรรณกรรม
3. เป็นเครื่องมืออบรมสั่งสอนจริยธรรมของคนในสังคมสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในสังคมปัจจุบันได้
4. เป็นแหล่งบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับวัฒนธรรม ประเพณี และการดำเนินชีวิต ของคนในท้องถิ่น
5. ให้ความบันเทิงใจแก่ชุมชนทั้งประเภทที่เป็นวรรณกรรมและศิลปะการแสดง พื้นบ้าน เช่น หมอลำของภาคอีสาน การเล่นเพลงเรือ เพลงเกี่ยวข้าว ของภาคกลาง การซอ การเล่าค่าวของภาคเหนือ การเล่นเพลงบอก ร้องมโนราห์ของภาคใต้ เป็นต้น
6. ก่อให้ความสามัคคีในท้องถิ่น เกิดความรักถิ่นและหวงแหนมาตุภูมิ
รูปแบบของวรรณกรรมท้องถิ่น
1. รูปแบบของวรรณกรรมท้องถิ่นภาคกลาง
1.1 กลอนสวด หรือเรียกว่า คำพากย์ ได้แก่ กาพย์ยานี ฉบัง สุรางคนางค์
1.2 กลอนบทละคร (นอก) ใช้ฉันทลักษณ์เหมือนกลอนบทละครทั่วไปแต่ไม่เคร่งครัดจำนวนคำและแบบแผนมากนัก
1.3 กลอนนิทาน บทประพันธ์เป็นกลอนสุภาพ (กลอนแปด) เป็นรูปแบบที่ได้รับความนิยมมาก
1.4 กลอนแหล่ นิยมจดจำสืบต่อกันมาหรือด้นกลอนสด ไม่นิยมบันทึกเป็นลายลักษณ์
2. รูปแบบของวรรณกรรมท้องถิ่นภาคอีสาน
2.1 โคลงสาร เป็นฉันทลักษณ์ที่บังคับเสียงเอกโท ส่วนมากใช้ประพันธ์วรรณกรรมประเภทนิทาน นิยาย หรือนิทานคติธรรม
2.2 กาพย์หรือกาพย์เซิ้ง ประพันเป็นบทสั้นๆ สำหรับขับลำในพิธี เช่น เซิ้งบั้งไฟ เซิ้งนางแมว ฯลฯ
2.3 ร่าย (ฮ่าย) ลักษณะเหมือนร่ายยาว ใช้ประพันธ์วรรณกรรมชาดก หรือนิทานคติธรรมที่ใช้เทศน์ เช่น มหาชาติ (ฉบับอีสานเรียกว่าลำมหาชาติ)
3. รูปแบบของวรรณกรรมท้องถิ่นภาคเหนือ
3.1 คำวธรรม ฉันทลักษณ์เหมือนร่ายยาวชำสำหรับเทศน์ นิยมประพันธ์วรรณกรรมประเภทนิทานชาดกหรือนิทานคติธรรม
3.2 คำวซอ คำประพันธ์ที่บังคับสัมผัสระหว่างวรรคและบังคับเสียงเอกโท นิยมแต่นิทานเป็นคำวซอแล้วนำมาขับลำในที่ประชุมชน ตามลีลาทำนองเสนาะของภาคเหนือ
3.3 โคลง ภาษาถิ่นเหนือออกเสียงเป็น “กะลง” เป็นฉันทลักษณ์ที่เจริญรุ่งเรือง ควบคู่กับ “ค่าวธรรม” มีทั้งกะลงสี่ห้อง สามห้อง และสองห้อง (โคลงสี่ โคลงสาม และ โคลงสอง)
4. รูปแบบของวรรณกรรมท้องถิ่นภาคใต้
วรรณกรรมพื้นบ้านภาคใต้ฉันทลักษณ์ร่วมกับวรรณกรรมท้องถิ่นภาคกลาง แต่จากการศึกษาความนิยมเรื่องฉันทลักษณ์ของวรรณกรรมภาคใต้ พบว่านิยม “กลอนสวด” (คำกาพย์) มากที่สุด วรรณกรรมลายลักษณ์ภาคใต้เกินร้อยละ 80 ประพันธ์เป็นกลอนสวด โดยเฉพาะนิทานประโลมโลก (เรื่องจักรๆวงศ์ๆ)